ตอนที่ 9
แผนเข้าไปสืบในชุมชนซอยกระดุมเริ่มแล้ว...
ป๋องกับปลายฝนปลอมตัวเป็นพ่อค้าแม่ค้าขายไส้กรอกทอดเกี๊ยวไข่นกกระทาทอดเป็นต้นสองคนเข็นรถเข้ามาในชุมชนเห็นป้ายที่ติดตามรายทางแล้วสยองเช่นป้ายชื่อซอยก็มีรอยเลือดเกรอะเข้าไปไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงปืนกัมปนาทปลายฝนปลอบใจทั้งป๋องและตัวเองว่า “ไม่เกี่ยวกับเราหรอกน่าเขายิงกันเอง”
แต่พอเข็นเข้าไปอีกก็เจอลวดขึงพาดกลางซอยเขียนขู่ว่า “ตำรวจห้ามเข้าไม่งั้นตาย” อีกภาพเป็นหน้าคนเลือดไหลเยิ้มตาเขียวช้ำเขียนไว้ใต้ภาพว่า “สภาพสายตำรวจคนล่าสุด”
ป๋องกับปลายฝนเข็นรถไปจนเห็นบ้านไม้เป้าหมายแต่ไม่ทันทำอะไรก็มีรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งผ่านมาแล้วเข้าประกบทันทีจ้องหน้าทั้งสองบอกว่าหน้าไม่คุ้นถามว่าไปไหนป๋องอึกอักบอกว่า “ไปบ้านครับ” แล้วหลบตาทันที
ชายคนนั้นเหล่ใส่ถามว่าบ้านไหนป๋องบอกว่าตนเป็นหลานน้ายุ้ยเพิ่งย้ายมาอยู่เขาถามอีกว่ายุ้ยไหนป๋องยิ่งตอบก็ยิ่งมีพิรุธแข็งใจบอกว่า “ยุ้ยอ้วนครับ”
“อ๋อ...ยุ้ยอ้วนเหรอเออ...งั้นก็ไม่มีอะไร” แต่พอป๋องกับปลายฝนเข็นรถไปก็ถูกเรียกไว้อีกมองป๋องบอกว่าขอยืมไปเที่ยวหน่อยป๋องนึกว่าหมายถึงปลายฝนรีบเอาตัวบังไว้ชายคนนั้นแสยะยิ้มถามว่ากล้าขัดใจปุ๊ระเบิดถั่วหรือป๋องเสนอให้เอาตนไปแทนได้ไหม
“ฮ่าๆๆไอ้ที่ข้าชอบน่ะแบบเอ็งโว้ย” แล้วเข้าคล้องแขนป๋องเลยปลายฝนสะอึกไปดึงป๋องออกยกมือเท้าเอวด่า
“เดี๋ยวโดนตบไอ้พี่ปุ๊เรื่องอะไรมายุ่งกับผัวหนูไปหาที่อื่นไปวอนโดนซะแล้ว”
“ดุชะมัดเลยเอ็งนี่เออไปหาผัวคนอื่นกินก็ได้วะหวงจังเลยอีชะนีน้อยนี่”
พอปุ๊ระเบิดถั่วขี่มอเตอร์ไซค์ไปแล้วปลายฝนถามป๋องว่าเมื่อกี๊เป็นอะไรอึกอักๆมีพิรุธเพียบป๋องตอบหน้าเจื่อนว่า
“มันตื่นเต้นน่ะชื่อคนชื่อสถานที่อะไรที่พี่โจให้ท่องน่ะลืมหมดเลย”
พอเห็นปลอดคนปลายฝนเปิดฝาตู้รถเข็นออกโจกลิ้งออกมาอย่างเท่มองซ้ายมองขวาไม่เห็นใครก็วิ่งหายไปในบ้านไม้เป็นจังหวะที่ปุ๊ระเบิดถั่ววกรถกลับมาอีกบอกซื้อไส้กรอกกับเกี๊ยว 10 ไม้ป๋องกับปลายฝนเงอะๆงะๆปุ๊มองไปในบ้านเห็นเงาคนก็เอะอะว่าใครทำอะไรอยู่ในนั้นชักปืนเดินตรงไปที่บ้าน
ป๋องจุดไฟแช็กจ่อที่หัวถังแก๊สไฟลุกพรึ่บปุ๊ตกใจหันมาตะโกนลั่น “เฮ้ย! ปิดหัวแก๊สเดี๋ยวแก๊สระเบิด”
โจเปิดรถค้นเจอมือถือเครื่องหนึ่งก็ยัดใส่กระเป๋าปิดประตูรถส่งสัญญาณให้ป๋องแล้วหลบแว้บหายไปอีกทางหนึ่งป๋องถอนใจโล่งอกหันมาจุดไฟจะทอดไส้กรอกให้ปุ๊ปุ๊บอกไม่เอาแล้วเดี๋ยวถังแก๊สระเบิดแล้วตะโกนให้พวกวัยรุ่นจับป๋องกับปลายฝนป๋องจูงมือปลายฝนหนีแต่สุดท้ายทั้งสองก็ถูกจับตัวไปขังไว้ด้วยกัน
ปลายฝนกลัวมากป๋องบอกว่าไม่ต้องกลัวตนจะปกป้องเธอด้วยชีวิตแล้วทั้งสองก็ถูกกุ๊ยที่มาคุมด่าว่าโกหกชักมีดออกมาจะทำร้ายป๋องเอาตัวบังปกป้องปลายฝนบอกพวกมันว่าถ้าจะทำก็ให้ทำตนคนเดียวเพื่อนตนไม่เกี่ยว
ครู่หนึ่งพี่เบิ้มเดินเข้ามาไล่พวกกุ๊ยที่เฝ้าอยู่ออกไปให้หมดบอกว่าสองคนนี้เป็นหลานตนขณะป๋องกำลังงงๆก็เห็นโจเดินตามพี่เบิ้มเข้ามา
ที่แท้ทั้งหมดนั้นเป็นการจัดฉากทดสอบป๋องฝึกให้เขาแก้ปัญหาและกล้าต่อสู้เพราะพี่เบิ้มนั้นเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อสีสุกรุ่นพี่ของโจป๋องถามอย่างรับไม่ได้ว่าเป็นศิษย์หลวงพ่อแล้วมาทำชั่วแบบนี้ได้ยังไง
