ตอนที่ 1
ที่ฟิตเนสหรู เครือทองบริสุทธิ์...
ทองก้อน พงษ์เดชา ชายวัยใกล้ 50 แต่ยังดูแข็งแรง หนุ่ม สมาร์ท เท่ เจ้าของ TB Sport Club ส่งเวตที่กำลังยกให้ศักดิ์สิทธิ์คนสนิทเมื่อเห็นทองโปรยลูกชายคนรองเข้ามาบอกว่า “กำลังจะมาถึงแล้วครับ”
“ถึงเวลาสักที ฉันรอวันนี้มานานเหลือเกิน” ทองก้อนยิ้มพอใจ
“แต่มันคือการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลนะครับพ่อ!!” ทองโปรยหนุ่มผู้มีหัวใจรักสิ่งแวดล้อมติง ถูกทองก้อนหันมองด้วยสายตาคมกริบ แค่นั้นทองโปรยก็ถอยกรูดไปยืนตั้งหลักทำใจดีสู้เสือ “ทั้งน้อง หรือต่อให้เป็นผมเอง ก็จะไม่มีทางยอม!” ทองโปรยถาม
ศักดิ์สิทธิ์หาเพื่อนว่าเป็นเขาจะยอมไหม ศักดิ์สิทธิ์บอกว่าไม่ “เห็นไหมครับ และผมก็เชื่อว่า ถ้าพ่อไปถามคนไทยทั้งประเทศ ก็ไม่มีใครยอม!”
“ฉันไม่สน ต่อให้คนทั้งโลก สามโลกเลยด้วยก็ได้ โพลออกมายังไง ฉันก็ไม่สน! หน้าที่แกคือ ถ้าฉันสั่งต้องทำตาม ไม่ต้องมาคิดแทน แต่ถ้าอยากจะคิดไปคิดเรื่องที่ฉันไม่ได้สั่ง! ไปได้แล้ว!”
“ครับ” ทองโปรยจำต้องรับคำรีบออกไป
“ทุกคำที่ออกจากปากนักธุรกิจเจ้าของสปอร์ตคลับระดับพันล้านอย่างนายทองก้อน พงษ์เดชา มันต้อง... ศักดิ์สิทธิ์!”
“ครับ นาย” ศักดิ์สิทธิ์ถลาเข้ามา
“ไม่ได้เรียก ไม่ต้องขาน ฉันหมายถึงคำพูดของฉันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ใครก็มาลบหลู่หรือไม่ทำตาม...ไม่ได้!”
ทองก้อนหันเดินออกไปสีหน้ามุ่งมั่น แววตาเด็ดเดี่ยว เดินมาถึงหน้าสปอร์ตคลับ โดยมีศักดิ์สิทธิ์เดินตามและมีบอดี้การ์ดสองคนประกบซ้ายขวา เขาหยุดยืนที่หน้าสปอร์ตคลับอันยิ่งใหญ่ ประกาศย้ำสัตยาบันอย่างเด็ดเดี่ยว มั่นคงว่า
“ฉันจะไม่ยอมเป็นคนผิดสัญญา และก็จะไม่ยอมให้ใครมาผิดสัญญากับฉันด้วย วันนี้...ทุกคนจะได้เห็น ว่าฉัน พูดจริงและทำจริง!”
ที่สนามบินสุวรรณภูมิ...ทองสร้อย พงษ์เดชา วัย 25 ปี ลูกสาวคนเล็กของทองก้อนที่ทั้งสวยและเก่ง เธอจบด้านฟู้ดสไตลิสต์จากปารีส เชี่ยวชาญด้านอาหารทุกประเทศ ทั้งยังเป็นคอลัมนิสต์ในนามปากกา “มาดามฟองดู” เดินทางมาถึงไทย
เธอเป็นหญิงเก่งที่ทำงานคล่องแคล่วว่องไว เธอสนุกกับการทำงานตลอดเวลาแม้แต่ขณะเดินทาง
ooooooo
ที่โชว์รูมใหญ่ เวียงคีรี อันเป็นธุรกิจของครอบครัว เวียงคีรี ที่ประกอบธุรกิจห้างค้าส่งสินค้าตบแต่งบ้านทุกชนิด เป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษ
ปัจจุบันมีคุณใหญ่หรือคุณพิกุลแก้ว สาวโสดวัย 35 ปี พี่สาวคนโตเป็นประธานบริหารและคุณกลางหรือพฤกษ์น้องชายวัย 26 ปี จบด้านการออกแบบตบแต่ง ภายในเป็นรองประธานและเป็นผู้จัดการด้านอินทีเรียดีไซน์
พฤกษ์มีเลขาชื่อเนรัญญา วันนี้แม้เธอจะเป็นหวัดงอมแงมแต่ก็มาทำงาน เธอเดินตามพฤกษ์ที่มาดูไซต์งานเอง ติงว่าเขาไม่น่าต้องมาเองเลยเพราะสถาปนิกกับฝ่ายประสานงานของเราก็อยู่ตรวจงานก่อนส่งมอบงานอยู่แล้ว พูดแล้วก็จาม ฮัดชิ้ว!
“เวียงคีรีเพิ่งรับเหมางานตบแต่งภายในโรงแรมในเครือของวีกรุ้ปทั้งหมด ผมอยากแน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อย”
เนรัญญาเตือนว่าขืนเขาไม่ปล่อยงานแบบนี้ไม่นานเส้นเลือดในสมองแตกแน่ ไอซียูนอนยาวเรียบร้อย ฮัดชิ้ว!
พฤกษ์หันมองดุๆ พูดเฉียบขาด “กลับไปซะ เนรัญญา” เธอนึกว่าเขาไล่ออกรีบขอโทษบอกว่าตนเป็นห่วงสุขภาพของเขาแค่ไม่อยากให้เขาทำงานเยอะจนมีปัญหาครอบครัว ตนก็แค่...
“ผมหมายถึงให้กลับไปพักผ่อนที่บ้าน ไม่ได้ไล่ออก หายเป็นหวัดค่อยกลับมาทำงาน อย่ามาแพร่เชื้อใส่ผม ไม่งั้นถูกไล่ออกจริงๆแน่ คนนะไม่ใช่เหล็ก พังแล้วก็ต้องพัก เข้าใจไหม!”
