สมาชิก

ภพรัก

ตอนที่ 8

เหยี่ยวขี่จักรยานมาที่วัด มองหาน้ำรินไปรอบๆ น้ำรินนั่งเศร้าอยู่ที่ศาลาริมน้ำ เสียงเหยี่ยวเรียกหา

ปริกอุทาน “อุต๊ะ!โจทก์มาหาถึงนี่เลยโฮะๆ หัวใจรักผูกพันจนรู้ว่าที่รักแอบหนีมาอยู่ตรงนี้เลยเรอะฮิๆ”

เหยี่ยวจอดจักรยานเดินตรงมายังศาลา เขาพูดกับตัวเอง “ตั้งแต่คุณเป็นผีความจำเสื่อม คุณเคยไปกับผมอยู่ไม่กี่ที่ คุณต้องหนีมาอยู่แถวนี้แน่ๆ”

น้ำรินใจสั่นระรัว ถามปริกจะทำอย่างไรดี ปริกทำไม่รู้ไม่ชี้ อ้างอายุเกินไม่ควรยุ่ง โบกมือบ๊ายบายหายตัวไป น้ำรินเรียกปริกให้กลับมา...เหยี่ยวเดินเรียกน้ำริน เธอหาที่หลบ สุนัขเห็นส่งเสียงหอน น้ำรินพยายามปรามให้มันเงียบ พอดีปลาทูกับปูอัดนั่งคุยกับหลวงตาเคี้ยงบนกุฏิ รู้สึกขนหัวลุก ถามหลวงตา สุนัขต้องเห็นหรือสัมผัสพลังงานลึกลับได้แน่ๆ หลวงตาตีปากปลาทู

“นี่แน่ะ โบราณบอกว่าเข้าป่าอย่าพูดถึงเสือ เข้าวัดดึกๆก็อย่าพูดถึง ผอสระอี มีเสียงเรียกก็อย่าขานรับเพราะมันอาจจะไม่ใช่คน” ทันใดมีเสียงเรียก หลวงตาเคี้ยง “หา! ว่าไง”

ปลาทูกับปูอัดตาเหลือก หลวงตานึกได้สะดุ้งสุดตัวเอามืออุดปาก เหยี่ยวเรียกอีกครั้ง หลวงตากับปลาทูตามด้วยปูอัดค่อยแง้มประตูดูว่าใช่คนหรือไม่ พอเห็นปลาทูก็ร้องขึ้น

“เห็นไหม ไม่ใช่คนจริงๆด้วย แต่เป็นนก...”

ปูอัดถีบปลาทูถลาออกมา บอกนั่นเหยี่ยวไม่ใช่นก เหยี่ยวเข้ามากราบถามหลวงตาได้ยินเสียงหรือเห็นอะไรแปลกบ้างไหม หลวงตาย้อนถาม “หมวดหมายถึงวิญญาณผู้หญิงคนนั้นหรือ”

“ใช่ครับ...ผมรู้ว่าเขาอยู่แถวๆนี้”

เสียงสุนัขยังหอนโหยหวน น้ำรินพยายามโบกมือไล่สุนัขให้ไปไกลๆ หลวงตาเคี้ยงบอกเหยี่ยวอย่างแหยงๆ “ข้ารู้แล้วว่าหมาหอนเพราะมันเห็น...”

ปลาทูกับปูอัดพูดพร้อมกันว่า...ผี แล้วพากันวิ่งหนี น้ำรินได้ยินสะดุ้ง “ผี! ไม่เอา ฉันกลัวผี” น้ำรินวิ่งหนีออกมาจากที่ซ่อน

หลวงตาเคี้ยงวิ่งกลับขึ้นกุฏิ ปิดประตูหน้าต่างอย่างรวดเร็ว เหยี่ยวได้แต่ยืนเกาหัวปลงๆ...น้ำรินเดินหนีเหยี่ยวทั้งที่กลัวผี เตลิดมาจนถึงเมรุเผาศพ เจอสัปเหร่อหน้าตาน่ากลัวก็ตกใจร้องกรี๊ดวิ่งหนี เหยี่ยวได้ยินเสียงตามมา พอเห็นลุงสัปเหร่อก็ตกใจไม่ต่างจากน้ำรินแต่ตั้งสติได้ ทักทายลุงขยันทำงานน่าได้เป็นสัปเหร่อดีเด่น น้ำรินยังวิ่งเตลิดมาถึงที่เก็บอัฐิ เธอหวาดกลัวทั้งผีและกลัวเจอเหยี่ยว เสียงเหยี่ยวเรียกให้ออกมา จึงตัดสินใจเดินผ่านกำแพงเข้าไป พอเห็นเป็นห้องเก็บศพแทบร้องกรี๊ดแต่อุดปากไว้ทัน เหยี่ยวคิดว่าน้ำรินต้องอยู่แถวนี้จึงส่งเสียงขู่ให้เธอหวาดกลัว

“แถวนี้ผีดุมากนะ กลางวันแสกๆยังแหวะอกควักไส้โชว์” เหยี่ยวสรรหาเรื่องน่ากลัวที่ชาวบ้านเจอมาเล่า น้ำรินกลัวจนตัวสั่นแต่ไม่ยอมออกไป ได้แต่ร้องฮือๆพนมมือสวดมนต์เหยี่ยวทุบประตูปัง น้ำรินสะดุ้งเอามือปิดปากก่อนจะร้องกรี๊ดออกมา เหยี่ยวลองย้ำตนรู้ว่าเธออยู่แถวนี้แล้วเขาก็พูดถากถางเป็นชุดให้เธอโกรธ “ผีขี้ขลาดมีอะไรก็มาคุยกันไม่ใช่งอนตะพึดตะพือ ไม่มีเหตุผล ผีขี้งอน ผีเยอะ ผีขี้วีนเหวี่ยง ผีขี้เหร่...”

