ตอนที่ 12
อัลบั้ม: เรื่องราวความรักความแค้นของ 2 ครอบครัวใน "สุดแค้นแสนรัก"
ระหว่างที่หทัยรัตน์ไปหว่านล้อมยงยุทธให้มาเยี่ยมอัมพรนั้น ที่โรงพยาบาล ทุกคนตื่นเต้นดีใจเมื่ออัมพรเริ่มรู้สึกตัว
ระพีพรรณรีบโทร.บอกหทัยรัตน์ว่าคุณป้ารู้สึกตัว แล้วแต่ตนกลัวว่าจะเป็นสัญญาณที่ไม่ดี ยังไงให้เธอช่วยพายงยุทธมาให้ได้ ตนคาดว่าคงไม่พ้นคืนนี้ หทัยรัตน์รับปากว่า “เค้าจะพยายามนะ”
นางแย้มโทร.ตามยงยุทธไม่เจอก็ลิ่วไปที่ร้านพะยอม ทุบประตูร้านแทบพัง พอพะยอมมาเปิดประตูก็พาลหาว่าพะยอมบอกอะไรยงยุทธใช่ไหมเขาถึงได้หายไป พะยอมบอกว่ายงยุทธอาจมีธุระส่วนตัวก็ได้ นางแย้มตวาดว่าส่วนตัวอะไร
“แม่จะเลี้ยงมันเป็นลูกอ่อนเอาไว้ข้างตัวจนตายเลยรึไง”
“เออ! มันเรื่องของกู” นางแย้มพาล พะยอมตอกย้ำกับแม่ว่า
“ถึงวันที่มันจะไปตามทางของมันเมื่อไหร่ แม่น่ะแหละ จะทรมานยิ่งกว่าใครทั้งนั้น”
“อียอม!!” นางแย้มโกรธจนตัวสั่น
ooooooo
ที่ใต้ถุนโรงพยาบาล สุดากำลังไปเก็บดอกเงินกู้ให้นางแย้ม เห็นยงยุทธมาก็หลบมุมแอบดูแต่เดาได้ว่าเขามาทำไม ที่ห้องฉุกเฉิน เหมือนฟ้าสว่างความหวังแจ่มจ้า เมื่อทุกคนเห็นยงยุทธเดินเข้ามากับหทัยรัตน์
ระพีพรรณรีบเดินไปหาเอ่ยอย่างปลื้มปีติ “ขอบใจมากนะยงยุทธ ขอบใจมากที่อุตส่าห์มา”
นางอ่ำก็รีบไปหา บอกยงยุทธอย่างตื้นตันใจว่า “แม่ของหลานเขาคงดีใจที่ได้เห็นหน้า เขารอหลานอยู่คนเดียว ช่วยหน่อยเถอะนะพ่อคุณของยาย...ช่วยส่งแม่เขาให้ได้ไปอย่างสงบด้วยเถอะ”
ยงยุทธหัวใจอ่อนยวบลงทันที ทิฐิทั้งหลายมลายไปในพริบตา ส่วนธนามองยงยุทธแทบไม่เชื่อสายตา
ท่ามกลางความปีติตื้นตันดีใจของทุกคน ยงยุทธก้าวเท้าแทบไม่ออก แต่พอประตูห้องฉุกเฉินเปิดออก ภาพอัมพรนอนนิ่งบนเตียงท่ามกลางเครื่องช่วยหายใจและอุปกรณ์ช่วยชีวิตรอบตัว ยงยุทธมองอึ้งเหมือนถูกตรึงกับที่
“ยุรีย์ มาพาพี่เขาไปหาแม่สิลูก” นางอ่ำบอก มยุรีย์จะขยับ แต่ยงยุทธก้าวเข้าไปที่เตียงก่อน เห็นอัมพรเต็มตา ที่หางตาและข้างแก้มเปียกด้วยคราบน้ำตา...ทวีเข้ามาเรียกอัมพรให้รู้สึกตัว อัมพรขยับตัวนิดหนึ่งอย่างรับรู้ ยงยุทธน้ำตาเอ่อเอื้อมมือไปสัมผัสมืออัมพร
“ใคร...ใคร...” อัมพรถามพยายามมองบุคคลตรงหน้าด้วยนัยน์ตาพร่าเลือนถาม “ยงยุทธ...ยงยุทธใช่ไหม...”
“ครับ...” ยงยุทธตอบได้แค่นั้นลำคอก็ตีบตื้นจนพูดไม่ออก อัมพรถามว่าแม่ไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม “ครับ...แม่...”