“แกไม่รู้อะไรไอ้ป๋องที่นี่เขาเลิกค้ายามานานแล้วไอ้ที่ลือๆกันน่ะมั่วทั้งนั้นที่เห็นมีคนคอยตรวจตราน่ะเขาป้องกันไม่ให้คนนอกเข้ามาขายยาเสพติดในชุมชนนี้” ป๋องถามว่าแล้วป้ายขู่ตำรวจนั่นล่ะพี่เบิ้มหัวเราะชี้แจงว่า
“อันนั้นขำๆถึงเราจะเลิกยาเสพติดแต่ก็ยังมีพวกที่ชอบเล่นไพ่เล่นหวยอยู่เหมือนกัน”
ป๋องกับปลายฝนพยักหน้าเข้าใจโล่งใจพอไปนั่งกินข้าวต้มริมทางด้วยกันปลายฝนถามโจว่าทดสอบป๋องผ่านไหม
“ในฐานะนักสืบแกสอบตกไม่มีไหวพริบปฏิภาณอะไรเลยแต่ในฐานะลูกผู้ชายแกสอบผ่าน” พี่เบิ้มก็เสริมว่าลูกผู้ชายต้องเป็นแบบนี้ตนภูมิใจป๋องมากแล้วชวนผ่อนคลายกันประสาลูกศิษย์หลวงพ่อเดียวกัน
โจให้ป๋องไปส่งปลายฝนก่อนค่อยกลับมาผ่อน
คลายกันป๋องขับรถไปส่งปลายฝนอย่างภูมิใจหัวใจพองโตในความเป็นลูกผู้ชายของตนแต่ครู่เดียวปลายฝนก็ได้รับโทรศัพท์จากพี่เอ็มป๋องฟังแล้วแห้วห่อเหี่ยวเป็นลูกโป่งรั่วไปเลย
ooooooo
โจเอามือถือที่ได้จากรถของสถาพรมาให้ซูซี่ดูแม้จะไม่ใช่เครื่องที่สถาพรใช้ประจำแต่ในนั้นก็มีคลิปที่เป็นปมสำคัญเกี่ยวกับการตายของเขา
เป็นคลิปสถาพรกำลังถอดและประกอบปืนซึ่งเป็นงานอดิเรกที่เขาชอบเป็นชีวิตจิตใจจับเวลาแล้วไม่พอใจเลยไปหยิบยากินซูซี่บอกโจว่านั่นเป็นยาของตนที่คืนนั้นไม่ได้เอากลับบ้าน
“แปลว่าก่อนหน้าคืนนั้นเขาก็คงกินยาของคุณเหมือนกัน” โจถามซูซี่บอกว่าชัดเจนที่สุดโจบอกว่า “เอาไปให้ตำรวจเจ้าของคดีดูแล้วกันจะได้ผ่านพ้นเรื่องแย่ๆในชีวิตได้เสียที”
ซูซี่ดีใจกระโดดกอดและจูบโจทำเอาโจขนลุกบอกว่าไม่เป็นไรรู้แล้วว่าซูซี่ดีใจตนก็ดีใจที่ได้ช่วยเขาซูซี่เปลี่ยนเป็นเช็กแฮนด์ยิ้มทั้งน้ำตา
ooooooo
วนิษางอนโจวันนี้จึงไม่ให้เขาพักโดยไม่หักเงินเดือนโจงงๆนึกถึงคำด่าของปลายฝนแต่ก็คิดเข้าข้างตัวเองว่าคงไม่ใช่
วนิษาขับไปวัดเจอกับคุณยายวรางค์หนุงหนิงที่สำคัญมีภาคย์ด้วยคุณยายแนะนำภาคย์แก่วนิษาภาคย์ได้นำสมาทานศีลและถวายสังฆทานท่วงท่าเขาดูสง่านุ่มนวลและมีราศีมาก
เมื่อกลับถึงบ้านวนิษาขอบคุณภาคย์ที่ช่วยคุณยายไว้เขาตอบอย่างถ่อมตัวและแสนสุภาพว่า
“ไม่เป็นไรครับไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรครับ”
โอกาสนี้คุณยายชมเชยภาคย์อย่างมากภาคย์ก็เล่นละครอ่อนน้อมถ่อมตัวทำดีไม่หวังสิ่งตอบแทนไม่หวังได้บุญกุศลอะไรยิ่งทำให้คุณยายชื่นชอบบรรยายถึงอาการที่ภาคย์เห็นรูปถ่ายของวนิษาว่าถึงกับตะลึงราวกับโดนนะจังงังภาคย์ก็ทำทีขวยเขินไม่กล้าสบตาวนิษาถึงกับยกมือไหว้ขอให้คุณยายปรานีตนด้วยเถิด
“ใครว่ายายน่ะทั้งเมตตาปรานีเธอเลยนะก็เลยนัดตัวจริงมาให้เห็นซะเลยตอบแทนความดีที่ช่วยยายไว้เห็นไหมล่ะว่าทำดีได้ดีน่ะมีจริง”
“แต่คุณยายพูดแบบนี้ผมคงไม่กล้ามองหน้าคุณวนิษาอีกแล้วล่ะครับ”
วนิษายิ้มให้ภาคย์มองวนิษาด้วยสายตาเคลิบเคลิ้มจนวนิษากลายเป็นฝ่ายเขินไปเอง
ทั้งหมดนี้อยู่ในความสังเกตของคุณยายวรางค์คุณยายอมยิ้มอย่างพอใจ...
ooooooo
วันนี้โจมารอวนิษาที่ล็อบบี้คอนโดแต่เช้าพอเธอลงมาโจรีบถามว่าวันนี้พร้อมให้ตนรับใช้ไหมเธอส่งกุญแจรถให้ไม่พูดอะไรโจดีใจรีบเดินไปที่จอดรถวนิษามองสะใจนิดๆ
เมื่อขึ้นรถไปด้วยกันโจพยายามชวนคุยทำเป็นถามว่าเมื่อวานขับรถเองมีปัญหาอะไรไหมเธอเงียบโจหาเรื่องคุยใหม่ทำเป็นดูเข็มไมล์อุทานว่าไปชานเมืองมาหรือดูเข็มไมล์ไปไกลเหมือนกันอากาศดีไหมเธอเงียบอีกโจถามใหม่อีก...