“ไอ้เก๊ก! ไอ้ผู้ชายปากร้าย” น้ำรินถูกยั่วจนโมโหบ่นพึมพำแต่ห้ามใจไม่ออกไป

“บอกมาซิ ที่ว่าลาก่อนหมายความว่าไง เร็ว...ถ้านับสามแล้วไม่ออกมา ผมไปจริงๆนะ...” เหยี่ยวเริ่มนับลุ้นๆ อย่างช้าๆ หวังว่าน้ำรินจะปรากฏตัว แต่จนเขานับสามเธอก็ไม่ออกมา

น้ำรินได้แต่ฝืนตัวเองไม่ออกไปทั้งที่อยากเจอเขาใจแทบขาด พอเห็นว่าเสียงเงียบก็ตัดสินใจเดินทะลุประตูออกมาแต่เหยี่ยวได้กลับไปแล้ว...น้ำรินมานั่งเศร้าที่ศาลาตามเดิม ปริกนั่งข้างๆอย่างอ่อนใจ มองน้ำรินน้ำตาปริ่ม บอกให้ตามเหยี่ยวกลับไป

“ฉันไม่ไป ความรักโหดร้าย มันทำให้ฉันเจ็บทรมาน ถ้าตายได้อีก ฉันคงตายไปแล้ว”

“ความรักไม่เคยทำร้ายใคร มีแต่คนที่ทำร้ายตัวเองไม่รู้จักจบสิ้น” ปริกปลอบใจ

เหยี่ยวขี่จักรยานกลับบ้านด้วยความรู้สึกเหงาเปล่าเปลี่ยว คิดถึงที่ผ่านมาระหว่างตนกับน้ำริน ไม่รู้ว่าเธอหายไปไหน

ooooooo

เช้าวันใหม่ ยายนวล ปลาทูและปูอัดหิ้วของพะรุงพะรังมาเยี่ยมแนนที่โรงพยาบาล ยายนวลถามถึงเหยี่ยว แนนตอบว่ายังไม่มาเลย มีแต่จ่านกน้อยที่มาแทน ยายนวลรู้ว่าแนนคงน้อยใจ ปูอัดถามว่าพ่อแม่ไม่มาเลยหรือ แนนบอกว่าไม่อยากให้พวกท่านห่วงจึงไม่บอก

“ถ้าพวกเขารู้ก็คงให้เลิกเป็นตำรวจ เพราะฉันโกหกมาตลอดว่าทำงานแต่ในสำนักงาน”

“อ้าว แล้วพี่น้องของหมวดล่ะ”

“ฉันเป็นลูกคนเดียว ชีวิตฉันมีแต่เหยี่ยวที่เป็นทั้งเพื่อน เป็นเหมือนพี่ชายแท้ๆ มียายนวลเป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่ ชีวิตหนูก็มีแค่นี้ ไม่มีใครอีกแล้ว”

ยายนวลสงสารลูบหัวให้กำลังใจ “ชีวิตไอ้เหยี่ยวก็มีแต่หนูแนน หนูรักและหวังดีถึงขนาดสละชีวิตเพื่อมันได้ เพราะฉะนั้นหนูมาเป็นหลานยายเถอะนะเรื่องเจ้าเหยี่ยว ยายจัดการให้เอง”

ด้านเหยี่ยวมานั่งมองรถไฟวิ่งอยู่บนหลังคารถไฟที่จอดทิ้งอย่างเหงาๆ ในใจเต็มไปด้วยความคิดถึงน้ำริน คิดถึงที่เคยบอกเธอว่าชีวิตคนสองคนเป็นเส้นขนานเหมือนรางรถไฟ ไม่มีโอกาสเจอกันจนกว่าจะถึงจุดที่เรียกว่าพรหมลิขิต...เหยี่ยวคิดถึงวันที่น้ำรินให้เขาหัดขับรถ แต่เขาก็บ่ายเบี่ยง จนเธอโกรธชี้หน้าเหยงๆ ว่าเขาไม่ทำตามสัญญา เขายังกวน

“สัญญา...แต่จะทำตามสัญญาเมื่อไหร่ไม่รู้”

“คนผิดสัญญา สัญญาอะไรกับฉันตั้งหลายอย่าง แต่ไม่ทำซักอย่าง”

“ก็คุณมันเยอะอย่าง ผมก็ต้องทำทีละอย่างสิ อย่างแรกก็ต้องหาร่างให้เจอ พอเจอร่างแล้ว ผมก็ว่าจะ...” เหยี่ยวแกล้งพาดแขนบนพนักที่เธอนั่ง ทำตาเจ้าชู้ใส่ น้ำรินเขินเดินลงจากรถไป

เหยี่ยวคิดแล้วสะท้อนใจกลัวว่าน้ำรินจะไม่กลับมาอีก ด้านน้ำริน นั่งเศร้าอยู่บนสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำ คิดถึงเหยี่ยวไม่ต่างกัน ปริกพยายามย้ำเตือน “สายน้ำไม่มีวันไหลกลับ คนรักจากไปแล้วก็ไม่หวนคืน แต่มีสิ่งหนึ่งที่อยู่กับหล่อน ไม่เคยหายไป”


น้ำรินฉงน ปริกหัวเราะร่าบอกว่า...เจ้าหนี้ น้ำรินแปลกใจตนไม่เคยมีหนี้ ปริกสวน “ทำไมจะไม่มี...ทุกคนมีหนี้กรรมที่ต้องชดใช้และชดเชย”

“ถ้าฉันชดใช้และไม่สร้างกรรมใหม่ ฉันก็จะไม่ติดหนี้ใครแล้วใช่ไหม”

