ตอนที่ 12
ก่อนเรรินเข้ามาพิพิธภัณฑ์นั้น...บัวเงินก้าวเข้ามาในห้องพลางกวาดสายตามองหากี่ทอผ้า เธอพบว่ามันตั้งอยู่มุมห้องจึงปราดเข้าหา เห็นผ้าตุ๊มไหมสีขาวสะอาดที่ถูกทอเพิ่มใกล้เสร็จคาอยู่บนกี่ เธอนึกชังมันยิ่งนัก
“คุณย่าฮู้ได้จะไดเจ้าว่ามีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นตี่นี่” ไหมแมกับลูกน้องยืนตัวสั่นอยู่หน้าประตู
“ผีปู่ย่าตายายไปเข้าฝันข้า บอกว่าอัปรีย์จัญไรจะบังเกิดเพราะผ้าผืนนี้” บัวเงินหันมามองพวกไหมแมเห็น
ทุกคนพากันหวาดกลัวในความเฮี้ยน จึงแต่งเรื่องต่อ “ผ้าผืนนี้มันถูกสาปแช่งเอาไว้ วันใดถ้ามันถูกทอเสร็จสมบูรณ์ลูกหลานคนในตระกูลเจ้าหลวงจะฉิบหายมีอันเป็นไปไม่เว้นแม้แต่คนเดียว”
ไหมแมกับพวกกลัวจับใจ บัวเงินไม่รอช้าสั่งให้ไปตามคนงานมาช่วยกันตอกไม้ปิดตายประตูและเปลี่ยนกุญแจลูกใหม่ ไหมแมรีบทำตามและแอบจุดธูปขอขมาด้วย
ด้านเรรินยังมึนตึบกับสถานการณ์ที่เผชิญ เธอหันกลับไปมองทางตึกใหญ่ คิดหาทางกลับเข้าไปในห้องทอผ้าให้ได้ เสียงพนักงานคุยกันดังเข้ามา เรรินหาที่หลบ ได้ยินพวกเขาคุยกันเรื่องเจ้านางมณีรินที่ตายคาหูกอยู่ในตำหนักนี้
ส่วนบัวเงินเมื่อกลับไปถึงเรือนก็เรียกผีอีเม้ยมา
ถามว่า เรรินอยู่ที่ไหน แต่ผีอีเม้ยว่า มันหาไม่พบ
“กูขวางมันบ่หื้อเข้าไปตำหูกได้แล้วมันจะไปอยู่ตี้ไหน” บัวเงินหน้าเครียด
“หม่อมบ่ต้องห่วงดอกเจ้า เม้ยเจอตั๋วมันตี้ไหน เม้ยจะหักคอมันเอง” ผีอีเม้ยรีบเอาใจ
เวลาเดียวกันนั้น สุริยวงศ์ก็มาถามหาเรรินกับ
วันดาราที่รีสอร์ต วันดาราจำใจบอกกับน้องชาย
“ปี้ไปส่งคุณรินเปิ้นตี้สนามบินเอง ป่านนี้ก่อคงถึงกรุงเทพฯแล้ว สุริยะปี้เองก่อลำบากใจ๋เน้อนอนคิดอยู่ตั้งคืนว่าควรจะยะจะไดดี ในเมื่อแม่เปิ้นมาปรับทุกข์มาขอร้องจะอี้ ตั๋วคิดเสียว่าหื้อโอกาสเปิ้นปิ๊กไปเคลียร์เรื่องส่วนตั๋วของเปิ้นเน้อ เฮาเป๋นแค่คนนอกบ่ใจ่คนในครอบครัวเปิ้น ถ้าตั๋วกับเปิ้นมีวาสนาต่อกั๋นก่อคงได้ปิ๊กมาเจอกั๋นแหม ความฮัก...ต่อหื้อเมินสักแค่ไหนการรอคอยก่อบ่เป๋นอุปสรรคหรอกน้องเอ๋ย”
สุริยวงศ์หน้าสลดฟังคำปลอบใจอย่างเจ็บปวด เป็นเวลาเดียวกับที่เรรินพยายามจะหาทางเข้าไปในห้องทอผ้าให้ได้ เธอเรียกหาเจ้าศิริวัฒนาให้มาช่วย แต่ทุกอย่างเงียบสนิท เรรินครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ก่อนตัดสินใจไปขอความช่วยเหลือจากบัวซอนที่เรือนคนงาน
ขณะที่เรรินไปหาบัวซอน ธนินทร์ก็พาวงพระจันทร์มาพบพรรณวรินทร์ที่โรงแรม เขาแนะนำว่า วงพระจันทร์คือภรรยาของสุริยวงศ์ ทำให้พรรณวรินทร์ต้องอึ้ง และอึ้งหนักขึ้นเมื่อวงพระจันทร์สวมบทโศกคร่ำครวญ
“วงพระจันทร์แต่งงานกับเขามาได้สามปีแล้วค่ะ ความจริงเราได้เสียกันตั้งแต่เรียนมัธยม ผู้ใหญ่ก็รู้ดีเลยจับสองคนหมั้นหมายกันเอาไว้ กะว่าเป็นหลักเป็นฐานแล้วค่อยแต่ง เขาเป็นคนเจ้าชู้มากค่ะคุณแม่ ควงผู้หญิงใหม่ไม่เคย
ซ้ำหน้า วงพระจันทร์เจ็บปวดเหลือเกินที่ต้องทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เพราะวงพระจันทร์เตือนตัวเองอยู่เสมอว่า ในเมื่อวงพระจันทร์รักเขาวงพระจันทร์ก็ต้องให้เกียรติเขา แต่เขากลับไม่เคยเห็นความดีของวงพระจันทร์เลย เขาทำร้ายร่างกายและจิตใจ
วงพระจันทร์ วงพระจันทร์เคยคิดที่จะแยกทางกับเขาปล่อยให้เขาเป็นอิสระ แต่เขาก็ไม่ยอมเพราะทุกวันนี้คนที่หาเลี้ยงเขาคือวงพระจันทร์ คุณแม่คะครั้งนี้คงต้องเป็นไงเป็นกัน
วงพระจันทร์จะไม่ขอทนอีกต่อไปแล้ว ลูกคนเดียววงพระจันทร์เลี้ยงได้โดยไม่ต้องมีคนเป็นพ่อมารับผิดชอบ วงพระจันทร์คิดว่ามันยังดีเสียกว่าปล่อยให้เด็กซึ่งเปรียบเสมือนผ้าขาวต้องมารับรู้ความไม่เอาไหนของพ่อของเขา”วงพระจันทร์ฟูมฟายตีบทแตกกระเจิง
ธนินทร์ยิ้มพอใจแล้วช่วยเสริม “คุณวงพระจันทร์ท้องได้หลายเดือนแล้วครับคุณแม่ ไอ้ผู้ชายคนนี้มันสารเลวจริงๆ”
“ที่วงพระจันทร์ต้องออกมาสาวไส้ตัวเองไม่แคร์สื่ออย่างนี้ เพราะวงพระจันทร์สงสารลูกผู้หญิงทุกคนที่เข้ามา
ยุ่งเกี่ยวกับเขา ไม่อยากเห็นใครต้องตกเป็นเหยื่อ ถ้าวงพระจันทร์จะเป็นผู้หญิงที่โชคร้ายที่สุดในโลก วงพระจันทร์ก็ขอภาวนาให้วงพระจันทร์เป็นรายสุดท้ายค่ะคุณแม่” วงพระจันทร์แสร้งส่งสายตาจริงใจสุดๆ