“อูยยย...เข้าใจค่ะ” พอพฤกษ์เดินออกไปเนรัญญามองเคลิ้ม “รู้นะว่าปากร้ายแต่ใจดี น่ารักอ่ะ...อุ๊ย...หยุด อย่าคิดแบบนี้ บาป...ฮ้าด...เช้ยยยย!!” เนรัญญาจามดังลั่นจนทุกคนในห้องโชว์รูมหันมอง เธอค่อยๆม้วนตัวเดินออกไปอีกทาง
ooooooo
พฤกษ์เดินมาถึงหน้าโชว์รูม พุฒิคนขับรถมา รออยู่แล้ว รีบเปิดประตูตอนหลังเชิญขึ้นรถเพื่อไป โรงแรมที่นัดหมาย
ที่หน้าโรงแรม PURE GOLDEN รถลีมูซีนจอดเทียบที่บันไดหน้าโรงแรม พนักงานโรงแรมกุลีกุจอมาเปิดประตูรถที่นั่งตอนหลัง
สาวสไตล์เปรี้ยว เท่ ใช้แบรนด์เนม ใส่แว่นกันแดดโฉบเฉี่ยว ก้าวลงจากรถลงมายืนสง่า เธอเดินเข้าไปในโรงแรมทั้งที่ยังคุยโทรศัพท์เป็นภาษาฝรั่งเศสอย่างติดพัน
อึดใจเดียว รถคันหรูของพฤกษ์ก็เข้ามาจอด พุฒิรีบลงไปจะเปิดประตูรถให้แต่พฤกษ์เปิดลงมาเองก่อนแล้ว ขณะเขาเดินเข้าโรงแรม มือถือเขาดังขึ้น
“ฮัลโหล จีจี้ คุณอยู่ที่โรงแรมหรือเปล่า” พฤกษ์เดินมาหยุดข้างๆทองสร้อยแต่หันหลังให้กัน “ดี...เพราะตอนนี้ผมก็อยู่ที่โรงแรมเหมือนกัน”
ทั้งพฤกษ์และทองสร้อยต่างคุยโทรศัพท์ธุระของตน เสร็จแล้วเก็บโทรศัพท์หันหน้ากลับมาหากัน แต่ต่างง่วนอยู่กับการเก็บโทรศัพท์จึงไม่มีใครเห็นใคร จากนั้นต่างแยกไปกันคนละทาง โดยทองสร้อยมองหาทองโปรย และพฤกษ์มองหาจีจี้
ooooooo
ทองโปรยเห็นทองสร้อยแล้วแต่ไม่กล้าไปเผชิญหน้า แอบอยู่หลังเสาโทร.หาแทน พอเห็นชื่อ “พี่ทองโปรย” ที่หน้าจอมือถือ ทองสร้อยรับสายเหวี่ยงใส่ทันที
“ไหนว่าคุณพ่อป่วยหนัก โคม่าอยู่โรงพยาบาล สร้อยก็รีบทิ้งทุกอย่างที่ปารีส แต่พอมาถึง กลับให้คนพามาที่โรงแรม คืออะไร! ตอบ!!” ทองโปรยสะดุ้งเฮือกบอกน้องให้ใจเย็นๆ ตนจะค่อยๆอธิบายให้ฟัง “มาพูดกันซึ่งๆหน้า! ไม่งั้นบึ้ม!”
“โอย...งั้นไม่ต้องพูด ไปเจอของจริงเลยดีกว่า คำตอบอยู่ที่ห้องแกรนด์บอลรูมชั้นสอง” พูดจบตัดสายทันที
ทองสร้อยหันมองรอบๆ เห็นหลังทองโปรยเดินอ้าวไปทางหนึ่งอยู่ไวๆ เธอโกรธจัดตะโกนลั่น
“ไอ้พี่ทองโปรย!!!” ทองสร้อยไม่แคร์สายตาที่มองมาเป็นตาเดียว แหวกผู้คนวิ่งไล่ตามทองโปรยไปทันที เธอวิ่งไม่เกรงใจใคร ไล่ตามทองโปรย ผ่านด้านหลังของจีจี้ ปากก็ตะโกน “ไอ้...พี่...ทอง...โปรยยยยยยย หยุดเดี๋ยวนี้...”
ทองโปรยไม่หยุด ทองสร้อยไล่ล่าอย่างดุเดือดจนพฤกษ์ต้องดึงจีจี้ให้พ้นวิถีพิฆาต เมื่อวิ่งไม่ทันใจ ทองสร้อยถอดรองเท้าส้นสูง 4 นิ้วหิ้ว วิ่งเท้าเปล่าตามไป แต่ทองโปรยไวทายาดวิ่งหายจากสายตาไปแล้ว
พฤกษ์ดึงจีจี้ถลำเข้าไปในอ้อมกอด พอทองสร้อยวิ่งผ่านไปก็บ่น
“มาไล่ตีอะไรกันที่นี่ ไม่อายชาวบ้านเขารึไง”
“ท่าทางเหมือนจะเป็นเมียที่จับได้ว่าผัวมีเมียน้อยนะคะ” จีจี้เลขาคุณใหญ่วัยยี่สิบเศษส่งสายตาให้พฤกษ์
ในอ้อมกอดเขา พฤกษ์รู้สึกตัวคลายแขนออกเอ่ยขอโทษถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า จีจี้ทำตาปริ๊บๆ บอกว่า “เป็นค่ะ... เป็นอะไรไม่รู้ ใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะเหมือนอาการของคนที่กำลังตกหลุมรัก”
พฤกษ์รู้ทัน พูดกลบเกลื่อนเตือนสติในทีว่า “จะรักใครก็ดูดีๆ แต่อย่าไปรักคนที่มีครอบครัวแล้ว ผมไม่อยากให้ลูกน้องตายไปแล้วตกนรก ปีนต้นงิ้ว อยากให้ไปที่ดีๆ ที่เรียกว่าสุคติ” พูดแล้วเห็นจีจี้อึ้ง พฤกษ์ชวนรีบไปกันเถอะแล้วเดินนำไปเลย
จีจี้รู้ตัวว่าถูกด่าบ่นว่าแรงแต่ไม่แคร์ มองตามพฤกษ์ไปด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ จัดเสื้อผ้าให้เข้ารูปทรงแล้วรีบเดินตามไป
ooooooo
ทองสร้อยเดินหาทองโปรยไปเรื่อย นึกได้ว่าทองโปรยบอกให้ไปพบกันที่ห้องบอลรูม พอเจอเธอผลักประตูเข้าไป
ภายในห้อง บรรยากาศฟุ้งไปด้วยม่านหมอก ทองสร้อยตะลึงอึ้ง นึกถึงอดีตสมัยเด็กที่เคยเล่นกับพฤกษ์ ทองสร้อยเล่นขายของประสาเด็กผู้หญิง ชวนพฤกษ์โตขึ้นเราแต่งงานกันนะ พฤกษ์ถามว่ารู้เหรอว่าแต่งงานคืออะไร
“พ่อแม่แต่งงานกันแล้วได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา เราอยากให้เธออยู่ด้วย เธอจะได้เล่นกับเราทุกวัน”
“เล่นขายของน่ะเหรอ ไม่เอา เราไม่ใช่ผู้หญิง” เห็นทองสร้อยก้มหน้าเศร้า พฤกษ์ปลอบ “จะรอเราได้เหรอ เรายังไม่รู้เลยว่าจะได้กลับมาอีกไหม”
“รอสิ...เราจะรอ...” เด็กหญิงทองสร้อยกับเด็กชายพฤกษ์ยิ้มให้กันแล้วเดินจูงมือผ่านม่านหมอกไปด้วยกัน ด้วยความหวังว่า “ทุกอย่างจะเข้ามาหาคนที่อดทนรอได้... เท่านั้น”
ทองสร้อยสะดุ้งจากภวังค์ เห็นภายในห้องกลายเป็นห้องจัดแต่งงานที่สวยงาม ทุกอย่างพร้อมแล้ว ภายในห้องมีเจ้าบ่าวคือ กุลชาติ ยืนอยู่กับคุณพ่อคือสาทร ทั้งสองยิ้มดีใจให้ทองสร้อย ส่วนอีกฟากหนึ่ง มีกุลธิดาน้องสาวของกุลชาติกับศักดิ์สิทธิ์ยืนยิ้มให้ทองสร้อยอยู่
ขณะทองสร้อยยังไม่ทันตั้งตัว ก็ถูกบรรดาสาวๆ กลุ้มรุมกันเข้ามาใส่โน่นเติมนี่ติดกระโปรง จนกลายเป็นชุดเจ้าสาวสมบูรณ์สวยงามในพริบตา
“นี่มันอะไรกัน คิดจะทำอะไร!” ทองสร้อยได้สติร้องถาม วินาทีนั้น ทองก้อนกับทองโปรยก็เข้าประกบเธอทันทีทองโปรยกระซิบบอกน้องว่า
“เพราะสร้อยต้องเข้าพิธีแต่งงาน ใน...ฐานะเจ้าสาวของกุลชาติลูกชายของคุณลุงสาทรเพื่อนพ่อ”
ทองสร้อยช็อก!!!