“ถึงหล่อนไม่ก่อกรรมชั่วให้ต้องติดค้างใคร แต่หล่อนก็ยังมีหนี้อื่นที่ผูกพันไม่จบสิ้น คือ หนี้รัก...ที่หล่อนต้องเลือก”

น้ำรินฟังแล้วอึ้ง ปริกแกล้งร้องเพลง...ได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง เลือกเดินบนทางสักทางได้ไหม เลือกมาว่าจะรักใคร ก็อยากให้เธอปักใจเสียที...น้ำรินคิด แล้วบอกว่าคู่หมั้นตนคงตามหาตนอยู่ ปริกถอนใจหมายถึงเหยี่ยวที่ตามหาเธอ น้ำรินสวน หาไปก็ไม่เจอเพราะตนไม่ต้องการเจอเขาอีก ปริกหมั่นไส้แขวะ “จ้า...แม่คนสวยเลือกได้ แน่ใจเหรอว่าหล่อนจะหนีหมวดเหยี่ยวพ้น”

“ในเมื่อตอนนี้ฉันไม่ต้องตัวติดกับหมวดเหยี่ยวแล้ว ยังไงก็ต้องหนีพ้นสิ เออ! แล้วทำไมฉันถึงไม่ต้องติดกับตาเก๊กแล้วล่ะ” น้ำรินเพิ่งนึกได้

ปริกแหย่ไม่ใช่แฝดสยามเสียหน่อย เธอคิดไปเอง สร้อยนั่นไม่ใช่โซ่ที่จะมัดใคร น้ำรินย้อนถาม แล้วทำไมตนต้องพบ ต้องเจอ ต้องตัวติดกับเหยี่ยว

“หล่อนเคยได้ยินคำว่า คู่แท้ไหม หล่อนไม่สงสัยเหรอว่า ผู้ชายทั้งโลกมีกี่สิบล้านคน ทำไมตาเบื๊อกนี่ถึงเห็นหล่อนอยู่คนเดียว แล้วทำไมยายนวลถึงได้ยินแต่เสียงหล่อน...มันเป็นกรรมสัมพันธ์ เข้าใจ๊...เฮ้อเหนื่อย พูดสาระนานๆแล้วคอแห้ง ไปหาโอเลี้ยงข้างวัดกินดีกว่า”

น้ำรินมองปริกเดินไป รู้สึกโดดเดี่ยวน้ำตาไหลด้วยความคิดถึงเหยี่ยว เธอนั่งพิงเก้าอี้ที่ชานชาลาโดยไม่รู้เลยว่า ชายที่เธอคิดถึงนั่งพิงอยู่ด้านหลังและเขากำลังโหยหาร่ำร้องอยากพบเธอ

ooooooo

สองสามวันผ่านไป น้ำรินชวนปริกมาที่สำนักงานสืบสวน หวังจะตามหาร่างด้วยตัวเอง ปริกแซวมาที่นี่จะตามหาร่างหรือหาหัวใจกันแน่ ไม่ทันไรเหยี่ยวเดินมากับแนน ปริกรีบชี้ให้ดูว่าแนนแข็งแรงดีแล้ว เหลือแต่ผีแถวนี้ที่น่าสงสาร ร่างก็หาย หัวใจก็ไม่แข็งแรง น้ำรินรีบหลบ

เหยี่ยวกับแนนเข้าประชุม สงครามแจงว่ามีการทำผิดกฎหมายในสปาหรูหลายแห่ง ถูกจับกุมและปิดไปหลายที่แต่กลับเพิ่มเป็นดอกเห็ด...น้ำรินแอบเข้ามาฟัง เผลอมองเหยี่ยวกับแนนแล้วอดเจ็บปวดไม่ได้ ดารณีเปิดภาพสปาแห่งหนึ่งบนจอโปรเจกเตอร์และอธิบาย

“ทิพย์วารีสปาแอนด์บิวตี้ มีการขายบริการและยาเสพติด ทำกันเป็นเครือข่ายหลายสาขา”

“ผมต้องการให้สำนักงานของเราเข้าไปหาหลักฐานขยายผลการจับกุมโดยด่วนที่สุด”

ดารณีเปลี่ยนภาพเป็นผู้หญิงพร้อมกล่าว นี่คือเจ้าของชื่อ บุษบัน มีประวัติพัวพันกับพ่อค้ายาเสพติดและผู้มีอิทธิพลหลายคน...น้ำรินตะลึง คล้ายรู้จักผู้หญิงคนนี้มาก่อน ภาพอดีตผุดขึ้นในสมองแบบรวดเร็วปะติดปะต่อไม่ได้ ปริกเห็นท่าทางน้ำรินจึงถามเป็นอะไร

“ฉันรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรเกี่ยวพันกับฉันแน่ๆ” น้ำรินมองรูปอย่างครุ่นคิด

ปริกตามถามเกี่ยวอย่างไร น้ำรินเองก็ไม่รู้เพราะคิดจนปวดหัว ภาพอดีตปรากฏอย่างสับสน เธอพยายามคิด จนลำดับได้ว่า เธอเคยเขียนเช็คให้กับเพื่อนคือบุษบัน สามล้าน...น้ำรินใช้มือกดขมับไปมา บอกปริกว่าตนอาจจะเกี่ยวพันกับสปาผิดกฎหมายนั่น ปริกดึงมือเธอออก

“บี้ให้หัวระเบิดก็ไม่รู้เรื่อง หล่อนต้องตามไปดูให้มันรู้แบล็กรู้เรดไปเลย” เห็นหน้าน้ำรินงงๆจึงพูดใหม่ “รู้ดำรู้แดง...”...น้ำรินพยักหน้าขำๆ