“แล้วจะไปวังวาสุวงศ์นี่จะไปเยี่ยมหม่อมจันใช่ไหมครับ”
คราวนี้ไม่เพียงแต่เงียบหากยังหยิบหูฟังขึ้นมาเปิดเพลงจากมือถือฟังเพลินเลยโจยังพยายามคุยแต่วนิษาไม่ได้ยินอะไรหูได้ยินแต่เสียงเพลงตาเห็นโจทำปากพะงาบๆแต่ไม่รู้ว่าพูดอะไรครู่ใหญ่คงเมื่อยปากเลยหยุดไปเองวนิษายิ้มสะใจ
มาถึงวังวาสุวงศ์วนิษาเดินเข้าไปโจถือถุงข้าวและผลไม้พะรุงพะรังตามมาเจอหม่อมจันนั่งอยู่วนิษาเข้าไปสวัสดี
“สวัสดีวนิเป็นไงบ้างได้ข่าวว่าไม่สบายดีขึ้นรึยังจ๊ะ” หม่อมจันทักอย่างเอ็นดู
“ดีขึ้นแล้วค่ะวันก่อนหนูกลับไปบ้านคุณยายท่านฝากของมาให้หม่อมแม่ค่ะ” วนิษากวักมือเรียกโจให้เอาถุงผลไม้เข้าไปหม่อมจันถามว่าทำไมเยอะจังฝากขอบใจคุณวรางค์ด้วย
“หม่อมแม่สวัสดีครับอ้าว...วนิษาวันนี้มาด้วยเหรอ” พจน์โผล่เข้ามาทำเป็นแปลกใจถูกหม่อมจันขัดคอว่าจะแปลกใจอะไรก็บอกแล้วว่าวันนี้วนิษาจะมาเยี่ยม “ผมคงลืมไปน่ะครับเอ่อ...หม่อมแม่ครับวันก่อนหม่อมแม่เปรยกับผมว่าอยากได้คนมาจัดสวนให้น่ะครับผมหามาได้แล้วเขาเคยทำสวนให้โรงแรมเพื่อนผมฝีมือดีความรับผิดชอบเยี่ยมผมเลยชวนให้มาคุยกับหม่อมแม่เลย”
หม่อมจันถามว่าอยู่ไหนพจน์ทำเป็นมองหา
บอกว่าคงดูสวนอยู่พลันก็บอกว่า “อ้าว...มาพอดี...เชิญครับ”
ที่แท้คือภาคย์นั่นเองทั้งวนิษาและภาคย์ต่างแปลกใจที่เพิ่งเจอกันเมื่อวานวันนี้ก็มาเจอกันอีกภาคย์ตีขลุมว่าคงเป็นเรื่องของดวงกระมัง
“วันนี้ท่าทางจะครึกครื้นนะงั้นเดี๋ยวทานกลางวันด้วยเลยก็แล้วกันนะ” หม่อมจันชวน
“เราได้ทานข้าวด้วยกันสองวันติดกันเลยนะครับ” ภาคย์พูดกับวนิษาเธอหัวเราะเบาๆ
โจจับตาดูอยู่กำหมัดแน่นวนเวียนอยู่แถวนั้นจนถึงเวลาอาหารโจคอยชำเลืองดูถูกแม่บ้านมาสะกิดบอกว่าไม่ต้องรอให้ไปกินข้าวในครัวเดี๋ยวพอนายเสร็จธุระก็ให้คนไปตามเองแหละโจจึงจำต้องเดินตามแม่บ้านไป
ooooooo
ขากลับโจขับรถพลางมองกระจกหลังเห็นวนิษาอารมณ์ดีก็ปากอยู่ไม่สุขทักว่ามื้อนี้ท่าทางอาหารถูกปากวนิษาชักสีหน้าถามว่าทำไมหรือ
“ในที่สุดคุณก็ยอมคุยกับผม” โจดีใจแต่ไม่วายพูดกวนอารมณ์ต่อ “ดูคุณจะเจริญอาหารสงสัยบรรยากาศดี” วนิษาถามว่าแล้วไง “ก็ไม่มีอะไรแค่ชวนคุยเฉยๆ” แล้วโจก็พูดออกตัวว่า “วันก่อนผมมีธุระด่วนจริงๆ” วนิษาทำไก๋ถามว่าวันไหน “วันที่คุณมาหาผมที่บ้านแล้วหิว”
“ฉันจำไม่ได้แล้ว” วนิษาตอบหน้านิ่งโจเอ่ยขอโทษด้วยน้ำเสียงเบาหวิววนิษาก็ตอบเสียงเบามากว่า “ไม่เป็นไร” แล้วต่างก็แอบยิ้มนิดๆ
เมื่ออารมณ์แง่งอนหายไปด้วยคำขอโทษเบาๆแต่บรรยากาศดีขึ้นทันตาเห็นโจขับรถไปก็ชี้ชวนวนิษาให้ดูธรรมชาติสองข้างทางไปจนเธอเพลินสุดท้ายบอกให้เขาจอดรถแล้วเปลี่ยนมานั่งคู่กันข้างหน้าคุยกันอย่างสนิทสนมสนุกสนานไปตลอดทาง...