ทองก้อนที่ยืนหนีบอยู่อีกข้างบอกลูกสาวว่า
“ตามคำสัญญาที่ฉันเคยให้ไว้กับพี่สาทรว่า เมื่อแกอายุครบยี่สิบห้าปีเมื่อไหร่ จะให้แต่งงานกับลูกชายคนโตของเขาเพื่อความสัมพันธ์ที่กระชับแน่นของครอบครัวเรา”
ทองสร้อยช็อกไปอีกครั้ง!!
แล้วทองก้อนกับทองโปรยก็หิ้วทองสร้อยเข้าไปทันที แขกต่างพากันแปลกใจที่เจ้าสาวถูกหิ้วจนเท้าลอยเข้าพิธี
“ปล่อยหนูนะ สัญญาของพ่อก็เป็นเรื่องของพ่อ ไม่เกี่ยวกับหนู!” ทองสร้อยดิ้นเร่าๆ แต่ถูกหนีบไว้แน่นดิ้นไม่หลุด
“เกี่ยวสิวะ แกเคยสัญญากับฉันว่าแกจะไม่ทิ้งฉันไปไหน แต่แกก็ทิ้งฉันไปอยู่ปารีส ให้กลับก็ไม่กลับ เพราะฉะนั้นนี่คือวิธีที่จะทำให้แกรักษาสัญญากับฉันด้วยการแต่งงานซะ!!”
ทองสร้อยโวยวายว่าตรรกะอะไรของพ่อ ทองโปรยเถียงแทนพ่อว่า “ตรรกะของพ่อ คืออะไรก็ได้ที่ทำให้ได้อย่างที่อยากได้ สั้นๆ...แถ!” เลยถูกทองก้อนเรียกปราม และทองสร้อยก็โวยวายว่าเพราะพ่อเป็นแบบนี้ใครๆถึงได้หนีพ่อไปหมด
“เหลือไอ้ทองโปรย”
“รวบรวมความกล้าได้เมื่อไหร่ก็ไปครับ” ทองโปรยเผลอโพล่งออกไป พอถูกทองก้อนถามว่าว่าไงนะ ทองโปรยก็ซีดเสียงอ่อยว่า เปล่าครับ ทองสร้อยเรียกพ่ออย่างอ้อนวอน ถูกทองก้อนตัดบทว่า
“พอแล้ว แกจะหาว่าฉันไม่มีเหตุผลไม่มีหัวใจอะไรก็ช่างหัวแก ฉันไม่แคร์ แต่วันนี้...แกต้องมีผัว!!”
“หนูไม่แต่ง!!” ทองสร้อยแผดเสียงลั่นจนทุกคน
ในห้องเงียบงันไปหมด ทองก้อนกับทองโปรยก็ชะงัก
ทองสร้อยมองไปที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างขอความช่วยเหลือ ศักดิ์สิทธิ์ถอนใจเฮือกก่อนตัดสินใจตะโกน
“ไฟไหม้!!!”
เท่านั้นเองคนในห้องแตกฮือวิ่งกันอลหม่านทุกคนต่างวิ่งหาคนของตัว บาทหลวงวิ่งอ้าวออกไปก่อนแล้ว ทองโปรยกับทองก้อนละล้าละลัง ทองสร้อยฉวยโอกาสนั้นสะบัดหลุดวิ่งออกจากห้องไปทันที ทองก้อนตะโกนให้ทองโปรยจับน้องไว้เอามาเข้าพิธีแต่งงานให้ได้ สาทรถามว่าจะแต่งกับใครถ้าเจ้าบ่าวถูกไฟคลอกตาย
“ก็แต่งกับศพมันไง!” ทองก้อนตะบี้ตะบัน แต่ไม่มีใครเล่นด้วยต่างหนีเอาชีวิตรอดกันอลหม่าน
ทองสร้อยวิ่งหนีออกไปได้ก็ถอดเครื่องประดับชุดเจ้าสาวทิ้งทีละชิ้น...ทีละชิ้นและต้องคอยเหลียวมองเฉวียงลูกน้องทองโปรยกับพวกที่ไล่ตามมา
ooooooo
พฤกษ์ตรวจงานเสร็จเขาหงุดหงิดมากที่งานไม่ได้ดั่งใจ สั่งจีจี้ให้รื้อทำใหม่หมด ถ้ายังไม่รู้ว่า มาตรฐานของตนเป็นอย่างไรก็คงมีผลต่ออนาคตของเธอที่นี่
ทองสร้อยวิ่งหนีมาถึงหน้าโรงแรม พฤกษ์เดินหงุดหงิดมาขึ้นรถ พุฒิมัวแต่เล่นไลน์กับชบาเมียที่เป็นแม่บ้านอยู่ที่บ้านพฤกษ์ ทองสร้อยมุดเข้าไปในรถเอาเสื้อนอกของพฤกษ์คลุมแล้วนั่งคุดคู้ที่พื้นรถคนละมุมกับที่พฤกษ์นั่งคุยโทรศัพท์กับพี่ใหญ่อยู่เลยไม่ทันได้สังเกต
ทองสร้อยโผล่หน้าออกมาดูพฤกษ์เป็นระยะ จนเขาเห็น ทุกคนตกใจที่เห็นกัน พุฒิรีบเอารถจอดข้างทาง
