ตอนที่ 1
ปี 2515 ณ หมู่บ้านหนองนมวัว จังหวัดนครสวรรค์ คืนนี้ฝนฟ้าคะนองเป็นระยะ สายฝนเทลงมาหนาเม็ด ลมกระโชกแรงจนหน้าต่างถูกกระแทกปิดปัง
นางแย้ม พื้นเพเป็นชาวนาที่นี่ มีนาเยอะ มีลูกชายสองคนคือประยงค์กับประยูร มีลูกสาวสุดท้องคือพะยอม
นางแย้มกำลังย่างปลาร้าดุกบนเตา ลุกไปปิดหน้าต่างอย่างหงุดหงิด คว้าผ้าขี้ริ้วเช็ดพื้นที่ถูกฝนสาดเข้ามา พอหันมองอีกที ปลาร้าดุกที่ย่างไฟอยู่ส่งกลิ่นเหม็นไหม้เสียแล้ว
“โธ่...ไอ้บ้า” นางแย้มสบถประสาคนขี้หงุดหงิด ขว้างผ้าขี้ริ้วทิ้งพุ่งไปที่เตา เจ้ากรรม! เท้าเตะเขียงที่ซอยใบมะกรูดกับหอมแดงไว้ เท้าถูกมีดทำครัวบาดเลือดปริ่มทันที “ปัดโธ่โว้ย มันอะไรกันนักหนาวะ วันนี้” แย้มยิ่งหัวเสียทั้งเจ็บเท้าทั้งเสียดายปลาดุกที่ไหม้เกรียม หันเห็นประยงค์ลูกชายคนโตที่แต่งงานกับอัมพรลูกสาวตาขันกับนางอ่ำโผล่มาถามแม่ว่า
“พ่อแกยังไม่กลับเข้ามาอีกเหรอแม่” แย้มตอบสะบัดๆอย่างไม่หายหงุดหงิดว่า เออ...หายเงียบไปเลย ประยงค์บ่นว่า “ฟ้ารั่วอย่างนี้มาสองวันแล้ว ขืนยังตกไม่ลืมหูลืมตาอีกวัน นาล่มแน่ ข้าวกำลังตั้งท้องเสียด้วย”
“เอ็งออกไปดูพ่อเอ็งก่อนไป ฟ้าฮึ่มๆยังงี้น่ากลัว ยังไงก็กลับมาบ้านก่อน เรื่องน้ำเรื่องนาเอาไว้ทีหลัง ไป... รีบไป”
ประยงค์รับคำแม่แล้วรีบออกไป นางแย้มยังเช็ดเลือดแผลที่เท้าอย่างหงุดหงิด ที่นาของนางแย้มกับตาเทืองพ่อของประยงค์ น้ำเจิ่งท่วมกอข้าวแล้ว ตาเทืองเงื้อจอบสุดแขนขุดดินบนคันนาให้น้ำที่ท่วมนาตนไหลทะลักเข้าไปในนาข้างเคียง ตาเทืองขุดตรงนี้แล้วไปขุดตรงโน้นเร่งระบายน้ำแข่งกับฝนที่กระหน่ำลงมา ตาเทืองขุดคันนาเอาเป็นเอาตาย เพื่อกู้ข้าวในนาตัวเองให้รอดจากถูกน้ำท่วมตายที่บ้านนางอ่ำชาวนาที่นี่เช่นกัน มีที่นาพออยู่พอกิน มีลูกสาวสองคนกับตาขันคืออำพรกับอุไร
นางอ่ำยกหม้อข้าวออกจากครัวมาตั้งสำรับ ถามอุไรว่า “ป่านนี้พ่อเอ็งยังไม่กลับมาอีกเหรออุไร”
“ยังเลยจ้ะแม่ พ่อแกคงห่วงนา ถ้าน้ำท่วมหมด ข้าวสักถังก็ไม่ได้”
“ถ้ามันจะท่วมจริงๆ ก็สุดแท้แต่เวรแต่กรรม จะไปทำอะไรได้ เอ็งออกไปตามพ่อเอ็งหน่อยเถอะไป๊”
“โอ๊ย...เดี๋ยวแกก็กลับมาเองแหละแม่” อุไรลุกออกไป นางอ่ำมองสายฝนอย่างเป็นห่วงผัว
ooooooo
ที่นาของนางแย้มกับนางอ่ำอยู่ติดกัน และตา เทืองกับตาขันก็กำลังดูนาของตัวเองที่ฝนกระหน่ำจนข้าวกำลังถูกน้ำท่วม ตาขันเดินมาเห็นน้ำทะลักเข้านาตัวเองก็แปลกใจว่ามาจากไหนเพราะคันนาก็กั้นไว้สูง
“ไอ้สารเลว ใครมันทำยังงี้วะ” ตาขันด่าอย่างเดือดดาลเมื่อเห็นคันนาถูกขุด ปล่อยน้ำทะลักเข้านาตน กำด้ามอีเหรียญ มีดตัดหญ้าต่อด้ามยาวประมาณ 1 เมตร เดินอ้าวไป
“เฮ้ย! ไอ้เทือง เอ็งทำยังงี้ได้ยังไง!” ตาขันตะโกนแข่งกับเสียงฝน ได้ยินตาเทืองตะโกนตอบมาว่าไม่ทำอย่างนี้ข้าวในนาตนก็บรรลัยหมดสิ “อ้าว...แล้วข้าวในนาข้าล่ะ ยังงี้มันเห็นแก่ตัวนี่หว่า”
ตาเทืองเถียงว่าไม่ได้เห็นแก่ตัว แต่เห็นนาของตาขันมีทางระบายน้ำออกจากนาได้ ตาขันฉุนขาดสวนไปว่า
“พุทโธ่ น้ำในเหมืองมันก็เต็มอึ้ดเหมือนกัน จะระบายได้ยังไง มึงมันเห็นแก่ได้” ถูกด่าขนาดนี้แล้วตาเทืองก็ยังก้มหน้าก้มตาขุดคันนาต่อ ตาขันสุดทนตวาด “ไอ้เทือง! มึงต้องเอาดินอุดคันนาเดี๋ยวนี้” ตาเทืองทำหูทวนลมฟันจอบลงไปเปิดคันนาน้ำทะลักพรวดเข้าไปในนาตาขัน “ไอ้เทือง!! หูมึงตึงรึไง!” เสียงตาขันดังยิ่งกว่าฟ้าคำรามอีก
ooooooo
ประยงค์วิ่งฝ่าสายฝนมาสวนกับตาทองถามว่าเห็นพ่อไหม
“เห็นวิ่งไปทางเหนือโน่น ได้ยินว่าจะไปเปิดทางน้ำให้ไหลลงนาพ่อตาเอ็ง เดี๋ยวก็เป็นเรื่อง เอ็งรีบไปดูเถอะ”
บอกแล้วตาทองวิ่งไปทางบ้าน ส่วนประยงค์วิ่งไปที่นาของตนด้วยความเป็นห่วงพ่อ
