ตอนที่ 11
พระจันทร์เต็มดวงสาดแสงลงมายังลานวัด โคมประทีปสว่างไสวราวกับแข่งรัศมีกับแสงจันทร์ ช่างฟ้อนประทีปร่ายรำอยู่หน้าลานพระธาตุ ผู้คนมากมายเบียดเสียดกันเต็มลาน
เจ้าศิริวัฒนาเดินเคียงคู่มากับมณีริน คำเที่ยงและบริวารตามเสด็จทุกคนตื่นตาตื่นใจกับผู้คนและบรรยากาศ
มณีรินมองหาเจ้าศิริวงศ์แต่ไม่เห็นแม้เงา เธอจำใจลอยกระทงกับเจ้าศิริวัฒนา คำเที่ยงรอจนกระทงของทั้งสองลอยคู่กันไป แล้วจึงกระซิบถามมณีรินว่าจะทำอย่างไรกับกระทงที่ทำมาเผื่อเจ้าศิริวงศ์
“อ้าวกระทงเหลืออีกใบนึ่งของใครกันล่ะ” เจ้าศิริวัฒนาหันมาเห็นพอดี
“ข้าเจ้ายะไว้เผื่อเจ้าน้อยเปิ้นเจ้านึกว่าเปิ้นจะมาตวย”
“อ้ายก่อจวนเปิ้นแล้ว เปิ้นว่าอยากจะยะงานหื้อเสร็จก่อน แต่เจ้ารินเจื่ออ้ายเต๊อะตอนนี้เปิ้นก่อคงอยู่ตรงไหนซักตี้ในงานนี้แหละ คนอย่างเจ้าน้อยอดใจ๋บ่ไหวหรอก” เจ้าศิริวัฒนามั่นใจ
มณีรินชะเง้อมองหา เจ้าศิริวงศ์ที่แอบดูอยู่ในมุมมืดรีบหลบหลังต้นไม้ มณีรินยังไม่สิ้นหวัง เธอแย่งกระทงจากคำเที่ยงมาถือเอง แล้วเดินตามเจ้าศิริวัฒนาเข้าไปในลานวัด แต่จู่ๆมีมือดีจุดพลุตะไลลูกใหญ่ขึ้นมา คำเที่ยงกับเหล่าบริวารร้องกรี๊ดกร๊าดวิ่งหนีกันอลหม่านทั้งสนุกทั้งตกใจ
มณีรินพลัดจากคำเที่ยงและเจ้าศิริวัฒนา เจ้าศิริวงศ์สบโอกาสเข้าไปคว้าแขนพาออกไป ส่วนคำเที่ยงที่หลับหูหลับตาก็ดึงบริวารคนหนึ่งวิ่งหนีลูกไฟออกไปด้วยกันเพราะเข้าใจว่าเป็นมณีริน แต่เมื่อรู้ว่าไม่ใช่ก็โวยลั่นรีบทูลให้เจ้าศิริวัฒนาทราบและช่วยกันออกตามหา
เป็นเวลาเดียวกับที่มณีรินยื่นกระทงให้เจ้าศิริวงศ์พลางยืนยันว่าเธอจะคอยจนกว่าเขาจะมาเพราะรู้ว่าเพื่อนไม่มีวันทิ้งเพื่อน
“แต่บางเวลาตี้มีความสุขเพื่อนก่อบ่มีความหมายดอกเน้อ” เจ้าศิริวงศ์ตัดพ้อ
“แต่สำหรับเฮา บ่ว่าจะสุขหรือทุกข์เฮาคิดถึงเพื่อนเสมอ โตลอยกระทงของโตเหียเต๊อะ” มณีรินตัดบท เจ้าศิริวงศ์รับกระทงมาลอยลงน้ำ มณีรินถามต่อ “โตว่ากระทงของโตมันจะลอยไปตันกระทงของเฮาไหม”
เจ้าศิริวงศ์ไม่ตอบเพราะการเดินทางโดดเดี่ยวตามลำพังของตนไม่ต่างจากกระทงใบนี้
หลังจากลอยกระทงแล้ว เจ้าศิริวงศ์ก็พามณีรินเข้ามากราบพระประธานในวิหาร มณีรินคุยว่าเธอจะเริ่มทอผ้าตุ๊ม แล้ว แต่ไม่ได้ทอให้เจ้าศิริวัฒนาตามประเพณีเพราะเธอตั้งใจทอให้เจ้าศิริวงศ์
“บ่ได้เน้อ เจ้านางน้อยมันผิดประเพณี” เจ้าศิริวงศ์ร้องห้าม
“ประเพณีมันก่อแค่สิ่งตี้คนสร้างมันขึ้นมา แล้วก่อทำๆตามกันเพราะยึดถือว่าเป๋นสิ่งดีแล้วชอบแล้วเต่าอั้น บ่ฮู้ละ เฮาตั้งใจ๋ยะอะหยังแล้วผู้ใดก่อเปลี่ยนใจ๋เฮาบ่ได้หรอก”
“เฮาปิ๊กออกไปข้างนอกกันเต๊อะ ป่านนี้เจ้าอ้ายกับคำเที่ยงคงจะตวยหาโตกันให้วุ่นวายไปหมดแล้ว” เจ้าศิริวงศ์เปลี่ยนเรื่อง
มณีรินเดินงอนออกไป เจ้าศิริวงศ์เดินตามห่างๆ มณี– รินหันมาบอกกว่าพรุ่งนี้เธอจะไปเก็บไหมออม พลางนัดหมายให้เจ้าน้อยไปด้วยกัน แต่ชายหนุ่มปฏิเสธเพราะไม่อยากเจ็บไปมากกว่านี้ แต่มณีรินไม่สนเธอยืนยันจะคอย แล้วเสียงคำเที่ยงเรียกหาเจ้านางน้อยก็ดังแว่วมา
เจ้าศิริวงศ์บอกให้มณีรินออกไปหาคำเที่ยงกับเจ้าศิริวัฒนา มณีรินเดินนำออกไปเพราะเข้าใจว่าเจ้าศิริวงศ์ตามมาด้วย
“จะไดมาอยู่ตรงนี้เจ้าริน...เจ้ากับปี้ตวยหาเจ้ารินกั่นหื้อทั่วไปหมด” คำเที่ยงกับเจ้าศิริวัฒนาปราดเข้ามา
มณีรินจะบอกว่าเธอมาไหว้พระกับเจ้าศิริวงศ์แต่ไม่เห็นเขาอยู่ตรงนี้แล้ว
เจ้าศิริวัฒนาชวนมณีรินไปดูการแสดงด้านในต่อ แต่มณีรินหมดสนุกเสียแล้วจึงชวนเจ้ากลับคุ้ม
ooooooo
เมื่อมาถึงคุ้มมณีรินได้ยินเสียงพิณเปี๊ยะของเจ้าศิริวงศ์ดังกังวานแว่วมาจากที่ไกลๆ เธอใจจดจ่ออยู่กับเสียงพิณนั่น คำเที่ยงทำเคลิ้มเปรยว่าเสียงพิณของเจ้าศิริวงศ์ฟังแล้วเศร้านัก
สักพักเสียงพิณก็เงียบลง เจ้าศิริวัฒนาเข้ามาคุยกับเจ้าศิริวงศ์เรื่องมณีริน เพราะนับวันก็ยิ่งหลงรักเธอมากขึ้น เจ้าน้อยได้แต่นั่งอึ้งเก็บความรู้สึก เจ้าศิริวัฒนาจึงแกล้งเย้า