“คุณขึ้นรถผมมาได้ยังไง” พฤกษ์ตวาดถาม ทองสร้อยไม่ตอบแต่หนีลงจากรถวิ่งอ้าวไป พฤกษ์เห็นหลังไวๆ คล้ายจะจำได้แต่ก็ไม่ติดใจ ตำหนิพุฒิที่ดูแลรถยังไงคนขึ้นมาทั้งคนยังไม่รู้เรื่อง พุฒิสารภาพว่าตนมัวแต่แชทกับชบาเลยเผลอไป
“ไป ขึ้นรถ” พฤกษ์สั่งหงุดหงิด พุฒิรีบขึ้นรถขับออกไป
ooooooo
ทองสร้อยหนีไปได้แล้วจะเรียกแท็กซี่จึงรู้ว่าตัวเองมาตัวเปล่าไม่มีทั้งเสื้อผ้าและเงินติดกระเป๋าเลยแม้แต่บาทเดียว แต่ทองสร้อยก็ตัดสินใจโบกแท็กซี่ไปตายเอาดาบหน้า
ฝ่ายทองก้อนกับสาทร เมื่อรู้ว่าทองสร้อยหนีไปแต่ตัวก็เชื่อว่าไปได้ไม่ไกลเดี๋ยวก็ซมซานกลับมา
กุลธิดาถามทองโปรยว่าหาทองสร้อยเจอไหม พอรู้ว่าไม่เจอก็มีความหวังขึ้นมาว่าจะได้เป็นคู่สำรองทำให้สัญญาของทองก้อนเป็นจริง กุลธิดาดีใจดี๊ด๊าว่าตนพร้อมแล้ว ในขณะที่ทองโปรยพูดเซ็งๆว่า ตนไม่เคยพร้อมเลย
ทองก้อนถามกุลชาติว่ารักทองสร้อยจริงหรือเปล่า เขาบอกว่ารักจริงตนหลงรักทองสร้อยมาตั้งแต่เด็กแล้วทั้งๆที่มีผู้หญิงหลายคนอยากได้ตนแต่ตนไม่สนใจ ตนมั่นคงกับทองสร้อยตลอดมา ทองก้อนบอกว่า ทองสร้อยไม่ได้รักเขา
“ผมมั่นใจ หลังจากแต่งงานกันแล้ว ทองสร้อยต้องตกหลุมรักผมได้ไม่ยาก คุณอาเชื่อผมเถอะครับ ผมจะดูแลทองสร้อยให้ดีที่สุด”
“ถ้าทองสร้อยไม่ได้เต็มใจที่จะแต่งงานกับกุลชาติก็ช่างเถอะทองก้อนฉันไม่โกรธหรอก ฉันเข้าใจ ไม่เป็นไรนะถ้าแกจะไม่รักษาสัญญาที่ให้ไว้กับฉัน” สาทรเอ่ย
“ผมไม่มีทางผิดคำสัญญา พี่ก็รู้ว่าคำพูดเป็นนายเรา ที่ผมประสบความสำเร็จมาได้ทุกวันนี้ นอกจากที่พี่เคยช่วยเหลือผมเอาไว้ก็เพราะคำพูดคำไหนคำนั้นของผม”
“แค่เงินสองพันที่ฉันให้แกไปทำทุน มันไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร”
“พี่ครับ สบายใจเถอะครับ สำหรับผมมันไม่ได้มีค่าแค่สองพัน แต่มันหมายถึงชีวิตทั้งชีวิตของผม พี่สบายใจเถอะครับ ภายในหนึ่งเดือน งานแต่งของลูกเราจะต้องเกิดขึ้น ทองสร้อยจะต้องกลับมาและเปิดใจรักกุลชาติ!!!”
ทองก้อนตวัดสายตามาสำทับทองโปรย ทองโปรยจะทักท้วงแต่ไม่กล้าพอ ทองก้อนยังคงพูดต่ออย่างมั่นใจว่า
“ทองโปรยจะช่วยผมตามทองสร้อยกลับมาเต็มที่ แต่ถ้ามันทำไม่ได้ ผมสู่ขอกุลธิดามาเป็นลูกสะใภ้เผื่อไว้เลยก็แล้วกัน”
ทองโปรยอึ้ง เครียดมองพวกสาทรอย่างไม่ไว้ใจ ในขณะที่ทางครอบครัวสาทรต่างยิ้มอย่างสมใจหมาย
ทองก้อนหน้านิ่ง มั่นใจมากว่างานนี้ต้องสำเร็จ ไม่มีวันล้มเหลวเด็ดขาด
ooooooo
ทองสร้อยนั่งแท็กซี่ไปหาเนรัญญาที่คอนโด บอกให้แท็กซี่รอแล้วขึ้นไปหาเพื่อน โชคดีที่เนรัญญาอยู่ เนรัญญาแปลกใจว่าทำไมจู่ๆทองสร้อยโผล่มาถามว่าไม่ใช่อยู่ปารีสหรือทำไมถึงได้เยินอย่างนี้ล่ะ
ทองสร้อยว้ากใส่ว่าขอค่าแท็กซี่หน่อย เนรัญญาถามว่านั่งแท็กซี่มาจากปารีสหรือ
“ฮ่วย! ผู้หญิงคนนี้พูดมากอีหลี” ทองสร้อยปล่อยภาษาอีสานออกมา เนรัญญาทึ่งที่ทองสร้อยยังพูดได้แต่ติงว่ามันเพี้ยนไปหน่อยนะ เสียชื่อหมด แม่เป็นถึงสาวเวียงจันทน์ถึงจะย้ายมาอยู่อุดรตั้งแต่เด็กแต่แกดัน...”