โจพาวนิษาไปร้านอาหารไม่หรูแต่อวดว่าอร่อยระดับต้นๆของเมืองไทยถ้ากินแล้วไม่อร่อยยอมให้เตะเลยตนกินมาตั้งแต่เด็กคนไม่สนิทจริงไม่พามา
ขณะกำลังคุยกันอารมณ์ดีๆโจก็ชะงักพาวนิษาถอยกรูดเมื่อเห็นระรินเดินสวนออกมาระรินเห็นพอดีรีบตามเมื่อไม่ทันก็ร้องเรียกโจพาวนิษาหนีไปในตรอกซอกซอยอย่างช่ำชองวนิษาถามว่าทำไมต้องหนีรู้จักระรินด้วยหรือเขากับระรินมีอะไรกันทุกคำถามโจตอบคำเดียวว่า “ผมไม่อยากเล่า” และ “บอกแล้วว่าไม่อยากเล่า”
วนิษาไม่ยอมให้เขาหนีปัญหาพอโจเผลอก็ล็อกตัวไว้แล้วตะโกนเรียกระรินโจโมโหแต่เมื่อระรินวิ่งอ้าวมาเขาฝืนยิ้มให้เธอหันบอกวนิษาหน้าเครียดว่า “คุณจะไม่ได้รู้อะไรทั้งนั้น” แล้วบอกระริน “ตามผมมา”
โจพาระรินเดินหนีไปไกลทั้งยังหันปรามวนิษา “อย่าตามมานะ” แล้วพาระรินเลี้ยวหายไปวนิษารีบตามไปแต่ไม่เห็นทั้งสองคนแล้วเดินไปถามแม่ค้าแถวนั้นอ้างว่าผัวตนนัดกิ๊กไว้พอตนตามเจอก็พากันหนีแม่ค้าพาซื่อชี้ว่าไปทางโน้นวนิษาวิ่งไปตามทางที่แม่ค้าบอกจนได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้เธอค่อยๆโผล่ไปดูเห็นระรินในชุดหรูคุกเข่ากอดขาโจอ้อนวอน
“โจ...ฉันขอโทษยกโทษให้ฉันเถอะนะ”
ความตกใจไม่ทันระวังตัวเท้าวนิษาเขี่ยถูกกระป๋องเกิดเสียงดังทั้งสองชะงักหันมองวนิษาหลบทันแต่อึดใจใหญ่พอโผล่ดูก็ไม่เห็นใครแล้ว
“ระรินกอดขานายโจแล้วร้องไห้...เมื่อกี๊ฉันตาฝาดไปใช่ไหมเนี่ย” วนิษาสับสน
แต่พอเธอเดินกลับมาที่รถก็เจอโจนั่งรออยู่แล้วเธอถามว่าเรื่องมันเป็นยังไง? รู้จักระรินนานหรือยัง? ตั้งแต่เมื่อไร? ทำไมเขาถึงได้...ทุกคำถามโจพูดคำเดียวว่า “อย่าถาม!” จนสุดท้ายทนไม่ไหวเสียงดังว่า “บอกแล้วว่าอย่าถาม!” แล้วสั่งวนิษาให้ขึ้นรถเธอเพิ่งถูกเขาฉุนเฉียวใส่เป็นครั้งแรกจึงยอมขึ้นรถแต่คิดขุ่นเคืองแค้นใจว่า
“กล้าทำกับฉันแบบนี้เหรอแค้นนี้ต้องชำระแน่ไม่อยากให้ฉันรู้เรื่องของนายใช่ไหม...ด้าย!!”
ooooooo
โจพาวนิษาไปถึงบ่อนเธอบอกให้รอแถวนี้ตนจะไปธนาคารไม่รู้จะกลับกี่โมงโจจึงหยิบหนังสือ-พิมพ์นั่งอ่าน
วนิษาเดินไปเจอปฐมรับซองสีน้ำตาลซองหนึ่งเธอทำเป็นเดินเข้าทางโน้นออกทางนี้แล้วแว่บออกทางประตูหลังแอบมองเห็นโจยังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่เธอตรงไปที่รถขับออกไปทันที
ที่แท้แล้วในซองที่รับจากปฐมคือกุญแจผีเธอ
เอาไปไขประตูบ้านโจเพื่อหาหลักฐานบางอย่างของเขาแต่ไขจนเกือบหมดทั้งซองก็ยังเปิดประตูไม่ได้พอดีได้ยินเสียงป๋องกับปลายฝนเดินคุยกันมาปลายฝนเร่งให้ป๋องรีบเดินตนอยากซู้ดดดดจนมือสั่นหมดแล้ววนิษาตกใจนึกว่าทั้งสองเข้าไปเสพยายิ่งเมื่อได้ยินเสียงทั้งสองแข่งกันซู้ดดดอย่างเมามันก็ยิ่งตกใจผลักประตูผัวะเข้าไป
กลายเป็นว่าสองคนกำลังซู้ดบะหมี่รสใหม่ซูปเปอร์แซ่บกันเลยหน้าแตกปลายฝนกับวนิษาต่างถามพร้อมกันว่ามาที่นี่ทำไม?
พอปลายฝนเล่าให้ฟังวนิษาเข้าใจได้ว่าถ้าพ่อตนเสียชีวิตแบบนั้นเป็นตนก็ต้องสงสัยเมียใหม่ของพ่อเหมือนกันบ่นว่า
“ไม่รู้เมื่อไหร่เรื่องนี้จะคลี่คลายเสียทีฉันต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยไปตลอดชีวิตเลยไหมนี่”
“คงไม่มังครับเดี๋ยวพี่โจก็หาคำตอบจนได้แหละครับ” วนิษาเลยถามว่าแล้วรู้ไหมว่าโจเกี่ยวข้องอะไรกับระริน “ไม่รู้จริงๆครับคงรู้จักกันก่อนที่ผมจะมาทำงานกับพี่โจ” แต่พอปลายฝนขอให้ช่วยสืบให้หน่อยป๋องคิดๆแล้วบอกว่า “ผมรู้จักคนคนหนึ่งที่เขาน่าจะรู้เรื่องของพี่โจ”
“ขอบใจนะเธอน่ารักจัง” ปลายฝนพูดแค่นั้นป๋องก็เคลิ้มไปถึงไหนต่อไหนแล้ววนิษามองทั้งสองอย่างสังเกต
คนคนนั้นคือคอปบร้านั่นเองป๋องเล่าว่าตนกับโจเป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยเดียวกันเคยเป็นเพื่อนกันแต่ตอนหลังเป็นศัตรูชนิดไม่เผาผีกันเลยปลายฝนถามว่าเกิดอะไรขึ้นป๋องคาดว่าคงเป็นเรื่องผู้หญิงวนิษาหน้าเครียดแต่รักษาฟอร์มทำสงบฟัง
ooooooo
เพื่อสืบรู้ให้ได้ป๋องนัดพบคอปบร้าคอปบร้าพาขึ้นไปคุยกันบนดาดฟ้าที่แดดเปรี้ยงร้อนระอุอ้างว่าเห็นในหนังเวลาเขาจะคุยเรื่องความลับต้องขึ้นไปคุยกันบนดาดฟ้า
วนิษาปลายฝนและป๋องร้อนเหงื่อแตกพลั่กมองหน้ากันเหนื่อยๆหน่ายๆแต่จำต้องนิ่งไว้
คอปบร้าเล่าความหลังให้ฟังราวกับเรื่องเพิ่งเกิดสดๆเมื่อวานนี้ว่า...