ที่นาติดกันของตาเทืองกับตาขัน ที่แม้ลูกจะดองกันแต่เรื่องข่มเหงน้ำใจกันขนาดนี้ยอมกันไม่ได้ ตาขันชี้หน้าตาเทืองด่าพลางยื้อยุดกันจนตาเทืองตกคันนา
“ไอ้สันดาน มึงจะอุดคันนาให้กูหรือไม่อุด”
“กูไม่อุดให้โง่หรอกไอ้สัตว์” ตาเทืองด่าพลางปีนกลับขึ้นคันนา ฟาดตาขันด้วยจอบก่อน ตาขันหลบพ้นถีบตาเทืองจนจอบหลุดมือ ตาเทืองเลยชกตาขันแต่ตัวเองเสียหลักล้มลง ตาขันคว้าได้อีเหรียญฟันเข้ากลางหลังตาเทือง ฟันมีดเดียวตาเทืองก็ล้มลงแน่นิ่ง ตาขันยืนหอบมองตาเทืองในความมืดเห็นแน่นิ่งเลือดไหลจนน้ำเป็นสีเลือด
ตาขันตกใจร้องเรียก “ไอ้เทือง...ไอ้เทือง!” เห็นตาเทืองเงียบ ตาขันเชื่อว่าตายแล้วแน่ๆ จากโกรธกลายเป็นตกใจกลัววิ่งหนีไป
ประยงค์วิ่งมาถึงที่นา ทั้งมืดทั้งฝนตก จึงเดินตะโกนเรียกไปตามคันนา ตาขันเห็นประยงค์มาตามพ่อก็ชะงัก ประยงต์ตรงมาถามพ่อตาที่เขาเรียกว่าอาขัน ว่าเห็นพ่อตนไหม ตาขันตกใจวิ่งหนีตามคันนาไปอีกทางหนึ่ง ประยงค์สังหรณ์ใจว่าต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ
ooooooo
ฝ่ายนางแย้มเห็นประยงค์ไปตามตาขันแล้วหายไป ก็ไปบอกให้ประยูรลูกชายคนรองที่กำลังนอนเอกเขนกฟังวิทยุสบายใจอยู่ให้ไปดูพ่อกับพี่ชายว่าทำไมหายไปทั้งคู่ ประยูรเกี่ยงไม่อยากไปอ้างว่าฝนตกอย่างนี้เดี๋ยวเป็นหวัด
“อ้าว...แล้วพ่อกับพี่เอ็งเขาเป็นหวัดไม่เป็นรึไง” นางแย้มฉุน ประยูรเถียงข้างๆคูๆว่าคงไม่เป็นหรอก
ไม่เคยเห็นเขาเป็นอะไรสักที บอกแม่ให้ใจเย็นๆ เดี๋ยวเขาก็กลับมากันเองแหละ พูดหน้าตาเฉยว่า “ฉันง่วงแล้วอยากนอน อากาศอย่างนี้ห่มผ้านอนกำลังสบายเลย” ว่าแล้วก็นอนต่อ
“ไอ้ลูกเวร” นางแย้มด่าอย่างเคยปากแล้วออกไปปิดประตูปัง เดินไปเรือนประยงค์ที่ปลูกแยกไปแต่มีชานเดินถึงกันได้ เห็นอัมพรกับพะยอมกำลังดูแบบเสื้อในนิตยสารกันอยู่ก็ฉุนกึก “วันๆ ไม่ทำอะไร ดูแต่แบบเสื้อ”
พะยอมบอกว่าตนมาช่วยอัมพรสอยผ้าอ้อม นางแย้มถามว่าแล้วไอ้ทิด หมายถึงประยงค์ ยังไม่กลับมาหรือ อัมพรบอกว่ายังตนก็เป็นห่วงอยู่เหมือนกัน นางแย้มถามว่า “แล้วกับข้าวกับปลาผัวทำแล้วหรือยัง”
“เสร็จแล้วจ้ะ” สิ้นเสียงอัมพร ประยงค์ก็ตะโกนเรียกแม่...แม่...มาแต่ไกลพร้อมเสียงชาวบ้านที่ร้องเรียกมาด้วย
นางแย้มรีบออกไป พะยอมกับอัมพรที่ท้องแก่อุ้ยอ้ายเต็มทีแล้วตามออกไปด้วย พอเห็นหน้าแม่ประยงค์ก็พูดไม่ออก ได้แต่บอกว่า “แม่...พ่อแก...” นางแย้มวิ่งลงไปที่แคร่เห็นศพตาเทืองนอนซีดอยู่ โผเข้ากอดเขย่าตัวเรียก “ตาเทือง...เทือง...” พอเห็นเลือดเปื้อนมือตัวเองก็แผดเสียง
“ใคร! ใครมันฆ่าผัวกู ใครมันฆ่าพ่อมึงไอ้ยงค์ บอกกูมา!” แล้วตะโกนเรียกพลางมองหา “ไอ้ขัน...ไอ้ขันแล้วตอนนี้มันอยู่ไหน...มันอยู่ไหน”
“มันหนีไปแล้วแม่แย้ม” ชาวบ้านคนหนึ่งบอก อัมพรที่มายืนคาอยู่ที่หัวบันไดแทบเป็นลม...
ooooooo
นางอ่ำรู้ข่าวถึงกับช็อก ส่วนอุไรพร่ำพูดแต่ว่าไม่จริง ฉันไม่เชื่อ ชาวบ้านยืนยันว่าประยงค์เห็นตาขันถือมีดวิ่งหนีออกไป นางอ่ำถามว่าแล้วตาขันไปไหน ชาวบ้านคนนั้นคาดว่าตาขันคงกลัวเลยหนีเอาตัวรอดไปก่อน
ขณะที่ประยงค์กำลังตอกโลงเตรียมนิมนต์พระมาสวดนั้น นางแย้มอยู่ในครัวกำลังเผาพริกเผาเกลือสาปแช่งตาขัน นางแย้มแช่งให้สารพัดภัยพิบัติมาตกแก่ตาขันในวันนี้วันพรุ่ง โยนพริกสาดเกลือใส่เตาเผาไปปากก็สาปแช่งไปไม่ได้หยุด
ตาขันถือพร้าอีเหรียญหลบอยู่กลางท้องนา ถูกฟ้าผ่าตายไปในเวลาไล่เลี่ยกับตาเทือง ชาวบ้านวิ่งมาบอกนางอ่ำที่เรือนว่า ตาขันถูกฟ้าผ่านอนตายเกยอยู่หัวคันนาทางโน้น นางอ่ำเป็นลมแล้วเป็นลมอีก ส่วนนางแย้มพอรู้ว่าตาขันถูกฟ้าผ่าตายก็โพล่งว่า
“ดี...สาแก่ใจกูนัก!”