ทองสร้อยตัดบทว่าตนไม่ได้พูดกับใครนอกจากกับแม่และแม่ก็ตายไปนานแล้วเร่งให้เอาเงินค่าแท็กซี่มาเลยแปดสิบบาท เนรัญญาจึงหยิบเงินให้
ooooooo
ทองก้อนรู้ดีว่าคนที่ตะโกนว่าไฟไหม้จนงานล่มไม่เป็นท่าคือศักดิ์สิทธิ์ เมื่ออยู่กันสองคน ทองก้อนพูดอย่างเจ็บใจว่า
“ถ้าฉันไม่คิดว่านายเป็นเพื่อนที่ดูแลกันมานาน ฉันคงไล่ตะเพิดนายไปแล้วที่ร้องตะโกนไฟไหม้แบบนั้น”
“ผมรู้ว่าท่านทราบดี และขอบพระคุณครับที่ไม่ไล่ตะเพิดผม”
“แล้วยังไง จะหาทางส่งข่าวไปบอกทองสร้อยด้วยไหมว่าฉันกำลังส่งคนไปตามล่าหามันชนิดถ้าต้องพลิกแผ่นดินหาฉันก็จะทำ” ศักดิ์สิทธิ์ท้วงติงว่าเขาทำอย่างนั้นก็จะยิ่งผลักไสให้ทองสร้อยหนีไปจากชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ “ถ้าไม่บังคับ ฉันก็ไม่เคยได้อะไรจากพวกมัน”
“เคยลองใช้วิธีอื่นแล้วเหรอครับ วิธีบังคับ ได้ผลกับคุณทองโปรย แต่ไม่ได้ผลกับคุณทองสร้อย ท่านน่าจะทราบดี”
ทองก้อนตวาดว่าไม่ต้องมาสอน ศักดิ์สิทธิ์บอกว่าไม่ได้สอนแค่สะท้อน แล้วสะท้อนต่ออีกว่า
“ขอสะท้อนอีกอย่างนะครับ ไม่รู้สึกบ้างเหรอครับว่าครอบครัวคุณสาทรกำลังใส่หน้ากากคุยกับท่าน”
ทองก้อนบอกว่าทำไมจะไม่รู้ว่าพวกนั้นต้องการเงินจากตนมากแค่ไหน ย้อนถามว่าคิดหรือว่าตนจะถูกสาทรคนใจใหญ่มือเติบใช้เป็นเครื่องมือ พูดอย่างหมายมาดว่า “พวกเขาต่างหากที่กำลังถูกฉันสอนมวย”
แผนของทองก้อนคือ เมื่อแต่งงานกันแล้วจะไม่ให้จดทะเบียนสมรส และเงินที่จะให้สาทรเอาไปกู้สถานการณ์ธุรกิจไม่ได้ให้เปล่าๆ แต่จะให้กู้ สาทรต้องลุกขึ้นมาด้วยการลงมือทำไม่ใช่แบมือขอ นี่คือวีการตอบแทนผู้มีพระคุณที่ดีที่สุด ศักดิ์สิทธิ์ถามว่าเขาจะยอมแลกอิสรภาพของลูกๆ กับการตอบแทนผู้มีพระคุณรึ มีคนเห็นแก่ตัวมากขนาดนี้อยู่ในโลกด้วยหรือ
“คนอื่นหลอกท่านรู้ทัน แต่เวลาที่ท่านหลอกตัวเองกลับไม่รู้ เก็บหน้ากากไว้ใช้ที่อื่นเถอะครับ อย่าเอามาใส่กับคนในครอบครัวเลย ขอบพระคุณครับ” ศักดิ์สิทธิ์โค้งแล้วรีบออกไป ทองก้อนพูดอย่างไม่ยอมรับสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์เตือนสติว่า
“ฉันเป็นคนที่จริงใจที่สุดในโลกนะเว้ย!!!”
ooooooo
ทองสร้อยมาอยู่กับเนรัญญาที่กำลังเป็นไข้พอดี เธอบ่นกับเพื่อนอย่างกดดันเรื่องถูกพ่อหลอกว่าป่วยเรียกให้รีบกลับเมืองไทย ที่แท้หลอกให้มาแต่งงานกับผู้ชายที่เห็นหน้าแล้วยิ้มให้เหมือนอยากมีลูกกับตนสักสิบคน
ทองสร้อยกวาดบ้านไปก็บ่นไปไม่หยุด
“มันกล้าดียังไงมาแต่งงานกับฉัน มันคิดว่ามัน เป็นใคร แล้วมันคิดว่าฉันเป็นใคร ฉันคือนางสาวทองสร้อย พงษ์เดชา ที่คิดว่าชาตินี้จะไม่มีวันแต่งงานเลยด้วยซ้ำ” เนรัญญาผงกหัวขึ้นถามว่าผู้ชายหล่อไหม พอทองสร้อยบอกว่าจืดมากก็เชียร์ว่าสมควรหนี แล้วนอนต่อ ในขณะที่ทองสร้อยก็ยังบ่นไม่หยุด “พ่อนะพ่อ เผด็จการ แคร์แต่สัญญาที่ให้ไว้กับคนอื่น แต่ไม่แคร์หัวใจลูกเลย ฮึ่ย!!!”
ทองสร้อยทั้งกวาด เช็ด ล้าง ขัด ถู ทนเห็นพื้นห้องน้ำมีร่องดำๆไม่ได้ก็เอาแปรงสีฟันที่เนรัญญาเพิ่งซื้อมาขัดร่องดำออก เนรัญญาฟังเพื่อนบ่นแล้วถามว่าเคยลองคุยกับพ่อบ้างไหม
“ไม่ใช่ฉันไม่เคยคุย แกฟังที่ไหน คุยกันไม่เคยเกินสองประโยค พังทุกที คอยดูนะ ฉันจะหนีไปให้ไกล สุดหล้าฟ้าเขียว ถ้ายังคิดจับฉันคลุมถุงชน ชาตินี้ก็จะไม่เห็นหน้าฉันอีก” เนรัญญาติงว่ายังไงเขาก็พ่อนะ “จนกว่าเขาจะยอมล้มเลิกสัญญาบ้าบอนั่น จนกว่าจะเลิกยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง วันนั้นฉันถึงจะกลับมาอยู่กับเขาตามสัญญา”
จู่ๆเนรัญญาก็ไข้ขึ้นจนทนไม่ไหวบอกว่าตนจะตายแล้ว ทองสร้อยวิ่งพล่านหากุญแจรถและกระเป๋าเงินเพื่อพาเพื่อนไปส่งโรงพยาบาล
ooooooo