“ผมรู้จักมันดีที่สุดในโลกผมรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวมันตั้งแต่เกิด” วนิษาถามว่าตกลงโจเป็นเพื่อนหรือศัตรูเขากันแน่ “ตอนแรกมันเป็นเพื่อนแต่มันแย่งแฟนผมแล้วก็ฆ่าพ่อผมมันจึงเป็นศัตรูของผม” วนิษาตัดบทว่าตนอยากรู้เรื่องโจกับระริน “ระรินคือแฟนผมที่มันแย่งไปเมื่อก่อนระรินเขาชื่อรินทิพย์...”
เรื่องราวของโจพรั่งพรูจากปากของคอปบร้าอย่างมีอารมณ์คั่งค้างว่า...
เวลานั้นโจเป็นประธานนิสิตปีหนึ่งและรินทิพย์เป็นหลีดมหา’ลัยที่คอปบร้าคุยโวกับโจว่าเป็นแฟนตนทั้งที่ยังไม่ได้จีบแต่รู้สึกว่าเราเป็นเนื้อคู่กันโชคชะตาจะบันดาลให้เป็นแฟนกันแน่
โจจัดออกค่ายเพื่อให้นักศึกษาได้เรียนรู้และลดช่องว่างในสังคมรินทิพย์เป็นตัวแทนคณะบริหารปีหนึ่งมาร่วมกิจกรรมด้วยรินทิพย์ชื่นชมทัศนคติของโจมากบอกว่าไม่เคยเจอคนรุ่นราวคราวเดียวกันคนไหนพูดอะไรอย่างที่โจพูดเลยเธอบอกเขาว่า
“ฉันประทับใจมากค่ะฉันจะอยู่ข้างคุณจะสนับสนุนคุณทุกอย่างเลยค่ะ”
ครู่เดียวสคอปบร้าก็กระพือเสื้อบ่นว่าร้อนชวนลงไปคุยข้างล่างกันดีกว่าพอลงมาที่ร้านกาแฟเขาเล่าอย่างไม่หายเจ็บปวดว่า...
“ตั้งแต่นั้นมาไอ้โจกับรินก็คบกันทั้งคู่สนิทกันมากจนเพื่อนๆล้อว่าเรียนจบแล้วคงไม่แคล้วแต่งงานกันรินเองก็พาไอ้โจไปที่บ้านบ่อยๆแม่รินเองก็รักโจแต่ไอ้โจก็ไม่เคยได้เจอพ่อของรินเลยสักครั้งเพราะพ่อรินอยู่เมืองจีนนานๆกลับมาเมืองไทยทีจนวันหนึ่งรินพาไอ้โจไปเจอพ่อของเธอเรื่องราวก็ถึงจุดพลิกผัน...”
จุดพลิกผันนั้นคือพอพ่อของรินทิพย์ซึ่งเป็นซินแสดังที่เมืองจีนเห็นโจก็บอกลูกสาวว่าคนนี้คบไม่ได้สั่งให้เลิกคบเสียเพราะโหงวเฮ้งอัปมงคลมากถ้าคบกับผู้ชายคนนี้ต่อไปเธอจะเดือดร้อนป๊ากับม้าก็อาจจะต้องตายถามโจว่า
“คุณก็รู้ว่าผมพูดถูกชีวิตคุณเป็นแบบนี้มาตลอดไม่ใช่เหรอใครที่อุปการะเลี้ยงดูคุณก็ล้วนแต่ต้องมีอัน
เป็นไปใช่ไหม” โจบอกว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ “คุณปฏิเสธดวงชะตาคุณเองไม่ได้หรอกวันนี้คุณยังดื้อแต่สักวัน
คุณต้องยอมรับ”
แต่รินทิพย์รักโจจนปฏิเสธคำสั่งของพ่อทำให้พ่อโกรธเธอมากจนเรียนจบโจขอบคุณรินทิพย์ที่อยู่เคียงข้างเขาตลอดมารินทิพย์บอกเขาว่าตนจะอยู่ข้างเขาตลอดไปคอปบร้าหยุดนิดหนึ่งแล้วเล่าชีวิตต่อมาของโจว่า
“พอมันเริ่มทำงานตำนานโจตัวซวยก็เริ่มขึ้น” คอปบร้าเริ่มสะใจเมื่อเล่าว่าโจไปทำงานเจ็ดบริษัทถ้าไม่เจ๊งก็โดนโกงหรือไม่ก็โดนขังและล่าสุดคือบริษัทพ่อของเขาเองแต่ทุกเรื่องโจก็ยืนยันว่ามันเป็นอุบัติเหตุรินทิพย์เสนอว่าจะให้พ่อหาทางช่วยเขาโดยจะพาเขาไปหาแม่ชีที่เมืองจีนท่านมีพลังลมปราณที่จะเปลี่ยนโหงวเฮ้งให้เขาจากหนักให้เป็นเบาได้
โจยืนยันว่าทุกเรื่องที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวกับตนรินทิพย์พูดอย่างขัดใจว่า “พ่อฉันพูดถูกคุณดื้อ!” เธอบอกว่ายังรักเขาแต่เขาต้องไปแก้อาถรรพณ์ที่เมืองจีนกับพ่อแต่ถ้าเขาไม่ไป “เรา...เลิกกัน! ไปเถอะนะโจฉันขอร้องถ้ารักฉันจริงคุณต้องไปนะ...ไปเถอะคุณจะได้ไม่เป็นตัวซวยอีก”
ทันทีที่ได้ยินคำว่าตัวซวยโจสวนทันควันว่า “ผม-ไม่-ไป!”
รินทิพย์เดินร้องไห้จากไปโจเองก็นั่งก้มหน้าอย่างเจ็บปวดจากนั้นรินทิพย์ก็ทำตามคำแนะนำของพ่อเธอเพื่อไม่ให้ความซวยของโจติดตัวมาเธอเปลี่ยนชื่อจากรินทิพย์เป็นระรินและหาคนรักใหม่ที่มีเชื้อเจ้า
หรือไม่ก็เป็นดาราเธอเกือบทำได้สำเร็จแล้วแต่สุดท้ายก็โดนคนอื่นแย่งแฟนไปทั้งสองครั้งสุดท้ายระรินก็หวนกลับมาตามหาโจเพราะใจยังรักเขาอยู่
วนิษาขอบใจที่คอปบร้าเล่าเรื่องโจให้ฟังคอปบร้าบอกว่าตนไม่ได้เล่าให้ฟังฟรีๆวนิษาถามว่าเขาคิดเท่าไร?