“แล้วมีอะหยังตี้อ้ายจะจ่วยโตได้บ้าง บอกอ้ายมากำเดียวว่าเปิ้นเป๋นใผ อ้ายจะจ่วยโตเอง บ่ใจ่เรื่องยากดอก...โตจะได้เลิกเล่นพิณเสียงเศร้าๆจะอี๊เสียที” เจ้าศิริวัฒนาเดินหัวเราะออกไป
เช้าวันใหม่มณีรินเดินนำขบวนบริวารลำเลียงอาหารถวายเจ้าหลวงมาที่ตึกใหญ่และช่วยกันจัดสำรับเพราะใกล้เวลาเสวยแล้ว บัวเงินตามเข้ามาอาสาช่วยงานทำเอาคำเที่ยงกับบริวารพากันอึ้ง
มณีรินส่งยิ้มยินดีเปิดทางให้ บัวเงินถามหาสำรับของเจ้าหลวงพลางขยับเข้าช่วยแล้วแอบเปิดหัวแหวนเทยาสั่งที่ซ่อนไว้ลงไปในสำรับ จากนั้นก็ช่วยมณีรินยกขึ้นไปถวายเจ้าหลวงกับพระชายา
บัวเงินสะใจยิ่งนักเมื่อเห็นเจ้าหลวงตักข้าวเข้าปาก แล้วพลันสะดุ้งเมื่อได้ยินพระชายาเรียกถามอาการอีเม้ยว่าเป็นอย่างไร แผลหายหรือยัง
“ดีขึ้นจ๊าดนักแล้วกะเจ้า แม่เจ้า” บัวเงินรีบปรับสีหน้า
“อีนังบ่าวคนนี้นึกๆไปแล้วก่อน่าเวทนามัน อะหยังๆ ก็ดีอยู่หรอก เสียแต่ว่ามันลำพองตัวว่าเหนือคนอื่น มันคงคิดว่านายมันฮัก เอ็งต้องอบรมสั่งสอนมันหื้อดีเน้อบัวเงิน ข้าบ่ได้จังมันดอก ซักวันมันจะติดสอยห้อยตามเอ็งเหมือนตะก่อน ข้าก่อบ่ว่าอะหยัง” เจ้าหลวงเอ่ย
“เป็นพระกรุณาป้อเจ้า กะเจ้า” บัวเงินก้มลงกราบแววตาเหี้ยม
หลังจัดแจงเรื่องสำรับของเจ้าหลวงและพระชายาเรียบร้อยแล้ว มณีรินก็เร่งให้คำเที่ยงไปเก็บไหมออมด้วยกัน คำเที่ยงต่อรองขอเป็นพรุ่งนี้ เพราะสายมากแล้วกลัวแดดจะร้อน แต่มณีรินไม่ยอมยืนยันจะไปให้ได้ คำเที่ยงยอมตามใจแล้วหันไปเรียกเหล่าบริวาร มณีรินหัวใจเบิกบานจะได้พบเจ้าศิริวงศ์
ที่ชายป่า เหล่าบริวารตะลุยแหวกพุ่มไม้ หาเก็บไหมออมกันสนุกมือ ผิดกับมณีรินที่ดูหงุดหงิดเพราะเจ้าศิริวงศ์ไม่มา เธอเดินอารมณ์บูดออกมาที่ชายป่าอีกมุมหนึ่งพลางบ่นพึมพำ
“คนใจดำ...จนป่านนี้ยังบ่โผล่หน้ามา...ยะอะหยังอยู่ที่ใด ขอให้บ่มีความสุข คอยดูเต๊อะเฮาจะบ่ปิ๊กไปดอก ผ้าตุ๊มเอาก็จะบ่ทอให้โตแล้ว” มณีรินส่งค้อนไปกับสายลม และไม่รู้เลยว่า เจ้าศิริวงศ์ซ่อนตัวอยู่แถวนั้น แต่ไม่กล้าออกมาพบเพราะสำนึกผิดชอบชั่วดีกำลังรบกันอยู่ในใจ
สุดท้ายเจ้าศิริวงศ์ก็ตัดใจกลับคุ้ม สล่าพันเห็นเจ้าน้อยเดินคอตกเข้ามาร้องถาม “หนักก่อครับเจ้า”
“ถามอะหยัง อ้ายพัน” เจ้าศิริวงศ์ชะงัก
“ผมถามเจ้าว่า ไอ้ที่เจ้ากำลังแบกอยู่ หนักก่อ เพราะท่าทางไหล่จะล้าเอาทีเดียว มันหนักนักก็ปลดมันลงเต๊อะครับเจ้าจะทนแบกมันไว้ทำไม”
“เฮากำลังพยายามอยู่อ้ายพัน”
“มีอะหยังที่ผมจะช่วยเจ้าได้ก็บอกเน้อครับ”
“ยินดีนัก อ้ายพัน” เจ้าศิริวงศ์ยิ้มเศร้าๆ จนสล่าพันอดห่วงไม่ได้
ooooooo
เจ้าศิริวัฒนามาหามณีรินที่เรือน จึงได้รู้จากคำเที่ยงว่า เจ้านางน้อยออกไปเก็บไหมออมมาทอผ้าตุ๊ม
“ไหมเลี้ยงก็มี ยังอุตส่าห์ออกไปเก็บไหมออมอีก”
เจ้าศิริวัฒนาหยิบไหมรังออมขึ้นมาดู
“เจ้ารินเปิ้นกะว่าจะจกลายด้วยไหมออมสลับกับไหมคำเจ้า วันพูกเจ้ารินเปิ้นก็จะเริ่มขึงไหมเส้นยืนแล้วเจ้า” คำเที่ยงช่วยตอบแทน เพราะมณีรินยังนั่งนิ่ง
“บ่ต้องรีบร้อนขนาดนั้นก็ได้มั่งเจ้าริน เพราะอ้ายตั้งใจจะชวนเจ้ารินไปดอยหลวงเชียงดาวด้วยกันวันพูกอยู่ทีเดียว”
“ดอยหลวงเชียงดาว ข้าเจ้าได้ยินแต่คนเปิ้นอู้ถึงกัน เปิ้นว่างามนักขนาด” คำเที่ยงตื่นเต้น
“วันพูกจะมีฝรั่งคู่ค้าไม้สักกับของป่ามาเป็นแขกของคุ้ม เปิ้นอยากจะออกแคมป์ที่ดอยหลวง เพราะอยากจะแอ่วป่าชมถ้ำ อ้ายเลยตั้งใจว่าจะชวนเจ้ารินไปด้วยกัน” เจ้าศิริวัฒนามองหน้ามณีรินอย่างขอคำตอบ
มณีรินปฏิเสธอ้างว่า กลัวจะไปเป็นภาระ แต่เจ้าศิริวัฒนาก็ขอร้องแกมบังคับจนในที่สุดเธอก็ต้องยอมรับปาก คำเที่ยงดีใจรีบจัดเตรียมเสื้อผ้าให้เจ้านางน้อย แต่เมื่อเตรียมเสร็จ มณีรินก็ออกอุบายให้คำเที่ยงไปโกหกเจ้าศิริวัฒนาว่า เธอป่วยกะทันหันคงไปด้วยไม่ได้ แต่คำเที่ยงไม่ยอมและย้ำเตือนให้มณีรินคิดถึงหน้าที่
“หน้าที่แหมแล้ว อะหยังก็เป็นหน้าที่เฮาชังคำคำนี้นัก” มณีรินตัดพ้อและนึกถึงใครบางคนขึ้นมา