ที่บ้านเวียงคีรี บรรยากาศตึงเครียดเมื่อคุณใหญ่ไล่สาวใช้ที่เธอหาว่าแต่งตัวยั่วผู้ชาย ระแวงว่าจะอ่อยพฤกษ์ใช้เต้าไต่ขึ้นมาเป็นคุณนายคนที่สองออกจากงาน
เมื่อสาวใช้ไปไม่ทันใจก็โวยวายจนชบาเมียของพุฒิที่ดูแลคนใช้อยู่บอกว่านังเจีย คือเจียรนัยหลานสาวของตนกำลังช่วยขนของอยู่ คุณแหววภรรยาในทางนิตินัยของพฤกษ์เอาเงินใส่ซองให้สาวใช้และเรียกแท็กซี่ให้ ก็ถูกคุณใหญ่บ่นว่าให้ทำไม เพราะทำงานยังไม่ครบกำหนด แถมมีความผิดสมควรถูกไล่ออกโดยไม่จ่ายค่าแรงตามที่สัญญาระบุไว้
คุณแหววบอกว่าให้เป็นน้ำใจเร่งสาวใช้รีบรับไป สาวใช้ไหว้ขอบคุณแล้วรับซองเงินไป
“รีบๆไปซะ ถ่วงเวลารอใคร หา!! ไป๊!!!” คุณใหญ่ไล่เขวี้ยงกระเป๋าสาวใช้ออกไป กระเป๋าตกลงตรงเท้าพฤกษ์ที่กำลังเข้ามาพอดี เห็นสภาพและอารมณ์ของพี่สาวแล้ว พฤกษ์รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น เขาถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย
พฤกษ์นั่งคุยกับคุณใหญ่โดยมีคุณแหววนั่งสีหน้าไม่ค่อยดีเพราะรู้สึกเหมือนจะเป็นลม พฤกษ์ถามคุณใหญ่ว่านี่เป็นคนที่ห้าในเวลาไม่ถึงเดือนที่ถูกไล่ออก คราวนี้ไล่ออกด้วยเหตุผลอะไรหรือ คุณใหญ่อ้างว่าเป็นงานส่วนของตนเขาไม่ต้องก้าวก่าย พฤกษ์ดักคอพี่สาวว่า
“ที่พี่ใหญ่บ่ายเบี่ยงไม่บอกผม เพราะมันเกี่ยวกับผม”
“ไม่เกี่ยว! คุณแหววเมียเธอก็ไม่เกี่ยว” คุณใหญ่เสียงดังใส่ปิดปากน้องชาย แต่ที่มุมหนึ่ง ชบา พุฒิและเจียรนัยแอบฟังอยู่ เจียรนัยจีบปากจีบคอบ่นว่า
“โอย...ยังจะแถ คนเขารู้กันทั้งหมู่บ้านแหละว่าที่คุณใหญ่ไล่สาวใช้ออกบ่อยๆ เพราะกลัวจะมาทอดสะพานให้คุณกลาง” ถูกชบาเอ็ดเบาๆ ให้เก็บปาก! พอเจียรนัยหยุดพุฒิก็พูดต่อว่า
“คิดได้นะคนเรา คงจะว่างเลยฟุ้งซ่าน สงสัยต้องหาผัวให้คุณใหญ่สักคนแล้วมั้งเมียจ๋า แกจะได้เลิกวุ่นวายกับชีวิตครอบครัวคนอื่นสักที” ชบาถามว่าใครจะเอาพอพุฒิกับเจียรนัยทำเสียงสงสัย ชบาแก้เกี้ยวว่า
“ฉันหมายถึงคุณใหญ่ไม่คิดจะมีสามีหรอก กลัวช้ำใจ กลัวประวัติศาสตร์ซ้ำรอย”
พฤกษ์ฟังคุณใหญ่แล้วรู้ว่าพี่สาวคิดอะไร ยังไง ติงว่า “พี่ใหญ่ครับ ประวัติศาสตร์ไม่มีวันเหมือนเดิม ถ้าเราเรียนรู้จากความผิดพลาด และผมก็มั่นใจว่าผมไม่มีทางทำอย่างที่พี่ใหญ่กลัว”
“อย่าพูดเลยคุณกลาง คุณพ่อก็เคยพูดอย่างนี้กับคุณแม่ สุดท้ายก็ไม่รอด ไปคว้าเอาคนใช้ในบ้านทำเมีย ทำให้คุณแม่ต้องช้ำใจ”
คุณเล็กที่เป็นน้องคนละแม่ในชุดนักศึกษาเดินมาได้ยินพอดี เธอชะงัก พฤกษ์และคุณแหววเห็นคุณเล็กก็หน้าเจื่อน พยายามจะห้ามคุณใหญ่แต่ไม่ทัน
“ยังไม่พอ! ยังคลอดลูกออกมาให้เป็นตัวประจานความมักมากของตัว ประจานความสำส่อนของนังก้นครัว จนคุณแม่ต้องช้ำใจตาย!”
พฤกษ์และคุณแหววมองคุณเล็กอย่างเห็นใจ คุณใหญ่ มองตามสายตาเห็นคุณเล็กก็มองอย่างเกลียดชังและพูดต่อ
“พี่ไม่มีทางยอมให้เรื่องอัปยศแบบนี้มันเกิดขึ้นในบ้านอีกเป็นครั้งที่สอง พวกกำพืดต่ำแต่หวังสูง อยากสุขสบายด้วยการใช้เต้าไต่เหมือนแม่ของใครบางคน มันต้องถูกกำจัด!”
คุณเล็กยืนนิ่ง อึ้ง คุณใหญ่ลุกสะบัดเดินผ่านคุณเล็กไปไม่แม้แต่จะมอง พฤกษ์ลุกมาหาคุณเล็กตบไหล่ ปลอบใจเบาๆ
คุณเล็กพยายามไม่ให้น้ำตาไหลออกมา เข้มแข็ง ยิ้มสู้ เดินเข้าข้างใน พฤกษ์กับคุณแหววมองตามไปด้วยความเห็นใจ
คุณใหญ่เดินไปหยุดยืนที่หน้ารูปคุณพ่อและคุณแม่ ที่ติดคู่กัน บอกกล่าวท่านทั้งสองว่า
“ช่วยเข้าใจใหญ่ด้วยนะคะ คุณพ่อ คุณแม่ ใหญ่ ทำเพื่อปกป้องคนที่ใหญ่รักมากที่สุดเพียงคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ให้ทำเรื่องเสื่อมเสียและย่ำยีศักดิ์ศรีลูกผู้หญิงอย่างที่คุณพ่อเคยทำกับคุณแม่...ใหญ่ทำหน้าที่ลูกของคุณพ่อได้แค่ยอมให้ลูกเมียน้อยมันอยู่ในบ้าน ได้เรียนได้มี ในสิ่งที่คุณพ่อจัดสรรให้มัน แต่คุณพ่อห้ามใหญ่เกลียดมันไม่ได้!”