“ขอเป็นความสุขทางใจจะบอกอะไรให้ร้านกาแฟที่ไอ้โจโดนรินบอกเลิกก็คือร้านนี้แล้วก็โต๊ะตัวนี้แหละผมก็เลยชอบมานั่งที่นี่มากมาซึมซับความเจ็บปวดของมันทำให้กาแฟอร่อยขึ้นตั้งเยอะฮ่าๆๆ”
วนิษาจะลุกไปคอปบร้าไม่ให้ไปเพราะตนยังเล่าไม่จบพอทุกคนหยุดฟังเขาเล่าต่ออย่างสะใจว่า
“หลังจากที่ไอ้โจเลิกกับรินมันก็เปลี่ยนงานบ่อยจนในที่สุดก็มาเปิดบริษัทนักสืบแต่ก่อนหน้านั้นมันไม่เคยเปิดร้านทำป้ายและไม่เคยรับทำอาหารกล่องนั่นแปลว่ามันไม่เคยเป็นลูกจ้างคุณชายแจ้ผัวคนแรกของคุณไม่เคยรับเงินจากเสี่ยป๊อกผัวคนที่สองของคุณมันโกหกคุณเพราะมันอยากช่วยให้คุณสบายใจแต่ความจริงก็หนีความจริงไม่พ้นผัวคุณตายเพราะตัวคุณเพราะคุณคือผู้หญิงกินผัว!”
วนิษาช็อกคอปบร้าระเบิดหัวเราะตะโกนย้ำ “คุณคือผู้หญิงกินผัว!” แล้วสั่ง “เอากาแฟมาอีกนับจากวันนี้ไปกาแฟที่นี่จะอร่อยขึ้นอีกสิบเท่าเพราะความรักของไอ้โจตัวซวยถูกทำลายลงอีกครั้งที่นี่ฮ่าๆๆๆ”
ooooooo
แยกจากคอปบร้าแล้ววนิษาขับรถพาป๋องกับปลายฝนไปส่งที่บ้านตลอดทางที่นั่งรถไปทั้งป๋องและปลายฝนต่างมองวนิษาอย่างเป็นห่วงมากชวนพูดคุยหรือถามอะไรเธอก็เอาแต่นิ่งเงียบหน้าขึงตาขวาง
ส่งสองคนแล้ววนิษากลับไปที่บ่อนปฐมเข้ามาทักก็เดินผ่านเฉยเหมือนไม่รับรู้โจลุกขึ้นถามว่าจะไปแบงก์หรือยังตนรอจนหิวแล้วเธอก็เดินเหม่อผ่านไปจนโจเอะใจตามไปเรียกพอเธอหันมาก็ถามเสียงสะท้านเครือว่า
“คุณหลอกฉันทำไม” พอโจถามว่าตนหลอกอะไรก็ถูกตบเพียะ! ด่าว่าโกหกไล่ไปให้พ้นโจจะตามอีกแต่ถูกปฐมล็อกตัวลากออกไปส่วนวนิษาพอเข้าห้องปิดประตูก็ร้องไห้โฮ...โฮ...
โจสะบัดจากปฐมบอกว่าเข้าไปคุยกันตรงๆน่าจะรู้เรื่องกว่าปฐมไม่ยอมปล่อยเลยซัดกันพักใหญ่ในที่สุดโจก็ถูกปฐมเล่นงานจนกระเด็นแล้วบอกให้กลับไปเสียโจจำต้องพยักหน้าแต่พอหันกลับก็เจอป๋องขี่มอเตอร์ไซค์มาพอดีบอกว่าเมื่อกี๊วนิษาไปที่บ้านโจโดดซ้อนมอเตอร์ไซค์ป๋องกลับบ้านทันที
ฟังป๋องเล่าเรื่องที่คอปบร้าพูดถึงตนให้วนิษาฟังแล้วโจกัดฟันกรอดคำรามแค้น
“ไอ้คอปบร้าที่แท้ก็ฝีมือแกเหรอเนี่ย” ป๋องบอกว่าคอปบร้ามันบ้าจริงๆ “ไม่ว่ามันจะบ้าหรือไม่บ้ามันก็ต้องรับผิดชอบการกระทำของมัน” โจเดินออกไปสีหน้าเหี้ยมเกรียมจนป๋องเองก็กลัวพยายามเรียกแต่โจก็ขึ้นรถขับออกไปแล้ว
“สงสัยจะเกิดเรื่องใหญ่แล้วเอาไงดีวะ...” ป๋องเดินพล่าน
ooooooo
โจเรียกคอปบร้าไปพบกันที่ร้านกาแฟทันทีที่เห็นหน้าโจคอปบร้ายิ้มกริ่มเย้ยหยันโจกระโดดถีบคอปบร้าล้มโครมไปทั้งคนทั้งโต๊ะผู้คนในร้านแตกฮือ
คอปบร้าชักปืนออกมาขู่ว่าถ้าเข้ามาจะยิงแต่โจไวกว่าหยิบถ้วยกาแฟของลูกค้าในร้านขว้างโดนปืนในมือคอปบร้าหลุดกระเด็นคอปบร้าตะกายจะไปเก็บปืนก็ถูกโจเตะกลางตัวกลิ้งไปอีกทางแล้วหยิบปืนจ่อ
“เอาเล้ย...ฆ่าฉันเลยไอ้โจเอาซิวะฆ่าเลย...โอ๊ย...” คอปบร้าท้าให้ฆ่าแต่ทนเจ็บไม่ได้ร้องครางออกมา
ป๋องตัดสินใจโทร.ไปหาหลวงพ่อสีสุกเล่าเรื่องให้ฟังแล้วบอกว่าตนกลัวโจจะทำอะไรวู่วามหลวงพ่อบอกว่า
“พ่อรู้แล้ว” ป๋องถามว่าแล้วจะให้ตนทำอย่างไร “ไม่เป็นไรไม่มีอะไรหรอกแค่นี้นะ” หลวงพ่อวางสายแล้วเดินไปที่หน้าโต๊ะหมู่บูชา...นั่งสมาธิ...