ชาวบ้านที่มาช่วยกันต่อโลงศพตาเทืองเงียบงันกันไปหมด นางแย้มเดินมาที่ศพตาเทืองพูดอย่างสะใจว่า
“กูเผาพริกเผาเกลือยังไม่ทันหมดเตา กูก็ได้ข่าวดี แล้ว เอ็งเห็นไหมตาเทือง ไอ้ขันมันไม่ตายดีเพราะคำสาปแช่งของกู เอ็งจะไม่ตายเปล่าหรอก ลูกเมียมันจะต้องฉิบหายวายวอดตกไปตามกัน เอ็งคอยดู!”
ประยงค์ติงว่าแม่จะอาฆาตจองเวรไปทำไม ก็ถูกตวาดว่า “พ่อเอ็งตายทั้งคนนะไอ้ยงค์ มึงเป็นลูกประสาอะไร ไม่รู้จักเจ็บแค้นแทนพ่อแม่”
ประยงค์ ประยูร และพะยอมเห็นถึงความพยาบาทอาฆาตของแม่ก็พูดอะไรไม่ออก
ฝ่ายนางอ่ำเสียใจที่ตาขันฆ่าตาเทืองยังไม่ทันสร่าง ก็ต้องมาถูกซ้ำเติมด้วยข่าวตาขันถูกฟ้าผ่าตายอีก ร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือด เป็นลมแล้วเป็นลมอีก นางอ่ำร้องไห้ฟูมฟายจนอุไรบอกแม่อย่าทำอย่างนี้เลย
อัมพรเดินเข้าไปจะปลอบใจแม่ พลันก็เจ็บท้องคลอดกะทันหัน เพิ่มความวุ่นวายในวันนี้จนปั่นป่วนไปหมด ไหนจะจัดการเรื่องคนตาย ไหนจะเรื่องคนจะเกิด นางแย้มแค้นจนแทบคลั่งพาลหาเรื่องไปหมด แม้แต่ประยงค์จะไปดูอัมพรที่กำลังเจ็บท้องคลอดก็ไม่ให้ไป หาว่าเห็นเมียดีกว่าพ่อ
อุไรมาบอกข่าวอัมพรเจ็บท้องคลอดก็ถูกนางแย้มไล่ตะเพิดว่า “ก็ให้แม่มึงจัดการไปสิอีไร พวกกูกำลังยุ่งกันอยู่ มึงกลับไปเลย” สั่งประยงค์ที่ละล้าละลัง “ไปต่อโลงพ่อเอ็งให้เสร็จ ทางนั้นมันไม่ตายง่ายๆหรอก” พอประยงค์จะท้วงติงก็ถูกขัดทันที “มึงจะกล้าขัดคำสั่งกูเรอะ!” ประยงค์เลยจ๋อย อุไรสะบัดหน้าจะไปก็ถูกนางแย้มด่าส่งท้ายว่า
“มึงบอกแม่มึงด้วยอีไร งานนี้ไม่จบง่ายๆหรอกโว้ย บ้านมึงกับบ้านกูยังไงต้องเจอกันอีกไม่น้อย”
ooooooo
ประยงค์เป็นห่วงอัมพร เมื่อแม่ไม่ให้ไปดูแลจึงจะหนีออกไปทางหลังบ้าน บอกพะยอมที่มาเจอว่าเป็นห่วงอัมพร ยังไงก็ต้องพาอัมพรไปโรงพยาบาล พะยอมถามว่าถ้าแม่รู้เข้าล่ะ?
“โน่นก็ลูกก็เมียพี่ ชีวิตพี่เหมือนกันนะพะยอม ตอนนี้แม่แกยังโกรธจนไม่ยอมฟังอะไร แต่อีกสักพักพี่ว่าแม่แกต้องเข้าใจ พ่อเราก็เป็นฝ่ายผิดเหมือนกันที่ไปเปิดทางให้น้ำเข้านาเขาก่อน อีกอย่างอาขันแกก็ตายตกไปตามกันแล้วด้วย ที่แล้วก็น่าจะให้แล้วกันไป” แล้วประยงค์ก็ตัดบทว่าตนต้องรีบไป แล้วแอบออกไปทางหลังบ้าน
อัมพรใจชื้นที่เห็นประยงค์มา บอกว่าตนกลัว ประยงค์ปลอบใจว่าตนอยู่ตรงนี้แล้วไม่ต้องกลัว ลูกเราต้องปลอดภัย ส่วนเรื่องพ่ออย่าเพิ่งคิด ตอนนี้คิดถึงลูกที่กำลังจะเกิดก่อน อัมพรกลัวนางแย้มไม่ยอมให้ตนอยู่ที่บ้านแน่ อ้อนวอนประยงค์อย่าทิ้งตนกับลูกไป
“ไม่หรอก พี่ไม่มีวันทิ้งเอ็ง พี่รักเอ็งมากแค่ไหน เอ็งก็รู้นี่”
อัมพรกอดประยงค์อย่างฝากชีวิตตนกับลูกไว้กับเขา
ขณะประยงค์กำลังพาอัมพรไปส่งที่รถเพื่อไปโรงพยาบาลนั้น ก็ถูกประยูรมาตามให้รีบกลับบ้านเพราะแม่ร้องไห้หนัก กระซิบบอกว่า “แม่หาว่าพี่หลงเมียจนลืมพ่อ ลืมแม่ พี่รีบกลับไปเถอะ อาละวาดร้องห่มร้องไห้ยกใหญ่แล้ว”
“แต่เมียพี่กำลังจะไปออกลูกนะยูร”
อุไรเร่งให้พี่เขยรีบกลับไปเสีย ทางนี้ตนจะดูแล ให้เอง แล้วหันไปสั่ง “โกพงษ์ ออกรถเลย” แล้วอุไร ก็กระโจนขึ้นด้านหลังรถไปด้วย ลือพงษ์หรือโกพงษ์ที่อุไรเรียก ออกรถไปทันที
ประยงค์กลับถึงบ้านก็ถูกนางแย้มด่าว่าเป็นลูกอกตัญญู แช่งอัมพรกับลูกในท้องให้ตายทั้งกลมไปเลย พอประยงค์บอกว่าตนอยู่ตรงนี้ไม่ได้ไปไหน นางแย้มก็หันมาอ้อน
“ยงค์ ลูกแม่...เอ็งอย่าทิ้งแม่นะ พ่อเอ็งก็หนีแม่ไปคนนึงแล้ว เอ็งเป็นพี่คนโต เอ็งต้องเป็นหลักของบ้านนะ”
“จ้ะแม่” ประยงค์รับคำ อัมพรไปถึงโรงพยาบาลไม่นานก็คลอด ปรากฏว่า ได้ลูกชาย อัมพรกอดลูกไว้น้ำตาไหลอย่างปลื้มปีติ