คุณใหญ่ยืนจ้องรูปของคุณพ่อคุณแม่ด้วยความรู้สึกสะเทือนใจอย่างรุนแรง ก่อนจะเดินออกไป
ooooooo
พฤกษ์กับคุณแหววเดินมาเห็นคุณเล็กดูรูปแม่ในล็อกเกตที่ห้อยคอตัวเองอยู่อย่างเจ็บปวดจนน้ำตาไหลออกมาจนได้ พฤกษ์บอกคุณแหววว่าตนจะคุยกับคุณเล็กเอง เธอมีอะไรต้องทำก็ไปทำเถอะ
“ค่ะ แหววจะไปช่วยชบาเตรียมอาหารเย็น
นะคะ กำลังฝึกทำอาหารกับชบาวันหลังจะได้โชว์ฝีมือ ทำให้คุณกลาง...” พฤกษ์มัวแต่เป็นห่วงคุณเล็ก ไม่ได้ฟังคุณแหววพูด เขาผละไปทั้งที่คุณแหววยังพูดไม่จบ ทำให้คุณแหววอดน้อยใจไม่ได้
พฤกษ์เข้าไปนั่งคุยกับคุณเล็ก แสดงความยินดีที่คุณเล็กเรียนจบแล้ว ให้กำลังใจว่าคุณพ่อกับคุณแม่ของคุณเล็กก็คงดีใจเหมือนตน คุณเล็กขอบคุณที่ให้กำลังใจตนตลอดมา พูดอย่างซึ้งใจว่า “ถ้าไม่มีคุณกลาง เล็กก็คงไม่มีวันนี้”
พฤกษ์บอกว่าคุณเล็กเป็นน้องสาว ตนก็ต้องดูแล คุณเล็กพูดอย่างน้อยใจว่าก็มีแต่คุณกลางคนเดียวที่นับตนเป็นน้อง
พฤกษ์แก้ต่างให้พี่สาวว่าอย่าโกรธคุณใหญ่เลยเพราะกำลังหงุดหงิดเรื่องต้องหาสาวใช้คนใหม่ คุณเล็กบอกว่าตนเคยชินกับความเกลียดของคุณใหญ่ที่มีให้ตนแล้ว
“เคยชิน...แล้วเมื่อกี้ร้องไห้ทำไม ถ้าเคยชินต้องยิ้มสู้ เข้มแข็งไม่สะเทือนไม่ว่าคุณใหญ่ จะพูดหรือทำอะไรกับเรา”
“เมื่อกี๊เล็กคิดถึงแม่...อยากกอดแม่แล้วบอกแม่ว่า เล็กเรียนจบแล้วนะ” พูดแล้วน้ำตาซึมขึ้นมาอีก แต่พยายามเก็บกลั้นเอาไว้และยิ้มสู้ พฤกษ์มองอย่างเห็นใจ
ทันใดนั้น เจียรนัยวิ่งหน้าตื่นมาบอกว่า “คุณกลางขา ...คุณแหววหน้ามืดหมดสติค่ะ!” ทั้งพฤกษ์และคุณเล็กตกใจ
ooooooo
ทองสร้อยพาเนรัญญาเข้าโรงพยาบาล พบว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ต้องนอนโรงพยาบาล ทองสร้อยคิดหนักว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี
คุณแหววเข้าโรงพยาบาลเดียวกัน หมอบอกพฤกษ์ว่าคุณแหววเธอซีดมากต้องให้เลือด พรุ่งนี้น่าจะกลับไป
พักต่อที่บ้านได้ บอกพฤกษ์ว่า “คุณกลางต้องคอยย้ำกับคุณแหววนะครับว่าภาวะเลือดจางของคุณแหววต้องกินยาบำรุงเลือดอย่าให้ขาด ไม่อย่างนั้นค่าเม็ดเลือดแดงจะตกมากจนทำให้หน้ามืดเป็นลมง่าย อันตรายนะครับ”
พออยู่กันลำพัง คุณใหญ่ตำหนิพฤกษ์ทันทีว่าควรเอาใจใส่ดูแลคุณแหววบ้าง ไม่ใช่ทิ้งๆ ขว้างๆ อย่างที่เป็นอยู่บ่นว่า
“ดูซิ มัวแต่ดูแลผัว ช่วยพี่ดูแลบ้านจนลืมกินยา หัวใจทำด้วยอะไรคุณกลาง ทำไมถึงได้แข็งกระด้างนัก”
“พี่ใหญ่รู้ดีแก่ใจว่าเพราะอะไร” พฤกษ์พูดแล้วเดินออกไป ทิ้งคุณใหญ่ให้นั่งอึ้งหงุดหงิดอยู่คนเดียว
เรื่องที่พฤกษ์บอกว่าคุณใหญ่รู้ดีแก่ใจว่าเพราะอะไรนั้น เป็นเรื่องที่สองพี่น้องรู้กัน คุณแหววนอนฟังอยู่เหมือนไม่รับรู้อะไร แต่ที่แท้ได้ยินทุกถ้อยคำ นอนน้ำตาไหลเป็นทาง
แต่ที่ทั้งสองไม่รู้คือ ก่อนหน้านี้ คุณแหววตั้งใจไม่กินยาตามหมอสั่งเพราะต้องการทำตัวให้อ่อนแอ เรียกร้องความสนใจจากพฤกษ์จนเป็นลมหมดสติไปนั่นเอง
ทั้งทองสร้อยและพฤกษ์ต่างออกมานั่งพักนอกห้องพักคนป่วย ต่างอยู่ในความคิดคำนึงของตัวเองจึงไม่ได้สนใจกัน กอปรกับทองสร้อยมีหน้ากากอนามัยคาดไว้ด้วย จึงยิ่งไม่เป็นที่สะดุดตากัน
ooooooo
ทองก้อนให้ทองโปรยตามล่าทองสร้อยจนเขารู้สึกว่าพ่อทำเหมือนน้องเป็นอาชญากรทั้งทองโปรยและเฉวียงเที่ยวออกตามหาทองสร้อย ที่สถานีขนส่ง รถไฟ ท่าเรือ ท่ารถ ทองก้อนสั่งให้เอกซเรย์ทุกตารางนิ้ว!
พอทองโปรยมีท่าทีอิดออด ทองก้อนก็แกล้งเปรยว่า “กุลธิดา อนาคตเจ้าสาวของแก ถ้าหาตัวทองสร้อยไม่เจอ!”
“ต้องเจอครับ” ทองโปรยกระตือรือร้นขึ้นมาทันที พอออกมาทองโปรยสั่งเฉวียงให้ไปจัดการตามที่พ่อสั่ง ส่วนตัวเองก็เค้นความคิดว่าจะตามหาทองสร้อยได้ที่ไหนบ้าง ฉุกคิดได้ว่าต้องตามหาจากเพื่อนเธอ เอาโทรศัพท์มือถือของทองสร้อยมาไล่ดูรายชื่อ เจอเป็นภาษาไทยอยู่ชื่อเดียวคือ “ไอ้เน” ทองโปรยรีบโทร.ทันที
ทองสร้อยดูเบอร์ที่โทร.เข้าเป็นเบอร์บ้าน สงสัยจะเป็นสายจากบ้านเนรัญญา เลยรับสาย
“ฮัลโหล...”
“ทองสร้อยใช่ไหม” ทองโปรยจำเสียงได้ร้องถามอย่างตื่นเต้น ทองสร้อยตกใจสบถออกมาเป็นภาษาฝรั่งเศส
“Merde!!” แล้วบีบจมูกทำเสียงอุบาทว์ถามว่า “ต้องการพูดกับใครคะ” แต่ทองโปรยรู้ทันยืนยันว่าตนจำเสียงทองสร้อยได้ ร้องเรียกราวกับเห็นน้องอยู่ตรงหน้า ทองสร้อยตกใจกดวางสายทันที แต่ทองโปรยก็ยังร้องเรียกไม่หยุดปาก
ทองก้อนได้ยินเสียงเรียกทองสร้อยของทองโปรย ก็คว้าโทรศัพท์ไปพูดรัวเป็นชุด
“ไอ้สร้อย!! กลับบ้านเดี๋ยวนี้! ไม่อย่างนั้นฉันจะตัดพ่อตัดลูกกับแก เพราะแกมันอกตัญญู ทำให้พ่อแม่เสียใจ ตายไปตกนรกเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ อึ้ง...เงียบไปเลยล่ะสิ!” ทองก้อนเอะใจบอกว่าเงียบไปนะ ทองโปรยบอกว่าน้องวางสายไปก่อนพ่อเข้ามาแล้ว
“อ้าว! แล้วทำไมไม่บอก” ทองโปรยบอกว่าบอกไม่ทัน ทองก้อนสั่ง “ติดต่อกลับไปใหม่!”