ที่ร้านกาแฟโจเอาเก้าอี้ยันคอปบร้าตรึงติดข้างฝาคอปบร้ากลัวตัวสั่นร้องลั่น “ไอ้โจแกฆ่าฉันไม่ได้นะแกทำฉันก่อนแกแย่งแฟนฉันแกฆ่าพ่อฉันฉันแค่เอาคืนแค่นี้แกโกรธอะไรนักหนาวะ”
“ฝากขอโทษพ่อแกด้วย” โจบอกคอปบร้าถามว่าขอโทษเรื่องอะไร “ขอโทษที่ฉันฆ่าลูกของท่าน”
“อย่าโจ! อย่าฆ่าฉันเลยเราเป็นเพื่อนกันมาก่อนนะเว้ย”
โจไม่สนใจยกปืนเล็ง! พลันก็มีประกายบางอย่างสว่างวาบเข้าตาโจหันขวับเห็นในห้องที่อยู่หลังประตูพนักงานมีหิ้งพระอยู่บนผนังพระพุทธรูปทองเหลืองแวววาวส่องประกายเข้าตาโจชะงักเสียงสวดมนต์เบาๆดังมาจากที่ไหนสักแห่ง...
โจชะงักค้างหลับตากำหนดลมหายใจตัวเองครู่หนึ่งลืมตาอีกทีเห็นพระพุทธรูปอยู่ที่เดิมแต่ไม่มีแสงเรืองรองแล้วเสียงสวดมนต์ก็หายไปด้วยโจลดปืนลงพึมพำ
“ขอบคุณครับหลวงพ่อ”
เวลาเดียวกันหลวงพ่อสีสุกที่นั่งสมาธิอยู่หน้าโต๊ะหมู่บูชาเปลี่ยนท่านั่งเป็นคุกเข่ากราบพระแล้วลุกเดินออกไป
ooooooo
โจปลดแม็กเอาลูกปืนออกแล้วโยนกระบอกปืนคืนคอปบร้าที่นั่งตัวสั่นอยู่รับปืนแล้วคอปบร้ามองโจ
อย่างไม่วางใจเห็นโจเดินไปเก็บโต๊ะเก้าอี้ที่ล้มระเนระนาดถามโจงงๆว่า “เฮ้ย...ตกลงแกไม่ฆ่าฉันแล้วเหรอ”
“เออ...แกอย่าเพิ่งพูดมากได้ไหมมาช่วยกันเก็บโต๊ะก่อนเร็วสิวะ” โจเย็นลงอย่างไม่น่าเชื่อคอปบร้าลุกขึ้นมาช่วยเก็บโต๊ะเก้าอี้งงๆเสร็จแล้วพากันไปนั่งคุยที่มุมหนึ่งในร้านสั่งกาแฟมาดื่มโจขอบคุณและขอโทษพนักงานที่มาเสิร์ฟกาแฟอีกครั้งกับเรื่องที่เกิดขึ้นจากนั้นก็คุยกับคอปบร้าอย่างเยือกเย็นมีใจรักและเมตตา
“คอปบร้า...ฉันขอโทษ...ขอโทษที่ที่ผ่านมาฉัน
ไม่เคยเตือนสติแกจริงๆจังๆปล่อยให้แกฟุ้งซ่านจนหลงทางเมื่อก่อนแกแค่โง่แต่ตอนนี้แกทั้งโง่และเลว”
คอปบร้าลุกพรวดชี้หน้าโจที่มาด่ากันซึ่งหน้าโจบอกให้นั่งลงคุยกันก่อนแล้วพูดต่อ
“แกลองถามตัวเองถ้าเป็นเมื่อก่อนมีคนบอกให้แกไปทำร้ายคนบริสุทธิ์คนนึงเพื่อแก้แค้นคนอื่นแกจะทำลงไหม” คอปบร้าบอกว่าถ้าเป็นเมื่อก่อนตนคงไม่ทำแบบนี้ “แกหมกมุ่นที่จะแก้แค้นฉันมากเกินไปฉันเองก็ผิดที่ปล่อยให้แกแค้นฉันโดยไม่คิดจะเตือนสติแก”
“เตือนสติฉันเรื่องอะไร”
“คอปบร้า...จริงๆแล้วแกแค้นตัวเองพ่อแกตายก็เพราะความสะเพร่าของแกเอง” ส่วนเรื่องระรินโจชี้ให้เห็นว่า “ระรินไม่เคยเป็นแฟนแกไม่เคยรู้จักแกด้วยซ้ำเพราะแกขี้ขลาดไม่กล้าคุยกับเขา”
คอปบร้าเถียงว่าตนรู้สึกได้ว่าดวงของเราสองคนสมพงศ์กันโจย้ำเตือนว่า “ยอมรับความจริงได้แล้ว
คอปบร้าวันนี้แกเริ่มทำเรื่องเลวร้ายแบบที่แกไม่เคยทำมาก่อนแกอาจจะทำอะไรที่เลวไปกว่านี้อีกแกอยากเป็นคนแบบนั้นเหรอ” เห็นคอปบร้านิ่งเถียงไม่ออกโจชี้ว่า “ฉันดูออกว่าแกอยากเป็นคนดีพ่อแกก็อยากให้แกเป็นคนดีตอนนี้ยังไม่สายไปนะ”
“มันยากที่จะ...” คอปบร้าพูดได้แค่นั้นก็เงียบไป
“มันยากที่จะยอมรับความจริงแต่แกหนีมันมานานเกินไปแล้วถึงเวลาที่ต้องตั้งสติยอมรับความจริงแล้ว”
คอปบร้าร้องไห้โฮลั่นร้านพร่ำบอกพ่อ “ผมขอโทษครับพ่อ...ผมขอโทษครับ...ผมผิดเอง...”