วันต่อมา มณีริน คำเที่ยง และบริวารอีกสองคนตามเจ้าศิริวัฒนามาพบแขกฝรั่งที่เรือนรับรองกลางป่า เจ้าศิริวัฒนาบอกกับมณีรินว่า หลังจากคุยเรื่องงานเรียบร้อยแล้วจะพาไปไหว้พระที่ถ้ำหลวงและไปเที่ยวน้ำตกกันต่อ คำเที่ยงดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ ขณะที่มณีรินนั่งนิ่งไม่นึกสนุกเลยสักนิดเพราะใจคิดถึงแต่เจ้าศิริวงศ์
เจ้าศิริวัฒนาชวนมณีรินออกไปต้อนรับแขกด้วยกัน มณีรินจำใจออกไปตามหน้าที่ แล้วเธอก็ตะลึงเมื่อเห็นเจ้าศิริวงศ์อยู่ในกลุ่มฝรั่งสองสามคนนั่นด้วย เจ้าศิริวงศ์ตีหน้าขรึมบอกกับพี่ชาย
“ตอนนั่งรถมาด้วยกัน มิสเตอร์จอห์นสันบอกว่าตื่นเต้นมากที่จะได้พบเจ้านางมณีริน เพราะเฮาได้ยินกิตติศัพท์ความงดงาม ความปราดเปรื่องของเจ้านางมาจากหลายๆคนก่อนหน้านี้แล้วครับเจ้าอ้าย”
เจ้าศิริวัฒนายิ้มพอใจรีบแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับมณี–รินในฐานะคู่หมั้น มณีรินทักทายพวกฝรั่งอย่างไม่เคอะเขินทำให้พวกเขาพอใจมาก
มณีรินแอบสบตากับเจ้าศิริวงศ์อย่างปลื้มปีติเพราะไม่คิดว่าจะได้พบกัน เวลาเดียวกันนั้น ที่คุ้มหลวงบัวเงินก็เล่นบทลูกสะใภ้แสนดีเข้ามาดูแลเรื่องสำรับถวายเจ้าหลวงแทนมณีริน พระชายาลงมาเห็นบัวเงินกับอีเม้ยอยู่หน้าเตาก็แปลกใจ
“อ้าว...บัวเงินเองเรอะ” พระชายาทัก
“เจ้า...เจ้านางน้อยเปิ้น บ่อยู่ ข้าเจ้าเลยมาช่วยยะกับข้าวแทนเปิ้นเจ้า เปิ้นสอนข้าเจ้าเอาไว้ว่าปรุงรสอย่างใดจึงจะถูกปากเจ้าหลวงเปิ้นเจ้า” บัวเงินรีบรายงาน
“ยินดีเน้อ...ดีแล้วล่ะ ข้าดีใจที่เห็นเจ้าบ่ได้คิดน้อยอกน้อยใจ๋อะหยัง”
“พระบารมีเจ้าหลวง และแม่เจ้าปกเกล้า ปกกระหม่อม เมตตาข้าเจ้า ชาตินี้ข้าเจ้าก่อบ่มีวันจดใจ้หมดดอกเจ้า อะหยังตี้ทำหื้อเจ้าหลวงและแม่เจ้าม่วนอกม่วนใจ๋ ข้าเจ้าก็ยินดีมอบกายถวายชีวิตยะหื้อจงได้เจ้า” บัวเงินทำสงบเสงี่ยมเจียมตน
“ยินดีนัก...บัวเงิน...” พระชายายิ้มพอใจแล้วหันไปถามอีเม้ยที่ถอยไปอยู่ไกลๆ “นังเม้ย แผลเอ็งหายดีแล้วก๊ะ”
“เจ้า...แผลยังบ่แห้งดีนัก แต่ก็บ่เจ็บบ่ปวดเท่าใดนักแล้ว” อีเม้ยรีบหลบตากลัวเก็บอาการไม่อยู่
“แล้วข้าจะฝากยาทาสมานแผลไปหื้อ ยานี้ได้มาจากเมืองจีน เปิ้นว่าวิเศษนัก”
“เป็นพระกรุณา แม่เจ้า” อีเม้ยหมอบกราบพลางลอบ มองพระชายาที่เดินออกไป
เมื่อกลับมาถึงเรือน บัวเงินก็บรรจงใส่ผงยาพิษลงไปในตลับหัวแหวนแล้วหันมาชมอีเม้ยว่า มันเล่นละครหลอกพระชายาได้ถูกใจเธอนัก
“คำอู้หวานๆจะอั้น มันหลอกได้แต่ละอ่อน บ่ฮู้้เดียงสาเต่าอั้นแหละเจ้า...หม่อม” อีเม้ยตาวาว
“เวียงเจียงใหม่ได้เจ้าหลวงองค์ใหม่เมื่อใด กูจะทำหื้ออีพวกนี้ฮู้สำนึก”
“ถ้าจะอั้น ก็คงบ่เมินดอกเจ้า อยู่ตี้ว่าหม่อมจะหาตาง กำจัดอีมณีรินมันอย่างใด ยิ่งทำหื้อมันตายตกไปตามกั๋นได้ก่จะยิ่งดี”
“กูจะเลี้ยงยาสั่งนี่ไว้ สบโอกาสวันใด อีมณีรินบ่มีตางป้นข้อหาวางยาไอ้หงอกแน่” บัวเงินยกหัวแหวนขึ้นดู
“แม่เจ้าองค์ใหม่ พระนามว่าแม่เจ้าบัวเงิน ชื่ออีมณีริน มันจะต้องถูกลบออกไป บ่มีผู้ใดจดจำนะกะเจ้าหม่อม” แล้วสองนายบ่าวก็หัวเราะให้กันอย่างสมใจ
ooooooo
เจ้าศิริวัฒนาจัดเลี้ยงรับรองพวกฝรั่งในตอนค่ำ พวกเขาพากันชื่นชมมณีริน เพราะเธอพูดอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วจึงเอ่ยถามว่าไปเรียนมาจากที่ไหน
“พ่อเจ้าของข้าพเจ้าจ้างมิชชันนารีอังกฤษมาเป็นครูของข้าพเจ้ามาตั้งแต่ยังเด็ก พ่อเจ้าของข้าพเจ้าทรงเล็งเห็นความสำคัญของการศึกษาอย่างคนตะวันตก”
“เจ้าหญิงทรงคิดว่าผู้หญิงอยู่ในฐานะต่ำต้อยกว่าผู้ชายไหม” ฝรั่งชวนคุยต่อ
“คนตะวันตกมักจะคิดเช่นนั้น แต่ข้าพเจ้าไม่เคยรู้สึกเช่นนั้นเลย ภารกิจสำคัญเพียงใด พ่อเจ้าของข้าพเจ้ามิเคยเพิกเฉยที่จะปรึกษาขอความเห็นจากแม่เจ้าของข้าพเจ้าทุกครั้งเสมอในโลกตะวันออก ความสำคัญของผู้ชายมักจะมีกำลังของผู้หญิงเป็นแรงขับดันอยู่เบื้องหลังเสมอ” มณีรินให้ความเห็น