ทองโปรยติดต่อกลับไปใหม่ แต่ทองสร้อยเห็นเบอร์แล้วไม่รับสาย
พฤกษ์ที่นั่งอยู่ข้างๆ สังเกตอยู่ มองอย่างแปลกใจ ยิ่งเมื่อเห็นเธอตัดสายทิ้งก็มองขำๆว่าอะไรของเขานะ
ขณะพฤกษ์กำลังมองทองสร้อยขำๆนั่นเอง คุณใหญ่ เดินออกจากห้องพักคนป่วยของคุณแหวว ถามอย่างเอาเรื่องว่า
“แล้วจะเอายังไงเรื่องคุณแหวว ต้องให้พี่พูดอีกกี่ครั้งเธอถึงจะได้สติ”
“ผมต้องการหย่า” พฤกษ์โพล่งออกไป ถูกสวนทันควันว่า ไม่ได้! ทำไม!! “จะอยู่ต่อไปอีกทำไม ในเมื่อเราสองคนไม่ได้รักกัน” คุณใหญ่ด่าว่าเห็นแก่ตัว คิดถึงแต่ตัวเองไม่คิดถึงใจเมีย ใจพี่ ใจคนอีกหลายๆคนที่อยู่ในชีวิตเขา ถามประชดว่า
“อยากได้ชื่อว่าเป็นผู้ชายเห็นแก่ตัวอีกคน นอกจากคุณพ่อก็เอาเลย!” พฤกษ์ทนไม่ได้เดินเลี่ยงหนีไป “กลาง เดี๋ยวก่อน!! กลับมาคุยกับพี่ก่อน...” พฤกษ์ไม่สนใจ คุณใหญ่ หงุดหงิดบ่นว่าแล้วใครจะอยู่เฝ้าคุณแหวว นึกได้หยิบมือถือขึ้นมาโทร.บอกชบาให้ส่งเจียรนัยมาเฝ้าคุณแหววที่โรงพยาบาล
คุณใหญ่เครียดมากเมื่อพฤกษ์ประกาศว่าจะหย่ากับคุณแหวว
พฤกษ์ออกไปเดินข้างนอก ผ่านร้านขายของเด็กเล่น เห็นชุดหม้อข้าวหม้อแกงดินเผาเล็กๆ ก็อดคิดถึงอดีตที่ตนเคยเล่นขายของกับทองสร้อยไม่ได้ แต่เป็นความจำที่รางเลือนมาก เขานึกขำตัวเอง แล้วเดินผ่านร้านไป
ooooooo
ทองก้อนสั่งทองโปรยให้โทร.ตามล่าทองสร้อยให้ได้ แต่พอโทร.ไปก็กลายเป็นเสียงตอบรับว่าไม่สามารถติดต่อหมายเลขนี้ได้ในขณะนี้ ทองก้อนหงุดหงิดพยายามคิดว่าทองสร้อยไปอยู่ที่ไหน
เมื่อโทร.เข้ามือถือก็ปิดเครื่อง ทองโปรยจึงโทร.ไปที่ห้องพักของเนรัญญาที่คอนโดก็ไม่มีคนรับสาย ทองก้อนยิ้มอย่างเป็นต่อบอกทองโปรยว่า
“ตอนนี้ก็รู้แล้วว่า มันไปหาเพื่อน เพราะฉะนั้น เพื่อนมันคนนั้นอยู่ที่ไหน ไอ้สร้อยก็ต้องอยู่ที่นั่น เมื่อโทร.ไปแล้วไม่รับ ก็ต้อง...ไปหาถึงที่!!” ศักดิ์สิทธิ์ที่ฟังอยู่ติงว่าทองสร้อยก็คงคิดเหมือนท่าน มันคงไม่ง่าย “ก็ลองดู ระหว่างทองก้อนกับทองสร้อย ใครมันจะชนะ!!” พูดแล้วเดินออกไปทันที ศักดิ์สิทธิ์มองตามบ่นอย่างเหนื่อยใจ
“เอาชนะคะคานกับลูกตัวเอง ห่างไกลจากคำว่าโฮมสวีตโฮมเหลือเกิน”
ooooooo
พอเนรัญญารู้ว่าทองสร้อยปิดโทรศัพท์ก็แย่งมือถือไปบอกว่าเผื่อบอสตนโทร.มาเรื่องงานล่ะ? ทองสร้อย ถามว่าก็แล้วถ้าพี่ทองโปรยโทร.มาอีกล่ะ? เนรัญญาบอกว่าก็อย่ารับสายสิ!
ทั้งสองโต้เถียงกันรุนแรง ต่างมีเหตุผลของตัวเอง เนรัญญาบอกว่าถ้าทองโปรยโทร.มาเธอยิ่งต้องรับแล้วจะโกหกอะไรก็ได้ทำให้เขาเชื่อว่าเธอไม่ได้มาหาตน โต้เถียงกันแล้วต่างก็เครียดจนเนรัญญาปวดหัวรุนแรง ทองสร้อยบอกให้พักเสีย ขอโทษที่เอาเรื่องปวดหัวมาให้คิด รับว่าตอนนี้ตนไม่มีใครที่ไหนอีกแล้วนอกจากเธอคนเดียว
“แกเป็นเพื่อนฉัน แกมีปัญหาฉันก็ต้องช่วย” เนรัญญาถามว่าหิวไหมให้เอาเงินในกระเป๋าไปหาซื้อข้าวกินซื้อของใช้จำเป็น ตอนนี้เหลืออยู่หกร้อยบาทต้องใช้ให้ถึงสิ้นเดือน ทองสร้อยหนักใจว่าแล้วตนจะหนีไปไหนได้ไกลๆ คิดแล้วอัดอั้นแผดเสียงร้องออกมา ก็ถูกเนรัญญาเตือนว่าที่นี่โรงพยาบาลอย่าเสียงดัง ทองสร้อยเลยเข้าไปแผดเสียงในห้องน้ำแทน ยิ่งเห็นหน้าเยินๆของตัวเองในกระจกก็ยิ่งรับไม่ได้ แผดเสียงลั่น
“แอร๊ยยยยย!!! แค่ไม่ได้แต่งหน้าก็เหมือนฟองเต้าหู้เข้าไปแล้ว เหมือนอายุห้าสิบ...แอร๊ยยยยย!!!”
ooooooo