เป็นครั้งแรกที่ยงยุทธได้เอ่ยคำว่าแม่ อัมพรยิ้มทั้งน้ำตา ยงยุทธร้องไห้ฟุบหน้ากับฝ่ามืออัมพร ธนาน้ำตาไหลจนต้องเบือนหน้าไปจากภาพสะเทือนใจ
“แม่จะให้ผมทำยังไง ผมต้องทำยังไงถึงจะเป็นการไถ่โทษที่ผมทำไม่ดีกับแม่” ยงยุทธเอ่ยน้ำตาอาบหน้า อัมพรยิ้มทั้งน้ำตา เรียกธนาและมยุรีย์ให้เข้ามา ธนาถามว่าแม่ดีใจใช่ไหม ยงยุทธมาเยี่ยมแม่แล้ว อัมพรพูดอย่างยากลำบากว่า “เรียกพี่เขาว่าพี่สิลูก” ทั้งธนาและมยุรีย์เรียก “พี่ยงยุทธ” ด้วยความตื้นตันเต็มใจ
ยงยุทธรู้สึกในวินาทีนั้นว่าชีวิตที่อ้างว้างโดดเดี่ยวมลายไปในพริบตาเมื่อมีน้องหญิงชายร่วมสายโลหิตมาอยู่เคียงข้าง มีแม่ที่โหยหาตนมานับสิบปี อัมพรจับมือยงยุทธข้างหนึ่งอีกข้างจับมือธนาและมยุรีย์ พูดได้ประโยคยาวอย่างน่าอัศจรรย์ว่า
“ลูกทั้งสามคน เป็นพี่น้องกันนะลูกอย่าทอดทิ้งกัน มีเรื่องเดือดร้อนอะไรก็ให้ช่วยเหลือกัน” แล้วหันมองทวีเอ่ยอย่างซาบซึ้ง “ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณทำให้ฉัน เกือบสามสิบปี ฉันมีความสุขมาก ฉันดีใจที่ได้ร่วมชีวิตกับคุณ”
“ผมก็ดีใจ...พักผ่อนเถอะอัมพร...พักผ่อนซะ” ทวีพูดแทบไม่ออก อัมพรเรียกอุไรเข้าไปหา อุไรรีบส่งเสียงบอกว่าตนอยู่นี่ รีบเข้าไปบอกให้พี่เข้มแข็ง ยงยุทธมาเยี่ยมแล้ว พี่ต้องสู้ต้องอยู่ต่อไปให้ได้ อัมพรส่ายหน้าพูดอย่างอ่อนแรง
“พี่มีเรื่อง...ขอร้อง...ระพีกับปวริศ พี่ขอได้ไหม ไม่ใช่ความผิดของลูกๆเรา เขารักกัน...เลิกขัดขวางเขาเถอะนะ”
อุไรจำต้องพยักหน้าทั้งที่ขัดกับใจ อัมพรฝืนยิ้มขอบคุณ แล้วเรียกแม่...นางอ่ำรีบเข้าไปหา อัมพรมองแม่เอ่ย
“แม่...หนูมีวาสนาได้ตอบแทนพระคุณแม่เท่านี้ อะไรที่หนูเคยล่วงเกิน...” อัมพรพยายามยกมือพนมเอ่ย “แม่อโหสิกรรมให้ลูกด้วยนะ”
“พระอรหันต์ลูก นึกถึงพระอรหันต์ไว้ พระอรหันต์” นางอ่ำรวบมืออัมพรไว้
อัมพรเรียกยงยุทธอีกครั้งบอกว่าแม่ยังไม่เคยหอมลูกให้ชื่นใจเลย ขอแม่หอมสักครั้งได้ไหม ยงยุทธน้ำตาร่วงขยับเข้าไปให้อัมพรสัมผัสและหอมแก้ม อัมพรฝากฝังสั่งเสียว่า
“ลูกต้องรักคุณย่าให้มากๆนะ ย่าเลี้ยงลูกมาความรักของย่าไม่น้อยไปกว่าแม่หรอก...”
ในที่สุด อัมพรก็จากไปในขณะที่มือกุมมือยงยุทธไว้ ใบหน้ายิ้มอย่างมีความสุข หมดห่วง หมดกังวล ยงยุทธร้องไห้อย่างไม่อายใคร เสียงร้องไห้ระงมไปทั้งห้อง...
หทัยรัตน์ออกมาส่งยงยุทธ นัดพบกันที่วัดพรุ่งนี้
“ขอบใจนะรัตน์ ขอบใจที่ทำวันนี้ให้ยุทธ” หทัยรัตน์ยิ้มให้อย่างเข้าใจความรู้สึกของยงยุทธแล้วกลับเข้าไปข้างใน
ooooooo
ที่ลานจอดรถโรงพยาบาล สุดามาดักถามยงยุทธว่าไปเยี่ยมใครมา ยงยุทธบอกว่าเยี่ยมแม่แล้วทำท่าจะร้องไห้ สุดาแสดงความเสียใจด้วยถามว่าแล้วนี่จะทำอย่างไรถ้าคุณย่ารู้ว่า...
สุดาพูดทิ้งไว้แค่นั้น ยงยุทธบอกว่าตนก็ไม่รู้ สุดาทำทีว่ารู้เรื่องอัมพรดีอยากเล่าให้เขาฟังแต่ก็ไม่กล้าเพราะตนเป็นแค่สะใภ้ โบ้ยว่าถ้าอยากรู้ก็ให้ถามพะยอมหรือประยูรเอาเองดีกว่า
“เล่ามาเถอะครับ เล่ามาเดี๋ยวนี้เลย” ยงยุทธรบเร้าจริงจัง
สุดาเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดนับแต่นางแย้มแย่งตัวยงยุทธจากอัมพรไปจนถึงปัจจุบันให้ยงยุทธฟังอย่างละเอียด
เมื่อหทัยรัตน์จะกลับ เดินมาที่รถแล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเจอยงยุทธนั่งรออยู่ที่รถ เธอถามว่าทำไมไม่กลับบ้าน ยงยุทธฟุบหน้าร้องไห้บอกว่าไม่รู้จะปั้นหน้าอย่างไรกับคุณย่า เธอปลอบใจว่าเขาแค่มาทำหน้าที่ของลูก คุณย่าต้องเข้าใจ และอะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดเถอะ ถามว่าจะให้ตนไปเป็นเพื่อนไหม