ooooooo
นางแย้มร้ายกาจไม่เลิก ยื่นคำขาดไม่ให้เอาศพของตาขันไปที่วัดเดียวกับตาเทือง ถึงขั้นไปดักที่หน้าศาลาวัดไม่ยอมให้ยกศพตาขันขึ้นศาลาอ้างว่าไม่มีสิทธิ์
“ทำไมจะไม่มีสิทธิ์ป้าแย้ม วัดหนองนมวัวก็เป็นของคนหนองนมวัวทุกคน” อุไรโต้
“ศาลาวัดแห่งนี้ พ่อแม่ปู่ย่าตายายกูเลื่อยไม้สร้างกันมากับมือ แต่พวกมึงไม่ใช่คนหนองนมวัว พวกมึงอพยพโยกย้ายโคตรเหง้าศักราชกันมาอยู่ที่นี่ไม่ถึงสิบปี กูพูดผิดไปเรอะ เพราะฉะนั้น มึงขนศพพ่อมึงลงไปซะอีไร”
พะยอมบอกแม่ว่าค่อยๆพูดค่อยๆจากันก็ได้ ถูกนางแย้มตวาด “หุบปากอีพะยอม กูกำลังทำเพื่อศพพ่อมึงนะ” ประยงค์เสนอว่าเราตั้งศพพ่อเราที่บ้านก็ได้ ก็ถูกตวาดอีกคนว่า “ไม่ได้ กูจะตั้งที่นี่ แล้วก็ต้องมีแต่ศพพ่อมึงศพเดียวด้วย!”
พระอาจารย์เข้ามาขอว่า “ตั้งด้วยกันซะทั้งสองศพน่ะแหละโยมแย้ม เพราะยังไงเวลาสวดก็จะได้สวดให้พร้อมกัน”
“ไม่ได้ค่ะ อิฉันไม่ยอมให้ศพผัวอิฉันร่วมศาลาเดียวกับศพผีตายโหงฟ้าผ่าตายหรอกเจ้าค่ะ ผีอัปรีย์จัญไร อย่างมันต้องไปตั้งที่อื่น ไม่ใช่วัดหนองนมวัว”
“โยมแย้ม...คนตายไปแล้วไม่ฟื้น ไม่รับรู้อะไรแล้วทั้งนั้น คนเป็นที่ยังอยู่ก็ลดๆ ทิฐิลงเสียบ้างเถิด อย่าปล่อยให้มิจฉาทิฐิครอบงำจนมีแต่ความทุกข์เลย อะไรที่อภัยกันได้ก็อภัยเสีย เพราะไหนๆก็ดองกันอยู่ ไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติ อภัยทานเป็นทานที่ยิ่งใหญ่ ไม่แพ้ทานใดๆนะโยมแย้ม”
แม้พระอาจารย์จะขอแต่นางแย้มก็ไม่ให้ ท่านเสนอให้ตั้งกันคนละมุมก็ยังไม่ยอมอีก ยืนยันว่าศาลานี้ต้องตั้งศพผัวตนคนเดียว พระอาจารย์เลยอึ้งไป นางอ่ำเห็นเรื่องยุ่งยากมากจึงเสนอพระอาจารย์ว่าเมื่อนางแย้มต้องการอย่างนั้นตนก็จะย้ายศพตาขันไปตั้งสวดที่วัดอื่นก็ได้
นางแย้มยิ้มสะใจที่เอาชนะนางอ่ำ ได้ อุไรบ่นกับแม่ว่านางแย้มพูดราวกับวัดนี้เป็นของเขาคนเดียว บ่นว่าแม่ไปยอมทำไม
“ช่างเถอะไรเอ๊ย ทะเลาะกันไปก็มีแต่ไม่จบไม่สิ้น อะไรยอมกันได้ก็ยอมๆไปเถอะ” อุไรยังไม่ยอมบ่นแม่ว่าทำอย่างกับไม่รู้จักนางแย้ม “พี่เอ็งเป็นสะใภ้เขาอยู่นะอุไร ทะเลาะเบาะแว้งกันไปแล้วพี่เอ็งจะอยู่บ้านเขาได้ยังไง ไหนจะหลานอีกล่ะ”
“อยู่ไม่ได้ก็ไม่ต้องอยู่ กลับมาอยู่บ้านเราก็สิ้นเรื่อง แม่ผัวอย่างนี้อย่าว่าแต่จะให้ไหว้เลย หน้ามันถ้าเป็นฉันก็จะไม่มอง” อุไรเดินผละไปอย่างหงุดหงิด
นางแย้มแอบถามประยงค์ว่าตกลงเอาศพตาขันไปวัดไหน พอประยงค์บอกว่าวัดหนองยาว นางแย้มก็แสยะยิ้ม
“สาแก่ใจกูจริงๆ” ประยงค์ติงว่าแม่น่าจะนึกถึงอกเขาอกเราบ้าง “อกเขาอกเราอะไรไอ้ยงค์ ไอ้ขันมันฆ่าพ่อเอ็งทั้งคนนะ ลูกเมียมันต้องชดใช้ มึงคอยดูเหอะ ถึงวันเผา กูจะไปนิมนต์พระแถวนี้ให้หมดไม่ให้เหลือสักองค์ ผีไอ้ขันมันไม่มีพระสวดมาติกาบังสุกุล ยังไงมันก็ต้องลงนรก ให้สาสมกับที่มันทำกับพ่อมึง”
ความอาฆาตพยาบาทของนางแย้ม ทำเอาทั้งพะยอมและประยูรพูดไม่ออก ประยงค์ถึงกับหนาวเยือกกับความอาฆาตแค้นของแม่
แม้แต่ชาวบ้านในบ้านหนองนมวัว พอรู้ฤทธิ์เดชของนางแย้มก็พากันเห็นใจนางอ่ำที่ต้องเอาศพตาขันไปเสียไกล บางคนคิดห่วงแทนว่า แล้วอัมพรจะอยู่ร่วมเรือนกับเขาได้ยังไง
“มันก็อยู่ที่พี่ยงค์เขาล่ะว่าจะเลือกใคร ระหว่างแม่กับเมีย” อุไรตอบแทนแม่
ooooooo
พรุ่งนี้อัมพรก็กลับบ้านได้แล้ว ปรึกษากับ ประยงค์ว่าแม่ประกาศสงครามกับตนอย่างนี้ เขาคิดว่าตนจะกลับไปอยู่ร่วมชายคากับแม่ได้อีกหรือ ประยงค์เชื่อว่าถ้าแม่เห็นหลานก็คงจะอ่อนลงบ้าง อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้เลย
ประยงค์เสนอว่าให้แม่เป็นคนตั้งชื่อให้ลูกดีไหมแม่จะได้ภูมิใจ อัมพรได้แต่ยิ้มๆ