“น่าภาคภูมิใจแทนเจ้าชายศิริวัฒนาจริงๆ ที่จะได้คู่ครองเป็นเจ้าหญิงผู้ฉลาดปราดเปรื่องเช่นนี้” ฝรั่งหันมาชมกับเจ้าศิริวัฒนา
“เจ้าหญิงทรงรักการอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจพอๆ กับการทอผ้า เธอกำลังจะเริ่มทอผ้าผืนนึงเพื่อใช้ในพิธีแต่งงานของเฮา” เจ้าศิริวัฒนาคุยโวพลางเอ่ยชวนพวกฝรั่งมาร่วมในพิธีแต่งงานด้วย พวกฝรั่งชอบใจพากันป้อยอต่อไปเรื่อยๆ
เจ้าศิริวงศ์ที่นั่งอยู่ด้วยรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกิน ขณะที่มณีรินก็ต้องฝืนใจฟังในเรื่องที่ไม่อยากได้ยิน
หลังงานเลี้ยงเลิกรา ทุกคนกลับเข้าห้องพักผ่อน แต่มณีรินไม่อาจข่มตาลงได้ เธอเปิดมุ้งลุกเดินออกมา เห็นคำเที่ยงนอนหลับสนิทก็แอบลงไปเดินเล่นข้างล่าง หวังสงบจิตใจที่กำลังฟุ้งซ่าน แต่ไม่สำเร็จ จึงเดินลึกเข้าไปในสวนป่า และได้พบกับเจ้าศิริวงศ์ที่ตามออกมา มณีรินตัดพ้อชายหนุ่ม
“ตั๋วคิดว่าตั๋วเป๋นไผถึงมาสั่งเฮาได้ เฮาบ่เข้าใจ๋...ตั๋วจะเอาอย่างใดกับเฮากั๋นแน่ คืนยี่เป็งตั๋วยะหื้อเฮามีความหวัง วันถัดมา ตั๋วปล่อยหื้อเฮาเก็บไหมออมลำพัง คืนนี้ตั๋วยังทำเหมือนเป๋นคนแปลกหน้าสำหรับเฮาอีก ตั๋วใจ๋ดำนักขนาด ฮู้ตั๋วก่อ เฮาจังตั๋วนัก บ่เคยจังคนใดเต่าตั๋วเลย” มณีรินเดินหนีเข้าไปในป่า
“เจ้านางน้อย เจ้านางน้อย” เจ้าศิริวงศ์รีบตาม
“บ่ต้องมาฮ้อง ต่อแต่นี้ไปตั๋วจะเป๋นคนแปลกหน้าสำหรับเฮาเหมือนกั๋น ตั๋วอย่านึกว่าเฮาจะทำบ่ได้ เฮาจะนึกเสียว่า เฮาสองคนบ่เกยฮู้จักกั๋นมาก่อนเลย เฮาจะลืมมันเหียหื้อหมด เฮาบ่เกยมีเปื่อนจื่อเจ้าน้อยศิริวงศ์” มณีรินพูดได้แค่นั้นก็ถูกเจ้าศิริวงศ์คว้าตัวมากอดไว้พร้อมสารภาพ
“แล้วตั๋วคิดว่าตั๋วเจ็บปวดคนเดียวก๊ะ ตั๋วคิดว่าเฮาบ่มีหัวใจ๋ก๊ะ เฮาก่อเป๋นคนเหมือนกั๋น ฮู้ฮ้อน ฮู้หนาว ฮู้จักผิดหวังเจ็บปวด ตั๋วบ่ฮู้หรอกว่าเฮาต้องตัดใจ่ ข่มใจ๋เพียงใด เมื่อฮู้ว่าตั๋วจะต้องแต่งงานกับอ้ายของเฮาในอีกบ่กี่วันตั้งหน้า เฮาได้แต่บอกตั๋วเองว่า จะคิดเป๋นอื่นใดกับตั๋วบ่ได้นอกจากจะต้องเคารพนับถือ หื้อเกียรติตั๋วอย่างปี้สะใภ้ของเฮา ตั๋วเข้าใจ๋เฮาก่อ”
“ตี้อู้มาทั้งหมด นี่คือการลาจากกั๋นใจ่ก่อ” มณีรินจ้องหน้าเจ้าน้อยนิ่ง
เจ้าศิริวงศ์ไม่ยอมตอบแต่ไล่ให้เธอกลับขึ้นเรือน มณีรินน้ำตาเอ่อ เจ้าศิริวงศ์อยากจะหันหน้าหนี แต่ไม่สามารถหักห้ามใจตัวเองได้จึงสวมกอดและจูบมณีรินอยู่เนิ่นนาน
มณีรินหลับตาพริ้มยอมมอบกายและใจให้ชายอันเป็นที่รัก
ooooooo
พระจันทร์คล้อยต่ำลงมามากแล้ว เสียงไก่ป่าเริ่มขัน เจ้าศิริวงศ์ยังนอนตระกองกอดมณีรินอยู่บนพื้น
“เราสองคนทำความผิดใหญ่หลวงนัก” เจ้าศิริวงศ์เอ่ย
“ผิดอย่างใด...ในเมื่อเฮาฮักกั๋น ถ้ากำว่าหน้าที่เป๋นความตุ๊กเฮาจะทนแบกมันไว้ยะหยัง อะหยังจะเกิดก่อปล่อยหื้อมันเกิด เฮาบ่กั๋วอะหยังอีกแล้ว” มณีรินเสียงแข็ง
เจ้าศิริวงศ์คิดไม่ถึงจึงเปลี่ยนเรื่องขอให้มณีรินกลับขึ้นเรือนเพราะจะเช้าแล้ว มณีรินขยับลุกขึ้นรวบผมเพื่อจะมุ่นมวย เจ้าศิริวงศ์ดึงเธอเข้ามากอดพลางจูบกำซาบกลิ่นหอมอย่างจะจดจำไว้ให้มิรู้ลืม
ถึงเวลาต้องจากกันแล้ว เจ้าศิริวงศ์ตามมาส่งมณีรินห่างๆ ถึงหน้าเรือนรับรอง เห็นเธอหันกลับมามองด้วยสายตาอาวรณ์ ก็อดใจไม่ไหวตรงเข้ามากอดและจูบลา ก่อนจะเร่ง ให้ขึ้นไปนอนพัก เพราะตากน้ำค้างมานานนัก
“เฮาบ่กล้านอนหรอก...เฮากั๋วว่าถ้าเฮาเผลอหลับไป ตื่นขึ้นอีกครั้งเฮาจะพบว่ามันเป๋นเพียงความฝัน” ขาดคำ เจ้าน้อยก็ฝังจูบอีกครั้งอย่างนุ่มนวล
“บ่มีอะหยัง ตี้เฮาจะต้องกั๋วแหมแล้ว” มณีรินได้กำลังใจ เธอขยับจะขึ้นเรือนก็ได้ยินเสียงคำเที่ยงเรียกหา
เจ้าศิริวงศ์รีบผละออกไปหลบหลังต้นไม้ คำเที่ยงเปิดประตูออกมา เห็นมณีรินยืนอยู่หน้าบันไดก็บ่นชุดใหญ่ เพราะตกใจที่ตื่นมาไม่เห็น มณีรินว่าเธอออกไปเดินเล่น