วันนี้ยงยุทธพูดแปลกๆกับเธอว่า ดีใจที่ตลอดมาตนมีเธอแต่บางทีก็รู้สึกตัวเองเห็นแก่ตัวเหมือนกัน เพราะตนไม่เคยร่วมทุกข์กับเธอเลย แม้เวลาอยู่ห่างกันก็เขียนจดหมายถึงกันนับฉบับได้ หทัยรัตน์บอกว่ามันก็ไม่ได้ทำให้ความรักของเราลดน้อยลง และตนก็พอใจที่เขาไม่เคยมีใครนอกจากตนคนเดียว
“กลับบ้านซะ มีอะไรให้โทร.หารัตน์ได้ตลอดเวลา อย่าเก็บความทุกข์เอาไว้คนเดียว ตกลงไหม”
ยงยุทธกุมมือเธอไว้ประคองขึ้นจูบด้วยความรัก นาทีนี้หทัยรัตน์รับรู้ได้ถึงความเปราะบางในจิตใจของคนรัก
ooooooo
กลับถึงบ้าน เจอนางแย้มรออยู่อย่างกระวนกระวาย พอเจอหน้าก็ถามทันทีว่าไปไหน กลับมาเสียดึก บอกว่าซื้อของโปรดของเขาไว้รอจนชืดหมดแล้ว ยงยุทธบอกว่าตนไม่หิว กินไม่ลง
นางแย้มรู้สึกถึงน้ำเสียงกระด้างผิดปกติของยงยุทธ ยิ่งเมื่อเห็นสภาพยับเยินและคราบเลือดที่เสื้อก็คาดคั้นว่าโดนใครทำ ไปต่อยกับไอ้หน้าลิงนั่นมาใช่ไหม ยงยุทธบอกว่าเขาชกตนฝ่ายเดียว นางแย้มโวยทันทีว่าให้มันทำฝ่ายเดียวได้ยังไง อีกหน่อยมันก็แย่งแฟนไปหรอก เขาบอกว่าช่างมัน แล้วจะขึ้นบันได พอดีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น นางแย้มปรี่ไปรับสาย ยงยุทธได้ยินเสียงนางพูดอย่างสะใจว่า “เออดี ตายเสียได้ก็ดี อยู่ไปก็เป็นหนามยอกอกกู”
ยงยุทธเจ็บปวดอย่างที่สุด ข่มความรู้สึกเดินขึ้นบันไดต่อ เมื่อเข้าห้องเขาเอากระเป๋าเดินทางมากวาดเสื้อผ้าของใช้รวมทั้งยากินยาพ่น ตลอดจนจดหมายเก่าที่อุไรฝากให้ เขาอ่านไปไม่กี่บรรทัดก็น้ำตาไหลพรากอย่างสำนึกผิด
ขณะนั้นเองนางแย้มมาเรียก เขารีบเอาผ้าคลุมสิ่งของเหล่านั้นไว้ นางแย้มมาเล่าเรื่องไปซื้อแหวนหมั้น เล่าเรื่องอัมพรตายบอกว่าอีกเจ็ดวันจะเผา ใจดีอนุญาตว่าจะไปฟังพระสวดศพตนก็ไม่ว่าอะไร พูดไปพูดมาก็จะไปด้วยจะได้ไปอโหสิกรรมให้คนตายไปที่ชอบที่ชอบแล้วสั่งให้ตามลงไปกินข้าวได้แล้ว
พอนางแย้มออกไป ยงยุทธก็หันมาเก็บข้าวของใส่กระเป๋า โดยไม่รู้ว่าย่าย้อนกลับมายืนดูอยู่ นางถามอย่างโกรธจัดว่า
“แกทำอะไรของแก จะไปไหน ย่าถามว่าแกจะไปไหน!!”
ถึงขั้นนี้แล้ว ยงยุทธบอกตามตรงว่าตนไม่อยากอยู่กับย่าแล้ว ตนรู้ความจริงหมดแล้ว พลางหยิบจดหมายที่อุไรเขียนยื่นให้ดูบอกว่าถ้าตนอ่านมันเสียแต่ตอนได้รับจากน้าอุไร ตนก็คงหูตาสว่างตั้งนานแล้ว นางแย้มกระชากจดหมายไปฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยปาลงพื้น บอกว่ามันเป็นเรื่องโกหกทั้งนั้น ยงยุทธมองจดหมายที่ถูกฉีกทิ้ง บอกย่าว่า
“คุณย่าทำลายมันได้ แต่ยังไงความจริงก็ต้องเป็นความจริง วันนี้ผมไปเจอแม่มาแล้ว” นางแย้มสวนทันควันว่าคนมากชู้หลายผัวอย่างนั้นไปเรียกว่าแม่ได้ยังไง “แม่ผมไม่ใช่คนอย่างนั้น คุณย่าโกหกหลอกลวงผมมาทุกอย่าง ผมไม่มีวันเชื่อคุณย่าอีกแล้ว พอแล้ว พอกันที” นางแย้มเข้ายื้อแย่งกระเป๋าถามว่าทำอะไรของแก “ผมทนอยู่ที่นี่กับคุณย่าไม่ได้แล้ว”
“ย่าไม่ให้แกไปไหนทั้งนั้น แกต้องอยู่กับย่า” นางแย้มเข้ายื้อยุดจนถูกยงยุทธลากถูลู่ถูกังไปกับกระเป๋าด้วย นางแย้มพล่ามลำเลิกบุญคุณ ยงยุทธตอบโต้ว่า ตอนนั้นถึงไม่มีย่าตนก็ยังมีแม่ ขอร้องให้ปล่อยตนไปเถิดอย่าให้ต้องรังเกียจคุณย่ามากไปกว่านี้เลย
นางแย้มร้องกรี๊ดโกรธจัด ขุดคำก่นด่าสารพัด ลำเลิกข้าวทุกเม็ดน้ำทุกหยดที่ป้อน แล้วไล่ให้ไสหัวไปเลย ไปแล้วอย่ากลับมาให้เห็นหน้าอีก ทั้งยังสาปแช่งให้ฉิบหายจนตายก็ไม่มีวันพบความสุขความเจริญ
แต่พอยงยุทธขึ้นรถขับออกไปจริงๆ นางแย้มก็ตะเกียกตะกายจะตามไปยื้อยุดไว้ ยงยุทธมองจากกระจกส่องหลังเห็นสภาพน่าสมเพชของย่าแต่ก็บอกตัวเองต้องเข้มแข็ง ไม่อย่างนั้นก็จะไม่มีวันหลุดพ้นจากพันธนาการของย่าได้เลย
ระหว่างขับรถไป ยงยุทธนึกถึงคำสั่งเสียของอัมพรที่ว่าให้รักย่าให้มากๆ ยงยุทธปวดร้าวสะท้านใจรู้ตัวว่าไม่มีทางทำได้ ตัดใจขับรถไปร้องไห้ไป น้ำตาท่วมทั้งผู้อยู่และผู้ไป...
นางแย้มอาละวาดจนบ้านเละเทะ พอประยูร สุดากับลูกกลับมา ก็ฟ้องประยูรว่ายงยุทธไปแล้ว ฟูมฟายว่าตนประเคนให้ยงยุทธทุกอย่างแต่ยังทำอย่างนี้กับตนได้ลงคอ ด่ายงยุทธ ไอ้เนรคุณ
ประยูรไปดูที่ห้องยงยุทธเห็นว่าเขาไม่ได้เอายาไปเลย บอกแม่ว่าเดี๋ยวก็คงมา ไปไหนได้ไม่ไกลหรอก
สุดาที่แอบสะใจอยู่ลึกๆ ที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน แต่ก็เสแสร้งทำเป็นปลอบใจนางแย้มว่าประยุทธก็คงแค่ทำขู่เพราะคนอย่างยงยุทธทำอะไรไม่เป็นถ้าไม่มีคุณแม่คอยทำให้ไม่มีทางอยู่รอดได้แน่ พะยอมถามแม่ว่ามีเรื่องอะไรกัน ก็ถูกนางแย้มแว้ดใส่ทันทีหาว่าพะยอมตีหน้าเซ่อทั้งที่ตัวเองเป็นคนสาระแนบอกยงยุทธเองใช่ไหม ฟูมฟายไม่เลิกว่า
“มันเวรกรรมอะไรของกู มีแต่ลูกหลานอกตัญญู เห็นคนอื่นดีกว่าแม่ ดีกว่าย่าของตัวเอง กูอยากตาย...กูอยากตาย...”
ooooooo
ระพีพรรณได้รับโทรศัพท์แจ้งว่ายงยุทธหนีออกจากบ้านไปแล้ว เธอลำบากใจที่จะบอกข่าวนี้แก่แม่และยาย แต่เป็นเรื่องที่ไม่บอกไม่ได้ เมื่อระพีพรรณบอก ทั้งสองตกใจมาก นางอ่ำถามว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้
“ท่าทางจะทะเลาะกับย่าเขาอย่างแรง” ระพีพรรณบอก
“มันถึงเวลาที่คนอย่างอีแย้มมันต้องรับกรรมที่มันเคยทำเอาไว้ต่างหากแม่ มันทำคนอื่นต้องเจ็บมามาก ถึงคราวของมันบ้างล่ะ รสชาติของการต้องถูกพรากของรักไปจากอก มันเป็นยังไง มึงได้ซึ้งแก่ใจแล้ว อีแย้ม” อุไรพูดอย่างสะใจ
เมื่อหทัยรัตน์รู้จากระพีพรรณในเช้าวันรุ่งขึ้น เธอตกใจและเป็นห่วงยงยุทธมาก ถามว่ารู้ไหมว่าเขาไปไหน
“อีกสักพัก คนเดียวที่เขาน่าจะติดต่อกลับมา ก็คือตัวเองน่ะแหละ”
หทัยรัตน์นึกถึงเมื่อค่ำวานที่มาส่งยงยุทธที่รถได้ยินเขาพูดแปลกๆ และยังประคองมือตนขึ้นหอมด้วย คิดแล้วใจไม่ดี ภาวนาขออย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย บอก
ระพีพรรณว่า เมื่อวานยุทธเขาพูดบางอย่างเหมือนบอกลา
“ตัวเองอย่าเพิ่งคิดมากอย่างนั้นสิ มันคงไม่เลวร้ายอย่างนั้นหรอก” ระพีพรรณปลอบใจเพื่อนรักทั้งที่ตัวเองก็ใจไม่ดี
ooooooo
หลังจากไปช่วยกันนำศพอัมพรออกจากห้องดับจิตที่โรงพยาบาลเพื่อไปวัดแล้ว หทัยรัตน์ไปที่ธนาคารเพื่อติดตามเรื่องยงยุทธ แล้วเธอก็ยิ่งใจไม่ดี เมื่อรู้จากเจ้าหน้าที่ว่าวันนี้ผู้จัดการคงไม่เข้าเพราะโทร.เข้ามาลาพักร้อนแต่เช้าโดยใช้สิทธิ์ทั้งหมดที่มี และเกรงว่าจะไม่กลับมาทำงานที่นี่อีก เพราะหลังจากโทร.มาลาพักร้อนแล้วไม่นานก็โทร.มาอีก แจ้งว่าขอลาออกกับทางสำนักงานใหญ่เรียบร้อยแล้ว
หทัยรัตน์กลับไปเล่าให้ระพีพรรณฟังที่วัด เธอร้องไห้เสียใจที่ยงยุทธทำเหมือนไม่ได้รักตน ไม่แคร์ความรู้สึกของตนเลยแม้แต่น้อย
“ให้พ้นสักสองสามวัน อะไรๆน่าจะดีขึ้นนะรัตน์”
“คนเราถ้าไว้เนื้อเชื่อใจกัน เรื่องแบบนี้ทำไมไม่มาปรึกษากัน ไอ้ที่เพิ่งขอแต่งงานมันเป็นแค่เรื่องโกหกหลอกลวงใช่ไหม” หทัยรัตน์ร้องไห้จนระพีพรรณต้องกอดปลอบ
อุไรจุดธูปไหว้ศพอัมพร ขอทั้งอัมพรและประยงค์ให้ช่วยดลใจยงยุทธอย่าคิดทำร้ายตัวเองเลย ช่วยเขาด้วยเพราะสงสารหมอรัตน์
นอกจากจะโศกเศร้ากับการจากไปของอัมพรแล้วยังต้องห่วงกังวลกับการหนีออกจากบ้านของยงยุทธ ทำให้แต่ละคนต่างเครียดกินไม่ได้ อุไรกินอะไรไม่ลง บอกทวีที่เข้ามาขอให้กินอะไรบ้างว่า
“ถึงพี่อัมพรเขาจะทุกข์เพราะยงยุทธมาตลอดชีวิตเขา แต่อย่างน้อย ก่อนสิ้นลม เขาก็ยังได้กอดได้จูบลูกรักของเขา...ฉันดีใจที่สุดก็ตรงนี้”
ทันใดนั้น เสียงอุบาทว์ของนางแย้มก็แว้ดเข้ามาด่าอุไรว่าผีอัมพรไม่ทันเผาก็มาอ่อยผัวเขาแล้ว อุไรที่กำลังเศร้าเดือดขึ้นมาทันที ตวาดถามว่าใครเชิญมา ทวีบอกอุไรให้ใจเย็นๆ
“ใจเย็นกะอีนี่น่ะเหรอ พี่ก็เห็นพี่ก็ได้ยิน ยิ่งแก่ปากมันก็ยิ่งกว่าส้วม มึงไสหัวไปเลยนะอีแย้ม” นางแย้ม ตวาดว่าเอาหลานตนไปซ่อนที่ไหนเอาคืนมาเดี๋ยวนี้ นางอ่ำถามว่าเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า
“มึงไม่ต้องมาตีหน้าซื่อ อีอ่ำมึงแหละตัวดี ทำเป็นถือศีลกินเจ กูว่ามึงน่ะแหละต้นความคิด หน็อย จะดัดหลังกูเรอะ เอาหลานกูคืนมา!” นางแย้มเงื้อฝ่ามือจะเข้าไปตบ อุไรปราดไปขวางชี้หน้าว่าถ้าทำแม่ตนจะตบให้ฟันปลอมร่วงให้ดู บอกนางแย้มว่าพวกตนไม่รู้ไม่เห็นเรื่องยงยุทธ นางแย้มจะตบอุไร สุดาเตือนสติว่าบนศาลานี่พวกเขาทั้งนั้น สุดาเข้าไปห้าม เลยโดนลูกหลงไปหลายดอก นางแย้มที่บ้าเลือดเข้าไปผลักอุไร โดนอุไรผลักกลับจนล้มลง
อุไรสมน้ำหน้านางแย้มที่ยงยุทธหนีไป บอกว่าถึงคราวที่นางต้องเป็นฝ่ายตามยงยุทธแล้ว เพราะพรากลูกพรากแม่เขามาสามสิบปี จะได้รู้รสชาติบ้างล่ะ สะใจจริงๆ เห็นนางแย้มกรี๊ดอย่างคลุ้มคลั่งก็เย้ยว่า
“ต่อให้มึงพลิกแผ่นดินหา กูบอกได้เลยว่ามึงไม่มีวันได้เจอหน้าหลานมึงหรอก”
นางอ่ำขอให้อุไรพอได้แล้ว บอกนางแย้มให้ตั้งสติให้ดียงยุทธคงไม่ไปไหนไกลหรอก นางแย้มตะเกียกตะกาย ลุกขึ้นมาด่าต่อทันทีว่า “มึงไม่ต้องมาสอนกู พวกมึงสมรู้ร่วมคิดกันทั้งนั้น” นางแย้มชี้หน้ากราดไปหมดทุกคน ตะโกนท้าไปถึงอัมพรในโลงศพว่า “อีอัมพร มึงไม่มีทางชนะกูได้หรอก อีคนจัญไร”
นางแย้มพุ่งเข้าทำลายรูปอัมพรบนขาหยั่งจนล้มกระจกแตกกระจาย สุดารีบเข้าไปฉุดนางแย้มที่กำลังบ้าเลือดลากออกไป อุไรพุ่งตามจะลุยแต่ถูกยื้อไว้ เลยได้แต่ด่า “อีแย้ม...อีนรกส่งมาเกิด...อี...”
ท่ามกลางความอลหม่านด่ากันขโมงโฉงเฉงนั้น ธนาประคองรูปแม่ขึ้นอย่างเจ็บปวด พยายามเก็บกดความโกรธเกลียดไว้เต็มกำลัง ทำให้เขายิ่งสงสารแม่คิดว่า... ทั้งชีวิตที่ผ่านมาของแม่คงต้องพบเจออะไรมามากมาย...
ooooooo
สุดาพานางแย้มออกมาถึงลานจอดรถ นางก็ยังเดือดพล่านบ้าคลั่งตะโกนให้ปล่อย สุดาบอกว่าบนนั้นมีแต่พวกนั้นถ้าถูกรุมจะทำอย่างไร
“กูไม่กลัว ลูกหลานกูเป็นตำรวจ กูจะจับมันเข้าคุกให้หมดเลย”
พอดีปวริศกับประยูรมาถึง ทั้งสองรีบลงจากรถวิ่งมาหา สุดาถามว่าทำไมเพิ่งมา เมื่อกี๊เกือบเอาตัวไม่รอด เลยโดนประยูรตำหนิว่ารู้ว่าจะมีเรื่องแล้วพาแม่มาทำไม สุดาบอกว่าไม่พามาก็โดนด่า นางแย้มเห็นประยูรมาก็สั่งลั่น
“ไอ้ยูร มึงเข้าไปสั่งสอนพวกมันเดี๋ยวนี้เลย มันเอาหลานกูไปซ่อน กูจะฆ่าพวกมัน” ประยูรบอกให้แม่สงบสติอารมณ์หน่อย ปวริศก็บอกให้คุณย่าใจเย็นๆ ก็ถูกนางแย้มด่ากราดว่า “พวกมึงกลายเป็นพวกมันไปหมดแล้ว พวกมึงทรยศกู!”
ประยูรถามสุดาว่ารถอยู่ไหนแล้วตัวเขากับปวริศก็ช่วยกันล็อกนางแย้มที่ดิ้นพราดๆ ไปที่รถเพื่อพากลับบ้าน
เมื่อปวริศกับระพีพรรณมาเจอกันอีกมุมหนึ่งนอกศาลา ระพีพรรณบ่นว่าแรงด้วยกันทั้งสองฝ่ายมันจะเหลืออะไร
“ปาฏิหาริย์ต้องมีจริงสิ” ปวริศเชื่ออย่างนั้น ระพีพรรณถามว่าเขายังจะหวังอะไรอีก ปวริศพูดอย่างหนักแน่นมั่นคงว่า “บอกกี่ครั้งกี่หนแล้ว มันต้องผ่านไปได้สิ”
“ตัวเองกลับไปก่อนเถอะ อย่าเข้าไปในงานเลย แม่เค้ายังเป็นพายุอยู่” ปวริศถามว่าไหนบอกว่าป้าอัมพรขอร้องเรื่องของเราแล้วไง “แม่เค้าน่ะไม่เท่าไหร่ ย่าตัวเองต่างหากที่น่ากลัวกว่า”
“เค้าไม่ใช่ยงยุทธนะ ย่าไม่มีสิทธิ์มาก้าวก่ายชีวิตเค้าหรอก” ปวริศพูดอย่างเชื่อมั่นในตนเองจนระพีพรรณมองหน้า
ในงานสวดคืนนี้ ธนาถามหทัยรัตน์ว่ายงยุทธติดต่อมาบ้างไหม เธอส่ายหน้า พูดอย่างเจ็บปวดน้ำตาคลอว่า
“เขาทำเหมือนเราไม่มีตัวตน ไม่มีความสำคัญอะไรต่อตัวเขาเลย”
“เรื่องย่ามันคงเป็นเรื่องใหญ่กว่าอะไรทั้งนั้น ให้โอกาสมันอีกสักพัก เดี๋ยวมันก็คงโทร.หารัตน์เอง มันจะมัวจมอยู่แต่กับเรื่องของมันจนลืมนึกถึงจิตใจคนอื่นที่รักมันได้ยังไง ถ้ามันไม่นึกถึงตรงนี้บ้าง มันก็ใจดำเกินไปแล้ว” ธนากุมมือหทัยรัตน์ปลอบใจ
เป็นเวลาที่ยงยุทธอยู่ที่ร้านข้าวแกง ข้าวที่สั่งมาแล้ว ยงยุทธนั่งดูทีวีอยู่เตรียมจะกิน แต่พอเห็นข่าวบันเทิงรายงานว่า
“เมื่อวานนี้เป็นงานสวดพระอภิธรรมศพคุณแม่อัมพรของพระเอกดังธนาเป็นคืนที่สามแล้ว แขกเหรื่อในวงการบันเทิงไปร่วมงานกันอย่างมากมาย ทางรายการของเราขอร่วมแสดงความเสียใจกับความสูญเสียครั้งนี้ของธนาด้วยนะคะ”
ดูข่าวแล้วยงยุทธวางช้อน กินไม่ลง หยิบเงินค่าอาหารวางบนโต๊ะแล้วลุกเดินออกไป
นางแย้มก็กินข้าวไม่ลงมาสองวันแล้ว พอสุดาติงอย่างเป็นห่วงก็พูดสะบัดใส่ว่าไม่ต้องมาสนใจ ตนอยากตายให้พ้นๆไป ดูซิว่ายงยุทธจะกลับมาดูใจไหม ได้ยินเสียงรถผ่านหน้าบ้านก็ผวาไปดูคิดว่ายงยุทธกลับมา พอผิดหวังก็สั่งให้เอาโทรศัพท์มาตนจะโทร.หายงยุทธ ลลดาบอกว่าตนโทร.จนไม่รู้จะโทร.อย่างไรแล้ว คิดว่ายงยุทธคงทิ้งเบอร์นี้ไม่ใช้แล้ว
“ไอ้คนใจดำ ไอ้คนไม่รู้บุญคุณคน ใจคอมึงจะทิ้งกูไว้คนเดียว ไอ้คนอกตัญญู” นางแย้มพล่ามด่าไม่หยุด
ooooooo
ในวันเผาศพอัมพร ทุกคนรอคอยการมาของยงยุทธใจจดจ่อแล้วก็สิ้นหวังเมื่อถึงเวลาเผาจริงแล้วเขาก็ยังไม่มา
ใช่ว่ายงยุทธจะไม่ใยดี ขณะควันจากปล่องเมรุลอยเอื่อยๆขึ้นไปบนท้องฟ้านั้น...มือถือของหทัยรัตน์ดังขึ้น พอดูหน้าจอ เธอกดรับอย่างตื่นเต้น เธอระดมถามว่าเขาอยู่ไหน ทำไมเพิ่งติดต่อกลับมา รู้ไหมว่าทุกคนเป็นห่วง สบายดีใช่ไหม
“สบายดี แค่ยุทธยังไม่พร้อมจะเจอใคร” เสียงตอบเนือยและล้า หทัยรัตน์ถามว่าแม้แต่ตนหรือ ยงยุทธได้แต่ขอโทษแล้วนิ่งไป ปล่อยให้หทัยรัตน์ซักถามอย่างเป็นห่วงบอกเล่าถึงความเป็นห่วงของทุกคน เขาเงียบจนเธอถามว่าฟังอยู่หรือเปล่า พอเขาบอกว่าฟังอยู่ เธอขอร้อง “ไม่ว่ายุทธอยู่ไกลขนาดไหนส่งกระแสจิตมานะ ช่วยกันส่งคุณป้าขึ้นสวรรค์นะยุทธ”
ยงยุทธน้ำตาร่วงมือที่ถือโทรศัพท์สั่นระริก เขากดปิดเพราะไม่อยากให้หทัยรัตน์ได้ยินเสียงร้องไห้ของตน