ประยงค์ไปเกริ่นกับนางแย้มถึงความน่ารักของลูก เล่าอย่างเอาใจว่าตากับปากเหมือนแม่ไม่มีผิดเลย ถูกนางแย้มถามว่า “แล้วมีอะไรเหมือนอีพวกบ้านโน้นบ้าง” พอประยงค์บอกว่าส่วนใหญ่จะมาทางเรา นางแย้มก็พูดสะใจว่า “ก็ดีที่เลือดชั่วๆมันไม่ต้องไปรับมา” ประยงค์ เห็นแม่ไม่มีปฏิกิริยาอะไรรุนแรงแล้ว เลยบอกแม่ว่า
“พรุ่งนี้อัมพรจะพาลูกกลับมาบ้านได้แล้วนะจ๊ะแม่” นางแย้มนิ่งไปทันที “หลานยังไม่ได้ตั้งชื่อ ฉันเองก็ยังนึก ชื่อดีๆไม่ได้ อัมพรก็เลยว่ารอให้แม่เป็นคนตั้งให้ก็แล้วกัน จะได้เป็นมงคลกับหลาน พรุ่งนี้ฉันจะไปรับอัมพรกับลูกกลับมาบ้านเราแต่เช้าเลยนะจ๊ะ”
“ก็ไปรับมาสิ” นางแย้มเสียงเย็นชาจนน่ากลัว แต่ก็ทำให้ประยงค์สบายใจขึ้นที่อย่างน้อยแม่ก็ให้กลับมาอยู่ด้วยกัน
แต่พอตกเย็นนางแย้มบอกพะยอมว่าพรุ่งนี้ประยงค์จะพาลูกเมียกลับมาบ้านแล้ว พะยอมบอกว่าก็ดีแล้ว
“กูจะเอาหลานกูไว้ แต่กูเกลียดอีแม่มัน” พะยอมติงว่าไปแยกแม่แยกลูกแบบนี้ประยงค์คงไม่ยอม ยังไงก็ต้องอยู่ด้วยกัน นางแย้มพูดอย่างมีเลศนัยว่า “นั่นล่ะที่กูกลัว กูคงต้องยอมๆมันไปก่อน”
พะยอมขอให้แม่เลิกคิดอาฆาตพยาบาทเสียที ที่แล้วมาก็ให้มันแล้วกันไป ถูกแม่ย้อนถามอย่างผูกใจเจ็บว่า
“เลิกจองเวรกับพวกมัน แล้วพ่อมึงจะฟื้นขึ้นมา ได้ไหม” พอพะยอมบอกว่าจองเวรไปพ่อก็ไม่มีทางฟื้นขึ้นมาได้ เลยถูกด่าว่า “มึงมันอกตัญญู พ่อมึงตายทั้งคนไม่รู้จักเจ็บแค้นสักนิด” พะยอมบอกว่าตาขันก็รับกรรมไปแล้วนี่ “ไอ้คนตายก็ส่วนคนตายโว้ย ลูกเมียมันที่ยังอยู่ มันต้องพากันหัวเราะเยาะพวกเราแน่ ที่ดักดานเลี้ยงดูลูกสาวมันต่อไป งานนี้กูไม่ยอมเป็นฝ่ายแพ้หรอกโว้ย” นางแย้มตะแบงไปจนได้
รุ่งขึ้นประยงค์พาอัมพรกับลูกกลับมา อุไรไปรับถามว่าตั้งชื่อให้ลูกหรือยัง อัมพรบอกว่ายัง แต่ประยงค์ขอไว้ให้แม่เขาตั้งให้ อุไรอ้างสิทธิ์ว่าไอ้หนูก็หลานเรา ยุให้แม่ตัวเองตั้งให้เลย นางอ่ำบอกรอให้นางแย้มตั้งดีแล้ว อุไรเหน็บว่าเกิดตั้งชื่อเป็นกาลกิณีกับเด็กล่ะ
“อุไร...ยังไงพี่เอ็งก็ต้องอยู่บ้านเขานะ อะไรยอมได้ก็ยอมๆเขาไปเถอะ แม่ไม่อยากมีเรื่อง”
พอดีประยงค์จ่ายค่าโรงพยาบาลแล้วมาบอกให้กลับกันได้เลย อุไรขออุ้มหลานเองให้ประยงค์ดูแลอัมพร แล้วทั้งหมดก็พากันออกมาโดยนางอ่ำช่วยหิ้วของตามหลัง
ooooooo
พอรถลือพงษ์มาจอดหน้าบ้าน พะยอมก็ตะโกนบอกนางแย้มอย่างตื่นเต้นว่า
“แม่...แม่...พี่ยงค์พาลูกกลับมาแล้ว”
ลือพงษ์ลงจากรถมาช่วยขนของลง ประยงค์ประคองอัมพรลงจากรถ อุไรอุ้มหลานตามมาส่ง ทันทีที่นางแย้มออกมากับประยูร ก็สั่งพะยอม “อียอม มึงไปอุ้มหลานกูมาซิ”
นางอ่ำพูดอย่างมีไมตรีว่า หลานเราหน้าถอดประยงค์ ออกมาเลย แต่นางแย้มไม่สนใจ สั่งประยูรเสียงดัง
“ไอ้ยูร...ปิดประตู แล้วไปตักน้ำมาสาดไล่เสนียดจัญไรซะ” อุไรฉุนขาดตะโกนไปว่ามันจะมากไปแล้วป้าแย้ม
“แค่นี้มันยังน้อยไป อีไร พวกมึงยังต้องเจอฤทธิ์กูอีกเยอะ ไม่ต้องกลัว”
“แม่แย้ม...” นางอ่ำพยายามญาติดีด้วย “ไอ้ที่แล้วทำไมไม่ให้มันแล้วไป ยังไงเราก็ดองกันเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว อย่างน้อยก็น่าจะเห็นแก่หลานที่มันเพิ่งลืมตาดูโลกบ้าง”
“คนอย่างกู เจ็บแล้วไม่มีวันลืมโว้ย ไป...ออกไปจากบ้านกู ไอ้ยูรปิดประตู”
อุไรสุดจะทนชวนนางอ่ำกลับ ด่าคืนว่าขืนอยู่ตรงนี้นานๆ เสนียดจัญไรจะพลอยติดตัวเราไปเปล่าๆ อัมพรรับลูกจากอุไรไปอุ้มเองแล้วเข้าบ้านไปกับประยงค์ นางแย้มยังตีฝีปากกับอุไรอยู่หน้าบ้าน ก่นด่าอาฆาตอุไรปาวๆ
“ปากดีนักนะมึง อีเด็กเมื่อวานซืน สักวันเถอะมึง ซักวัน!”