“เดินเล่นอะหยัง หนาวจะต๋าย หนาวเข้ากระดูก ผ้าผ่อนก่อผืนน้อยนิดเดียว เดี๋ยวก่อบ่สบาย เจ็บไข้เอา ปิ๊กเข้าเฮือนเต๊อะ” คำเที่ยงพามณีรินกลับเข้าในเรือนรับรอง
มณีรินหันกลับมามองศิริวงศ์เห็นเขายังซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ เธอส่งยิ้มน้อยๆ เดินเข้าห้องอย่างอารมณ์ดี คำเที่ยงตามมาดูแล เห็นเจ้านางน้อยนั่งอมยิ้มมีความสุขก็เอ่ยถาม
“ไปเจออะหยังมาน้อ...เจ้ารินถึงอารมณ์ดีจะอี้”
“อากาศดี พระจันทร์งาม เท่านั้นก็พอแล้ว”
“ผลัดผ้าเต๊อะเจ้าริน เปียกชุ่มไปทั้งตัวจะอี้เดี๋ยวได้เป็นไข้แน่ๆหนาวจะต๋าย”
“หนาวก่อกอดกั๋นก๊าจะได้หายหนาว” มณีรินกอดคำเที่ยงอารมณ์แห่งความสุขยังพรั่งพรูมิรู้จบ
คำเที่ยงแปลกใจกระแสความรู้สึกของมณีรินอย่างที่ไม่เคยเป็นทำให้นางกังวลขึ้นมาทันที
เวลาเดียวกันนั้น เจ้าศิริวัฒนาก็เดินออกมาจากห้องและพบเจ้าศิริวงศ์นั่งเหม่ออยู่มุมหนึ่งจึงเข้าไปทักทายและบ่นถึงมณีรินด้วยความเป็นห่วงเพราะอากาศที่นี่หนาวมาก
“คำเที่ยงเปิ้นดูแลเจ้านางน้อยบ่มีขาดตกบกพร่องอยู่แล้ว เจ้าอ้ายบ่ต้องห่วงหรอก” เจ้าศิริวงศ์เอ่ย
“เมื่อตอนดึก อ้ายฝันดีนักขนาดฝันหันเจ้ารินเปิ้น บ่ฮู้ว่าเปิ้นจะฝันถึงอ้ายบ้างรึเปล่าเนาะ ตั๋วคงคิดว่าอ้ายเป๋นบ้าไปแล้วใจ่ก่อ...อีกหน่อย เวลาตั๋วหลงฮักไผนักขนาดตั๋วก่อจะเป๋นบ้าอย่างอ้ายนี่แหละเผลอๆจะเป๋นบ้าหนักกว่าอ้ายเสียด้วยซ้ำ” เจ้าศิริวัฒนาหัวเราะอารมณ์ดี ไม่ทันเห็นสีหน้าน้องชายที่ดูขรึมลงทันที
สายวันนั้น เจ้าศิริวัฒนาชวนทุกคนลงมาทานอาหารที่ลานกลางแจ้งเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ ฝรั่งคนหนึ่งเปิดประเด็นว่า เมื่อคืนเขาได้ยินเสียงประหลาดดังมาจากในป่า และเกือบจะลุกออกมาดูว่ามันตัวอะไรกันแน่
มณีรินกับเจ้าศิริวงศ์แอบสบตากัน เจ้าศิริวัฒนาว่า อาจเป็นสัตว์ร้ายเพราะเมื่อเดือนก่อนคนงานเห็นเสือมาป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้ ฝรั่งชวนเจ้าออกล่า แต่เจ้าปฏิเสธเพราะเห็นว่าเป็นบาป ฝรั่งเข้าใจถามถึงแผนการในวันนี้
“เราจะพาพวกเขาไปแอ่วถ้ำหลวงใช่ก่อเจ้าน้อย” เจ้าศิริวัฒนาหันมาถามน้องชาย
เจ้าศิริวงศ์เกือบสะดุ้ง เพราะจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวรีบตอบรับ “ครับเจ้าอ้าย...แอ่วถ้ำหลวง กินข้าวแลง นั่งช้างแอ่วป่า แล้วก็ไปทีน้ำตกครับ” ขาดคำ มหาดเล็กก็เข้ามาทูลเจ้าศิริวัฒนาว่าเจ้าหลวงประชวรหนักให้รีบกลับคุ้ม ทุกคนอึ้งไปตามๆกัน
ooooooo
เจ้าหลวงนอนหลับอยู่บนเตียงท่าทางอิดโรย มีพระชายาคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง สักพักเจ้าศิริวัฒนา เจ้าศิริวงศ์และมณีรินก็เข้ามาในห้อง พระชายาบอกกับทั้งสาม
“เมื่อวานกินข้าวเย็นเสร็จ ก็ยังดีๆอยู่ แต่พอจะเข้านอน เปิ้นบ่นว่าแขนชา บ่มีแฮง หยิบจับอะหยังก็บ่ได้ ขึ้นบันไดมาได้
บ่กี่ขั้นก็ทรงตัวบ่อยู่ คว้าราวบันไดก็บ่ทัน โชคยังดีคุณพระคุณเจ้ายังคุ้มครอง ตกลงไป บ่สูงนัก แม่ตกใจจนยะอะหยังบ่ถูก”
“แล้วหมอเปิ้นว่าจะไดพ่อง แม่เจ้า” เจ้าศิริวงศ์เป็นห่วง
“เปิ้นว่าบ่เป็นอะหยังนัก ให้พ่อเจ้าพักผ่อน แล้วค่อยตรวจดูอาการอีกที ตอนนี้ยังบอกอะหยังบ่ได้” พระชายาหนักใจ ทุกคนพลอยเป็นกังวลไปด้วย ผิดกับบัวเงินและอีเม้ยที่ยินดียิ่งนัก แต่แสร้งเล่นละครตบตา
บัวเงินตีหน้าซื่อเข้าไปแนะนำเจ้าศิริวัฒนา “เจ้าอ้ายน่าจะลองปรึกษาโหรหลวงดูด้วยนะกะเจ้า”
“ทำไมจะต้องปรึกษาโหรหลวงด้วย” เจ้าศิริวัฒนาข้องใจ
“ก็เผื่อว่ามีใครทำอะไรผิดรูปผิดรอย ผิดประเพณี เสื้อเมืองอาจจะบ่พอใจจนทำให้พ่อเจ้าล้มป่วยจะอี้ ก็ได้
มะกะเจ้า จะได้หาหนทางแก้ไข ที่หนักจะกลายเป็นเบาลงบ้าง น้องใจคอบ่ดีเลย”
“พ่อเจ้าจะต้องหาย”
“น้องก็หวังจะอั้น แต่เจ้าอ้ายก็ต้องคิดเผื่อความบ่ แน่นอนโตย”
“บัวเงิน...เจ้าอู้อะหยังออกมา”
“น้อง...น้องบ่ได้ตั้งใจ สุมาเต๊อะเจ้า”
“อย่าให้คำพูดบ่เป็นมงคลหลุดออกมาจากปากเจ้าอีก”เจ้าศิริวัฒนาไม่พอใจเดินหนีออกไป