วันต่อมา ภพธรมาใช้บริการสปาของบุษบัน เธอต้อนรับระดับวีไอพี “สปาของเราขึ้นมาอยู่อันดับหนึ่ง เพราะไอเดียของบอส ที่จัดให้บริการความสุขครบวงจรกับลูกค้า”

“ผมก็แค่ให้ไอเดีย คุณต่างหากที่เอาไปต่อยอดจนสำเร็จ”

“ขอบคุณค่ะบอส ถ้าไม่ได้บอส ที่นี่ก็คงเป็นแค่สปาธรรมดาๆหาความโดดเด่นไม่ได้”

“แต่อย่าโดดเด่นมากจนสะดุดตา สายของผมบอกว่า ชายสีกากีเริ่มจับตามองเราแล้ว”

บุษบันรับทราบ ภพธรบอกว่าเย็นนี้จะมีคนเอาตัวอย่างอโรม่าตัวใหม่มาส่งใช้งานเหมือนตัวเก่าแต่ให้ความสุขมากกว่าเดิมหลายเท่า บุษบันตื่นเต้นลุกขึ้น พนักงานที่ทำสปาให้คือแนนปลอมตัวมารีบหลบหน้า เธอบอกภพธรว่าลูกค้าต้องชอบแน่ๆ ถามอโรม่าตัวจริงจะมาเมื่อไหร่ ภพธรให้ปูพรมแจกตัวอย่างลูกค้าไปลองได้เลยของจะส่งมาเร็วๆนี้

แนนอยากเห็นหน้าบอสที่บุษบันคุยด้วย จึงแกล้งปัดของหล่นไปฝั่งที่ภพธรอยู่ แล้วทำทีเดินไปเก็บ เพื่อเงยหน้ามอง แต่เขาหันหลังเดินออกไปเสียก่อน แนนคิดจะตาม บุษบันเข้ามาขวางมองอย่างสงสัย แนนรีบหลบสายตาทำทีก้มเก็บของที่พื้นต่อ บุษบันมองอย่างไม่ไว้ใจ ถามเป็นเด็กใหม่หรือ แนนรีบตอบว่าใช่และพร้อมจะทำงานทุกอย่าง บุษบันมองแนนอย่างพิจารณาเห็นสวยก็พอใจ

“ดี...วันนี้จะมีแขกวีไอพีมา เตรียมตัวรับรองท่านด้วย” บุษบันบอกแนนแล้วเดินออกไป

แนนรีบเดินตามหาคนที่เรียกว่าบอสแต่ไม่ทัน จึงโทร.รายงานดารณีซึ่งอยู่ดาดฟ้าตึกตรงข้ามกับเหยี่ยวและกำลังตำรวจ ว่าจะมีสินค้าตัวใหม่เข้ามา ตนกำลังตามหาหัวหน้าใหญ่อยู่ พลันแนนเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นบอกว่า “หงส์คิดถึงแม่จังเลย...”

ดารณีรับรู้ได้ว่าแนนเห็นคนมองอยู่จึงทำทีคุยกับแม่ ลูกน้องบุษบันเข้ามาดึงมือถือโวย กฎของที่นี่ห้ามโทรศัพท์ตอนทำงานอ้างเคยมีพนักงานแอบถ่ายคลิปลูกค้าวีไอพีไปแบล็กเมล์ จะตรวจดูและต้องลงโทษ แนนตกใจรีบหาทางเอาตัวรอดว่าคุยกับแม่นิดเดียวต้องลงโทษด้วยหรือ แนนเห็นสายตาโลมเลียของลูกน้องบุษบัน ก็พอเข้าใจว่าจะลงโทษวิธีไหน จึงทำทียั่วยวนขอมือถือคืนก่อนแล้วจะยอมทุกอย่าง

เหยี่ยวกับจ่านกน้อยที่สวมหูฟังการสนทนาของแนน เป็นห่วงกลัวแนนพลาดท่าเสียที แต่เหยี่ยวก็หักใจเชื่อว่าแนนต้องเอาตัวรอดได้ นกน้อยแซวคนรักกันต้องรู้ใจกัน น้ำรินได้ยินรู้สึกเจ็บจี๊ดในใจ...และแล้วแนนก็จัดการลูกน้องบุษบันจนสลบ แล้วย่องออกมาเห็นบุษบันกำลังสั่งลูกน้องคนสนิทว่าบอสส่งสินค้าอโรม่ามาแล้ว ทั้งสองพากันเดินไป แนนตามแอบดู

ถึงเวลาที่แนนต้องรับแขกวีไอพีตามที่บุษบันสั่งคือเสี่ยชัช...เหยี่ยวอดรนทนไม่ไหวบุกเข้ามาช่วยแนน จับเสี่ยชัชมัดไว้ เผอิญบุษบันให้ลูกน้องไปดูแลเสี่ยชัชเผื่ออยากได้อะไรเพิ่มเติม จึงพบว่าเสี่ยชัชถูกจับมัดไว้ บุษบันรู้ทันทีว่าเป็นฝีมือแนน จึงดักจับทั้งแนนและเหยี่ยวไว้ได้

ไม่ทันไรตำรวจบุกเข้ามา เกิดการต่อสู้กัน บุษบันจับแนนเป็นตัวประกันลากหนีขึ้นไปบนตึกกำลังก่อสร้าง น้ำรินเห็นรีบตามขึ้นไป แนนต่อสู้ บุษบันจึงยิงใส่ น้ำรินเข้าขวางวิถีกระสุน จังหวะนั้นน้ำรินนึกอดีตออกว่าตนเป็นเพื่อนกับบุษบันและได้เซ็นเช็คให้เงินเธอไปเปิดสปาแห่งนี้