โจมองคอปบร้าที่ร้องไห้โฮๆด้วยความสงสารเห็นใจแล้วพาคอปบร้าไปกราบหลวงพ่อคืนนี้เลย
“นึกว่าเมตตาช่วยคอปบร้าด้วยเถอะครับหลวงพ่อคอปบร้ามันไม่มีใครแล้วผมกลัวมันจะคุมสติไม่อยู่”
“ให้ฉันช่วยน่ะไม่มีปัญหาเธอล่ะพร้อมจะให้ช่วยหรือเปล่า” หลวงพ่อถามเจ้าตัว
“ครับ...โจพูดถูกครับผมหลอกตัวเองมาตลอดแต่ปัญหาคือถ้าผมไม่หลอกตัวเองผมคงต้องเป็นบ้าแน่ๆนี่ผมว่าผมก็ใกล้แล้ว”
“ไม่เป็นไรไม่มีอะไรหรอก” หลวงพ่อพูดอย่างเมตตาแล้วหันไปทางโจ “เอาเถอะฉันจะดูแลเขาเอง”
ooooooo
แต่พอหลวงพ่อพาคอปบร้าไปแนะนำกับเด็กวัดเก่าตัวกะเปี๊ยกคอปบร้าถูกเด็กวัดมองแต่หัวจดเท้าบอกว่าหน้าอย่างนี้บอกว่าเป็นเด็กวัดอย่างพวกตนก็เป็นวุ้นสิ
คอปบร้าชี้หน้าปราม “เดี๋ยวโดน!” หลวงพ่อเตือนสติว่าอย่าลืมว่าตัวเองมาที่นี่ทำไมคอปบร้าถามว่าเด็กนั่นสามหาวทำไมตนต้องทน
“ไม่ต้องทนเด็กแต่ทนตัวเองเอาชนะความโอหังถือดีในตัวเองให้ได้ก่อนถ้าเธอไม่ถือดีเด็กพูดอะไรเธอก็จะไม่โกรธเธออยากมีปัญญาเธอต้องมีสมาธิถ้าอยากมีสมาธิต้องรักษาศีลถ้าจะรักษาศีลต้องมีสติมีสติก็ต้องฝึกเริ่มจากวันนี้ท่องไว้ทุกลมหายใจไม่โกรธไม่ถือดีทำให้ได้เมื่อมีสติก็จะรักษาศีลได้ก็จะเกิดสมาธิเกิดปัญญาได้ในที่สุด”
คอปบร้านิ่งฟังอย่างมีสติขึ้นเด็กคนเดิมถามว่า
“แกชื่อคอปบร้าเหรองั้นเรียกไอ้บ้าแล้วกันตามฉันมาเร็วไอ้บ้า”
คอปบร้าฉุนกึกแต่รีบข่มโทสะอย่างยากเย็นครู่หนึ่งจึงตอบเสียงเยือกเย็น “จ้ะ” แล้วเดินตามเด็กไป
พอคอปบร้าไปโจถามหลวงพ่อว่าจะไหวไหมไม่รู้ว่าจะแก่เกินดัดหรือเปล่าหลวงพ่อบอกว่าเดี๋ยวก็รู้แล้วบอกโจว่าเขาเองก็น่าจะได้บทเรียนจากเรื่องนี้เหมือนกันเหตุการณ์วันนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะโจโกหกวนิษาใช่ไหมโจอ้างว่าตนทำเพื่อช่วยเธอหลวงพ่อบอกว่าการช่วยนั้นถูกแต่โกหกนั้นผิดคราวหลังอย่าโกหกโจถามว่ามันยากไปไหม?
“คนที่พูดว่ายากเกินไปแปลว่าเป็นคนมักง่ายผลของการมักง่ายก็เป็นอย่างนี้แหละ”
“หลวงพ่อพูดถูกครับผมน่าจะหาทางช่วยเขาโดยไม่ต้องโกหกแต่ตอนนี้เขาคงเกลียดขี้หน้าผมแล้วแล้วผมจะทำยังไงดีล่ะครับ”
“เรื่องทางโลกมาถามฉันไม่ได้หรอกตัวใครตัวมันนะโจ” หลวงพ่อหัวเราะแล้วเดินไป
ooooooo
วนิษาอยู่ในภาวะสับสนไปหาคุณยายวรางค์ร้องไห้อย่างอัดอั้นบอกคุณยายว่าเขาโกหกตนเขาไม่รู้จักคุณชายแจ้ไม่รู้จักเสี่ยป๊อกตนเป็นคนกินผัว
เธอบอกคุณยายว่าระรินพูดถูก ตนเป็นตัวกาลกิณีดวงของตนมันกำหนดชีวิตตนไม่รู้จะดิ้นต่อไปทำไมเธอพร่ำพูดจนคุณยายวรางค์งงก็พอดีภาคย์มาถึงเห็นวนิษาร้องไห้ถามว่ามีอะไรให้ตนช่วยได้ขอให้บอก แต่บอกกับเธอว่า
“ผมเห็นด้วยกับคุณครับดวงกำหนดชีวิตเราไว้แล้วครับ” พอวนิษาถามว่าทำไมพูดอย่างนี้ภาคย์อ่อย “เรื่องมันยาวน่ะครับ” วนิษาบอกว่าตนอยากฟังจึงพากันไปนั่งคุยที่ระเบียงบ้าน
ภาคย์เล่นละครได้อย่างแนบเนียนเขาเล่าว่าตนเป็นคนดวงแกร่งหลายครั้งที่ไปทัศนศึกษากับเพื่อนๆรถเกิดอุบัติเหตุเพื่อนเสียชีวิตบาดเจ็บกันมากมายแต่ตนไม่เคยเป็นอะไรเพราะตนมีดวงปรมะเป็นดวงแกร่งอะไรก็ตามจะไม่สามารถทำอันตรายตนได้เลยไม่รู้ว่าดวงปรมะมีจริงหรือเปล่า หรือเพราะตนเข้าวัดปฏิบัติธรรมเลยไม่มีโอกาสจะเกิดอุบัติเหตุก็ได้
“แต่ฉันเชื่อค่ะ” ภาคย์ถามว่าทำไมหรือ “ถ้าโลกนี้มีคนที่มีดวงโชคร้ายสร้างความวิบัติให้กับคนใกล้ชิดก็คงจะมีคนที่มีดวงแข็งแกร่งที่โชคร้ายนั้นทำอะไรไม่ได้เพื่อรักษาความสมดุลไงคะ”
“ก็คงเป็นอย่างนั้นมังครับ” ภาคย์ผสมโรงแอบยิ้มที่วนิษาคิดเข้าทางตนพอดี!
ooooooo