แต่พรรณวรินทร์ยังนั่งมึน พูดไม่ออกบอกไม่ถูก
ooooooo
เรรินร้องเรียกบัวซอนอยู่หน้าเรือน แต่ไม่มีใครออกมา เธอยอมตัดใจเดินออกมาที่ถนนหน้าคุ้ม รถสองแถวคันหนึ่งแล่นมาจอดตรงหน้า เรรินบอกกับคนขับว่า จะไปศรีภูมิ แต่ต้องชะงัก เพราะบัวซอนลงมาจากรถ
บัวซอนเห็นเรรินก็ดีใจรีบพากลับเข้าเรือนพลางบอกเล่า“หนูไปทำธุระที่ลำพูนหลายวันแล้ว ความจริงก็ยังไม่คิดจะกลับ แต่เมื่อตอนเช้ามืดหนูฝันเห็นผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหาหนู แล้วบอกหนูให้รีบกลับมา มีคนรอความช่วยเหลือจากหนูอยู่ หนูไม่คิดหรอกนะคะว่าเป็นคุณ”
“ฉันกำลังต้องการความช่วยเหลือจริงๆ บัวซอน”
เรรินรำพึง
บัวซอนจัดให้เรรินพักที่ห้องของคำเที่ยง แล้วออกไปหาเครื่องนอนมาให้ เรรินสำรวจรอบๆ ห้องเธอเห็นรูปของสล่าพันแขวนอยู่ข้างฝา
“ต้นไม้เยอะกลางคืนยุงชุม ยังไงกลางคืนคุณก็ต้องกางมุ้งนะเจ้าเฮือนเก่าอาจจะบ่ค่อยสะดวกสบายเท่าไร แต่หนูรับรองว่าปลอดภัยกว่าไปหาโรงแรมหรือเกสต์เฮาส์นอนเจ้า เผลอๆช่วงนี้หาห้องว่างไม่ได้ด้วยซ้ำเพราะเต็มหมด ใกล้เทศกาลก็ยังงี้แหละเจ้า”บัวซอนกลับเข้ามาพร้อมเครื่องนอน
“บัวซอนอย่าลืมที่ฉันขอร้องไว้ด้วยนะ”เรรินกำชับ
“เจ้า...คุณบ่ต้องห่วง หนูจะบ่บอกใครเด็ดขาดว่าคุณมาพักอยู่กับหนูที่นี่”
“ขอบใจมาก...ฉันขอถามอะไรอีกอย่างผู้ชายในรูปนั่น...” เรรินมองไปที่รูปของสล่าพัน
“ปู่พัน...ปู่ของหนูเองเจ้า เปิ้นเป็นคนเก่าคนแก่ในคุ้มเจ้าหลวง สมัยหนุ่มๆ เปิ้นทำงานฮับใจ๊ใกล้ชิดเจ้าหลวงเจ้าเปิ้นเป๋น สล่าคำสล่าเงิน เป็นช่างยะเครื่องทองเครื่องเงิน ถวายเจ้าทุกองค์ในคุ้มเจ้า”บัวซอนแนะนำ
เรรินอึ้งไม่คิดว่าจะจุดไต้ตำตออย่างนี้ บัวซอนชวนคุยต่อ เธอถามเรรินว่ารู้จักพิณเปี๊ยะ เพราะปู่ของเธอเคยเป็นครูสอนพิณเปี๊ยะ
“หนูเกยรบเร้าหื้อเปิ้นเล่นหื้อฟัง แต่เปิ้นก่อบ่ยอมเล่น เปิ้นว่าเล่นแล้วเศร้าใจ๋จนอยากไห้...”
“ทำไมล่ะ”
“หนูถามเหมือนกั๋น แต่เปิ้นก่อบ่ยอมเล่า คุณฮู้ก่อเจ้า จริงๆแล้วพิณเปี๊ยะเนี่ยสูญหายไปเมินแล้ว เพราะเจ้าหลวงองค์สุดท้ายเปิ้นออกอาญาแผ่นดินห้ามบ่หื้อไผเล่นพิณเปี๊ยะอย่างเด็ดขาด”
“มีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นด้วยเหรอ”
“ปู่พันเล่าแค่ว่า...ปี้ฆ่าน้องตัวเองด้วยพิณเปี๊ยะ เจ้าหลวงเปิ้นปวดใจ๋ขนาดเลยห้ามบ่หื้อไผเล่นหื้อได้ยินอีกเลย เปิ้นจังพิณเปี๊ยะนัก” บัวซอนทิ้งท้าย
เรรินคิดหนักเหมือนเห็นจิ๊กซอว์เป็นชิ้นๆ แต่ยังต่อเป็นรูปร่างไม่ได้
เวลาเดียวกันนั้น สุริยวงศ์มาที่หน้าห้องทอผ้าหวังจะได้พบเรริน แต่ต้องแปลกใจ เมื่อเห็นประตูห้องถูกตอกปิดตาย เขาจึงออกไปสอบถามไหมแม
ไหมแมว่า เธอทำตามคำสั่งของคุณย่าบัวเงิน สุริยวงศ์ ไม่อยากเชื่อ แต่ไหมแมยืนยันหนักแน่นพร้อมอ้างเหตุผล “เปิ้นฮ้อนใจ๋นักขนาด เพราะเปิ้นว่าผีปู่ย่าตาทวดเข้าฝันเปิ้นว่ามีวิญญาณฮ้ายอยู่ในห้องนั้น แล้วก่อจะทำหื้อเกิดแต่เรื่อง
บ่ดีเจ้า มันน่าขนลุกแต๊ๆนะเจ้าคุณสุริยะ ข้าเจ้าหันกับต๋าผ้าผืนนั้นเหมือนมีคนเข้าไปทอต่อจริงๆ แต่ไผจะเข้าไปได้ปีนึงถึงจะไขกุญแจเปิดเข้าไปทำความสะอาดเสียที...นอกจาก ...วิญญาณฮ้าย” ไหมแมสยอง แต่สุริยวงศ์งงหนักไม่เข้าใจว่าบัวเงินเกี่ยวข้องกับเรรินได้อย่างไร
ด้านเรริน เธอเข้ามาช่วยบัวซอนเก็บถ้วยชามหลังทานอาหารเสร็จ บัวซอนห้ามไม่ให้เรรินทำ เพราะรู้สึกไม่สบายใจ
“ทำไมจะต้องไม่สบายใจ” เรรินไม่เข้าใจ
“หันคุณแล้วหนูอดนึกถึงแม่อุ๊ยคำเที่ยงบ่ได้ หนูบ่ฮู้หรอกว่า แม่อุ๊ยเปิ้นผูกพันกับคุณมายังไดขนาดของฮักของหวงตี้เปิ้นเก็บฮักษาไว้หัวนอนเปิ้นกราบไหว้ทุกวัน เปิ้นยังสั่งเสียว่าหื้อหนูมอบหื้อคุณเลย อ้อ...มีอีกอย่างนึ่งตี้แม่อุ๊ยเปิ้นอู้บ่อยที่สุด เปิ้นว่าจะไดเจ้ารินก่อต้องปิ๊กมาทอผ้าผืนนั้นหื้อเสร็จจนได้เจ้า” บัวซอนเอ่ยถึงคำเที่ยง
เรรินนิ่งงันลอบมองกุญแจทองเหลืองในมืออย่างสิ้นหวัง เพราะคงหมดโอกาสเข้าไปในห้องทอผ้าแล้ว บัวซอนมองเรรินแล้วก็นึกขึ้นได้ลุกไปหยิบสมุดบันทึกของสล่าพันมาส่งให้
“หนูหันคุณสนใจ๋เรื่องเก่าๆของเจียงใหม่ก่อเลยเอานี่มาหื้อเจ้า ปู่พันเปิ้นเขียนบันทึกเอาไว้ เรื่องอะหยังต่ออะหยัง พ่องก่อบ่ฮู้ ลายมือเปิ้นอ่านยาก หนูลองอ่านดูได้บ่กี่บรรทัดก่อปวดหัวทุกที คุณรินจะลองอ่านดูเล่นๆก่อได้นะเจ้า”