บัวเงินทำสลดแต่ในใจแอบยิ้มหยัน
ด้านคำเที่ยง นางกำลังเปรยกับมณีรินถึงอาการของเจ้าหลวง“โรคภัยไข้เจ็บ บางอย่าง หมอฝรั่งเองก็หาเหตุบ่ เจอฮักษาบ่ได้เน้อ เจ้าริน พี่ว่า เสื้อเมืองเปิ้นคงไม่พอใจอะหยังสักอย่าง อาจจะมีผู้ใดยะเรื่องบ่ดีบ่งามเป็นอัปมงคล เปิ้นเลยสำแดงอาเพศเป็นการเตือนจะอี้ พี่ว่าควรจะทำบุญหลวง สะเดาะเคราะห์ขอสุมาเสื้อเมืองเสีย สาธุ คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ คุ้มครองปกปักฮักษาเจ้าหลวงเปิ้นด้วยเน้อ”คำเที่ยงยกมือท่วมหัว
มณีรินฟังแล้วก็อดสะท้านใจไม่ได้เพราะเธอทำผิดผีไปแล้ว
ส่วนเจ้าศิริวงศ์ก็มาปรึกษากับสล่าพัน เพราะเกรงว่าถ้ามัวรักษาเจ้าหลวงด้วยยาสมุนไพรจะไม่ทันการ สล่าพันนั่งคิดหนักอยู่นานก่อนจะเอ่ย
“เจ้าครับ...ผมอู้อะหยังออกไป เจ้าฟังไว้เฉยๆ บ่ต้องเชื่อก็ได้เน้อครับ ผมเคยหันคนเจ็บอาการจะอี้มาก็บ่ใช่น้อยทั้งโชคฮ้าย เป็นขึ้นมาเอง แล้วก็ถูกทำหื้อเป็น”
“อ้ายพันจะบอกอะหยังเฮา”เจ้าศิริวงศ์ชักเอะใจ
“ผมอาจจะคิดไปเองก็ได้ อาจจะมีคนคิดปองฮ้ายเจ้าหลวง”
“วางยาจะอั๊นก๊ะ ผู้ใดมันจะคิดชั่วได้ขนาดนั้น”เจ้าศิริวงศ์ไม่อยากเชื่อ
เช้าวันต่อมา มณีรินเตรียมนำสำรับขึ้นถวายเจ้าหลวง บัวเงินรีบเข้ามาช่วยและอาสาเป็นธุระให้เอง เธออ้างว่า เจ้าหลวงตื่นแล้วและกำลังเรียกหามณีรินอยู่ มณีรินจึงยกสำรับให้บัวเงินไปจัดการแล้วขึ้นเฝ้าเจ้าหลวง เธอได้พบกับเจ้าศิริวงศ์ที่หน้าบันได
ทั้งคู่มองหน้ากันหัวใจเต้นแรง เจ้าศิริวงศ์ข่มอาการเอ่ยถาม“เจ้านางน้อยจะเข้าเฝ้าพ่อเจ้าก๊ะ”
“เฮา ปะเอื้อยบัวเงิน เปิ้นว่าพ่อเจ้าตื่นบรรทมแล้ว”
“ตื่นแล้ว...บ่นว่าหิวข้าวโตย”
“เอื้อยบัวเงินกำลังจัดสำรับอยู่ บ่เมินคงตามขึ้นมาถวายได้”มณีรินตอบ
เจ้าศิริวงศ์ชะงักไปนิดหนึ่งแล้วหลีกทางให้“เชิญเจ้านางน้อยเต๊อะ”เจ้าศิริวงศ์เดินสวนมณีรินออกไป
มณีรินเหลียวมองตามอย่างลืมตัว แต่เมื่อเจอสายตาคำเที่ยงที่จ้องอยู่ก็รีบเก็บอาการรีบเข้าไปเฝ้าเจ้าหลวงในห้อง
พระชายาประคองเจ้าหลวงลุกขึ้นนั่งคุยกับมณีริน “กำลังแอ่วป่า แอ่วถ้ำกันม่วนอยู่ต้องมาหมดม่วนเพราะพ่อแต๊ๆเน้อ เจ้านางน้อย”
“ป่าถ้ำ แอ่วเมื่อใดก็แอ่วได้กะเจ้า สุขภาพพ่อเจ้าสำคัญกว่าอะหยังทั้งนั้น”
“พ่อฮู้สึกใจคอบ่ดี ชีวิตนี้อะหยังก็ได้หันมาหมดแล้ว ยกเว้นหน้าหลาน พ่อกลัวว่าชาตินี้จะบ่มีบุญได้อุ้มหลาน”
“เจ้าพี่ จะไดอู้จะอั้น” พระชายาใจคอไม่ดี
“พ่อเจ้ายังแข็งแฮง เจ็บไข้บ่เมินดอก แหมวันสองวัน ก็จะสบายดีเหมือนเดิม” เจ้าศิริวัฒนาเสริม
“ไปปรึกษาหารือกันเน้อ พิธีแต่งงานของเจ้ากับเจ้านางน้อย เร่งหื้อจัดให้แล้วได้เมื่อใด พ่ออาจจะรอถึงเดือนสี่ เดือนห้าบ่ไหวดอก ปะงานศพไว้ทุกข์กันอีกปี เมื่อใดจะได้แต่ง” เจ้าหลวงพูดเหมือนสั่งเสีย
พระชายาถึงกับน้ำตาร่วง เจ้าศิริวัฒนาฟังแล้วใจหาย ส่วนมณีรินรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก
เจ้าศิริวงศ์เดินเข้ามาในห้องเครื่อง เห็นบัวเงินปิดฝาสำรับชุดที่ถวายเจ้าหลวง แล้วหันมาสบตากับเม้ยจึงเอ่ยทัก “สำรับพ่อเจ้า เสร็จแล้วก๊ะเอื้อย”
“เสร็จแล้ว เจ้าน้อย พี่กำลังจะยกขึ้นไปถวายอยู่พอดี” บัวเงินฉีกยิ้มใสซื่อ
“บ่เป็นหยังดอกเอื้อย ท่าทางสำรับจะหนัก ให้คนแข็งแรงยกไปเต๊อะ เจ้าอ้ายเปิ้นถามหาเอื้อยอยู่เปิ้นจะหื้อเอื้อยช่วยยะอะหยังก็บ่ฮู้ เอื้อยรีบขึ้นไปเต๊อะ” เจ้าศิริวงศ์อ้าง
บัวเงินสบตาอีเม้ยแวบนึงก่อนจะออกไป อีเม้ยขยับเข้ามาจะยกสำรับเจ้าหลวงเอง แต่เจ้าศิริวงศ์ร้องห้าม “บ่ต้องดอกนังเม้ย เอ็งจะยะอะหยังก็ไปเต๊อะ”
อีเม้ยจำใจถอยออกไป เจ้าศิริวงศ์มองสำรับตรงหน้าคิดพิสูจน์ความจริง
ครั้นเจ้าหลวงเสวยเรียบร้อยแล้ว มณีรินเดินใจลอยนำขบวนกลับเรือน เพราะกำลังคิดหนักเรื่องกำหนดพิธีแต่งงานที่จะถูกเลื่อนขึ้นมา ส่วนคำเที่ยงที่เดินตามก็อบรมบริวารด้วยเรื่องสารพัดไม่หยุดปาก แล้วจู่ๆมณีรินก็ชะงัก เพราะเห็นเจ้าศิริวงศ์ยืนอยู่หลังพุ่มไม้ เหมือนตั้งใจมาดักรอ