เสียงสวดมนต์เป็นภาษาบาลี ความหมายว่า...ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมกับผู้ที่ข้าพเจ้าได้ล่วงเกินโดยตั้งใจก็ดี ไม่ตั้งใจก็ดี หากมีโอกาสขอให้ข้าพเจ้าได้ชำระล้างความผิดเหล่านั้นที่ข้าพเจ้าก่อไว้ด้วยเถิด...ภาพน้ำรินกรวดน้ำในอดีตผุดขึ้นชัดเจน กระสุนแหวกอากาศมาที่ร่างเธอ เหยี่ยวตามมาเห็นเหตุการณ์ น้ำรินรีบหายวับไป แนนก้มสำรวจตัวเองด้วยความแปลกใจที่ตัวเองไม่โดนยิง บุษบันหันกระบอกปืนไปทางเหยี่ยว แนนร้องเตือนให้เขาหลบ กระสุนปืนพุ่งไปโดนแผงวงจรไฟช็อต ทำให้เครนคลายอุปกรณ์ก่อสร้างหล่นมาใส่บุษบันตายอย่างสยดสยอง

น้ำรินที่ยืนหลบอยู่ เห็นพื้นแยก แสงสีแดงราวเปลวไฟพุ่งขึ้นมา มีมือหลายมือโผล่มาดึงลากวิญญาณบุษบันลงไปในนรก...เหยี่ยวปรี่เข้าถามแนนเป็นอะไรไหม เธอโผกอดเขาด้วยความดีใจที่ต่างฝ่ายปลอดภัย น้ำรินมองภาพบาดตาอย่างเจ็บปวด มองมือตัวเองที่กำกระสุนปืนไว้ได้

ooooooo

คืนนั้น เหยี่ยวล้มตัวนอนคิดทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมา สักพักก็ผล็อยหลับ เขารู้สึกว่ามีใครเอาอะไรมาใส่ในมือ จึงคว้ามือไว้ ลืมตามอง เห็นเป็นน้ำริน เขาดีใจมาก เธอพยายามดึงมือออก เหยี่ยวจึงลุกนั่ง มองมือน้ำรินด้วยความแปลกใจ “คุณกลับมาแล้ว ผมจับมือคุณได้ด้วย!”

น้ำรินมองน้ำตาคลอ เหยี่ยวดึงมือเธอไปแนบอก ถามเธองอนอะไรตน น้ำรินส่ายหน้า

“แล้วหายไปไหนมา ปล่อยให้ผมตามหาซะแทบแย่”

“ฉันอยากจะบอกคุณว่า ฉันไม่สมควรจะอยู่ที่นี่ เพราะว่าฉันไม่ดีพอ ฉันเป็นคนชั่ว คุณไม่รู้หรอกว่าอดีตที่ผ่านมา...ฉันทำเลวอะไรไว้บ้าง”

เหยี่ยวกอดปลอบ “อดีตก็คืออดีต แต่คุณที่อยู่กับผมตรงนี้ เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่คนเลวแน่นอน”

น้ำรินผลักเหยี่ยวออกห่าง มองหน้าราวอยากจดจำเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะกล่าว ลาก่อน เหยี่ยวดึงมือเธอไว้ บอกเธอจะไปไหนไม่ได้ ตนสัญญาแล้วว่าจะหาร่างให้ น้ำรินส่ายหน้ามันไม่จำเป็นแล้ว จากกันวันนี้หรือวันไหนก็ต้องจากกันอยู่ดี...ร่างน้ำรินค่อยๆจางหาย เหยี่ยวมองมือที่จับมือเธอไว้รางเลือน เหลือเพียงกระสุนปืนในมือตัวเองเท่านั้น

เช้าวันใหม่ เหยี่ยวสะดุ้งตื่นมองหาน้ำริน เมื่อรู้ว่าฝันไปก็ล้มตัวนอนสอดมือเข้าใต้หมอน พบมีอะไรอยู่ ก็ยกหมอนออกดู เห็นกระสุนปืนวางอยู่ เขาหยิบขึ้นมาอย่างใจหาย...ด้านน้ำรินกลับมานั่งเศร้ามองสายน้ำที่ไร้เงาตัวเอง ปริกแกล้งโยนหินลงไปเพื่อเบนความสนใจ แล้วเปรย

“มนุษย์ชอบทุกข์เพราะรัก มากกว่ามองหาความสุขจากรัก”

“ฉันเป็นแค่ดวงจิตที่ไม่มีเงาของมนุษย์แล้ว”

“ไม่มีหัวใจด้วย เพราะให้ใครบางคนไปหมด...หัวใจคือสิ่งเดียวที่ทำให้หล่อนมีความสุขได้ในตอนนี้ ทำไมไม่เก็บเกี่ยวมันให้มากที่สุดเวลาที่มีโอกาส”

“ทุกครั้งที่ความทรงจำกลับมา ฉันจะเห็นภาพตัวเองเคยทำความผิด เคยเลวร้ายกับคนอื่น คนเลวอย่างฉันไม่คู่ควรกับเขา” น้ำรินเศร้ารู้สึกผิด
ปริกให้แง่คิดว่าบุญและกรรมเป็นสิ่งที่ลบล้าง

กันไม่ได้ แต่มันอาจมาในเวลาเดียวกันได้...ทุกชีวิตถูกกำหนดไว้แล้ว น้ำรินได้แต่ขอบคุณที่เตือนสติ แต่ตนไม่พร้อมจะเข้าใจ...