จนเมื่อกลับถึงห้องนอนแล้ว หทัยรัตน์เฝ้ารอโทรศัพท์จากยงยุทธว่าจะโทร.มา แล้วเขาก็โทร.มาจริงๆ คำแรกที่เอ่ยอย่างเจ็บปวดคือ “ยุทธขอโทษ” หทัยรัตน์พยายามหว่านล้อมให้เขากลับมาเพราะทุกคนเป็นห่วงมากและกลับไปทำงานเสียเพราะยังไม่หมดเวลาที่ลาพักร้อน
“ยุทธคงไม่กลับไปหรอก ยุทธไม่เคยอยากทำงานธนาคาร รัตน์ก็รู้ที่ต้องฝืนทำก็เพราะคุณย่าอยากให้ทำเท่านั้น ยุทธคงจะไปหางานอื่นทำ” หทัยรัตน์ถามว่าแล้วงานแต่งงานของเราล่ะ เขาย้ายงาน ย้ายที่อยู่ แล้วเราจะอยู่ด้วยกันอย่างไร
ผลคือปลายสายเงียบ ไม่ว่าหทัยรัตน์จะขอร้องให้ตอบอย่างไรเขาก็ยังคงเงียบอยู่อย่างนั้น
หทัยรัตน์บอกว่าตอนนี้คุณย่าแย่มากกินไม่ได้นอนไม่หลับ ถามว่า “ยุทธจะฆ่าคุณย่าให้ตายทั้งเป็นรึไง” เขาก็ยังเงียบ “ยุทธฟังรัตน์อยู่รึเปล่า ถ้าฟัง ยุทธต้องกลับบ้านมาคุยกัน ปัญหาทุกอย่างแก้ไขได้ เอาเรื่องงานก่อน เรื่องคุณย่าค่อยว่ากัน”
ความเงียบของยงยุทธทำให้หทัยรัตน์ว้าวุ่นใจเพราะเดาใจเขาไม่ออก จนสุดท้ายบอกว่าวันนี้ทุกคนเสียใจมากที่เขาไม่มางาน เขาจึงตอบอย่างเย็นชาว่า “รัตน์...ถึงยุทธไปมันก็ไม่มีความหมายอะไร” เมื่อถูกหทัยรัตน์หว่านล้อมมากเข้า เขาตอบอย่างสิ้นหวังว่า “นครสวรรค์ไม่มีที่ให้ยุทธยืนแล้วนะรัตน์ แล้วยุทธจะไปทำไม เขามีกันสองคนพี่น้อง เขาเป็นครอบครัวนะรัตน์ ยุทธเป็นคนอื่นสำหรับพวกเขามานานแล้ว ยุทธอยากให้รัตน์เข้าใจยุทธด้วย”
เมื่อหว่านล้อมอย่างไรก็ไม่ได้ผล หทัยรัตน์ขอร้องว่าเขาไม่อยากกลับนครสวรรค์ก็ขอให้รับปากได้ไหมว่าจะโทร.มาทุกวัน ตนจะคอยโทรศัพท์จากเขา ยงยุทธน้ำตาร่วงเขาไม่ตอบ แข็งใจปิดโทรศัพท์ดึงสายสปีกโฟนออกจากหู เปิดกระจกรถโยนโทรศัพท์ออกนอกรถจนแตก ปิดกระจกรถแล้วขับออกไปบนถนนที่ทอดยาวไปในความมืด...
หทัยรัตน์มองโทรศัพท์ในมือน้ำตาร่วง...
ยงยุทธตัดสินใจแล้วกับอนาคตของตัวเอง เขาบ่ายหน้าไปยังวัดป่าต่างจังหวัดที่ร่มครึ้มด้วยต้นไม้และป่าที่สงบเงียบ เมื่อไปถึงวัดก็นั่งซึม จนพระในวัดมาถามว่ามีอะไรจะให้ช่วยไหมโยม เขาบอกว่าไม่มี ตนไม่เป็นไร ขอบคุณ แล้วไหว้ลา
ooooooo
แม้อุไรจะรับปากกับอัมพรเรื่องความรักของระพีพรรณกับปวริศ แต่ก็ยังคอยกีดกันขัดขวางอ้างว่าน่าเกลียดบ้าง ชาวบ้านจะนินทาเอาบ้าง
ส่วนนางแย้มความแค้นความเสียใจบั่นทอนจนร่างกายทรุดโทรม ผมหงอกทั้งหัว ทุกวันก็เพ้อหาและด่ายงยุทธที่ทิ้งตนไป พะยอมที่ดูแลแม่อยู่ได้แต่ถอนใจกับอารมณ์ที่รุนแรงและผันผวนของแม่ แต่ก็บอกลือพงษ์ว่าแม่ด่ายังไงก็ต้องทนเพราะแม่ยังไม่ยอมรับความจริง และยังไงก็เป็นแม่
นางแย้มให้พะยอมโทร.หาหทัยรัตน์ เธอบอกว่าเย็นๆ เลิกงานแล้วจะเข้าไปหา พอระพีพรรณรู้ก็บ่นว่าเรื่องทั้งหมดอยู่ที่ยงยุทธคนเดียว หทัยรัตน์รำพึงกับเพื่อนรักว่า
“ถ้าเขาตัดคุณย่าเขาได้ เขาก็อาจจะตัดรัตน์ออกไปจากชีวิตเขาได้เหมือนกัน ใช่ไหมระพี”
ในสถานการณ์นี้ สุดาทำทีเห็นใจดูแลนางแย้ม แต่คอยหาโอกาสที่จะฉกฉวยผลประโยชน์และทรัพย์สิน วันนี้ก็ทำท่าจะหยิบกระเป๋าใส่เครื่องเพชรของนางแย้ม ถูกจับได้ก็บอกว่าจะเอาสมุดไปเก็บดอกเบี้ยเงินกู้ นางแย้มคว้ากระเป๋าไปหยิบสมุดโยนให้ กระหนาบว่า “อีหน้าไหนมันคิดจะเบี้ยวกู มึงบอกมันไปเลยว่ากูเอาถึงตายแน่...
สั่งลูกชายมึงด้วย ถ้ายังขืนไปเดินตามตูดลูกสาวอีอุไร พวกมึงจะไม่ได้อะไรจากกูเลยแม้แต่สตางค์แดงเดียว”
“แหมคุณแม่ก็...ตาปวริศมันก็หว่านเสน่ห์ของมันไปทั่วแหละค่ะ มันรู้ว่ายังไงหลานสาวยัยอ่ำก็ไม่มีทางได้มาเป็นหลานสะใภ้คุณแม่หรอก”
นางแย้มโบกมือไล่สุดาเพลียๆอย่างรำคาญแล้วล้มตัวนอนต่อ สุดาก้มเก็บสมุดมองนางอย่างสมเพช
ooooooo
เมื่อหทัยรัตน์ไปหานางแย้ม นางพูดดีด้วยอย่างเมตตาแล้วปรับทุกข์เรื่องยงยุทธ หทัยรัตน์ปลอบว่าอย่าคิดมากตนเชื่อว่ายังไงยงยุทธเขาก็ต้องกลับมา
นางแย้มถามว่าเธอรู้ใช่ไหมว่ายงยุทธอยู่ที่ไหน พอหทัยรัตน์บอกว่าไม่รู้ นางก็เกรี้ยวกราดทันที ด่าว่าโกหก ขึ้นมึงขึ้นกู จนหทัยรัตน์ตกใจ พอนางแย้มรู้สึกตัวก็ขอโทษ ขอร้องว่าถ้าเจอยงยุทธก็ฝากบอกด้วยว่าย่าเสียใจ อย่าทำอย่างนี้กับย่าเลย ย่าใจจะขาดแล้ว สงสารย่าบ้าง หทัยรัตน์รับปากทั้งที่เชื่อว่าคงไม่มีโอกาสนั้น
ปวริศใจชื้นที่อุไรรับปากกับอัมพรว่าจะไม่กีดกันความรักของตนกับระพีพรรณ แต่เวลาผ่านไปเพียงไม่นาน อุไรก็แผลงฤทธิ์ บอกว่าตนรักษาคำพูดกับอัมพรกำลังหาฤกษ์อยู่แต่ตนก็ต้องรักษาเรื่องส่วนตัวของตัวเองเหมือนกัน หวังว่าเขาคงเข้าใจ ปวริศถามว่าได้ฤกษ์เมื่อไร
“ฉันเองก็บอกไม่ได้ว่าฤกษ์ดีน่ะเมื่อไหร่แน่ แต่อยากจะแนะนำว่าไปหาผู้หญิงคนอื่นที่เหมาะสมกว่าลูกสาวฉันจะดีกว่าอย่ามารอฤกษ์จากฉันเลย จะเสียเวลาเปล่า” ปวริศบอกว่านานแค่ไหนตนก็จะรอ “อือ...เข้าใจอะไรง่ายดี”
“เมื่อไหร่ครับ ฤกษ์ดีที่คุณน้าว่า” ปวริศถามอย่างมีความหวัง
“ทันทีที่อีผู้หญิงแก่ที่ชื่อว่าอีแย้มตายแล้วน่ะแหละ”
ปวริศตัวชาวูบ ความเกลียดชังพุ่งขึ้นอย่างแรง ในขณะที่อุไรดูอาการของปวริศแล้วยิ้มเย็น...อิ่มเอมใจ
กลับถึงบ้าน ประยูรกำลังมีปากเสียงกับสุดาที่ไม่ดูแลเรื่องอาหารให้ เห็นปวริศกลับมาก็ถามว่าไหนว่าวันนี้ไม่กลับมากินข้าวบ้านไง เขาบอกว่าเซ็งกลับมากินข้าวบ้านดีกว่า สุดายุว่าผู้หญิงอื่นมีมากมายทำไมต้องปักใจอยู่แต่กับผู้หญิงบ้านโน้น ปวริศถามว่าแม่รู้ได้ยังไงว่าเป็นเรื่องนี้ สุดาพูดอย่างรู้ดีว่า “แกมันก็เสียอยู่เรื่องนี้เรื่องเดียวน่ะแหละ”
“มันอาจจะถึงเวลาที่ผมต้องกลับมาคิดใคร่ครวญใหม่แล้วก็ได้ครับ”
“กว่าจะคิดได้ปรนเปรอมันจนหมดเงินหมดทองไปเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้” สุดาเหน็บ เห็นประยูรลุกพรวดออกไปถามว่าจะไปไหน เขาตอบเซ็งๆว่าไปหากินก๋วยเตี๋ยวปากซอยเอาก็ได้
ooooooo