“พี่คำเที่ยง ปิ๊กกันไปก่อนเน้อ เดี๋ยวเฮาตามไป เฮาจะแวะเก็บดอกไม้สักหน่อย” มณีรินอ้าง
“เดี๋ยวพี่เก็บให้ก็ได้ เจ้ารินอยากได้ดอกอะหยัง”
คำเที่ยงอาสา
“บ่ฮู้ เฮาบอกให้ปิ๊กไปก่อนก็ปิ๊กไปก่อนเต๊อะ” มณีริน ชักหงุดหงิด
คำเที่ยงเห็นมณีรินท่าทางอารมณ์ไม่ดีก็พาบริวารเดินกลับเรือนไปก่อน
มณีรินรอจนคำเที่ยงกับเหล่าบริวารเดินลับตาไปแล้วจึง ตรงเข้าไปหาเจ้าศิริวงศ์ ทั้งสองคนพุ่งเข้าหากันด้วยความเสน่หา
“เฮาบ่ฮู้ว่าเฮาจะทนอยู่ในสภาพจะอี้ไปได้เมินเท่าใด”
“เฮาก็เจ็บปวดทรมานบ่ได้น้อยไปกว่าโตดอก เจ้านางน้อยของอ้าย”
“พ่อเจ้าอยากจะเร่งงานแต่งงานของเฮากับเจ้าอ้ายของโตให้เร็วขึ้น เฮาจะยะจะไดกันดี เฮาจะปฏิเสธการแต่งได้จะได”
“ค่อยๆคิด บ่ต้องกลัว เฮาบ่ทอดทิ้งโตดอก แต่ตอนนี้มีเรื่องที่สำคัญกว่านั้น โตฮู้ก่อว่าสำรับที่โตยะถวายพ่อเจ้าวันนี้ มียาพิษปนอยู่” เจ้าศิริวงศ์ร้อนใจ
มณีรินตกใจแทบกรีดร้องออกมา
ooooooo
“ไม่จริง จะเป็นไปได้ยังไง คุณเอาอะไรมาพูด... คุณกำลังกล่าวหาฉัน”
ยามนั้นเอง กระสวยในมือเรรินตกลงสู่พื้น เธอจะก้มลงเก็บแต่กลับมีมือเอื้อมเข้ามาหยิบกระสวยนั้นขึ้นจากพื้นแล้วส่งให้ เรรินเอ่ยขอบคุณเพราะคิดว่าเป็นเจ้าศิริวัฒนา แต่ต้องชะงักเพราะคนที่ยืนอยู่คือสุริยวงศ์
ขณะที่เรรินตกใจเมื่อเห็นสุริยวงศ์ ผีอีเม้ยก็กลับไปรายงานบัวเงินว่า เรรินเข้าไปทอผ้าตุ๊มต่อที่คุ้มและเหลือเพียงจกลายเชิงแหมนิด ผ้าตุ๊มผืนนั้นก็จะเสร็จสมบูรณ์
“เจ็ดสิบปีที่แล้ว กูน่าจะเผาทิ้งบ่ให้มันเหลือซาก ทิ่มตำหัวใจกูจะอี้” บัวเงินโกรธจนตัวสั่น
“มันคงฮู้ว่าเจ้าเปิ้นยังวนเวียนรอคอยมันอยู่ เพราะอยากแต่งงานกับมันกะเจ้า และถ้ามันตำหูกผ้าผืนนั้นเสร็จ เจ้าเปิ้นก็คงไปจากหม่อมจริงๆนะกะเจ้า” อีเม้ยใส่ไฟ
“ถึงจะบ่เคยโผล่มาเยี่ยม ทักทายกูสักเตื้อ กูก็บ่ยอมดอก อีเม้ยมึงต้องช่วยกู ยะอย่างใดก็ได้ขัดขวางมันทุกทาง” บัวเงินเสียงเข้ม
“กะเจ้าหม่อม” อีเม้ยรับคำแล้วร่างของมันก็เลือนหายไป
เวลาเดียวกันนั้น สุริยวงศ์ก็พาเรรินออกมาขึ้นรถเพื่อจะพากลับบ้าน เรรินเห็นชายหนุ่มไม่ยอมพูดจาจึงเอ่ยถาม “คุณโกรธอะไรฉัน คุณสุริยะ”
“ผมไม่เข้าใจความมุ่งมั่นของคุณ คุณอธิบายให้ผมเข้าใจหน่อยได้ไหมคุณริน คุณทำลงไปเพื่ออะไร เหตุผลแค่ว่า คุณอดใจไว้ไม่อยู่ เห็นใครทอผ้าค้างไว้ คุณต้องเข้าไปทอให้เสร็จเฉยๆ มันฟังไม่ขึ้นหรอก”
“ถ้าฉันบอกคุณแล้ว คุณจะเชื่อฉันรึเปล่า”
“มีเหตุผลอะไรที่ผมจะไม่เชื่อคุณ”
“ระหว่างที่ฉันทอผ้าผืนนั้น ฉันสามารถมองเห็นเหตุการณ์ในอดีตของเจ้านางมณีรินกับอีกหลายๆคน” เรรินตัดสินใจบอกออกไป
“คุณกำลังจะบอกผมว่าคุณใช้การทอผ้าสะกดจิตตัวเองเข้าไปดูชีวิตเจ้านางมณีรินท่านยังงั้นเหรอ แล้วคุณเห็นอะไรบ้าง เห็นเจ้านาง เห็นท่านปู่ศิริวัฒนา เห็นคุณย่าบัวเงินของผมด้วยรึเปล่า” สุริยวงศ์แค่นหัวเราะ
“ฉันเห็นทุกคน แม้กระทั่ง...” เรรินพูดไม่ทันจบ สุริยวงศ์ ก็แทรกขึ้นมา
“คุณริน...ศรัทธากับความเชื่อ มันไม่เหมือนกันหรอกนะครับ จินตนาการกับภาพหลอนก็เช่นเดียวกัน”
“นอกจากคุณจะไม่เชื่อฉันแล้ว คุณยังคิดว่าฉันเป็นบ้า เพี้ยนไปแล้ว ใช่ไหมคะ”
“คุณริน...ผมเข้าไปอยู่กับคุณในห้องนั้นตั้งนาน ผมเรียกคุณยังไง คุณก็ไม่เห็นไม่ได้ยินผม คุณก้มหน้าก้มตาเอาแต่ทอผ้าผืนนั้น แล้วจะให้ผมคิดยังไง”
“ก็แล้วแต่คุณละกัน จะตัดสินฉันยังไงก็เชิญ” เรรินสรุปแล้วเป็นฝ่ายเงียบเสียเอง
ขณะที่ทั้งสองกำลังมีปัญหากันอยู่นั้น พรรณวรินทร์ก็มาพบวันดาราที่รีสอร์ตเพื่อขอความช่วยเหลือ “คุณจะช่วยได้มากเลย ถ้าพูดกับน้องชายของคุณให้เข้าใจ เลิกยุ่งเกี่ยวกับลูกสาวของฉันซะเถอะ เขาเป็นผู้ใหญ่ ตัดสินใจทำอะไรด้วยตัวเองได้แล้วก็จริง แต่ทุกคนยังต้องมีที่ยืนในสังคมการตัดสินใจอะไรหุนหันพลันแล่น ไม่ใช่เรื่องดีเลย ดิฉันหวังว่าคุณคงจะเข้าใจ” พรรณวรินทร์ส่งยิ้มบาดใจ