ผ่านไปจนเที่ยง เหยี่ยวนั่งมองกระสุนปริศนาในมือ สลับกับมองตุ๊กตาสีฟ้าที่ซื้อให้น้ำรินอย่างสับสน พลัน ยายนวลมาเคาะประตูเรียกให้ลงไปทานของที่แนนซื้อมาฝาก เขาปฏิเสธขอทำงานที่ค้างอยู่ ยายนวลเอ็ดว่าเสียมารยาท งานจะสำคัญกว่าครอบครัวได้อย่างไร...เหยี่ยวจำต้องออกมา แนนจัดวางขนมที่เขาชอบแล้วถามว่าตนมารบกวนหรือเปล่า ยายนวลแทรก

“อาการหนัก หายใจเข้าก็งาน หายใจออกก็งาน... โรคนี้ต้องรักษาด้วยการแต่งงานถึงจะหาย” เหยี่ยวแย้งคนละเรื่อง “เอ็งมันชอบอ้อมค้อมเลี้ยวไปเลี้ยวมา ถ้าไม่กล้าขอหนูแนนแต่งงาน ยายจะขอให้เอง”

เหยี่ยวโวยก่อนจะเลยเถิดไปกันใหญ่ว่าอย่าพูดเล่น แนนจะเสียหาย ยายนวลโต้คนรักกันก็ต้องแต่งงานกัน เสียหายตรงไหน เหยี่ยวอึกอักไม่กล้าพูดต่อหน้าแนนว่าไม่ได้รักเธอ จึงหันมาทานขนมตุ้ยๆ ยายนวลได้ยินแขวะ “เมื่อกี้บอกไม่หิว ตอนนี้เคี้ยวไม่หยุด รู้แล้วใช่ไหมว่าหนูแนนอร่อย...” เหยี่ยวร้องหือ! “ขนม...ขนมของหนูแนนอร่อย คนแก่ก็พูดผิดพูดถูกกันบ้างแหละ”

เหยี่ยวเอือมระอาที่ยายนวลเชียร์แนนออกนอกหน้า แนนเองเสียดายที่ไม่รู้คำตอบเหยี่ยว...หลังอาหาร เหยี่ยวกับแนนช่วยกันล้างจาน แนนเขินอาย เฉไฉถามว่าเขายังจำวันแรกที่รู้จักกันได้ไหม เหยี่ยวนึกถึงอดีต วันที่สงครามพาแนนมาแนะนำตัวในสำนักงานสืบสวน ทุกคนมองเธออย่างไม่ยอมรับ มีเพียงเขาคนเดียวที่ทำความรู้จักกับเธอ...

ตกเย็น เหยี่ยวกับแนนเข็นจักรยานคนละคันเดินคุยกัน เหยี่ยวบอกแนนว่า ผู้หญิงกับผู้ชายเท่าเทียมกัน และเธอก็แสดงความสามารถจนทุกคนยอมรับ...แนนนึกได้อีกเรื่อง

“วันนั้นเราถูกยิง วิถีกระสุนจากปืนบุษบันพุ่งตรงมาหาเรา แต่ทำไมเรากลับไม่เป็นไร”

เหยี่ยวอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองคนดีผีคุ้ม แต่ในใจคิดว่าเป็นฝีมือน้ำริน หลังจากนั้นแนนบอกอีกว่าได้ส่งปืนบุษบันตรวจสอบลายนิ้วมือเผื่อเจอลายนิ้วมือแฝงของคนร้ายอื่น เหยี่ยวจึงรู้ว่ากระสุนนั้นเป็นชนิดเดียวกับที่เขาได้จากน้ำริน

ขณะเดียวกัน น้ำรินรู้สึกวูบวาบในใจเหมือนสัมผัสความคิดถึงของเหยี่ยวได้ ปริกแซวว่าความรักเรียกหา แต่บางคนวิ่งหนี น้ำรินแย้ง “ฉันเลือกที่จะตามหาร่างและกลับไปหาครอบครัวของฉัน ถ้าบุษบันไม่ตาย ฉันคงรู้ความจริงเกี่ยวกับตัวเองมากกว่านี้”

น้ำรินนึกเสียดาย จู่ๆภาพในอดีตผุดขึ้นอีก ว่าตัวเธอเซ็นเช็คส่งให้บุษบัน เป็นการร่วมลงทุนเปิดทิพย์วารีสปา นับดาวเดินเข้ามาโวย จะรักกันสองคน ขาดตนได้อย่างไร...น้ำรินตะลึงที่ได้เห็นหน้าเพื่อนอีกคน ปริกทำหน้างง น้ำรินจึงบอกว่า ทุกครั้งที่ตนทำความดี จะทำให้ความทรงจำกลับมา ตนจะต้องตามหาผู้หญิงคนนี้ให้ได้ เผื่อจะรู้ว่าร่างตนอยู่ที่ไหน แต่จะเจออย่างไร

“จิตเป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่างความคิดกับปัญญาญาณ สื่อสารได้ แต่ไม่มีตัวตนแท้จริง”

“ฉันต้องใช้จิตตามหาผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม”

“อะอะ ไม่รู้ หล่อนต้องหาคำตอบเอง”...น้ำรินค้อนปริกที่ไม่ยอมบอก

“ถ้าฉันนั่งสมาธิฝึกจิตให้เข้มแข็ง ฉันก็จะกำหนดจิตให้ทำอะไรก็ได้ ไปไหนก็ได้” น้ำรินหลับตาทำสมาธิทันที ปริกอ้าปากจะห้ามแต่รีบปิดปากตัวเอง อยากบอกแต่บอกไม่ได้

ooooooo

คืนเดียวกัน นับดาวค่อยๆบอกภพธรไม่อยากให้โมโหมาก ว่าทิพย์วารีสปาถูกบุกทลายแล้ว ภพธรรู้ทันทีว่าเป็นฝีมือสงครามอีก นับดาวแนะแผนร้ายว่า สงครามเหมือนขาเทียมของธารา ถ้าไม่มีเขา ธาราก็จะเดินไม่ได้ตลอดชีวิต ภพธรยิ้มอย่างพอใจ