“ขอบใจจ๊ะบัวซอน...ขอบใจมาก” เรรินรับสมุดบันทึกแล้วเดินกลับไปเปิดอ่านในห้อง พลันสายตาสะดุดเข้ากับบันทึกหน้าหนึ่ง...เป็นภาพสเกตช์การออกแบบปิ่นทองดอกปีบอย่างคร่าวๆ ทั้งการออกแบบดอกตูมดอกบาน และการประกอบช่อ
เรรินมองบันทึกสลับกับปิ่นทองของจริงอย่างมั่นใจว่า สิ่งที่อยู่ในบันทึกเล่มนี้ต้องบอกเล่าหลายสิ่งที่เธออยากรู้ได้แน่ๆ เธออ่านบันทึกต่อไปเรื่อยๆ แล้วต้องตะลึงเมื่อพบข้อความที่เขียนว่า เจ้านางมณีรินวางยาเจ้าหลวง
“ไม่ ไม่จริง” เรรินปฏิเสธลั่น
ooooooo
“บ่จริง...เป๋นไปบ่ได้ เฮาบ่เจื่อตั๋วเอาอะหยังมาอู้ ตั๋วกำลังกล่าวหาเฮา ว่าคิดฮ้ายต่อป้อเจ้า เฮา
จะยะจะอั้นไปเพื่ออะหยัง” มณีรินยังช็อกไม่หาย
“เฮาบ่ได้หมายความจะอั้น เฮาฮู้ว่าเจ้านางน้อยบ่มีทางคิดฮ้ายต่อผู้ใด แต่เจ้านางน้อยกำลังตกเป๋นเครื่องมือของใครบางคน” เจ้าศิริวงศ์จ้องมณีรินเขม็งพลางเล่าว่า หลังจากหลอกให้บัวเงินกับอีเม้ยออกไปจากห้องเครื่องแล้ว ตนก็ตามสล่าพัน มาช่วยพิสูจน์ความจริง ด้วยการใช้ช้อนเงินบริสุทธิ์ จิ้มลงในสำรับของเจ้าหลวงและเมื่อดึงออกมาช้อนส่วนที่แตะต้องอาหารก็กลายเป็นสีดำอย่างเห็นได้ชัด
มณีรินอึ้งไปพักใหญ่เมื่อได้ฟัง แล้วเอ่ยชื่อบัวเงินออกมา
“ตอนนี้เฮาได้แต่สงสัยเต่าอั้น เพราะคนตี้เข้าไปวุ่นวายใกล้ชิดกับสำรับป้อเจ้า นอกจากตั๋วแล้วก่อบ่มีไผ โชคยังดีตี้ วันนี้เฮาเปลี่ยนอาหารในสำรับตัน บ่จะอั้นคนตี้จะโจคฮ้ายตี้สุดนอกจากป้อเจ้าแล้วก่อคงบ่ป้นเจ้านางน้อยหรอก” เจ้าศิริวงศ์ นึกห่วง
“นี่เปิ้นหวังจะโยนผิดหื้อเฮาก๊ะเปิ้นยะไปเพื่ออะหยัง”
“บ่มีไผฮู้หรอกนอกจากตั๋วเปิ้นเอง ตั๋วอย่าเพิ่งโตกตาก เรื่องนี้ออกไปเน้อบ่จะอั้นเปิ้นจะไหวตั๋วทันเสียก่อน”
“ตั๋วจะยะอะหยัง”
“คนเฮายะความผิดอย่างบ่ได้ตั้งใจยังปอตี้จะหื้ออภัย กั๋นได้ แต่ถ้าจงใจ๋ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเปิ้นก่อสมควรได้ฮับการลงทัณฑ์และคนจะอี้ถ้าจับบ่ได้กาหนังกาเขาก่อคงบ่มีวันยอมฮับผิดหรอก” เจ้าศิริวงศ์ผละออกไป
มณีรินมองตามท่าทางคิดหนัก แต่ต้องตัดใจเดินกลับมาที่เรือน เธอเห็นคำเที่ยงกับเหล่าบริวารกำลังช่วยกันขึงไหมเส้นยืนลงบนหูก เตรียมให้ทอผ้า จึงทิ้งตัวลงนั่งกรอไหมออกลงหลอดเตรียมเอาไว้ใช้จกลาย แต่สักพักก็นั่งเหม่อคิดเรื่องบัวเงิน คำเที่ยงไม่ทันสังเกตอาการเจ้านางน้อยก็ชวนคุยยืดยาว
“ถ้าปุบปับได้ฤกษ์ใหม่มาเป๋นเดือนหน้า จะทอตันก๊ะเจ้าริน ไหมน้อยบ่ใจ้ฝ้ายเน้อ ไหมจะลายจกลายขิดปี้ว่าบ่ต้องหลับต้องนอนกั๋นละงานนี้ แต่ปี้ว่าแต่งเสียหื้อเสร็จโวยๆ ก่อดีคนบางคนตี้เปิ้นคิดอิจฉา จะได้หยุดคิดหยุดหาทางยะเรื่องบ่ดีเสียทีใจ่ก่อเจ้าริน...เจ้าริน” คำเที่ยงเขยิบเข้ามาขอความเห็น
“อะหยัง...ปี้คำเที่ยง” มณีรินสะดุ้งเพราะไม่ทันได้ฟัง
“ใจ๋ลอยไปถึงไหนน้อ บ่ฟังปี้เลยปี้ว่าเลื่อนวันแต่งงานขึ้นมาหื้อโวยขึ้นก่อดี อย่างน้อยเจ้าหลวงกับแม่เจ้าที่เจียงตุงก่อจะได้สบายใจ๋” คำเที่ยงถามซ้ำ
มณีรินฟังแล้วก็ยิ่งกลุ้ม แต่คนที่กลุ้มกว่าคือบัวเงิน เพราะร้อนใจที่เจ้าหลวงไม่ตายสมใจสักทีทั้งที่วันนี้เธอใส่ยาหนักกว่าทุกวัน อีเม้ยเอะใจเปรยว่า อาจมีคนล่วงรู้แผนการแล้วก็เป็นได้
“เป๋นไปบ่ได้ กูยะทุกอย่างแนบเนียนถ้าไอ้หงอกมันคลาดแคล้วก่อเป๋นเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยังบ่หันใจ๋กู...กูถูกกระทำย่ำยีปล้นชิงทุกสิ่งอย่างไปขนาดนี้จะไดบ่เข้าข้างกู...กูบ่เข้าใจ๋...เอาเต๊อะ คืนนี้กะปล่อยหื้อมันนอนหลับฝันดี วันพูกมันจะได้หันโลกนี้เป๋นครั้งสุดท้าย”
“หม่อมกะเจ้า เม้ยว่า หม่อมทิ้งระยะสักหน่อยหื้อแน่ใจ๋ว่าบ่มีไผสงสัยก้อยลงมือแหมครั้งจะบ่ดีกว่าก๊ะ”
“อีเม้ย...ยานี้มึงก่อเป๋นคนหามาเองมึงหมดความมั่นใจ๋ได้จะได มึงจะต้องทนหันอีมณีรินลอยหน้าลอยตาไปอีกนานแค่ไหน มึงบ่ฮักกูบ่เอ็นดูกูแล้วก๊ะอีเม้ย” บัวเงินน้ำตาคลอ
อีเม้ยใจอ่อนยวบคลานเข้ามากอดขาบัวเงินด้วย ความภักดี
ooooooo
มณีรินนั่งกระวนกระวายใจอยู่ในห้อง คำเที่ยงคลานเข้ามาเร่งให้เข้านอน เพราะดึกมากแล้ว มณีริน อึดอัดใจจนทนไม่ไหวบอกกับคำเที่ยงว่า เธอจะกราบทูลเจ้าหลวงเรื่องขอปฏิเสธการแต่งงานกับเจ้าศิริวัฒนา
“บ่ได้เน้อเจ้าริน กล้าอย่างอื่นละปี้ปอทนได้แต่ถ้าเจ้ารินกล้าจะอี้ ปี้ขอกลั้นใจต๋ายก่อนดีกว่า”
“เฮ้าฮู้ว่ามันเป็นเรื่องเจ็บปวดสำหรับหลายๆคน แต่มันก่อเป๋นเรื่องดี เหมือนเป๋นกุญแจไขความทุกข์ของอีกหลายๆ คนเน้อปี้คำเที่ยง อย่างน้อยเฮาก่อเจื้อว่า มันจะหยุดการกระทำ บ่ดีของคนบางคนได้”
“ปี้บ่อยากทายเลยว่าหม่อมบัวเงินเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แหมแล้ว”
“ปี้คำเที่ยงฮับปากเฮาก่อน ว่าฮู้เรื่องแล้วจะเก็บเป๋นความลับตี้สุด” มณีรินขอร้อง
คำเที่ยงพยักหน้ารับ มณีรินกระซิบบอกข้างหู คำเที่ยง หน้าซีดตกใจสุดขีด
เวลาเดียวกันนั้น อีเม้ยคลานเข้ามาดูแลบัวเงิน มันเห็นผู้เป็นนายจะบรรจงใส่ผงยาลงในตลับหัวแหวนก็เข้าไปจับมือไว้ แล้วหยิบขวดยาพิษนั้นขึ้นมาพลางรับอาสา
“วันพูกปล่อยหื้อเป็นธุระของเม้ยเองเจ้า”
เช้าวันใหม่ มณีรินเตรียมสำรับมาถวายเจ้าหลวงที่คุ้ม อีเม้ยรีบออกมารับสำรับไปจัดในห้องเครื่อง
มณีรินกับคำเที่ยงสบตากันแล้วเดินแยกออกไปคนละทาง อีเม้ยสบโอกาสแอบเทยาสั่งลงในอาหารแล้วรีบปิดฝาเตรียมยกขึ้นถวายเจ้าหลวง และไม่ทันเห็นมณีรินที่
แอบดูอยู่ ในขณะที่คำเที่ยงตัดสินใจจะไปทูลเรื่องที่เกิดกับเจ้าศิริวัฒนา แต่นั่งรออยู่นานเจ้าก็ยังไม่ออกจากห้องสักที นางจึงหันไปคว้ากระถางต้นไม้มาทุ่มเพื่อให้เกิดเสียงดัง เจ้าศิริวัฒนาได้ยินก็เปิดประตูออกมา คำเที่ยงรีบทูลเรื่องราวทันที
ครั้นเสร็จงานอีเม้ยก็รีบกลับไปรายงานบัวเงิน เพราะมั่นใจว่า วันนี้เจ้าหลวงต้องสิ้นแน่ บัวเงินยิ้มพอใจสั่งงานอีเม้ย นำผ้าผ่อนที่กองอยู่ตรงหน้าไปซักไปรีด
“เจ้าหม่อม จะไดเม้ยบ่หันชุดดำซักชุด ต้องเอามาเตรียมซักเตรียมรีดไว้นะเจ้า เพราะอย่างใดก่อต้องได้ใส่วันนี้ละ” อีเม้ยพูดเป็นนัย บัวเงินส่งยิ้มให้อย่างรู้กันแต่อดถามไม่ได้ว่า ยาที่ใส่ในสำรับจะทำให้เจ้าหลวงเจ็บปวดทรมานมากแค่ไหน
“เจ้าหม่อม บ่ตันได้เจ็บปวดก่อหยุดหายใจ๋แล้วเจ้า” อีเม้ยรีบบอก
“สุมาเต๊อะถ้าบ่ใจ๋ดำกับกูก่อน กูก่อบ่ต้องยะจะอี้หรอก” บัวเงินว่า แล้วบริวารคนหนึ่งก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามารายงาน “หม่อมกะเจ้า...หม่อม...เกิดเรื่องอะหยังก่อบ่ฮู้ตี้ตึกใหญ่ทหารวิ่งกั๋นหื้อวุ่นวาย ข้าเจ้าได้ยินว่าทหารอีกพวกนึง กำลังจะไปตำหนักเจ้านางมณีรินก๊ะเจ้า”
บัวเงินตาวาวแล้วรีบเก็บอาการแอบเปรยกับอีเม้ยว่า วันนี้คงได้ใส่ชุดดำแน่
ด้านเจ้าศิริวัฒนาเมื่อได้รู้ความจริงจากคำเที่ยง ก็โกรธมากรีบมาต่อว่าเจ้าศิริวงศ์
“ถ้านังคำเที่ยงมันบ่มาบอกเรื่องนี้กับเฮา เฮาก่อคงบ่มีวันได้ฮู้หรอกว่ามีคนจัญไรมันคิดชั่วได้ถึงขนาดนี้ใจ้ก่อศิริวงศ์”
“น้องบ่ได้คิดจะปิดบังเจ้าอ้ายหรอก เพียงแต่ต้องการจะฮื้อแน่ใจเสียก่อน เรื่องนี้เรื่องใหญ่โทษหนักยิ่งกว่าอาญาแผ่นดินข้อไหน” เจ้าศิริวงศ์ชี้แจงพลางหันมามองคำเที่ยงที่นั่งตัวลีบ
“ลำพังอีขี้ข้ามันจะกล้ายะเรื่องเลวทรามนี่ได้จะได ถ้ามันบ่มีคนบงการมัน” เจ้าศิริวัฒนามั่นใจ
คำเที่ยงเห็นท่าไม่ดีรีบออกมาตามหามณีริน บริวารคนหนึ่งบอกว่าเห็นเจ้านางน้อยเดินไปทางเรือนบัวเงิน คำเที่ยงใจหายวาบรีบพาบริวารตามไป
ooooooo
มณีรินตัดสินใจมาพบบัวเงิน หวังจะเตือนสติให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ แต่กลับโดนตวาด
“บ่ต้องมาสั่งสอนเฮา เอาตั๋วหื้อรอดเสียก่อนเต๊อะเจ้านางมณีริน ข้อหาวางยาเจ้าหลวงจะไดโทษก่อถึงตัดหัวบ่มีละเว้น”
“เอื้อยจังเฮาขนาดนี้จะไดบ่มุ่งฮ้ายต่อเฮาคนเดียว เจ้าหลวงเปิ้นเกี่ยวข้องอะหยังโตย”
“ไหนว่าตัวเองฉลาดหลักแหลมนักไง”
“เอื้อยบ่ได้ต้องการเป๋นแค่ชายาเจ้าศิริวัฒนา แต่เอื้อย ต้องการขึ้นเป็นแม่เจ้าบัวเงินแห่งเชียงใหม่ เสียคราวเดียว” มณีรินเอ่ยออกไป
บัวเงินระเบิดหัวเราะ มณีรินพอเข้าใจรีบยืนยัน “เฮาบอกเอื้อยกี่ครั้งกี่หนแล้ว ว่าบ่ได้อยากเป็นพระชายา บ่ได้อยากเป็นแม่เจ้าเวียงเชียงใหม่ บ่ได้อยากแต่งงานกับเจ้าศิริวัฒนา”
“ตอแหล...กูบ่เจื้อมึงหรอก บ่อยากแต่งงานกับเจ้าอ้ายของกู...แล้วจะไดมาลอยหน้าลอยตาอยู่ได้ แอ่วเมือง
เจียงใหม่เต็มตาแล้วก่อปิ๊กบ้านป่าเมืองเถื่อนของมึงไปก๊า”
“เฮาก่อตั้งใจ๋จะยะจะอั้น แต่เฮายะบ่ได้เฮาก่อลูกแม่ญิงเหมือนกั๋น จะไดเอื้อยบ่เข้าใจความฮู้สึกของเฮา”
“แล้วจะได มึงบ่เข้าใจ๋ความฮู้สึกของคนตี้ถูกแย่งของฮักไปจากหัวใจ๋อย่างกูพ่อง”
“เฮาสองคนเหมือนเดินกั๋นอยู่บนเส้นขนาน บ่มีวันมาบรรจบกันได้ เพราะอคติของเอื้อยแต๊ๆ”
“มานึกเสียดายชีวิตตอนนี้มันก่อสายเกินไปแล้วเจ้านางมณีริน...อโหสิกรรมเน้อ เตรียมปิ๊กบ้านเกิดอย่างผีตี้คน
เจียงใหม่บ่ต้อนฮับ แม้แต่ศพก็บ่ต้องการให้ฝังหื้อเป็นเสนียดจัญไรเต๊อะ” บัวเงินยิ้มหยัน
มณีรินท้อใจจำต้องถอยออกมา เธอพบคำเที่ยงกำลังปะทะคารมอยู่กับอีเม้ยที่หน้าเรือน
“มึงคงฮู้แล้วก๊ะว่านายมึงบ่มีบารมีปอจะคุ้มกะลาหัวมึงได้ มึงไปจัดดอกไม้ธูปเทียนมากราบตีนกูเหียก่อน นายกูเปิ้นจะเมตตาฮับมึงเป๋นขี้ข้าตำหนักนี้หรือบ่ฮับก่ออยู่ตี้กู” อีเม้ยหัวเราะร่วน
“คนอย่างกู ถ้าจะต้องยอมเป๋นขี้ข้านายมึง กูขอไหว้หมาข้างถนนเหียยังดีกว่า” คำเที่ยงตอกกลับ แล้วหันไปเรียกมณีรินให้รีบกลับเรือนเพราะพวกทหารกำลังมา
“หนีกั๋นหัวซุกหัวซุนก๊ะ กูอยากใคร่หัว...อาญาแผ่นดินน่ะ ต่อหื้อหน้าไหนก่อบ่มีละเว้นหรอกโว้ย” อีเม้ยสะใจ
“มึงใคร่หัวเหียหื้อปออีเม้ย เพราะทหารตี้กำลังมาเปิ้นมาจับมึงไปตัดหัวน่ะแหละ” คำเที่ยงตะโกนสวน
อีเม้ยชะงักกึก รีบออกไปสืบข่าว
ooooooo
เตารีดเหล็กถูกนาบลงบนผืนผ้า เห็นไอความร้อนคลุ้งตลบ บัวเงินยืนสะใจอยู่มุมหนึ่ง เพราะคิดว่ายังไงมณีรินก็ต้องรับเคราะห์
อีเม้ยลนลานเข้ามาเรียก “หม่อมกะเจ้า...หม่อม...ทหารมันกำลังมา”
“มึงจะตื่นเต้นไปยะหยังอีเม้ย พวกมันแห่กั๋นมาจับอีมณีรินน่ะแหละ”
“หม่อมกะเจ้า...เจ้าหลวงยังบ่ตาย...ความแตกเสียแล้วกะเจ้าหม่อม ทหารมันมาจับหม่อมกับเม้ย บ่ใจ้อีมณีริน” อีเม้ยสลด
บัวเงินหน้าซีดเผือดโวยวายลั่น โทษว่าเป็นความผิดของอีเม้ย
“อีบ้า...อีง่าว เพราะมึงคนเดียว มึงยะจะไดหื้อเปิ้นจับได้ มึงกับกูบ่มีทางรอดแน่แล้วอีเม้ย”
“หม่อมกะเจ้า หม่อมบ่ต้องกลั๋ว ถ้าจะต้องตาย เม้ยขอตายแทนหม่อม เม้ยบ่เสียดายชีวิต เม้ยจะปกป้องหม่อมด้วยชีวิตของเม้ยเอง”
“มึงจะยะจะได”
“หม่อมโยนความผิดทั้งหมดมาหื้อเม้ย เม้ยจะฮับไว้คนเดียว” อีเม้ยยืดอกรับ สายตาเต็มไปด้วยความภักดี
ที่หน้าเรือน คำเที่ยงกำลังชวนมณีรินกลับพลางปลอบ “ทำใจ๋เหียเต๊อะเจ้าริน คนทำชั่วก่อต้องได้ฮับกรรมชั่ว คนอย่างหม่อมบัวเงินบ่น่าหื้อโอกาสอะหยังแหมแล้ว ปล่อยหื้อเปิ้นจัดการกั๋นเองเต๊อะ” คำเที่ยงพูดจบเจ้าศิริวัฒนากับเจ้าศิริวงศ์พร้อมด้วยทหารก็มาถึง
เจ้าศิริวัฒนาตะโกนเรียกบัวเงิน แต่ไม่มีใครออกมา เจ้าศิริวัฒนาแค้นก้าวฉับๆนำทุกคนขึ้นไปบนเรือน มณีรินรีบตามไปด้วย
ทั้งหมดเข้าไปหาบัวเงินในห้องรีดผ้า บัวเงินเห็นก็ตกใจหันมามองอีเม้ย อีเม้ยคลานเข้ากอดขาบัวเงินร้องไห้ฟูมฟาย “เม้ยผิดไปแล้วกะเจ้าหม่อม ยกโทษหื้อเม้ยด้วย”
“อีสารเลว...คนกิ๋นบนเฮือนขี้บนหลังคาอย่างมึง
เกิดมาเป๋นคนได้จะได อีคนอกตัญญู” บัวเงินสวมบทโหดจิกหัวอีเม้ย แล้วตบไม่เลี้ยง จนเจ้าศิริวัฒนาต้องร้องห้าม
บัวเงินทำเนียน “น้องเพิ่งฮู้ความจริงว่าอีสารเลวนี่มันยะอะหยังลงไป น้องละอายใจ๋นักตี้หลงผิดเลี้ยงงูพิษไว้กับตั๋ว”
แต่เจ้าศิริวัฒนาไม่เชื่อสั่งให้ทหารจับตัวทั้งคู่ไป ทหารจะกรูกันเข้ามาจับบัวเงินกับอีเม้ย
อีเม้ยลนลานคลานเข้ามากราบศิริวัฒนาสารภาพว่า มันเป็นคนทำเรื่องทั้งหมดเอง บัวเงินไม่เกี่ยวและไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆทั้งสิ้น
“กูบ่เชื่อ ผีฮ้ายตัวไหนมันดลใจมึงอีเม้ย” เจ้าศิริวัฒนาโกรธจัด
“ข้าเจ้าแค้นใจที่เจ้าหลวงเปิ้นสั่งโบยข้าเจ้า ยาสั่งนั่นข้าเจ้าก็หามาเองใส่ยาลงในสำรับข้าเจ้าก่อยะเอง”
“อีสารเลว กูหลงเลี้ยงคนผิดมานมนาน กูบ่คิดเลยว่ามึงจะชั่วช้าจะอี้” บัวเงินจิกหัวอีเม้ยแล้วตบอีกชุดใหญ่
อีเม้ยยอมให้ตบ ล้มคว่ำคะมำหงายไปมา “เจ้าหลวงเปิ้นอยู่เหนือหัวมึง มึงยังคิดปองฮ้ายได้ มึงมันบ่ใจ้คนแล้ว” บัวเงินคว้าเตารีดเหล็กบนเตาถ่านขึ้นมากำแน่นแล้วนาบลงไปบนหน้าอีเม้ย
อีเม้ยกรีดร้อง ดิ้นทุรนทุรายท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน
“โทษตัดหัวเจ็ดชั่วโคตรก่อยังบ่สาสมความผิดของมึง อีเม้ย” บัวเงินตวาดลั่น
อีเม้ยดิ้นทุรนทุรายไปจนถึงมุมห้อง มันดึงมีดปลายแหลมในฝักที่เหน็บเอวอยู่ออกมาเงื้อขึ้นสุดแขน แต่สายตาของมันมองมาที่บัวเงินอย่างสั่งเสียครั้งสุดท้าย แล้วจ้วงแทงตัวเองไม่ยั้ง
เจ้าศิริวัฒนากับเจ้าศิริวงศ์เบือนหน้าหนีภาพความสยดสยอง ขณะที่มณีรินแทบกรีดร้อง บัวเงินจ้องมองความเด็ดเดี่ยวของอีเม้ยตาไม่กะพริบซึ้งน้ำใจมันที่สุด
อีเม้ยค่อยๆแน่นิ่งขาดใจตายแต่ยังลืมตาโพลง
ooooooo
เจ้าศิริวัฒนานำความเรื่องอีเม้ยเข้ากราบทูลเจ้าหลวงและพระชายา แต่ดูท่าเจ้าหลวงยังคลางแคลงใจจึงเอ่ยถาม “แล้วอีบัวเงิน มันว่าจะได มันเป๋นนายเป๋นบ่าวกั๋น”
“ก่อนมันแทงตั๋วต๋าย มันว่ามันยะเรื่องนี้ลำพัง นายมันบ่ได้ฮู้เห็นเป๋นใจ๋” เจ้าศิริวัฒนาตอบ
เจ้าศิริวงศ์ที่นั่งอยู่ด้วยยังคาใจแต่พูดไม่ออก
“สั่งลงไป...ศพมันให้เอาไปทิ้งในป่า ให้สัตว์เดรัจฉานฉีกกินเนื้อมันบ่ต้องฝังบ่ต้องเผาบ่ต้องยะพิธีอะหยังหื้อมันทั้งสิ้น” เจ้าหลวงมีคำสั่ง
พระชายาได้แต่ปลงอนิจจังภาวนาว่า เรื่องเลวร้ายคงจบลงเพียงเท่านี้ เช่นเดียวกับคำเที่ยงที่เปรยกับมณีรินว่า สิ้นอีเม้ยแล้ว บัวเงินคงจะสงบเสงี่ยมลงได้บ้าง
มณีรินได้แต่นั่งฟังนิ่งด้วยรู้ว่าบัวเงินไม่หยุดแค่นี้แน่ คำเที่ยงเห็นเจ้านางน้อยว่าอะไรก็คุยต่อ “หมดเรื่องหมดราวถอนใจ๋แล้ว ตี้นี่เจ้ารินก่อตั้งใจทอผ้าตุ๊มผืนนั้นหื้องามๆเลยเน้อ”
มณีรินฟังแล้วก็หนักใจ
ด้านเจ้าศิริวงศ์ก็หนักใจไม่แพ้กัน เขามาปรึกษากับสล่าพัน เพราะไม่คิดว่าอีเม้ยจะตัดสินใจแบบนี้
“มันคงฮักนายมันนักขนาด ถึงได้ปกป้องนายมันด้วยวิธีนี้นะครับเจ้า”
“อ้ายพัน...อ้ายคิดว่าบ่มีนังเม้ยเหียคน เอื้อยบัวเงินจะหมดเขี้ยวเล็บจริงๆก่อ”
“ผมบ่แน่ใจ๋หรอกเจ้า แต่เต่าตี้ผ่านมา อย่างนึงตี้ผมหันเป๋นสัจธรรมถ้าเฮาคิดดีสิ่งชั่วร้ายก่อทำอะหยังเฮาบ่ได้หรอก คนชั่วอย่างใดก่อต้องแป้ภัยตั๋วเองครับเจ้า” สล่าพันให้ความเห็น
เจ้าศิริวงศ์ครุ่นคิดตาม
กลางดึกคืนนั้น มณีรินแอบลงมาในสวนเพื่อพบกับเจ้าศิริวงศ์ที่รออยู่ เจ้าศิริวงศ์ที่ซุ่มอยู่ในมุมมืด ฉุดมณีรินหายเข้าไปหลังต้นไม้ใหญ่
“เฮามารอตั๋วตั้งแต่หัวค่ำ เฮาฮู้ว่าจะไดตั๋วก่อต้องลงมาหาเฮา” เจ้าศิริวงศ์กอดมณีรินไว้แน่น
“เฮาข่มตาหื้อหลับลงบ่ได้แม้แต่นาทีเดียว เพราะเฮาฮู้ว่าตั๋วต้องอยู่ตรงไหนสักแห่งบ่ไกลเฮา”
“ตั๋วทรมานจิตใจ๋เฮานักขนาด เจ้านางน้อย” เจ้าศิริวงศ์จูบมณีรินแล้วต้องชะงัก เพราะเธอน้ำตาไหลอาบแก้ม “จะได ตั๋วไห้”
“เฮากำลังยะความผิดมหันต์ เจ้าน้อย ความฮักมันกำลังทำร้ายเฮา เฮาเจ็บปวดทรมานนัก” มณีรินสะอื้น
เจ้าศิริวงศ์กอดเธอไว้แน่นความรู้สึกมิได้แตกต่างกันเลย
เวลาเดียวกันนั้น คำเที่ยงก็คลานเข้ามาข้างเตียง
มณีรินพลางเอาหน้าแนบมุ้งดูความเรียบร้อย แล้วต้องชะงักเพราะในมุ้งไม่มีเจ้านางน้อย คำเที่ยงหันไปทางประตู เห็นเปิดอ้าค้างไว้ก็แปลกใจและคิดไปสารพัด ก่อนตัดสินใจตามลงไปที่สวน แล้วภาพที่เห็นก็คือ มณีรินอยู่ในอ้อมกอดเจ้าศิริวงศ์
“ถ้าเฮามีความกล้ากว่านี้ เรื่องร้ายๆมันอาจจะบ่เกิดขึ้นก่อได้ เฮาบอกเอื้อยบัวเงินไปแล้ว แต่จะไดเฮาบ่มีความกล้าปอตี้จะบอกความจริงจากใจ๋ของเฮาหื้อเจ้าอ้ายของตั๋วฟัง” มณีรินเอ่ยกับเจ้าน้อยทั้งน้ำตา
“ตั๋วปล่อยเรื่องนี้หื้อเป๋นหน้าที่ของเฮาเต๊อะ เฮาเป็นลูกป้อจาย เฮาจะเป๋นฝ่ายบอกเจ้าอ้ายของเฮาเอง เฮาเจื่อว่าเจ้าอ้ายจะต้องเข้าใจ๋เฮาสองคน” เจ้าศิริวงศ์เช็ดน้ำตา
มณีรินด้วยการจูบอันนุ่มนวล “หยุดไห้เต๊อะเจ้านางน้อย บ่มีอะหยังสายเกินไป ทำใจหื้อสบายเฮาบ่มีวันทอดทิ้งเจ้านางน้อยหรอก ปิ๊กขึ้นตำหนักเต๊อะ”
ทั้งคู่จูบลากันอย่างดูดดื่ม ก่อนจะผละอกจากกัน แล้วพลันชะงัก เมื่อเห็นคำเที่ยงยืนตะลึงตัวแข็งอยู่ไม่ไกล เพราะรู้เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง
ooooooo
เจ้าศิริวงศ์จะเดินขึ้นบันได เจ้าศิริวัฒนาที่รออยู่ร้องทักพลางเอ่ยถามว่าไปไหนมา เจ้าศิริวงศ์เสียวสันหลังวาบตอบว่า นอนไม่หลับเลยลงไปอ่านหนังสือในห้องสมุด
“อ้ายก็เพิ่งออกมาจากห้องสมุด เดี๋ยวนี้เอง” เจ้าศิริวัฒนาแปลกใจ
“น้องอ่านหนังสือเล่มใดก่อบ่เข้าหัว ก็เลยออกไปเดินเล่นในสวน”
“เฮาก็เลยคลาดกันเนาะ เครียดอะหยังถึงนอนบ่หลับ”
“บ่มีอะหยังครับ เจ้าอ้าย” เจ้าศิริวงศ์ขยับจะเดินหนี แต่เจ้าศิริวัฒนาเรียกไว้พร้อมกับเอ่ยคำขอบใจที่เจ้าน้อยช่วยเป็นหูเป็นตาแทน โดยเฉพาะเรื่องมณีริน
เจ้าศิริวงศ์กระอักกระอ่วนอยากบอกความจริงกับพี่แต่ไม่กล้า เจ้าศิริวัฒนาสังเกตเห็นก็ซักต่อ
“ตั๋วมีอะหยังจะอู้กับอ้ายก่อ ท่าทางตั๋วเหมือนมี
อะหยังอยากจะอู้”
เจ้าศิริวงศ์นิ่งคิดแล้วตัดสินใจ ไม่พูดดีกว่าจึงปฏิเสธ “บ่ครับ...บ่มีอะหยัง”
“ดึกแล้ว ขึ้นนอนกั๋นเต๊อะ” เจ้าศิริวัฒนากอดคอเจ้าศิริวงศ์ขึ้นบันไดไปด้วยกัน
ขณะที่สองพี่น้องเข้าพักผ่อนในห้อง คำเที่ยงกลับนั่งร้องไห้สอบปากคำมณีรินอยู่ในเรือน เพราะอยากรู้ว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นได้อย่างไร
“เฮาพยายามแล้วปี้คำเที่ยง แต่เฮาห้ามใจ๋ตั๋วเองบ่ได้” มณีรินแทบจะไม่มีเสียง
“จะอี้แล้วปี้จะมีหน้าปิ๊กไปเข้าเฝ้าป้อเจ้า แม่เจ้า ที่เชียงตุงได้จะไดปี้บ่มีปัญญาดูแลเจ้ารินหื้อดีอย่างตี้เปิ้นสั่งมาได้...ปี้อยากต๋ายเจ้าริน ปี้อดสูใจ๋นัก” คำเที่ยงน้ำตาไหลพราก
“ปี้คำเที่ยง ความฮักมันบ่เข้าไผออกไผ มันกำหนดกฎเกณฑ์บ่ได้ มันเป๋นเรื่องบุญทำกรรมแต่งกั๋นมา เฮากับเจ้าน้อยฮักกัน มันเป๋นความจริงตี้เกิดขึ้นแล้ว เฮาสัญญาฮักกั๋นแล้ว”
“ตี้บ่อยากแต่งกับเจ้าอ้ายของเปิ้นก่อเพราะเหตุนี้นี่เอง เจ้าริน น้อ...เจ้ารินแล้วทีนี้จะยะจะไดกัน”
“เฮาฮู้ว่าปี้คำเที่ยงตุ๊กใจ๋นักขนาด แต่ความจริงมันก่อต้องเป๋นความจริงเน้อปี้คำเที่ยงต้องยอมฮับมันหื้อได้”
“แล้วเจ้ารินคิดว่า คนอื่นเปิ้นจะยอมฮับมันได้ก๊า เจ้าศิริวัฒนาเปิ้นเตรียมงานแต่งไปแล้วเน้อเปิ้นจะว่าจะได ถ้าเปิ้นฮู้ความจริง ปี้กลั๋วนักขนาดเจ้ารินปี้กลั๋ว” คำเที่ยงหนักใจยิ่งนัก
มณีรินเข้ามากอดคำเที่ยง “ถึงเวลานั้น อะหยังจะเกิดมันก็ต้องเกิดปี้คำเที่ยง เฮาบ่กลั๋ว เฮาบ่กลั๋ว” มณีรินพร่ำปลอบใจตัวเองท่ามกลางความเย็นเยือกหนาวสะท้าน
เวลาเดียวกันนั้น บัวเงินก็นำของสดของคาวหลายอย่างจัดใส่กระทงวางบนตั่ง แล้วจุดธูปดอกเดียวไหว้ผีอีเม้ย เธอปักธูปลงแล้วหยิบห่อผ้าขาวชิ้นเล็กออกมาคลี่เปิดออก มีเส้นผมอีเม้ยปอยหนึ่งถูกเก็บรักษาไว้ในผ้าห่อนั่น บัวเงินหวนนึกถึงคำสั่งเสียครั้งสุดท้ายของอีเม้ย
“ถึงเม้ยมีอันเป๋นไป หม่อมก่อบ่ต้องเสียใจ๋ หม่อมตัดผมกลางกระหม่อมของเม้ยไว้เก็บฮักษาไว้หื้อดี ทุกคืนวันโกนขึ้นหนึ่งค่ำสิบห้าค่ำ แรมหนึ่งค่ำสิบห้าค่ำหม่อมหาเลี้ยงเม้ยด้วยของสดของคาวเรียกหาเม้ย เม้ยจะมาฮับใจ้หม่อมทุกอย่างตี้หม่อมสั่ง เม้ยบ่ได้จากไปไหนจะอยู่ฮับใจ้หม่อมตลอดไปเจ้า” อีเม้ยกราบแล้วกอดตีนบัวเงินด้วยความจงรักภักดียิ่ง
บัวเงินค่อยๆบรรจุปอยผมอีเม้ยลงในตลับไม้ทั้งน้ำตา พลางเรียกหา “อีเม้ย...บ่มีมึง กูสิ้นหวังในชีวิตนัก มึงอยู่ตี้ใด มาปรากฏตั๋วหื้อกูได้หัน มากิ๋นของอย่างตี้มึงสั่งเสียไว้เต๊อะอีเม้ย มึงได้ยินกูก่อ กูคิดถึงมึงนัก บ่มีผู้ใดซื่อสัตย์ต่อกูเต่ามึงแล้ว อีเม้ย มากิ๋นเครื่องเซ่นของกูเต๊อะ” สิ้นคำ ลมกระโชกแรงเข้ามา ทางหน้าต่างผ้าม่านสะบัดปลิว เทียนในห้องดับลง
บัวเงินหันควับไปมองมวลสารไม่มีรูปทรงชัดเจน รวมตัวกันเป็นสายเป็นก้อนสีเทาดำไหลพุ่งเข้ามาทางหน้าต่างวนรอบตัวบัวเงินแล้วไหลลงกองกับพื้นตรงหน้า บัวเงินแทบช็อก แล้วมวลสารสีเทาดำนั้นก็ค่อยๆเลื่อนออกกลายร่างเป็นผีอีเม้ยที่หมอบอยู่
“หม่อมกะเจ้า ทูนหัวของเม้ย”
ooooooo
บัวเงินอุ่นใจขึ้นมาก เมื่อมีผีอีเม้ยเคียงข้าง เธอแสร้งทำสงบเสงี่ยมเจียมตนขึ้นมารับใช้เจ้าหลวง พระชายา และเจ้าศิริวัฒนาบนคุ้ม หวังได้รับความเมตตาดังเดิม แต่ดูท่าเจ้าหลวงกับเจ้าศิริวัฒนายังไม่วางใจจึงพากันเฉยชาใส่ บัวเงินน้ำตารื้นขอความเห็นใจจากพระชายา
“เจ้าหลวงเปิ้นคงจังข้าเจ้านัก แม้แต่เจ้าอ้ายก่อจังน้ำหน้าข้าเจ้า”
“เจ้าอย่าคิดมากไปเลยบัวเงิน อีกสักพักพอลืมๆเรื่องนังเม้ยอะหยังๆก่อจะดีขึ้นเอง ตั๋วเจ้าก่อหมั่นขยันทำความดีเอาไว้เต๊อะ บ่เสียหลายหรอก” พระชายาให้กำลังใจ
บัวเงินยิ้มรับเศร้าๆ ดูเหมือนสงบเยือกเย็นลงมาก เธอกราบลาพระชายาแล้วเดินลงมาจากคุ้มตั้งใจจะกลับเรือน แต่ระหว่างทางพบมณีรินกับบริวารกำลังนำสำรับสำหรับมื้อกลางวันมาถวายเจ้าหลวง บัวเงินจำต้องหยุดแล้วหลีกทางให้ แต่แอบส่งสายตาอาฆาตให้มณีริน มณีรินหันมาเห็นพอดี เธอไม่สบายใจเมื่อเจอสายตาคู่นั้น
“มีอะหยังหื้อปี้จ่วยก่อบอกเน้อ เจ้านางน้อย เรื่องเตรียมงานแต่งน่ะ” บัวเงินแสดงน้ำใจ
มณีรินอึ้งไม่รู้ว่าบัวเงินจะมาไม้ไหนอีกแต่จำต้องตอบกลับ “บ่เป๋นหยังหรอกเอื้อย ยินดีนัก” แล้วมณีรินก็เดินนำขบวนขึ้นตึกไปทางห้องเครื่อง บัวเงินมองตามนิ่ง
หลังจากจัดแจงสำรับเรียบร้อยแล้ว มณีรินก็กลับมาทอผ้าต่อ แต่เพราะใจคอว้าวุ่นทำให้เธอไม่มีสมาธิทอผ้านัก จึงลุกออกมา คำเที่ยงเข้ามาขวางถามว่า เจ้ารินจะไปไหน
“เฮาต้องการความเป๋นส่วนตั๋วพ่อง ปี้คำเที่ยง”
“เดี๋ยวนี้ปี้หมดความสำคัญแล้วก๊ะเจ้าริน”
“บางเวลา คนเฮาก่อต้องการความสงบ เพื่อคิดบางอย่างด้วยตั๋วเอง ปี้คำเที่ยง”
“ถ้าจะอั้น ปี้ก่อขอหื้อคุณพระคุณเจ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลใจเจ้ารินเน้อว่า สิ่งตี้เจ้ารินกำลังยะอยู่มันบ่ถูกบ่ควร เจ้ารินต้องคิดถึงป้อเจ้าแม่เจ้าที่เชียงตุงหื้อนักๆเน้อ” คำเที่ยงเตือนสติ แต่มณีรินเดินออกไปแล้ว
มณีรินเดินเข้ามาในห้องหนังสือ หวังหามุมสงบเพื่อดับความว้าวุ่นใจ แต่ต้องชะงักเพราะเจ้าศิริวงศ์อยู่ในห้องนั้นด้วย ทั้งคู่สบตากันระยะไกลๆ แล้วเหมือนมีแรงดึงดูด ทำให้ทั้งคู่เคลื่อนเข้าหากันด้วยแรงเสน่หา
เวลาเดียวกันนั้น เจ้าศิริวัฒนาก็เดินออกมาจากห้องทำงาน และกำลังมองหาเจ้าศิริวงศ์ เพราะจะปรึกษาเรื่องงาน สล่าพันผ่านมาพอดี เจ้าศิริวัฒนาจึงถามหาน้องชาย สล่าพันว่า เจ้าน้อยอยู่ในห้องหนังสือ
“อ้าว...เหรอ ขอบใจ๋เน้ออ้ายพัน” เจ้าศิริวัฒนาเดินตรงไปที่ห้องหนังสือ
ขณะที่เจ้าศิริวงศ์กับมณีรินก็กำลังพลอดรักกันอยู่ ประตูห้องถูกเปิดเข้ามา ทั้งคู่ชะงัก เจ้าศิริวัฒนาก้าวเข้ามาในห้องพลางเรียกหาเจ้าน้อย
เจ้าศิริวงศ์ตัดสินใจไม่แสดงตัว แต่พามณีรินหลบเข้ามุมมิดชิด ทั้งคู่เบียดกันเป็นร่างเดียวในมุมแคบๆนั้น เจ้าศิริวัฒนาเดินมามองหาเกือบจะถึงซอกที่ทั้งคู่ซ่อนตัวกันอยู่ แต่กลับเปลี่ยนใจเดินกลับออกไป
เจ้าศิริวัฒนาเดินออกมาที่ระเบียง สล่าพันเดินเข้ามาถาม “บ่ปะเจ้าน้อยก้าครับเจ้า”
“บ่ปะ”
“ผมหันกับตาว่าเจ้าน้อยเปิ้นอยู่ในนั้นนะครับ เอ...รึว่าจะออกไปตั้งแต่ตอนไหน” สล่าพันมั่นใจ
“ช่างเต๊อะ บ่เป๋นหยัง” เจ้าศิริวัฒนาเดินจากไป ทิ้งให้สล่าพันยืนคาใจ
ooooooo
“ถ้าเฮาสองคนมีอันต้องพรากจากกัน...” มณีรินนึกกลัวหันมาเอ่ยกับเจ้าศิริวงศ์
“บ่...อย่าอู้จะอั้น เจ้านางน้อย เพราะเฮาสองคนจะบ่มีวันพรากจากกั๋น แม้แต่ความต๋าย เจ้านางน้อยจงมั่นใจ๋ในตั๋วเฮาเน้อ เจ้านางน้อยคือฮักแรก ฮักแต๊ และจะเป๋นฮักเดียวของเฮาตลอดไป” เจ้าศิริวงศ์ให้คำมั่นพลางกระชับอ้อมกอด
มณีรินอบอุ่นใจและมั่นใจขึ้นมาก ความหวาดกลัวมลายหายไปสิ้น เธอเอ่ยคำลาเพื่อจะกลับไปที่เรือน
เจ้าศิริวงศ์เดินออกไปเปิดประตูห้อง แล้วเดินนำออกไป เป็นจังหวะเดียวกับที่สล่าพัน ซึ่งนั่งทำงานอยู่แถวนั้น เงยหน้าขึ้นเห็นพอดี
“อ้าว...เจ้าน้อยก่ออยู่ในห้องนั้น จะไดเจ้าอ้ายเปิ้นบ่ปะ” สล่าพันขยับจะตามไปบอกศิริวงศ์ว่า เจ้าศิริวัฒนาตามหา แต่ต้องชะงักค้าง เพราะเห็นมณีรินเปิดประตูออกมาจากห้องเดียวกัน และแยกออกไปอีกทาง
สล่าพันตัวแข็งไม่กล้าขยับเขยื้อน สิ่งที่พบเจอจะหมายความเป็นอื่นไปได้อย่างไร แต่ไม่ใช่แค่สล่าพันเท่านั้นที่เห็น เพราะผีอีเม้ยก็เห็นเช่นกัน
กลุ่มมวลสารสีเทาดำ เคลื่อนผ่านพระจันทร์ แล้วไหลเข้ามาในห้องบัวเงิน พร้อมกับเสียงโหยหวน
ผีอีเม้ยปรากฏตัว มันเข้ามาหาเจ้านาย “หม่อมกะเจ้า... เม้ยฮู้แล้วว่าหม่อมจะเล่นงานอีมณีรินมันได้จะได” ผีอีเม้ยแสยะยิ้มพลางรายงานสิ่งที่เห็นให้บัวเงินฟัง
บัวเงินสะใจยิ่งนักเอ่ยชม “มึงยะการได้ถูกใจ๋กูนักอีเม้ย มันคงคิดว่าบ่มีมึงแล้วกูจะสิ้นเขี้ยวเล็บ”
“หม่อมต้องรีบฉวยโอกาสทองนี้นะเจ้า”
“เออ...กูฮู้...แต่ไหนๆกูจะได้เล่นงานอีมณีรินหื้อมันได้ฮับความอัปยศอดสูจนถึงที่สุด แล้วกูจะหื้อเจ้าอ้ายจับหื้อได้คาหนังคาเขา กูอยากจะหันน้ำหน้าเจ้าอ้ายนักตี้คิดว่ามันเลอเลิศเป๋นนางฟ้านางสวรรค์ แต๊จริงแล้วมันสกปรกโสมมปานใด” บัวเงินยิ้มร้าย
ooooooo