วันดารานั่งอึ้งพูดไม่ออก
ooooooo
เวลาเดียวกันนั้น สรัญญาก็พาธนินทร์มาทำความรู้จักกับวงพระจันทร์ ทั้งสองปะทะคารมกันอยู่พักใหญ่เพราะต่างไม่ยอมให้กัน สรัญญาจึงเข้ามาไกล่เกลี่ย
“เอาละๆพอซะที แทนที่จะมาช่วยกันคิดหาทาง กลับมากัดกันเอง แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร”
“ถามจริงๆเหอะ คุณได้เสียอะไรกับเรื่องนี้ คุณสรัญญา ฉันดูก็รู้ว่าคุณสองคนไม่ใช่ญาติกัน กิ๊กกันซะละมากกว่า คุณน่าจะดีใจมากกว่าไม่ใช่เหรอ ถ้ายัยนั่นไม่มาเป็นก้างขวางคอคุณ” วงพระจันทร์ชักสงสัย
“ยังไงธนินทร์ก็ต้องแต่งงานกับยัยเรริน แต่งแล้วค่อยเลิกก็อีกเรื่อง” สรัญญายืนยัน
วงพระจันทร์นิ่งไปพักแล้วหัวเราะสะใจ “เข้าใจละ ยัยนี่รวยมากจนถึงต้องวางแผนฮุบสินสมรสกัน”
“ก็คงไม่ต่างจากเธอนักหรอกใช่ไหมล่ะ เราต่างฝ่ายต่างได้ผลประโยชน์” ธนินทร์มองวงพระจันทร์
วงพระจันทร์ยิ้มรับยอมร่วมมือกับธนินทร์เพราะอยากได้สมบัติของสุริยวงศ์เช่นกัน
ด้านเรริน เธอยังคงนั่งเงียบมาตลอดทางเพราะรู้ตัวดีว่าพูดอะไรออกไปสุริยวงศ์ก็คงไม่เชื่อ แล้วจู่ๆเธอก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างจับจ้องอยู่ จึงหันไปมอง
ผีอีเม้ยที่ห้อยหัวลงมาจากหลังคารถรีบผลุบหายไปแล้วรอโอกาสจัดการกับเรริน แต่เมื่อรถแล่นเข้ามาในบ้าน ร่างของมันก็ถูกถีบกระเด็นออกไปเพราะผีบ้านผีเรือนไม่ยอมให้มันเข้า อีเม้ยกลับไปหาบัวเงินและบอกกับผู้เป็นนายว่า ตอนนี้เรรินอยู่ที่บ้านสุริยวงศ์ ทำให้บัวเงินยิ่งแค้น
สุริยวงศ์เข้าชงโกโก้ร้อนมาให้เรรินที่นั่งซึมหวังจะปรับความเข้าใจ แต่เรรินกลับชิงพูดขึ้นก่อน
“อีกไม่กี่วัน ฉันก็จะทอผ้าผืนนั้นเสร็จสมบูรณ์ ฉันไม่รู้หรอกนะคะว่าหลังจากนั้น จะเกิดอะไรขึ้นกับตัวฉันบ้าง ฉันอาจจะกลายเป็นคนสาบสูญไม่เหลือตัวตน เราอาจจะ
ไม่มีวันได้พบกันอีกเลยก็เป็นไปได้ ยังไงก็ขอบคุณมากนะคะสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง” เรรินลุกเดินกลับห้อง สุริยวงศ์มองตามอย่างค้างคาใจ
เช้าวันใหม่บัวเงินให้คนโทร.ตามสุริยวงศ์มาพบ และแสร้งตัดพ้อหลานชายที่ปกปิดเรื่องเรริน
“ผมไม่ได้คิดจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับอะไร ซักวันผมก็ตั้งใจจะพาคุณรินเปิ้นมากราบคุณย่าอยู่แล้วครับ” สุริยวงศ์ รีบบอก
บัวเงินกำมือแน่นข่มอารมณ์แล้วปั้นยิ้ม “เอ็นดูก็แต่วงพระจันทร์มัน แต่ก็นั่นละนะ ความฮักมักเป็นจะอี้ มีสมหวัง ก็มีผิดหวังเป็นธรรมดา บ่จากเป็นก็จากตาย บ่มีอะหยังแน่นอน พาเปิ้นมาหาย่าเต๊อะ จะได้ผูกข้อไม้ข้อมือ ฮับขวัญให้มวนใจ๋” บัวเงินจำใจเอ่ยออกไป
สุริยวงศ์ฟังแล้วก็อึ้ง เวลาเดียวกันนั้น วันดารามาหาเรรินที่บ้าน และบอกเรื่องที่พรรณวรินทร์มาขอร้องตนให้เรรินฟัง เรรินรู้ตัวว่าสร้างความลำบากใจให้กับทุกคนจึงบอกกับวันดาราว่า เธอจะกลับกรุงเทพฯเพื่อเคลียร์ปัญหาทุกอย่าง
วันดาราช่วยเป็นธุระเรื่องตั๋วเครื่องบินให้ และขับรถพาเรรินไปส่งที่สนามบิน แต่พอวันดาราคล้อยหลังไปแล้ว เรรินก็หนีออกมาจากสนามบินและตั้งใจจะไปหลบอยู่ที่คุ้มจนกว่าจะทอผ้าเสร็จ
สุริยวงศ์กลับมาถึงบ้านไม่พบเรรินมีเพียงจดหมายลาของเธอวางไว้บนโต๊ะจึงเปิดอ่าน
“ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างด้วยหัวใจ วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ฉันเชื่อมั่นว่ามันถูกลิขิตเอาไว้แล้วด้วยกรรม เพียงแต่ไม่มีใครสามารถล่วงรู้ได้เท่านั้นเอง หากบุญวาสนายังมีต่อกัน เราคงได้พบกันอีก เรริน” สุริยวงศ์หัวใจหล่นวูบ
ส่วนเรรินก็เล็ดลอดเข้ามาในคุ้มจนได้ เธอตรงไปที่หน้าห้องทอผ้า แต่ต้องชะงัก เพราะประตูห้องถูกตีด้วยไม้ปิดตาย แถมกุญแจก็เป็นลูกกุญแจใหม่ใหญ่อลังการคล้องด้วยโซ่ทับอีกต่างหาก
เรรินแทบเข่าอ่อน เมื่อความหวังและความศรัทธาถูกทำลายต่อหน้าต่อตา