ขณะเดียวกัน ธาราเข็นรถเข็นออกมา เห็นสงครามนั่งเอนดูทีวีอยู่บนโซฟา จึงเข้ามาบอกให้กลับบ้านไม่ต้องทำเหมือนยามเฝ้าที่นี่ แต่พบว่าเขาหลับ จึงปิดทีวีหันมามองหน้าเขา นึกถึงที่ผ่านมาที่เขาทำทุกอย่างให้ตน จนถึงวันนี้ที่เขาได้รับรายงานว่ามีคนร้ายหนีมาแถวนี้...ธาราเอาผ้าคลุมไหล่ตัวเองห่มให้เขา ทันใดเสียงสงครามกล่าวขอบคุณ เธอสะดุ้งที่เขาไม่ได้หลับ

“คุณยังเป็นธารา ผู้หญิงอ่อนโยนใจดีเสมอ”

“ฉันแค่ไม่อยากให้คุณหนาวตาย”

“คุณกลัวผมตายเหรอ”

“ไม่อยากเห็นวิญญาณคุณมาวนเวียนในบ้านฉันต่างหาก” ธาราดึงผ้าคืนเคืองๆ

สงครามยิ้มปลื้มย้อนถามเธอเหนื่อยไหม เธองงเรื่องอะไร “เหนื่อยที่ต้องทำเป็นเข้มแข็งตลอดเวลาบ้างไหม เหนื่อยก็พัก หนักก็วาง คุณไม่จำเป็นต้องแบกโลกนี้ไว้คนเดียว”

ธาราสวนว่าเขาไม่มีวันเข้าใจ สงครามสบตาด้วยความอาทร ตนอาจจะไม่เข้าใจ แต่ตนพร้อมจะยืนเคียงข้างเวลาเธอทุกข์ใจ ในฐานะเพื่อนที่หวังดี...เห็นธาราท่าทางสับสน จึงเข็นรถเธอออกไปสนามหน้าบ้าน ธาราไม่ค่อยพอใจที่เขาทำอย่างพลการ แต่พอเห็นดาวระยิบระยับเต็มท้องฟ้า ก็ตะลึงคลายความหงุดหงิดลง สงครามเอ่ย

“ดาวส่องแสงเหมือนเดิมทุกวัน แต่เราเห็นแสงสวยไม่เหมือนกันทุกวัน คืนนี้ฟ้าสวยนะ ถ้าเราเปิดใจยอมรับความสุขเล็กๆน้อยๆที่อยู่รอบตัว ความสุขนั้นมันก็จะอยู่กับเรา”

ธาราไม่ยอมรับความรู้สึกตัวเองแต่ก็เกรงใจสงคราม จึงขอบคุณที่เขาแบ่งเวลามาดูแลตน ทั้งที่ทำงานหนัก สงครามบอกว่าตนเต็มใจทำ ไม่มีคำว่ารบกวน วันหนึ่ง

ถ้าตนเป็นอะไรไป ตนอยากให้เธอเข้มแข็งและมีความสุขธาราใจหายเผลอเอามือปิดปากให้เขาหยุดพูด สงครามดีใจที่เธอเป็นห่วง ธารารู้สึกตัวเอามือออกเมินหน้า มองดาวแก้เขิน

เช้าวันใหม่ เหยี่ยวมากราบหลวงตาเคี้ยง ถามวิธีตามหาดวงวิญญาณที่เราอยากเจอ หลวงตาสะดุ้งแทบสำลักน้ำชา ย้อนถาม จะตามหาวิญญาณผู้หญิงคนนั้นหรือ เขาพยักหน้า

“จู่ๆเธอก็หายไป ผมมั่นใจว่าเธอกำลังตามหาร่างของตัวเองอยู่”

“ยึดไว้ถือไว้ก็เป็นทุกข์ แค่ปล่อยวางก็พ้นทุกข์” หลวงตาบอกแก่เหยี่ยว

“ถ้าผมตายโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร ไม่รู้ว่าร่าง ของตัวเองอยู่ที่ไหน ผมคงต้องหาคำตอบให้ได้ก่อนจะไปภพภูมิอื่นเหมือนกัน...”

“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพราะความบังเอิญ กรรมคือการกระทำที่เป็นแม่เหล็กดึงดูดคนที่มีกรรมร่วมกับเรามาเจอกัน เราหลบเลี่ยงการพบเจอ หรือเรียกร้องอยากจะเจอคนคนนั้นไม่ได้ ถ้ายังไม่ถึงเวลา...ที่โยมรู้สึกผูกพันกับผู้หญิงคนนั้น อาจเป็นเพราะพรหมลิขิตที่มีต่อกัน ผูกพันเป็นสายใยเชื่อมโยงระหว่างจิต ทำให้ได้มาพบกันอย่างน่าอัศจรรย์”

ด้านน้ำรินฝึกเพ่งกระแสจิตจ้องมองกล้วยน้ำว้าเครือหนึ่ง พลันมันลอยขึ้น เธอดีใจมาก ร้องว่าตนทำได้แล้ว ปริกปรากฏตัวพร้อมเป็นคนถือกล้วยนั่น น้ำรินผิดหวัง ปริกกล่าว

“จิตที่เต็มไปด้วยอกุศล ไม่มีทางค้นพบคำตอบแท้จริง”

“ถ้าฉันบวชชีจะเข้าใจง่ายกว่านี้ไหม”

“หล่อนบวชตัวหรือบวชใจล่ะ”