ooooooo
ส่งอุไรกับนางอ่ำถึงบ้านแล้ว ลือพงษ์ปรารภอย่างหนักใจว่าอย่างนี้แล้วอัมพรจะอยู่บ้านเขาได้หรือ อุไรบอกว่า ตนบอกแล้วว่าให้กลับมาอยู่บ้านเราแต่แม่ว่าเป็นสะใภ้เขา ยอมๆเขาไปก่อน
ลือพงษ์ปรารภว่าสงสารอัมพร แต่อุไรเชื่อว่าประยงค์รักอัมพร ยังไงก็คงจะดูแลปกป้องเมียตัวเอง
“ลำบากนะ คนนึงก็แม่ คนนึงก็เมีย” ลือพงษ์ยังห่วงใย อุไรพูดประสาวัยรุ่นใจร้อนว่า
“ถ้ายัยแย้มออกฤทธิ์มากๆจนพี่ยงค์เองก็รับไม่ไหว แล้วหอบลูกหอบเมียมาอยู่ที่นี่ วันนั้นแหละยัยแย้มคงอกแตกตาย”
ฝ่ายนางแย้มพอเห็นหลานก็ตั้งชื่อให้ว่า “ยงยุทธ์” พะยอมแซวว่าตั้งชื่ออย่างกับจะไปรบกับใครงั้นแหละ
“มันจะได้ไม่กลัวใคร หลานข้า ใครมันแหลมเข้ามาก็ฉะมันไปเลย ไม่ต้องไว้หน้า”
อัมพรมองไปทางอื่นอย่างอึดอัดใจ ประยงค์เลยเปลี่ยนเรื่องบอกอัมพรว่าอยู่ไฟอีกสิบวันก็น่าจะพอ นางแย้มโพล่งว่า
“อยู่อะไรกันตั้งสิบวัน เจ็ดวันก็เหลือแหล่แล้ว ไม่คิดจะช่วยกันทำมาหากิน ก็จัดแจงงานบ้านงานเรือนไป” พอประยงค์ขยับจะชี้แจง ก็ถูกแม่ตัดบทว่า “พ่อมึงตายไปแล้ว ตอนนี้บ้านนี้กูเป็นใหญ่ ใครจะทำอะไรต้องฟังกูคนเดียว” แล้วจ้องหน้าอัมพรพูดต่อ “อยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็ไสหัวกลับไปบ้านมึงโน่น”
อัมพรกัดปากตัวเองข่มใจให้อดทน ไม่ให้ตอบโต้
ooooooo
เมื่อทั้งตาเทืองและตาขันหัวเรี่ยวหัวแรงในการทำนาของบ้านตายไป ทั้งสองบ้านจึงต้องวางแผนการทำนากัน
นางอ่ำตัดสินใจจะทำเอง อุไรติงว่าจะไหวหรือ นางอ่ำตอบอย่างฮึดสู้ว่ายังไงก็ต้องลองกันดูสักตั้ง
นางแย้มก็ตัดสินใจจะทำเอง ประยูรบอกว่า
ปีหน้าตนก็เรียนจบแล้วต้องไปทำงานของตน พะยอมก็บอกว่าตนทำนาไม่เป็น ก้มๆเงยๆอย่างนั้นไม่ไหวหรอก นางแย้มหันไปกดดันประยงค์ว่างั้นก็เหลือเราสองคน ประยงค์รับสภาพว่าตนเกิดมาเพื่อทำนาอยู่แล้ว นางแย้มอ่อยเอาใจแกมประชดประยูรกับพะยอมว่า
“ดี...งั้นกูจะยกนาแปลงสี่สิบไร่ให้มึงเพิ่มอีกแปลงนึง ให้รู้กันเอาไว้ พวกมึงมีกันแค่สามคนพี่น้อง สมบัติมันไม่ไปไหนหรอก แต่ใครทำใครได้โว้ย”
อัมพรปรารภกับประยงค์ว่าที่แปลงนั้นไม่ใช่ใกล้ แล้วตอนนี้แม่ก็ปล่อยให้คนเช่าอยู่ไม่ใช่หรือ ประยงค์มองในแง่ดีว่าถึงไกลไปหน่อยแต่ก็อยู่ติดถนน ดินก็ดี มีคลองชลประทาน ทำนาได้ปีละสองครั้งเชียว อัมพรถามว่าแม่เขามีข้อแม้อะไรไหม
ประยงค์บอกว่าไม่เห็นพูดอะไร อัมพรเลยชวนไปอยู่บ้านตนกันไหม ประยงค์อึ้งไปอึดใจ บอกอัมพรว่าที่บ้านนี้ไม่มีใครช่วยแม่ทำนาได้เลยนะ
“บ้านแม่ฉันก็ไม่เหลือใครเหมือนกัน ลำพังแม่คนเดียวจะทำไหวได้ยังไง พี่ไปกับฉันเถอะ” ประยงค์ถามอย่างลำบากใจว่าจะไปได้ยังไง? “ถ้าพี่อยากได้ที่นา
สี่สิบไร่ที่แม่พี่ออกปากมาน่ะ ฉันบอกได้เลยว่าถ้าพี่ไปกับฉันเราจะได้มากกว่านั้นแน่”
เมื่อประยงค์ยืนยันว่าตนทิ้งแม่ไปไม่ได้ อัมพรถามว่าเขากลัวแม่ขนาดนั้นเลยหรือ
“แม่ ยังไงก็เป็นแม่นะอัมพร ขืนพี่ไปก็เท่ากับเป็นลูกอกตัญญู อดทนไปอีกหน่อยเถอะ พี่รู้ว่าอัมพรคับข้องใจ แต่อีกสักพักแม่แกก็คงเลิกติดใจกับเรื่องที่มันแล้วไปแล้วเองแหละ อย่างน้อยแกก็คงเห็นแก่หลานมันบ้างล่ะ”
อัมพรฟังแล้วนิ่งไป
ooooooo
ความอาฆาตมาดร้ายของนางแย้มนั้นเหมือนไฟที่รุ่มร้อนรุนแรงร้ายกาจมาก วันนี้อุไรกับนางอ่ำเอาแกงเลียงมาฝากอัมพร นางอ่ำมาร้องเรียกขอขึ้นไปเยี่ยมอัมพรอยู่หน้าบ้าน พอนางแย้มโผล่มาตะโกนใส่
“ไม่ได้!”
มิไยว่านางอ่ำจะขอขึ้นไปเห็นหน้าหลานบ้างอย่างไร นางแย้มก็ไม่ยอมซ้ำยังถามประชดว่าไม่ได้เห็นหน้ามันแล้วจะตายรึไง! ถ้าเป็นยังงั้น มึงก็ฝันไปเหอะอีอ่ำ มึงจะไม่มีวันได้เห็นหน้ายงยุทธมันหรอก”
อุไรตะโกนไปว่าแม่ตนก็ยายยงยุทธเหมือนกัน กีดกันอย่างนี้ใจร้ายใจดำผิดมนุษย์มนา ถูกนางแย้มตวาดว่าด่าตนว่าเป็นสัตว์หรือ พออุไรสวนไปว่าแล้วแต่จะคิด นางแย้มก็ด่ามาเป็นชุด
“อีสารเลว อีเด็กเมื่อวานซืน ไม่รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ ออกไปจากบ้านกูเดี๋ยวนี้ ผัวมึงพ่อมึงทำอะไรไว้กับกู กูไม่มีวันลืม กูเผาพริกเผาเกลือสาปแช่งโคตรเหง้าพวกมึงทุกวัน พวกมึงต้องเจอแต่ความฉิบหายวายวอด”
“ฉันเองก็กรวดน้ำคว่ำขัน ชาตินี้ชาติหน้าชาติไหนๆ ก็ขออย่าให้ได้เจอยักษ์มารอย่างป้าแย้มเหมือนกัน”
นางแย้มไล่ตะเพิดอีก นางอ่ำบอกอุไรว่าเมื่อเขาไม่ให้เข้าก็ไปกันเถิดอย่าไปเซ้าซี้เลย อุไรเลยฝากแกงเลียงกับพะยอมให้เอาไปให้อัมพรด้วย พอพะยอมรับไปก็ถูกนางแย้มด่าว่าไปรับมาทำไม เป็นขี้ข้ามันหรือ คว้าหม้ออวยจากพะยอมขว้างทิ้งแกงหก ฝาหม้ออวยแตก
นางอ่ำกลัวเรื่องจะบานปลายเร่งอุไรให้รีบกลับ ก็ยังถูกนางแย้มถ่มน้ำลายใส่ ตะโกนโพนทะนากับชาวบ้านที่มามุงว่า
“ชาวบ้านชาวช่องดูกันเอาไว้ กูอยู่ของกูดีๆ มันมาหาเรื่องถึงบ้านอีแม่ลูกคู่นี้สันดานมันเหมือนผัวมันพ่อมันไม่มีผิด”
พอนางอ่ำกับอุไรกลับถึงบ้าน อุไรโดนแม่บ่นว่าไม่น่าไปต่อปากต่อคำกับเขาเลย ทำนิ่งๆเฉยๆไว้ ยังไงก็ต้องนึกถึงอัมพรกับหลานที่ยังต้องอยู่บ้านโน้น อุไรบอกว่าตนจะหาทางให้อัมพรหอบลูกพาผัวมาอยู่บ้านเราให้ได้
ตกเย็นประยงค์กลับจากนาก็มาทำอาหารสำหรับคนอยู่ไฟให้อัมพรกิน อัมพรเห็นใจว่าเขาเหนื่อย แต่ประยงค์บอกว่าถึงจะเหนื่อยแค่ไหนตนก็เต็มใจและทนได้
อาหารสำหรับคนอยู่ไฟที่ประยงค์ทำให้มีแต่ปลาช่อนแบะท้องทำเค็ม อัมพรได้แต่ขยำข้าวกิน ประยงค์ถามว่าผิดคอหรือ เดี๋ยวจะไปทำข้าวต้มให้ก็แล้วกัน อัมพรจึงเล่าเรื่องที่แม่กับอุไรเอาแกงเลียงมาให้แต่ถูกแม่เขาแย่งหม้ออวยไปขว้างทิ้ง แม่กับน้องไม่ได้ขึ้นเรือนด้วยซ้ำ อัมพรบ่นกับประยงค์ว่าสงสารแม่กับน้อง ขืนเป็นแบบนี้เรื่อยๆ ตนไม่รู้จะทนได้นานแค่ไหน ประยงค์ฟังแล้วลำบากใจ ได้แต่บอกอัมพรให้เวลากับแม่หน่อย อีกไม่นานแกก็คงดีขึ้นเพราะท่าทางแม่ก็รักยงยุทธมากสักวันแกคงจะอ่อนลงบ้าง อัมพรนึกอยากจะถามว่าแล้วเมื่อไรล่ะ? แต่ก็นิ่งเงียบไป
ooooooo
เช้าวันรุ่งขึ้น อุไรแต่งตัวจะไปเรียนตัดเสื้อกำลังใส่บาตรกับแม่อยู่ ประยงค์จูงควายผ่านมา อุไรจึงเล่าเรื่องเมื่อวานให้เขาฟัง เล่าแล้วถามว่าเขาจะว่าอย่างไร ประยงค์บอกว่าตนก็ไม่สบายใจมากย้อนถามว่าแล้วจะให้ตนทำอย่างไร
“คนเรามันก็มีศักดิ์ศรีเท่าๆกันน่ะแหละพี่ยงค์ ถ้าเหลืออดเหลือทนกันจริงๆ ฉันจะรับพี่อัมพรกับหลานกลับมาอยู่ที่นี่ หน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนฉันก็ไม่สนล่ะ บอกให้รู้ไว้ก่อนนะ ฉันไปก่อนนะแม่”
พออุไรเดินไป นางอ่ำออกตัวแทนลูกว่า อุไรก็เลือดร้อนอย่างนี้แหละ อย่าไปถือสาเลย
“อาอ่ำไม่ต้องห่วงอัมพรมันหรอก ฉันสัญญา ฉันจะดูแลอัมพรกับลูกอย่างดีที่สุดจ้ะ” ประยงค์พูดให้นางอ่ำสบายใจ
อุไรกับพะยอมไปเรียนตัดเสื้อที่โรงเรียนเดียวกัน แต่ทั้งคู่แยกกันไปนั่งคนละมุม จนเพื่อนถามว่าโกรธเกลียดกันขนาดนี้เลยหรือ อุไรบอกว่าพะยอมเป็นฝ่ายแยกไปเอง สงสัยแม่เขาคงสั่งมาให้เลิกคบกับตน เพื่อนบ่นเสียดายเพราะเมื่อก่อนเห็นสนิทกันดี ถามว่าแล้วจะกลับมาคืนดีกันอีกได้หรือเปล่า
“ใครดีมาฉันก็ดีตอบ ร้ายมาหน้าไหนฉันก็ไม่กลัวทั้งนั้น” อุไรตอบอย่างไม่แยแส
พะยอมหมางเมินกับอุไร ขนาดขึ้นรถประจำทางที่ลือพงษ์ขับเพราะเป็นธุรกิจของครอบครัว พะยอมยังเลี่ยงไปนั่งเบียดกับผู้โดยสารอื่นข้างหลัง ลือพงษ์บอกอุไรให้เรียกพะยอมมานั่งหน้าด้วยกันก็ได้
“ช่างเขาเหอะ เขาอยากนั่งตรงไหนก็เรื่องของเขา” อุไรตอบอย่างไม่แยแส
อุไรนั่งหน้าช่วยลือพงษ์เก็บค่าโดยสารใส่กระป๋องข้างตัวลือพงษ์ให้ด้วย
อุไรกับลือพงษ์ชอบพอดูใจกันอยู่ ลือพงษ์ออกอาการหึง เขาทวงเสื้อที่ให้อุไรตัดให้ เธอบอกว่ายังไม่ได้เย็บ ลือพงษ์ทำเป็นตัดพ้อว่าไม่ได้เย็บหรือมัวแต่เย็บให้คนอื่น เห็นว่าลูกชายเจ้าของโรงเรียนตัดเสื้อมาติดพันอยู่ไม่ใช่หรือ
อุไรหงุดหงิดบอกว่าเขาไม่เอาลูกชาวนาอย่างตนไปทำพันธุ์หรอก ขอร้องว่าอย่าหาเรื่องกันได้ไหมคนยิ่งกลุ้มๆอยู่
“ก็เค้ารักตัวเองมาก ตัวเองก็รู้ รักมากก็ยิ่งหวงมาก แล้วก็อยากแต่งงานจะแย่อยู่แล้ว อุตส่าห์ไม่ติดทหารหลงดีใจนึกว่าจะได้แต่งเดือนสิบสองก็มาเป็นอย่างนี้เสียอีก” ลือพงษ์กุมมืออุไรอ้อนๆ
เพราะมีผู้โดยสารขึ้นรถเพิ่ม พะยอมจึงขยับไปนั่งจนติดข้างหน้าทำให้มองผ่านกระจกเห็นลือพงษ์กุมมืออุไรก็เมินไปอย่างปวดใจ
อุไรปลอบลือพงษ์ว่าปีนี้ยังไม่ได้แต่งก็บวชให้แม่ให้เดตัวเองก่อน ลือพงษ์บอกว่าไม่อยากบวช เดพ่อตนก็บอกว่าเดเองก็ไม่ได้บวชเหมือนกันเขายังเอาดีได้เลย ลือพงษ์ดึงมืออุไรไปหอม เธอชักมือกลับก็ถูกยื้อไว้บอกให้ดูถนนเพราะเป็นหลุมเป็นบ่อมาก บอกให้เขาอดทนอีกหน่อย และห้ามไปยุ่งกับคนอื่นด้วย
ลือพงษ์อ้อนดึงมืออุไรไปหอมจนได้ อุไรดึงมือกลับกระถดไปนั่งชิดหน้าต่าง ลือพงษ์แกล้งทำหน้าเซ็ง
อุไรก็ไม่สนใจ
ooooooo
กลับถึงบ้านพะยอมบอกนางแย้มว่าอยากเปลี่ยนไปเรียนเสริมสวยเพราะไม่อยากเจออุไรมันปั้นหน้าไม่ถูก
“ไม่อยากเจอก็ต้องเจอ คนที่จะเป็นฝ่ายไปไม่ใช่เราแต่ต้องเป็นมัน มึงจะอ่อนแอแพ้คนไม่ได้” นางแย้มประกาศิต
“แล้วฉันจะไปสู้อะไรได้ เขาทั้งสวยกว่า เก่งกว่า” นางแย้มถามว่าอยากสู้มันไหมล่ะ พอพะยอมบอกว่าอยาก นางแย้มก็เสี้ยมสอนว่า ให้เรียนตัดเสื้อจบก่อน แล้วแม่จะเปิดร้านตัดเสื้อให้ไปเปิดที่ลาดยาวก็ได้ พะยอมบอกว่าไม่อยากไปอยู่ลาดยาว
“เช่าห้องแถวโกตาก็ได้” นางแย้มหมายถึงพ่อของลือพงษ์ที่เป็นเจ้าของรถเมล์เล็กและห้องแถวให้เช่า พะยอมถามว่าเขาจะให้เช่าหรือ “ทำไมกูจะเช่าไม่ได้” พะยอมบอกว่าเรียนจบอุไรก็คงเปิดร้านเหมือนกัน
“แล้วมันเกี่ยวอะไรด้วย ต่างคนต่างเปิดก็ได้”
นางแย้มซักไซ้จนพะยอมบอกว่าอุไรชอบพออยู่กับโกพงษ์ลูกชายโกตา ก็ถูกนางแย้มถามทันทีว่า
“แล้วมึงชอบลือพงษ์มันด้วยรึเปล่า” พะยอมพูดไม่ออกได้แต่ก้มหน้า นางแย้มย้ำ “มึงชอบลือพงษ์มันใช่ไหม”
พอพะยอมพยักหน้ารับ นางแย้มถอนใจหน้าเครียดตัดสินใจว่าไหนๆก็เปิดสงครามกับนางอ่ำแล้ว งานนี้คงต้องตีให้แหลกกันไปข้างนึง!
ooooooo