“ฉันคงโง่เกินกว่าจะเข้าใจสิ่งที่ป้าปริกพยายามบอก” น้ำรินทรุดนั่งหมดหวัง

ปริกสงสารจึงเฉลย “หล่อนบังกระสุนให้หมวดเหยี่ยวไม่ได้ เพราะตอนนั้นจิตหล่อนเต็มไปด้วยความหวงแหนเป็นเจ้าของ เป็นรักที่ไม่บริสุทธิ์ใจ แต่ที่หล่อนบังกระสุนให้หมวดแนนได้ เพราะหล่อนอยากเสียสละทำให้คนอื่นมีความสุข อานุภาพของรักบริสุทธิ์จึงทำให้หล่อนมีพลัง”

ทั้งเหยี่ยวและน้ำรินต่างครุ่นคิดถึงคำว่า พรหมลิขิตกับรักที่บริสุทธิ์ เหยี่ยวไม่รู้ว่าตนจะได้เจอกับน้ำริน

อีกไหม ถ้าไม่ได้ถูกลิขิตไว้...ส่วนน้ำรินไม่อยากเชื่อว่า ที่ตนควบคุมจิตได้ เพราะตนรักเหยี่ยวอย่างบริสุทธิ์ใจ ต่างคนต่างนั่งถอนใจเอนหัวพิงเสาที่ศาลาวัด แล้วถอนใจ พร้อมกัน

“เฮ้อ...เฮ้ย!” ทั้งสองตกใจหันมองกัน ไม่คิดว่านั่งอยู่ ข้างกันเพียงแค่นี้

น้ำรินนึกได้จะวิ่งหนี เหยี่ยววิ่งมาขวางหน้าเธอไว้ ถามจะหนีตนไปไหน ว่าแล้วก็ตีแขนตัวเองเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ฝันอยู่ น้ำรินพยายามใจแข็งบอกเขาว่า เราต่างมี หน้าที่ต้องทำ แต่เหยี่ยวยืนยันจะช่วยตามหาร่างเธอ น้ำรินให้เขาเอาเวลาไปดูแลแนนแฟนเขา เหยี่ยวประชดกลับ

“คุณขอร้องให้ผมช่วยแต่แรก ผมก็ต้องช่วยจนกว่าจะเจอร่างของคุณ เพื่อให้คุณกลับเข้าร่างไปหาพี่ธรคนรัก” ทั้งสองต่างเจ็บปวด เหยี่ยวนึกบางอย่างได้แสร้งออกอุบาย “ตั้งแต่คุณไม่อยู่ ยายบ่นคิดถึงคุณทุกวัน ข้าวปลาก็ไม่ค่อยยอมกิน ท่าทางซึมเศร้า พูดน้อยลง”

น้ำรินโวยไม่สบายหรือเปล่าทำไมไม่พาไปหาหมอ เหยี่ยวอ้างว่ายายดื้อ น้ำรินผละเดินลิ่วปากก็ว่าเหยี่ยวปล่อยคนแก่ซึมเศร้าอยู่บ้านคนเดียวได้อย่างไร เหยี่ยวแอบยิ้มที่หลอกสำเร็จ...แต่พอน้ำรินมาถึงบ้าน กลับพบยายนวลตั้งโต๊ะอาหารชวนเธอทานด้วย น้ำรินแปลกใจอาหารส่วนใหญ่เป็นของโปรดตน ยายนวลฟ้องว่าตั้งแต่เธอไม่อยู่ เหยี่ยวก็ใส่บาตรทุกวัน ทานแต่กุ้งกับปลาจนครีบจะขึ้นตัว หัวจะมีแต่อุจจาระอยู่แล้ว น้ำรินอมยิ้มรู้ว่าเหยี่ยวคิดถึงตนจริงๆ

พอมีโอกาสอยู่ลำพัง ยายนวลก็ซักไซ้เหยี่ยวที่พาน้ำรินกลับมา ชีวิตเขาจะวุ่นวาย ยายมั่นใจว่าน้ำรินคือสาเหตุที่ทำให้เขาไม่ยอมขอแนนแต่งงาน เหยี่ยวพยายามบอกว่าตนกับแนนเป็นแค่เพื่อน แต่ยายนวลก็ยังย้ำ “รักที่ยั่งยืน คือรักที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของเหตุผลและความถูกต้อง เหยี่ยวควรจะเปิดใจมองคนที่รักและทุ่มเทชีวิตเพื่อเรา”

เหยี่ยวอธิบายว่าอยากทำงานมากกว่าคิดเรื่องแต่งงาน ส่วนน้ำรินจะกลับไปหาคนรักและครอบครัวหลังปิดคดีนี้...น้ำเสียงเขาเศร้าลงเมื่อนึกถึงวันที่น้ำรินต้องจากไป เหยี่ยวกลับเข้าห้อง เห็นน้ำรินยืนมองหาบางอย่าง เขาจึงหยิบตุ๊กตาหมีสีฟ้าชูถาม หานี่อยู่ใช่ไหม น้ำรินดีใจพยายามตั้งสมาธิแล้วจับมันไว้ได้ เหยี่ยวรีบกุมมือเธอที่จับตุ๊กตาไว้ ทั้งสองสบตากันใจเต้นรัว

“ผมจับมือคุณได้” เหยี่ยวตื่นเต้น พลันตุ๊กตาหลุดจากมือน้ำรินลงพื้น เหลือเพียงอากาศ

น้ำรินผิดหวัง “จิตของฉัน ทำให้คุณสัมผัสฉันได้ แต่มันยังไม่มั่นคง”

เหยี่ยวจึงหยิบลูกกระสุนออกมาให้เธออธิบายเรื่องนี้ น้ำรินชะงักจะบอกอย่างไรดี

ooooooo

ภพรัก

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด