ตอนที่ 11
อัลบั้ม: นิยายเรื่อง "คุณผีที่รัก"
ที่สวนสาธารณะ พีระนั่งมองตุ๊กตาผีที่เกาะมือตัวเองอยู่ พูดเหมือนปรึกษาว่า
“แกว่าฉันควรบอกความจริงกับน้ำมนต์ดีไหม...อื้มมม...ฉันตัดสินใจได้แล้ว ขอบใจมากนะกรองแก้ว”
แมนสรวงตกใจถามว่าเขาตั้งชื่อให้ตุ๊กตาผีว่ากรองแก้วหรือ พีระบอกว่าเมื่อไล่แล้วไม่ยอมไปก็เลยลองผูกมิตรดูเผื่อจะยอม พูดแล้วถาม “ใช่ไหม กรองแก้ว?” แล้วก็แปลกใจเมื่อตุ๊กตาผีหายไปแล้ว
พลันก็รู้สึกมีอะไรมาจิ้มหน้าตนอยู่ พีระเหลือบมอง ปรากฏว่าตุ๊กตาผีมายืนที่บ่าเขาและยกเท้าถีบหน้าเขาอยู่
“แล้วที่ว่าตัดสินใจได้แล้ว เรื่องอะไร” แมนสรวงถาม
“ตอนนี้ น้ำมนต์เข้าใจว่าเมสินีเป็นคนที่ทำให้แม่เขารถคว่ำ แต่ความจริงคือฉันจะไปบอกเขา”
แมนสรวงด่าว่าจะบ้าหรือ จะไปรื้อฟื้นให้เจ็บปวดอีกทำไม พีระบอกว่าเพราะน้ำมนต์กำลังเข้าใจผิด
“มันก็ดีแล้วที่เข้าใจว่าเมสินีเป็นคนทำ เพราะถ้าน้ำมนต์รู้ว่านายทำ จะยิ่งเสียใจมากกว่านี้ จะเจ็บมากกว่านี้ แล้วถ้านายกลับเข้าร่างได้ น้ำมนต์จะรู้สึกยังไง”
“แต่ถ้าฉันไม่พูด แล้วพอเข้าร่างได้ ฉันจะมีหน้าไปเจอน้ำมนต์ได้ยังไง”
“เจอได้ เพราะน้ำมนต์จะไม่รู้เรื่อง และนายก็จะจำอะไร...” แมนสรวงยั้งปากตัวเองทัน พีระถามว่าอะไร “เปล่า...เอาเป็นว่า ห้ามบอกน้ำมนต์เด็ดขาด” พีระไม่ยอมถามว่าเมื่อกี๊จะพูดอะไร “ฉันจะพูดว่า...ตอนนี้นายควรจะไปงานปาร์ตี้เปิดตัวรายการผีผจญผีที่นายเป็นพิธีกร”
“ถ้าไม่พูดความจริง อย่าหวังว่าฉันจะไป ไปเถอะกรองแก้ว” พีระพาตุ๊กตาผีเดินหนีไป แมนสรวงร้องโวยวายตาม
“ถ้านายไม่ไป คนอื่นๆจะเดือดร้อน น้ำมนต์อาจจะตกงาน บริษัทเอมี่ก็อาจจะเสียหาย ประชาชนก็จะไม่มีรายการผีดีๆดู คนก็จะไม่เชื่อเรื่องผี แล้วก็จะไม่เชื่อเรื่องเวรกรรม ไม่เชื่อเรื่องการทำดีไปด้วย โลกก็จะเต็มไปด้วยคนบาปเพราะนาย”
แต่พอพีระบอกว่าถ้าไม่อยากให้โลกวิบัติ เขาก็ควรบอกมาว่าเมื่อกี๊จะพูดอะไร แมนสรวงก็ยังปากแข็งว่าไม่มีอะไร
“อะไรนะคะกรองแก้ว...อ๋อ...กรองแก้วไม่อยากคบคนโกหก งั้นก็ไป” พีระจะเดินไป แมนสรวงตามอีก
อยู่ๆ ดวงตาตุ๊กตาผีก็เปล่งแสงผ่านผ้าผูกตาออกมา แล้วตามด้วยเสียงวี้ดดดด เล็ก แหลมจนแสบแก้วหู
“โอยยยย...กรองแก้วอย่าร้อง...กรองแก้วววว!” พีระห้ามเสียงหลง
ที่หลังผับร้าง...อาจารย์เทพเอาธงวนรอบตุ๊กตาผีที่วางไว้ในอ่างน้ำเล็กๆ ทำปากขมุบขมิบพึมพำคาถาแช่ง
“ให้เจ็บ...ให้มันเจ็บเจียนตาย ให้วิญญาณมันทุรนทุรายไม่เป็นสุข!!”
ปรากฏมีเลือดไหลออกจากหูตาจมูกปากของตุ๊กตาผี เกี๊ยงถามอาจารย์เทพว่า
“ทำอย่างนี้แล้วจะทำให้ไอ้พีระมาที่นี่ได้จริงเหรอจารย์”
“ถ้ามันทนได้ก็ทนไป แต่ฉันมั่นใจว่า มันต้องกระเสือกกระสนเจียนตายมาหาฉันแน่ๆ” อาจารย์เทพยิ้มเหี้ยม
ooooooo
ที่ผับร้าง...ทั้งแขกและนักข่าวทยอยกันเข้ามา ทุกคนพากันตื่นเต้นกับบรรยากาศเถื่อนๆ ที่มีแต่ซากปรักหักพังถูกเผาไหม้ หยากไย่เต็มไปหมด ซ้ำทีมงานยังแจกหน้ากากผีให้ทุกคนด้วย
อัฐชัยโทร.หาแจ๊วถามว่าน้ำมนต์อยู่ไหม ปรากฏว่าข้าวต้มรับสายเพราะแจ๊วลืมโทรศัพท์ไว้ อัฐชัยเลยขอคุยกับน้ำมนต์ ข้าวต้มถามกวนๆว่าทำไมต้องให้คุย? น้ำมนต์เลยเข้าไปเอามือถือคุยเอง
“ฉันไม่ไปงานปาร์ตี้ ไม่ต้องโทร.มาตื๊ออีก แค่นี้นะ” พูดจบวางสายเลย
เอมี่ที่ใจจดจ่อรอฟังข่าวอยู่ถามทันทีว่าน้ำมนต์ยอมมาใช่ไหม อัฐชัยพูดอย่างหงุดหงิดว่าถูกน้ำมนต์วางสายกระแทกใส่ ทำเสียงสำออยว่าใจร้าย เอมี่ผสมโรงว่าใจดำ แล้วกอดกันร้องไห้ฮือๆ พิมพ์ดาวมองทั้งสองเซ็งๆ
น้ำมนต์นั่งซึมอยู่ที่บ้าน ข้าวต้มกินขนมไปถามไปว่าทำไมถึงไม่ไปงานเปิดตัวรายการใหม่ น้ำมนต์บอกว่าไม่อยากไป งอแงถามว่ามีใครทำอะไรให้พี่ไม่พอใจหรือ? น้ำมนต์มองทั้งข้าวต้มและงอแงตัดบทว่า “ไม่มีอะไร อย่ารู้เลย” งอแงก็ยังตอแยว่า แบบนี้แสดงว่ามีอะไรจริงๆ
“งอแงเป็นเด็กฉลาดมากนะ แต่ไม่ต้องฉลาดเรื่องของพี่ได้ไหม”
“งั้นงอแงฉลาดกับข้าวต้มก็ได้” แล้วงอแงก็พูดกับข้าวต้ม “ข้าวต้ม พี่สาวนายเป็นพิธีกร ถ้าพิธีกรไม่ไปแล้วงานเขาจะเปิดรายการได้เหรอ” ข้าวต้มพูดตามถามน้ำมนต์แทน น้ำมนต์บอกว่าถึงไม่มีตนเป็นพิธีกรเขาก็หาคนมาแทนได้ งอแงบอกว่าคิดอย่างนี้ไม่ถูก ข้าวต้มถ่ายทอดทันทีว่า “คิดอย่างนี้ไม่ถูก”
“แม่สอนงอแงว่า คนเราต้องมีความรับผิดชอบ ถ้าตั้งใจทำอะไรแล้ว ต้องทำให้สำเร็จ จะเลิกล้มกลางคันไม่ได้” งอแงพูดต่อ แต่ประโยคยาวข้าวต้มจำไม่ได้เลยโมเมว่า “ตามนั้น”
“เพราะในงานงานนึงไม่ได้มีแค่เราคนเดียว ยังมีเพื่อนร่วมงาน มีคนอื่นๆอีกมากมาย” ข้าวต้มใช้มุกเดิมว่าตามนั้น “คนที่ทำอะไรครึ่งๆกลางๆ ไม่มีวันเจริญ” งอแงพูดต่อ ข้าวต้มไม่ทันถ่ายทอด น้ำมนต์ก็พูดขึ้นก่อนว่า
“พวกเธอไม่เข้าใจพี่หรอก พี่ไม่ได้อยากทิ้งทุ่นเหมือนกัน แต่...แต่พี่ทำงานกับคุณเมสินีไม่ได้อีกแล้ว พี่จะทำงานให้เขาได้ยังไง ในเมื่อเขาเป็นคน...” น้ำมนต์พูดไม่ออก เลยตัดบทด้วยการเดินแยกไป ทั้งข้าวต้มและงอแงมองอย่างไม่เข้าใจ
“ทำงานด้วยไม่ได้ เพราะเขาเป็นคนเนี่ยนะ” ข้าวต้มถามขนมเต็มปาก
“หยุดกินได้แล้ว”
“ไม่ได้ คนที่ทำอะไรครึ่งๆกลางๆ ไม่มีวันเจริญ” ว่าแล้วก็เคี้ยวขนมตุ้ยๆ จนแก้มป่อง
น้ำมนต์เดินเลี่ยงไปที่ห้องนอน นั่งมองรูปแม่เครียด...เอ่ยกับรูปแม่ว่า...
“หนูรู้ว่าเรื่องมันผ่านไปนานแล้ว แต่...แต่หนูทำงานกับคนที่ทำกับแม่ไม่ได้ แม่เข้าใจหนูใช่ไหมคะ”
ooooooo
แมนสรวงยังพยายามหว่านล้อมให้พีระไปงานปาร์ตี้ แต่หว่านล้อมอย่างไรพีระก็ไม่ไป แมนสรวงเลยกระซิบว่า ได้ยินหมอผีบอกว่าจะปล้ำน้ำมนต์!
พีระบอกว่าน้ำมนต์ไม่ไปงานนี้ แมนสรวงขู่ว่าไม่ไป ไม่ได้แปลว่าจะรอด! พีระดีดตัวผึง วิ่งออกไปทันที
เอมี่อยู่ที่ผับร้าง คิดหาทางแก้ปัญหา บ่นกับพิมพ์ดาวว่า ทำไมเมสินีไม่เข้าใจพวกเราเลย ขอให้พิมพ์ดาวช่วยกันคิดหาเหตุผลแล้วไปคุยกับเมสินีอีกที
พลันเอมี่ก็ชะงักเมื่อเห็นยุทธเดินมาหยิบเครื่องดื่มจากพนักงานที่เดินเสิร์ฟ เอมี่ตาวาวบอกพิมพ์ดาวว่า
“พี่รู้แล้ว!” พลางเติมปาก ดันทรง แล้วเดินสะดิ้งไป พิมพ์ดาวถามว่าจะทำอะไร เอมี่บอกว่า “ใช้ท่าไม้ตาย!”
แล้วเอมี่ก็ไปหยิบเครื่องดื่มสองแก้วจากพนักงานเสิร์ฟที่เดินผ่านมา กรีดกรายไปหายุทธ
พิมพ์ดาวตกใจ มองหาอัฐชัยก็ไม่รู้หายไปไหน
เอมี่ทำท่าเซ็กซี่เอาเครื่องดื่มไปให้ยุทธ เขาขอบคุณเสียงเย็นชา เมสินีเดินมายืนกอดอกอยู่ข้างหลังคอยฟังว่าทั้งสองจะคุยอะไรกัน
“คุณยุทธขา...เรื่องพิธีกรของรายการผีผจญผี ที่จะเปิดตัวคืนนี้อ่ะค่ะ จริงๆแล้วแค่ฉายตัวอย่างก็พอ แล้วเปลี่ยนมาเปิดตัวผู้จัดอย่างเอมี่ไม่น่าสนใจกว่าเหรอคะ... คุณยุทธว่าเอมี่...น่าสนใจไหมคะ...”
“เอ่อ...ครับ...” ยุทธกล้ำกลืน เอมี่อ่อยต่อว่าถ้าน่าสนใจก็ให้ช่วยพูดกับเจ้านายเขาได้ไหม ยุทธหางตามองถามว่า “อืม...ทำไมคุณไม่พูดเองล่ะครับ”
“แหม...ผู้หญิงพูดกับผู้หญิง มัน...คือ...แบบ ก็ต้องมีนิดนึงที่ต้องเยอะไว้ก่อน ไม่รู้จะเยอะไปทำไม แต่ถ้าได้คนสนิทรูปหล่อ แขนบึ้ก ยิ้มละลายใจอย่างคุณยุทธช่วยพูด รับรองคุณเมโอเคแน่ค่ะ”
“โอเคไหมครับ” ยุทธถามลอยๆ
“ไม่-โอ-เค!!” เสียงเมสินีตอบ ยุทธบอกเอมี่ว่าคุณเมไม่โอเค เอมี่เสียวสันหลังวาบหันไปเห็นเมสินียืนอยู่ เอมี่หน้าแทบไม่เป็นหน้า เมสินีพูดนิ่งๆว่า
“อีกยี่สิบนาทีถึงเวลางาน ถ้าน้ำมนต์กับพีระไม่มา ฉันจะฟ้องบริษัทเธอข้อหาผิดสัญญาจ้าง จะเรียกค่าเสียหายให้บริษัทเธอไม่ได้ผุดได้เกิดอีกเลย และผู้หญิงที่น่าสนใจมากอย่างเธอจะต้องหมดทางทำมาหากินในสายงานทีวีอีกต่อไป... เยอะพอไหม”
ขณะเอมี่กำลังกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่นั่นเอง เสียงน้ำมนต์ก็มาช่วยชีวิตไว้...
“สวัสดีค่ะคุณเมสินี” น้ำมนต์เดินเข้ามาหาเมสินีในชุดที่แต่งออกจากบ้านธรรมดา “ขอโทษที่มาสายนะคะ”
เอมี่โดดกอดน้ำมนต์ที่มาช่วยชีวิตตนไว้ทัน เมสินีมองอย่างหมั่นไส้แต่ก็ทำเป็นยิ้มแย้ม ส่วนน้ำมนต์หน้านิ่งตลอด
ooooooo
พีระเป็นห่วงน้ำมนต์รีบไปหาที่บ้าน ถูกข้าวต้มกอดไว้ไม่ยอมให้ไปไหนบอกว่าจะจับตัวไว้จนกว่าน้ำมนต์จะกลับจะได้คุยกันให้เข้าใจ งอแงถามว่าน้ำมนต์ไปออกงานกลับดึก จะกอดอย่างนี้ทั้งคืนไหวหรือหมูอ้วน?
พอได้ยินว่าน้ำมนต์ไปงาน พีระตกใจบอกข้าวต้มให้ปล่อย ข้าวต้มยิ่งกอดแน่นไม่ยอมปล่อย แมนสรวงเลยช่วยจัดการ ดีดนิ้วตรงหน้าข้าวต้มเป๊าะเดียว กลายเป็นข้าวต้มกอดกระสอบทรายแทน ส่วนพีระไปยืนอยู่อีกมุมหนึ่งแล้ว ข้าวต้มจะโผไปกอดไว้อีก แมนสรวงรีบบอกพีระ “ไป!!”
แล้วทั้งแมนสรวงและพีระก็หายไป งอแงมองข้าวต้มที่กอดกระสอบทรายอยู่ เกาหัวพึมพำงงๆ
“พี่พีระกลายเป็นกระสอบทรายเหรอ??”
ooooooo
เมสินีดีใจเมื่อเห็นน้ำมนต์มา สั่งอาจารย์เทพว่า ถ้าพีระโผล่มาให้จับเงียบๆ อย่าให้แขกแตกตื่น
น้ำมนต์ไหว้ขอโทษเอมี่ที่ตนเหวี่ยงใส่ทั้งที่เอมี่เป็นคนให้โอกาสตน ตำหนิตัวเองว่าคิดถึงแต่ตัวเองมากไปหน่อย อย่าโกรธตนเลย ทีแรกเอมี่ก็จะบอกว่าไม่โกรธ แต่ฉุกคิดว่าถ้าโกรธจะเป็นประโยชน์กับตัวเองมากกว่าเลยบอกว่า
“ก็โกรธนิดหน่อย อย่าทำอีกแล้วกัน ไป...เข้าไปเปลี่ยนชุดก่อน พี่เตรียมชุดไว้ให้แล้ว เปลี่ยนชุดเสร็จรอในห้องห้ามไปไหน เข้าใจ๋” พอน้ำมนต์รับคำ ก็บอกให้รีบไปเลยเดี๋ยวตนจะไปตามอัฐชัยกับพิมพ์ดาวก่อน ไม่รู้หายไปไหนกัน
พิมพ์ดาวตามไปดูแลอัฐชัยด้วยความเป็นห่วง อัฐชัยก็ยังตะบึงตะบอนใส่ พอดีเอมี่มาแทรกบอกอัฐชัยว่าถ้าห่วงน้ำมนต์ก็รีบไปหา อยู่ในห้องแต่งตัว
เท่านั้นเอง อัฐชัยก็หน้าบานรีบวิ่งไปทันที เอมี่มองพิมพ์ดาวที่ถูกทิ้งไว้ตรงนั้นอย่างเข้าใจและเห็นใจ
แต่พอเอมี่บอกให้พิมพ์ดาวพูดความรู้สึกของตัวเองให้อัฐชัยรู้ พิมพ์ดาวขอบคุณ แต่ตนโอเค
“เธอไม่โอเคหรอกจนกว่าเธอจะได้พูดและทำในสิ่งที่เธออยากทำจริงๆ” พูดแล้วหันไปอีกด้าน เห็นแมนสรวงยืนเก๊กหล่ออยู่ก็ผละจากพิมพ์ดาวไปเลย พิมพ์ดาวมองแล้วได้แต่ถอนใจให้กับตัวเอง...
ooooooo
งานเริ่มแล้ว...ยุทธเป็นพิธีกรของงาน เขาขึ้นเวทีแนะนำราการใหม่ของพราวด์ดิจิตัล...
“นี่คือตัวอย่างรายการใหม่ของเรา ผีผจญผี และขอเชิญพบกับผู้บริหารสุดครีเอทีฟของสถานีพราวด์ดิจิตัล ผู้เลือกที่นี่เป็นสถานที่จัดงานในวันนี้ คุณเมสินี ภาคภูมิใจบรรหาร”
เมสินีก้าวขึ้นเวทีในชุดสวยสง่าเซ็กซี่ โดดเด่นมาก...
ที่นอกผับ เอมี่เดินออกมามองหาแมนสรวง เขาโผล่มาประชิดข้างหลังถามว่า “มองหาผมหรือที่รัก” เอมี่หันไปก็เข้าอ้อมแขนเขาพอดี เธอรีบผลักออกถามเขินๆว่า “ที่รักบ้าอะไร”
“อ้าว...ก็ใครรับปากผมล่ะว่าจะยอมเป็นแฟนผม”
“ฉันรับปาก แต่นายต้องพาพี...เฮ้ยยย...หรือว่านาย??!!”
“ใช่แล้วจ้ะที่รัก” แมนสรวงเสกกุหลาบจากข้างหลังเอมี่ให้ เธอมองตะลึง!
น้ำมนต์พยายามบอกตัวเองว่าเราทำได้...ยิ้มสู้... แต่งตัวเสร็จเดินออกมา เธอผงะตะลึงเมื่อเห็นพีระในชุดทักซิโด้สีสวยยืนยิ้มหล่อเท่อยู่ ถามว่ามาทำไม
“มาดูว่า...คนอย่างคุณก็สวยเป็นกะเค้าเหมือนกันน่ะ”
แล้วต่างก็หัวเราะชมอีกฝ่ายว่าสวย...หล่อ แต่แล้วพีระก็สลดเมื่อนึกถึงว่าตัวเองทำผิดต่อน้ำมนต์ เลยทำตลกกลบเกลื่อนด้วยการแนะนำให้รู้จักกับกรองแก้ว
อาจารย์เทพเดินมาที่มุมลับตาคน บอกคามินว่าพีระมาแล้ว จับมาให้ได้ ห้ามทำร้ายเด็ดขาดเข้าใจไหม คามินนิ่ง อาจารย์เทพเลยพึมพำคาถา ลายอักขระที่คอคามินเปล่งแสงขึ้น คามินทำหน้ากัดฟันอดทนกับความเจ็บปวด พออาจารย์เทพถามย้ำว่าเข้าใจไหม คามินจ้องหน้าตอบ “เข้าใจ!”
ooooooo
บนเวที เมสินีกำลังเล่าประวัติสถานที่จัดงานให้แขกฟัง...
“โศกนาฏกรรมหมู่ครั้งนั้น ทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่สุดสยองอันดับต้นๆของประเทศ ว่ากันว่า ในเวลาห้าทุ่มของทุกคืน ซึ่งเป็นเวลาที่เกิดโศกนาฏกรรม ผู้คนแถวนี้จะได้ยินเสียงดนตรี เสียงแห่งความสนุกสนานของพวกเขาอยู่เสมอ”
“กรี๊ด!!!” เสียงกรี๊ดกรีดแหลมไปทั้งงาน เมื่อมีการแกล้งปล่อยหุ่นคนตกลงมาในหมู่ผู้ร่วมงาน เมสินีหันมองเห็นอาจารย์เทพกับเกี๊ยงเข้ามาอยู่ด้านหนึ่งของผับแล้ว เธอพูดต่อว่า
“อยากเห็นผี ก็ต้องใช้ผีล่อ นี่คือคอนเซปต์ของรายการเรา และก็ถึงเวลาที่ทุกท่านรอคอย...” อยู่ๆไฟก็กะพริบขึ้น! เมสินีประกาศอย่างเร้าใจว่า “ขอเชิญพบกับพิธีกรของเรา น้องน้ำมนต์และคุณผี...” สิ้นเสียงไฟก็ดับพรึ่บ! แขกฮือฮากันแล้วไฟก็สว่างขึ้นมาอีก ส่องเป็นลำไปยังจุดที่น้ำมนต์ยืนอยู่กับพีระ แขกพากันทึ่งกับการเปิดตัวพิธีกรของรายการ
เอมี่เห็นน้ำมนต์ยืนอยู่และข้างๆเธอมีตุ๊กตาผีลอยอยู่ด้วย เอมี่ถามว่าผีพีระเป็นตุ๊กตาหรือ ส่วนอัฐชัยก็บ่นเซ็งๆว่า
“คบกับผีก็แย่แล้ว ยังเป็นผีเล่นตุ๊กตาบลายธ์อีก ไม่รู้จะพูดยังไง”
“เห็นแล้วอยากมีแฟนเป็นผีบ้าง เบื่อคน” พิมพ์ดาวพูดประชดลอยๆ
พีระที่อยู่บนเวทีเห็นแขกพากันหัวเราะก็ถาม น้ำมนต์ว่าแขกขำอะไรหรือ “พวกเขาไม่เห็นนายเห็นแต่... กรองแก้ว”
พลันพีระก็เห็นคามินผ่านไปในความสลัวอยู่ไวๆ แล้วหายไป เขาตกใจบอกน้ำมนต์ว่า
“น้ำมนต์ ที่นี่ไม่ปลอดภัย หมอผีเทพมันอยู่ที่นี่ มันคิดจะทำร้ายคุณและผม มันถึงทำทุกอย่างเพื่อให้เรามางานนี้ให้ได้ คุณต้องออกไปจากที่นี่!”
น้ำมนต์ถามว่าเขามาเพื่อเตือนตนเรื่องนี้หรือ พีระบอกว่าเรื่องนี้ด้วยเรื่องอื่นด้วย พอเธอถามว่าเป็นห่วงตนหรือ พีระก็ชะงักแต่ก็ยอมรับว่า “เออ...ห่วง”
บนเวที...เมสินียังคงประกาศต่อไปว่า...
“และในวันนี้ น้ำมนต์และผีคู่หูของเธอ จะเปิดประสบการณ์ผีผจญผีให้ทุกๆท่านได้สัมผัสพร้อมๆกัน ณ ผับร้างแห่งนี้” เธอชี้ไปที่นาฬิกาใหญ่ข้างฝา
“อีก 10 นาที จะห้าทุ่ม ดิฉันอยากจะชวนทุกท่านมาสนุกให้สุดเหวี่ยง เพื่อเป็นการเดินตามรอยสถานที่สุดสยองแห่งนี้...ขอให้ทุกท่านหยิบหน้ากากที่ได้รับแจกขึ้นมาสวมค่ะ”
ทุกคนสวมหน้ากากผีสีขาวที่มีรูปลักษณ์น่ากลัว น่าสยอง แตกต่างกันไป เมสินีกับยุทธยิ้มให้กันแล้วต่างก็สวมหน้ากาก อาจารย์เทพกับเกี๊ยงก็หยิบหน้ากากสวม พีระเห็นแล้วโวยเบาๆ
“เฮ้ย...ใส่หน้ากากเหมือนกันหมดแล้วจะแยกคนกับผีจากกันได้ยังไง” ส่วนแมนสรวงอ่านเกมออกบอกเอมี่ว่า
“มันคิดจะอาศัยช่วงชุลมุน ตอนที่แยกแยะกัน และกันไม่ออกจัดการพีระ”
เห็นถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น พีระบอกน้ำมนต์ว่าเราต้องไปเดี๋ยวนี้ น้ำมนต์ไม่ยอมไปต้องให้เขารับปากเรื่องหนึ่งก่อน
“นายจะพูดความจริงกับฉันและจะไม่หนีฉันไปไหนอีก”
เมสินียังคงประกาศอย่างตื่นเต้นต่อเนื่องว่า
“ความหลอนรอเราอยู่แล้ว เรามาเดินตามรอยหลอน นับถอยหลังสู่เวลาผีออกกันเถอะค่ะ...มิวสิก!!”
พอดนตรีกระหึ่มขึ้น กลุ่มแดนเซอร์ในชุดผีๆ ก็ออกมาเต้น พวกแขกเริ่มสนุกทยอยกันออกมาเต้นกันกลางฟลอร์
พีระร้อนใจแต่น้ำมนต์ยืนกรานต้องรับคำตนก่อนจึงจะยอมไป ซ้ำยังชวนเขาออกไปเต้นท่ามกลางแขกที่ใส่หน้ากากผี ผีดูไม่น่าไว้ใจสักคน! ในภาวะคับขันนี้ พีระจำต้องรับปาก น้ำมนต์จึงออกไปกับเขาแต่โดยดี
แต่ยังไม่ทันจะออกไป ก็ถูกคามินมาประจันหน้าถามว่าจะไปไหน ทำท่าจะบีบคอพีระ แมนสรวงโผล่พรวดมาใช้มือแตะอกคามินมันกระเด็นหายไปทันที แมนสรวงเร่งพีระให้รีบไป แต่ถูกอาจารย์เทพกับเกี๊ยงมาประจันหน้าอีก ทันใดนั้นผีหุ่นหล่นลงมากลางฟลอร์ทำให้คนแตกฮือกระจายออกไป เหลือแต่พีระ น้ำมนต์ แมนสรวงและอาจารย์เทพโดดเด่นอยู่ แม้แต่เกี๊ยงก็ยังเผ่นหายไปด้วย
“แกหนีไม่รอดหรอก” อาจารย์เทพคำราม เมสินีรีบคว้าไมค์ไปประกาศอย่างตื่นเต้นว่า
“และนี่คือโชว์พิเศษจากเราค่ะ โชว์จับผีโดยอาจารย์เทพ!”
บรรดาแขกฮือฮากันอย่างตื่นเต้น จังหวะนั้นเอง ยุทธเข้าไปด้านหลังน้ำมนต์กระชากตัวเธอออกไป
พีระจะตามไปช่วยน้ำมนต์แต่ถูกอาจารย์เทพสวดคาถาจะดูดเขาเข้าไปในหม้อดิน พีระพยายามฝืนแต่กรองแก้วถูกดูดเข้าไปแล้ว แมนสรวงเห็นดังนั้น ชี้นิ้วไปที่เพดาน หลอดไฟประดับตรงนั้นตกลงมาอาจารย์เทพโดดหลบแทบไม่ทัน แต่ถูกหม้อแตกกระจาย แมนสรวงตะโกน “หนีไปก่อน!!” เขาผลักมือใส่พีระ พีระกระเด็นทะลุกำแพงออกไปข้างนอกทันที
“น้ำมนต์...ต้องไปช่วยน้ำมนต์!” พีระเป็นห่วงน้ำมนต์ จะกลับเข้าไป เจอคามินยืนขวางอยู่ มันถอดหน้ากากเขวี้ยงทิ้งทันที!
ooooooo
คามินพุ่งเข้าหาพีระหมายจะบีบคอ พีระถอยอย่างระวังตัว
“ไอ้วิญญาณบริสุทธิ์ วิญญาณของแกจะทำให้ฉันกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง ไม่ว่าจะยากเย็นแค่ไหน ฉันก็ต้องได้พลังจากแก”
พีระหันสู้ เตะคามินจนผงะแล้ววิ่งหนี แต่อยู่ๆ คามินก็โผล่มาดักหน้า ต่อสู้กันด้วยพละกำลังและชั้นเชิงที่พอกัน พีระถูกคามินจับทุ่มไปกระแทกผนังหมาย
เผด็จศึก ตรงเข้าตะคอก
“เอาวิญญาณของแกมา!!”
ขณะคามินพุ่งเข้าหาพีระ แมนสรวงก็โผล่มาขวางเลยถูกคามินบีบคอแทน
“แก...แกจะดูดพลังฉันแทนเหรอ” แมนสรวงถาม แล้วตะโกน “พีระหนีไป ไม่ต้องห่วงฉัน ไป!!”
“ไม่ได้พลังวิญญาณบริสุทธิ์ ฉันจะเอาพลังยมทูตของแกแทน แกจะต้องสลายไป!” คามินดูดพลังของแมนสรวงลอยเข้าร่างตัวเอง แม้แมนสรวงจะเจ็บปวดจนอ่อนแรงลงทุกที ก็ยังตะโกนให้พีระหนีไป
แต่อยู่ๆคามินก็ผงะ พลังที่ไหลเข้าร่างก็ชะงัก
คามินแดงไปทั้งตัวมีควันพุ่งออกมา แมนสรวงผลักคามิน
ออกไป เขายืนสบายๆ เหมือนจะบอกให้รู้ว่าเมื่อกี๊นี้น่ะ มันเป็นเพียงการแสดง!
“แก...แกทำอะไรฉัน”
“ฉันไม่ได้ทำอะไรแกเลย แต่ผีเร่ร่อนอย่างแก คิดหรือว่าจะเอาพลังยมทูตเข้าไปในร่างกายตัวเองได้ ไม่เจียมเลยน้องเอ๊ย...แกจะร้อนรุ่มดั่งไฟนรกแผดเผา ทางเดียวที่จะช่วยได้คืออะไรรู้ไหม แกต้องนั่งสมาธิและสวดมนต์เท่ากับจำนวนปีที่แกเร่ร่อนอยู่”
แมนสรวงผลักคามินล้มลงแล้วจะไป พลันก็ถูกอาจารย์เทพกับเกี๊ยงวิ่งตามมาทัน อาจารย์เทพตวาด...
“อย่าคิดว่าแกจะหนีพ้น”
แมนสรวงหันมองอย่างรำคาญใจ แล้วพาพีระ
วิ่งหนี พีระละล้าละลังยังห่วงน้ำมนต์ แมนสรวงบอกให้หนีไปก่อน
อาจารย์เทพพนมมือท่องคาถาเรียกผี ลมพัดแรงท้องฟ้าปั่นป่วนขึ้นฉับพลัน
ooooooo
พิมพ์ดาวกับอัฐชัยอยู่ที่ลานจอดรถ พิมพ์ดาวเคยถูกอัฐชัยปรามาสว่าเธอไม่รู้จักความรัก วันนี้เธอจึงถามเขาว่า
“แกคิดว่าฉันไม่มีความรักงั้นเหรอ”
“ใช่ แกดีแต่จุ้นจ้านเรื่องคนอื่น” อัฐชัยยอมรับว่าตนเป็นคนขอร้องให้เธอช่วยเรื่องน้ำมนต์เอง แต่ต่อไปนี้ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของตนอีกแล้ว พิมพ์ดาวถามว่านี่คือสิ่งที่ตนได้รับจากการช่วยเขาหรือ “ฉันขอบคุณที่แกช่วย แต่เรื่องที่แกจุ้นจ้านกับชีวิตฉัน ฉันไม่ขอบคุณและไม่ต้องการคำขอโทษ ขอแค่แกไปหาคนอื่นที่เขาจะช่วยให้แกรู้จักความรักก็พอแล้ว”
“ฉันรู้จักความรัก!” พิมพ์ดาวโพล่งออกไปอย่างอัดอั้น
“เหรอ...” อัฐชัยทำเสียงล้อเลียน “แกรู้จักยังไง กับใคร ไหนเล่าให้ฟังทีซิ”
“ฉัน...ฉันรักแก...”
อัฐชัยอึ้ง ส่วนพิมพ์ดาวพอโพล่งออกไปน้ำตาก็พรั่งพรูอาบหน้าอย่างสุดที่จะอดกลั้นได้ แต่ยังพยายามพูดต่อ...
“ฉันรักแกตั้งแต่วันแรก รักแบบเดียวกับที่แกรักน้ำมนต์ แต่ฉันพูดออกมาไม่ได้ เพราะแกอยากให้ฉันช่วยจีบน้ำมนต์ ฉันไม่อยากเสียเพื่อน ฉันถึงต้องอดทนมาตลอด ฉันไม่เคยมองใครอีกเลย เพราะฉันรักแกคนเดียว อย่างนี้แกยังกล้าหาว่าฉันไม่รู้จักความรักอีกเหรอ?”
“แก...แกล้อเล่นใช่ไหม” อัฐชัยเกือบไปไม่เป็นเหมือนกัน
“จะลองจูบกันดูไหมล่ะ...ถ้าแกตัดใจจากน้ำมนต์ได้แล้ว ฉันขอโอกาสได้ไหม...”
อัฐชัยถึงกับผงะยกมือห้ามวุ่นวายแล้วถอยหนี พิมพ์ดาวมองอึ้งวิ่งตามถามว่า ทำไมเขาถึงรักตนไม่ได้ ตนต้องทำอย่างไรเขาถึงจะรักได้บ้าง?
“เพราะฉันรักน้ำมนต์และแกถูกจัดอยู่ในโหมดเพื่อนไปแล้ว แกก็ต้องอยู่ในโหมดเพื่อนไปจนตาย แกเลิกหวังได้เลย ต่อให้โลกนี้เหลือแกเป็นผู้หญิงคนสุดท้าย ฉันก็ไม่รัก ฉันขอเป็นเก้งกวางยังดีกว่ารักแก”
พิมพ์ดาวช็อก สะเทือนใจ เจ็บปวดใจประหนึ่งว่าวิญญาณถูกกระชากออกจากร่าง...พออัฐชัยถอยหนี
เธอรำพึงน้ำตาไหลพราก... “ฉันมันน่ารังเกียจขนาดนั้นเลยเหรอ???”
ooooooo
ยุทธลากน้ำมนต์ไปที่ห้องแต่งตัว เธอพยายามจะออกจากห้องถูกยุทธผลักเข้าไปสั่งให้อยู่เฉยๆ
น้ำมนต์ถามว่าพวกเขาวางแผนทำร้ายตนและอยากให้พีระตายใช่ไหม ยุทธมองหน้าถามว่าเธอรู้หรือ?!
“งั้นฉันไม่อ้อมค้อมนะ ถ้าอยากให้บริษัทเอมี่อยู่รอด ละครเวทีพวกเธอมีสปอนเซอร์ เธอต้องอยู่ข้างฉัน ทำตามคำสั่งของฉัน ไม่อย่างนั้นฉันไม่ปรานีพวกเธออีกแม้แต่นิดเดียว” เมสินีพูดเข้ามาแทรก
“ทำเลยค่ะ ฉันไม่กลัว เพราะฉันจะไม่ขออยู่ข้างเดียวกับคนชั่วเด็ดขาด คุณเมสินี ถึงคุณจะพยายามกลบเกลื่อนความผิดยังไง แต่ฉันรู้ทุกอย่างที่คุณทำ ทั้งเรื่องปัจจุบันและเรื่องในอดีต”
“เรื่องอะไร แกรู้อะไร” เมสินีพุ่งเข้าจับน้ำมนต์เขย่าอย่างควบคุมอารมณ์ไม่ได้ “พูดออกมาสิน้ำมนต์ แกรู้อะไรพูดออกมา!!!”
“ฆาตกร”
เมสินีผงะ ช็อกยืนเป็นหุ่นไปเลย ยุทธช็อกไปด้วย น้ำมนต์บอกว่าตนพูดแค่นี้ก็คงเข้าใจแล้วว่าหมายถึงเรื่องอะไร
“แก...แกรู้แล้ว...แกรู้เรื่องของฉัน...ฉันไม่ยอม!!” เมสินีเปิดกระเป๋าจะหยิบปืน พลันก็ชะงักเมื่อถูกเอมี่วิ่งหน้าตื่นเข้ามาพลางพูดโทรศัพท์กับตำรวจว่า
“ใช่ค่ะคุณตำรวจ ตอนนี้ที่นี่กำลังมีเหตุวุ่นวาย มีคนบาดเจ็บนิดหน่อย ช่วยประสานทีนะคะ”
น้ำมนต์เดินออกมา เอมี่รีบตาม เมสินีมองตามอย่างแค้นใจ
ooooooo
พีระกับแมนสรวงหนีไปจนถึงถนนเปลี่ยวนอกเมือง พีระบอกแมนสรวงว่าตนต้องไปช่วยน้ำมนต์ แมนสรวงบอกว่าน้ำมนต์ไม่เป็นไร แต่เขานั่นแหละที่จะถูกหมอผีฆ่า รู้ตัวหรือเปล่า
“ถ้าฉันต้องตายเพราะช่วยน้ำมนต์ ก็ถือว่าฉันได้ชดเชยความผิดที่เคยทำไว้ในอดีต” พีระยังแน่วแน่
ทันใดนั้น มีบางอย่างสีขาวๆแว่บผ่านไปด้านนั้น ด้านนี้ ด้านโน้น มันคือผีชายผอมกะหร่องกระดูกโปน ตัวมันขาวโพลนนับแต่หัวจดปลายเท้า พวกมันโผล่มาจากความมืดคืบคลานเข้ามาแล้วกระโจนใส่พีระกับแมนสรวงทันที
ทั้งสองถูกพวกผีเผือกรุมกันจับกดกับพื้นจนขยับไม่ได้ แต่พอมันก้มจะงับ เสียงสวดมนต์ก็แว่วมา พวกผีเผือกชะงัก
หลวงพ่อเทียนเดินสวดมนต์เข้ามาพลางก็พึมพำๆ “จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย”
พวกผีเผือกผละออกและค่อยๆกระจายตัว
ถอยห่างออกยืนมองแมนสรวงกับพีระเหมือนรอจังหวะจะเล่นงานอีก
หลวงพ่อเทียนมองพีระและแมนสรวงแล้วเดินไป ทั้งสองรีบตามไปเชื่อว่าท่านคุ้มครองตนได้ พวกผีเผือกยังตามอย่างรอจังหวะ
ooooooo
พิมพ์ดาวกลับไปนั่งร้องไห้ที่โต๊ะในร้าน เจ๊แมวออกมาเห็นถามว่ากลับมาทำไมไม่เข้าบ้าน พอเห็นว่าพิมพ์ดาวร้องไห้ เจ๊แมวที่ดูออกมานานแล้วว่าลูกสาวรักอัฐชัย ถามว่าอัฐชัยเป็นคนทำให้เสียใจใช่ไหม
พิมพ์ดาวเล่าว่าอัฐชัยบอกว่าไม่อยากคบตน เจ๊แมวถามว่า “แล้วแกอยากคบเขาไหมล่ะ” พิมพ์ดาวอึกอัก “เขาไม่ได้มีสิทธิ์เลือกที่จะคบหรือไม่คบแกฝ่ายเดียว แกก็มีสิทธิ์เลือกสิ่งที่แกต้องการได้”
“หนูมีสิทธิ์?”
“ใช่ เขาจะไม่รักแกมันก็สิทธิ์ของเขาแต่แกจะรักเขาต่อหรือยอมแพ้ มันก็สิทธิ์ของแก ชีวิตแกแกกำหนด แค่อย่าไปก้าวก่ายสิทธิ์คนอื่น ทำคนอื่นเดือดร้อนก็พอ” พิมพ์ดาวถามว่าตนจะทำอย่างไร? “เลิกแอ๊บ แกช่วยให้เขากับน้ำมนต์ได้รักกัน แต่เขากลับด่าแกซะเสียชื่อลูกเจ๊แมวขนาดนี้ จะแอ๊บทำไมอีก ทำอย่างที่แกอยากทำ มันถึงคราวที่แกต้องสู้แล้ว”
ฟังแม่แล้ว พิมพ์ดาวฮึดขึ้นมา คิดจัดการเพื่อเอาชนะอัฐชัยให้ได้
ooooooo
เอมี่มาส่งน้ำมนต์ที่บ้าน พอกล่อมจนน้ำมนต์เล่าเรื่องที่ตนรู้ว่าเมสินีเป็นคนทำให้แม่ตาย และตนเผลอด่าเมสินีว่าเป็นฆาตกรแล้ว เอมี่ปลอบให้ใจเย็นๆไม่ต้องกังวล เพราะยังไงก็พูดไปแล้ว
เอมี่บอกว่า ถ้าเมสินีทำแม่เธอต้องเสียไปแล้วยังลอยหน้าอยู่ในสังคมได้อย่างนี้ ตนก็ไม่อยากทำงานกับ
คนเลวเหมือนกัน ถามย้ำว่า “แต่เธอแน่ใจหรือว่าคือคุณเมสินีจริงๆ”
“รถคันนั้นเป็นของเขา และภาพที่พีระเห็นก็คือเขาเป็นคนขับรถคันนั้นในวันที่แม่หนูรถคว่ำ”
“แต่พีระก็ไม่ได้เห็นตอนชนใช่ไหม พี่ไม่ได้ไม่เชื่อนะ แต่พี่ถามเผื่อไว้ กลัวว่าด่าคุณเมสินีไปตั้งเยอะแยะแล้วมันดันหักมุมเป็นคนอื่นขับ เราจะหงายเงิบ”
น้ำมนต์เล่าว่าถ้าเอมี่เห็นตอนตนด่าเมสินีว่าเป็นฆาตกร เธอตกใจ ช็อก ซ้ำยังดุร้ายราวกับจะฆ่าตนได้ด้วยก็จะเชื่อ
“จ้ะ...พี่เชื่อเธอ เราทีมเดียวกันอยู่แล้ว” แต่พอน้ำมนต์ขอกอดบอกว่ากอดพี่อบอุ่นเหมือนกอดแม่ เท่านั้นเอง เอมี่ก็ผลักออกถามว่า แม่เลยหรือ? บอกว่าแบบนี้ตนไม่อยากเป็นทีมเดียวกับเธอแล้ว แล้วก็พากันหัวเราะร่าเริง
ooooooo
อาจารย์เทพไม่พอใจที่คามินเอาชนะพีระไม่ได้ คามินบอกว่าพีระมียมทูตคอยช่วย อาจารย์เทพจึงเพิ่มพลังให้คามินเอาธงอาคมฟาดใส่จนคามินเจ็บปวดร้องลั่น
“ฉันจะช่วยทำให้แกรู้ว่า ความผิดพลาดเป็นสิ่งที่ฉันจะไม่ยอมรับอีกต่อไป!!” ฟาดคามินจนหนำใจแล้วอาจารย์เทพ พูดอย่างสาแก่ใจว่า “แกจะต้องจดจำความเจ็บปวดนี้ตลอดไป” คามินได้แต่จ้องอาจารย์เทพอย่างอาฆาตแค้น
เอมี่บอกน้ำมนต์ว่าอัฐชัยจะพาเธอไปตามหาพีระ และเรียกอัฐชัยมาพบบอกว่าเขากับน้ำมนต์เป็นเพื่อนกันมีอะไรก็็เคลียร์กันเสีย อัฐชัยเลยตกกระไดพลอยโจน ต้องพาน้ำมนต์ไปตามหาพีระ
ระหว่างนั่งกินก๋วยเตี๋ยวข้างทาง อัฐชัยอาสาจะช่วยน้ำมนต์ตามหาพีระด้วย บอกน้ำมนต์ว่า
“อัฐแค่ไม่อยากเสียเพื่อน ถึงจะเป็นมากกว่าเพื่อนไม่ได้ แต่อัฐก็ยังรักและเป็นห่วงน้ำมนต์มากอยู่ดี ถ้าการช่วยให้พีระกลับมามีชีวิตได้ทำให้น้ำมนต์มีความสุขอัฐก็จะช่วย”
“โชคดีที่สุดที่มีเพื่อนน่ารักมากอย่างนาย” น้ำมนต์ซึ้งใจมาก ตอบแทนน้ำใจเขาด้วยลูกชิ้นในชามก๋วยเตี๋ยวสองลูก
ooooooo
แมนสรวงกับพีระตามหลวงพ่อเทียนเข้าไปในโบสถ์ พีระกราบพระประธาน พนมมือถามว่า
“อีกแค่ 10 วัน ผมควรจะใช้เวลา 10 วันที่เหลือยังไงดีครับ ควรจะดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอดต่อไปจนถึงนาทีสุดท้าย หรือใช้ 10 วันนี้ทำประโยชน์เพื่อคนอื่น ช่วยแนะนำผมด้วยครับ”
หลวงพ่อเทียนเดินเข้ามา พูดลอยๆว่า
“ไม่มีใครตัดสินชะตาใครได้เท่าตัวเราเอง มองเห็นปลายทางของชีวิตเป็นเช่นไร จงทำตัวเพื่อไปให้ถึงสิ่งนั้นด้วยความวิริยะอุตสาหะไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ถ้าตอนนี้ยังสับสน ก็อยู่ที่นี่ไปก่อน จนกว่าจะพบคำตอบแล้วค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย”
พีระถามหลวงพ่อว่าพูดกับตนหรือ หลวงพ่อกลับถามว่า “เข้าใจไหมเณร” แล้วก็มีเณรน้อยน่ารักที่หลบอยู่หลังหลวงพ่อโผล่มายิ้มแป้น แล้วเณรน้อยก็ไปนั่งสมาธิข้างๆพีระ หลวงพ่อมองเณรน้อย พีระถามว่าหลวงพ่อมองเห็นตนไหม? หลวงพ่อเทียนนิ่ง แล้วเอ่ย
“มีสติ มีสมาธิ แล้วจะเห็นคำตอบนะเณร” แล้วหลวงพ่อเทียนก็ออกไป เหลือแต่เณรน้อยที่นั่งยุกๆ ยิกๆอยู่ข้างพีระ
ooooooo
พิมพ์ดาวเล่าการตัดสินใจฮึดสู้ตามคำสอนของเจ๊แมวผู้เป็นแม่ให้เอมี่ฟัง เอมี่บอกว่าถ้าเธอตัดสินใจเอาจริงตนก็จะสนับสนุน ทั้งยังบอกว่าเธอควรทำอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว ถามว่ามีอะไรจะให้ช่วยก็บอกมา
พิมพ์ดาวเรียกอัฐชัยมา แล้วประกาศกลางมหาวิทยาลัยว่า อัฐชัยเป็นแฟนตน เธอแกล้งกระโดดเกาะหลังอัฐชัยป่าวประกาศไปทั่วว่าเขาเป็นแฟน อัฐชัยเลยเดินเข้าห้องน้ำชายหมายให้เธอลงจากหลัง แต่ผิดคาด พิมพ์ดาวเกาะหลังเขาแน่น บอกว่าจะฉี่ก็ฉี่เลย อัฐชัยร้องอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรว่า
“เฮ้ย!! ขนาดนี้ยังไม่ปล่อยอีกเหรอ เธอมันบ้า!!”
พิมพ์ดาวยอมถูกด่าว่าบ้าแต่ไม่ปล่อย ยังเกาะหลังเขาแน่นและแน่นยิ่งขึ้น
วันเดียวกัน แมนสรวงนัดเอมี่ไปพบที่ศาลาริมน้ำในมหาวิทยาลัย เธอถามเขาว่ามีธุระอะไรหรือ แมนสรวงมาทวงสัญญาที่บอกว่าถ้าตนพาพีระมางานปาร์ตี้ได้ก็จะยอมเป็นแฟน จำได้ไหม???
เอมี่ทำไก๋ แมนสรวงเลยคุกเข่าเอื้อมมือไปข้างหลังหยิบช่อคาเนชั่นให้ เอ่ยเสียงโรแมนติกทำหน้าหล่อว่า...
“เป็นแฟนผมนะครับคนสวย”
เอมี่ปลื้มมากถามว่าทำไมถึงรู้ว่าตนชอบ
ดอกคาเนชั่น แล้วเอามาจากไหน ซ่อนไว้ตรงไหนทำไมตนไม่เห็น แมนสรวงตัดบทว่า “ตอบคำถามผมก่อน เวลานี้ เจ๊เป็นแฟนของครายยยย” แล้วยิ้มกรุ้มกริ่ม ทำเอาเอมี่เขินบิดตัวไปมาราวกับสาวรุ่น
ที่โต๊ะกลุ่มในมหาวิทยาลัย พิมพ์ดาวที่ยังเกาะหลังอัฐชัยอยู่ ต่างร้องแปลกใจเมื่อรู้ว่าเอมี่เป็นแฟนกับแมนสรวง น้ำมนต์เพิ่งวิ่งมาอยากเห็นอยากเจอเพราะพิมพ์ดาวส่งข้อความว่าเอมี่จะเปิดตัวแฟน พอมาเห็นเป็นแมนสรวง น้ำมนต์ก็ผงะ
“หา! พี่เอมี่ คุณคนนี้เขาเป็น...” แมนสรวงดีดนิ้วเป๊าะ น้ำมนต์เปลี่ยนจากที่จะบอกว่าเป็นผีก็กลายเป็นบอกว่า “เขาเป็นเทพบุตร” น้ำมนต์พยายามจะแก้ว่าไม่ใช่ เทพบุตรแต่ก็พูดไม่ออก หันถามแมนสรวงว่าฝีมือเขาใช่ไหม ขอคุยด้วยหน่อย
น้ำมนต์ถามว่าเขาเป็นแฟนกับเอมี่ แล้วคิดหรือเปล่าว่าถ้าวันหนึ่งเอมี่รู้ความจริงจะทำอย่างไร น้ำมนต์ขอให้แมนสรวงทำให้ตนเลิกเรียกเขาว่าเทพบุตรสักที เขาเลยดีดนิ้วเป๊าะเอ่ย “ยมทูต” น้ำมนต์จึงเรียกได้ คาดคั้นให้เขาต้องบอกความจริงกับเอมี่เดี๋ยวนี้ถ้าเขาไม่พูดตนจะพูดเอง
แมนสรวงขอเวลาคิดหาทางแก้ปัญหาอ้างว่าเรียนผูกก็ต้องเรียนแก้เอง
“ได้! แต่นายต้องมีอะไรแลกเปลี่ยน” แมนสรวงถามว่าอะไร “ตอนนี้พีระอยู่ที่ไหน หรือจะให้ฉันไปบอกความจริงกับพี่เอมี่!”
ooooooo
พีระนั่งสมาธิอยู่กับเณรน้อยในโบสถ์ เขานั่งอย่างไม่มีสมาธิ หันถามเณรน้อยว่า
“มีสติ มีสมาธิ แล้วจะเห็นคำตอบ ไหนล่ะคำตอบ เณรเจอคำตอบมั่งยัง” แล้วจู่ๆเณรน้อยก็ร้องดีใจว่าคิดออกแล้ว ลุกจะวิ่งไปก็เซเพราะเหน็บกิน พีระลุกบ้างเซเพราะเหน็บกินเหมือนกัน เลยนั่งต่อมองพระประธานอย่างคิดได้ว่า
“คำตอบของแต่ละคนต้องใช้เวลาต่างกัน ผมจะอดทนครับ”
“จ๊ะเอ๋...” เสียงใสร่าเริงร้องขึ้น พีระหันมองเขาแทบช็อกเมื่อเห็นเป็นน้ำมนต์
เมื่อพากันไปคุยที่ลานวัด น้ำมนต์ก็ยังถามคำเดิมว่าจะบอกได้หรือยังว่ามีเรื่องอะไรปิดบังตนอยู่ พีระอึกอักก็ดักคอไปเรื่อยว่า
“เกี่ยวกับฉันหรือคุณเมสินีหรือเปล่า ถ้านายกลัวว่าฉันจะมีอันตรายเพราะอยู่ใกล้นาย ไม่ต้องกลัวแล้วนะ เพราะต่อให้อยู่ไกล ฉันก็มีอันตราย ปาร์ตี้เมื่อคืน ฉันเผลอเรียกคุณเมสินีว่าฆาตกรไปแล้ว”
พีระตกใจมาก น้ำมนต์ชี้แจงว่า “เขาเป็นต้นเหตุทำให้แม่ฉันรถคว่ำ แต่ยังกล้าบอกให้ฉันอยู่ข้างเขา ทำเพื่อเขาอีก ยิ่งฟังยิ่งขยะแขยง”
“คุณเลยพูดออกไปว่าเขาคือฆาตกร แต่จริงๆแล้ว เมสินีไม่ใช่...”
“โยมพี่สาว หลวงตาเรียกให้ไปหาเดี๋ยวนี้ ไปเร็วๆ” เสียงเณรน้อยขัดจังหวะ พีระเลยยังไม่ได้พูด ยืนมองน้ำมนต์เดินไป พึมพำอย่างรู้สึกผิดว่า...
“เมสินีไม่ใช่คนทำให้แม่คุณตาย ผมต่างหาก ผมทำ...”
ooooooo
น้ำมนต์ไปกราบหลวงพ่อเทียน หลวงพ่อให้ตะกรุดที่วางอยู่บนโต๊ะ น้ำมนต์มองงงๆ ถามว่า
“ให้หนูเหรอคะ หนูไม่เคยมาที่นี่ ไม่เคยรู้จักหลวงพ่อเลย แล้วอยู่ๆ หลวงพ่อก็เรียกหนูมาพบเพื่อให้สิ่งนี้”
“ทุกอย่างล้วนมีเหตุผลของมัน รับไว้...มันจะมีประโยชน์ต่อโยมวันใดวันหนึ่ง” น้ำมนต์ลังเลกลัวตะกรุดจะเป็นอันตรายกับพีระ หลวงพ่อดูออกบอกว่า
“ไม่ต้องกังวล พระย่อมคุ้มครองคนดี”
น้ำมนต์แปลกใจคิดว่าหลวงพ่อเห็นพีระ ตัวพีระเอง เชื่อว่าหลวงพ่อต้องเห็นตนแน่ๆ
“พวกโยมฟังให้ดีนะ อย่าจมอยู่กับอดีต และอย่ากังวลถึงแต่อนาคต ปัจจุบันเท่านั้นคือเวลาที่เราจะสร้างสิ่งดีงามและความสุขได้ จำคำหลวงพ่อไว้นะ เปิดใจให้กับปัจจุบันขณะเท่านั้น แล้วสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆจะปรากฏแก่โยม เมื่อวันที่ความจริงปรากฏ อาตมาก็หวังว่าพวกโยมจะรับมือกับมันได้อย่างมีสตินะ”
หลวงพ่อลุกเดินแยกไปแล้ว พีระพอจะเข้าใจความหมายของหลวงพ่อบ้าง แต่น้ำมนต์ทั้งแปลกใจและงง เมื่อเดินออกมาด้วยกัน น้ำมนต์ปรารภว่า
“ไม่เห็นเข้าใจที่หลวงพ่อพูดเลย ให้ตะกรุดฉันมันจะมีประโยชน์สักวันหนึ่ง แล้วก็บอกให้อยู่กับปัจจุบัน แปลว่าอะไร”
“หลวงพ่อท่านคงรู้ว่าความจริงมักมาพร้อมความเจ็บปวด เพราะมันอาจไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราคิด ท่านเลยอยากให้เรามีสติ” น้ำมนต์วกเข้าเรื่องเดิม
ถามว่าความจริงอะไร เรื่องที่เขาปกปิดอยู่หรือเปล่า พีระไม่ตอบแต่เอาสร้อยตะกรุดจากน้ำมนต์ไปสวมให้เธอจากข้างหลัง เอ่ยเบาๆ “ให้ตะกรุดคุ้มครองคุณจากความเจ็บปวดนะ”
ระหว่างนั้น มีใครบางคนวิ่งมา ทั้งพีระและน้ำมนต์จำได้ว่าเขาคือลุงสน คนขับรถคนสนิทของธีระศิลป์นั่นเอง!
“เออๆ ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้” ลุงสนเดินอ้าวๆ พลางคุยโทรศัพท์ พีระกับน้ำมนต์รีบตามไป
ooooooo
ลุงสนเดินจ้ำออกไปนอกวัด น้ำมนต์รีบตามไปพลางร้องเรียก ลุงสนหันมองอย่างไม่เป็นมิตร พีระเตือนน้ำมนต์ว่า
“ท่าทางเขาจะระวังตัวเองมาก จะถามอะไรระวังคำพูดด้วย อย่าให้เขารู้ว่าคุณรู้จักผม”
น้ำมนต์งัดวิชาแอ็กติ้งมาใช้แทนวิญญาณนักข่าว เธอฉีกยิ้มเข้าไปสวัสดีลุงสน ชี้แจงอย่างอ่อนหวานว่าที่ตนรู้จักชื่อลุงเพราะมาฝึกงานอยู่ที่สาธารณสุขของที่นี่ แล้วขอถามเรื่องสุขภาพของลุง ลุงสนถามเสียงขุ่นว่า ถามอะไร
คำถามของน้ำมนต์คือลุงทำงานอะไร ลุงสนมองขวับถามว่าเกี่ยวอะไรกับสุขภาพ?! เธออาศัยความอ่อนหวานแถไปเรื่อย แล้วถามอีกว่าลุงทำงานอะไร ลุงสน ตอบตัดรำคาญว่าไม่ได้ทำแล้วไม่ต้องมายุ่งกับตนอีก
น้ำมนต์ทำหน้าระรื่นถามอีกว่าแล้วเมื่อก่อนทำงานอะไร ทำให้ลุงสนยิ่งระแวงถามว่าใครส่งเธอมา พอเธอบอกว่าไม่มี ก็ถูกตวาดอย่างดุดัน
“ไม่ต้องมาโกหก ฉันรู้ว่ามีคนส่งเธอมา ไป!! ไปให้พ้น! ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน ไป!!!”
น้ำมนต์ที่ทำหน้าระรื่นผงะไปเลย พีระเห็นอาการเกรี้ยวกราดดุดันของลุงสนก็คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็น
“คุณลุงรู้จักคนชื่อพีระไหมคะ” น้ำมนต์ยิงคำถามตรงเผ็ง! ลุงสนชะงักหันมองอย่างโมโหมากคว้าเสียมที่วางอยู่แถวนั้นพร้อมจะทำร้าย “ฉันคิดไว้ไม่ผิด พวกมันส่งแกมาใช่ไหม เอาสิ เข้ามาเลย! ฉันจะฟาดหัวแกให้เละเดี๋ยวนี้ มา!!”
พีระตะลึง ภาพในอดีตแจ่มชัดขึ้นทันที!
“ไอ้คนเลว! วันนี้ฉันจะเอาเลือดหัวแกออกเอง!! แกต้องตาย!!!” ลุงสนเงื้อจอบพุ่งเข้าใส่อย่างดุร้าย
ooooooo
พีระและน้ำมนต์กลับมาที่วัด พีระบอกน้ำมนต์ว่า “เขาจะฆ่าผม” ผมนึกออกแค่นี้ น้ำมนต์เชื่อว่าคนที่ทำกับพีระและพ่อเขาคือลุงสนจริงๆ
“ลุงสนทำไมเหรอครับ” เณรน้อยเข้ามาถาม น้ำมนต์เลยถามว่าเณรรู้จักลุงสนด้วยหรือ ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม
เณรน้อยพาพีระกับน้ำมนต์ไปบริเวณที่มีเครื่องสังฆภัณฑ์ที่ญาติโยมนำมาถวายวางเรียงราย เล่าเสียงเจื้อยแจ้วว่า
“โยมลุงสน มาถวายสังฆทานทุกวันให้ญาติของแกที่ตายไปแล้ว” น้ำมนต์เอ่ยว่ามิน่าถึงดูเศร้าและอมทุกข์ตลอดเวลา “ช่ายยย คนอย่างนี้ หลวงตาเรียกว่าคนที่ไม่รู้จักมีความสุขกับปัจจุบัน เอาแต่จมอยู่กับอดีต ก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายแล้ว”
“ทำบุญให้ญาติเหรอ...ใคร” พีระถามเมื่อเห็นเณรน้อยหาถุงสังฆทานเจอ
“นี่ไง สังฆทานที่โยมลุงสนมาถวายทุกวัน โยมลุงสนเขียนชื่อญาติที่แกอุทิศส่วนกุศลไว้ให้ด้วยนะ”
น้ำมนต์หยิบมาดู มีกระดาษแผ่นเล็กๆ เขียนว่า “อุทิศส่วนกุศลให้ นายธีระศิลป์ ภาคภูมิใจบรรหาร”
ทั้งน้ำมนต์และพีระตะลึงงัน! ทั้งสองช่วยกันวิเคราะห์ ท่าทางมีพิรุธของลุงสนและยังชอบทำบุญเหมือนจะทำบุญล้างบาป น้ำมนต์บอกว่าเราจะต้องช่วยกันค้นหา ความจริงให้ปรากฏ ก่อนที่เวลาของพีระจะหมดลง
พีระบอกว่าอีก 9 วัน น้ำมนต์ตกใจเพราะตรงกับวันที่ต้องแสดงละครเวทีรอบแรกพอดี
“ใช่...ผมจะอยู่ช่วยคุณแสดงละครรอบแรก” พีระมุ่งมั่นขันแข็ง
พอพิมพ์ดาว อัฐชัย และทุกคนรู้ว่าพีระจะมาแสดงละครต่างตื่นเต้นดีใจมาก น้ำมนต์รีบส่งเมสเสจบอก
พี่ไตปลา พี่เขาจะได้กลับมากำกับละครให้เรา ขอบใจพีระที่เหลือเวลาอีกเพียง 9 วันเท่านั้นก็ยังมาช่วย แต่ตนก็จะช่วยสืบหาร่างเขาให้เต็มที่
“ไม่เป็นไรหรอก ถือว่าให้ผมได้ทำอะไรชดใช้ให้กับคุณบ้าง” พอน้ำมนต์ถามว่าชดใช้อะไร ก็กลับบอกว่าเปล่า
“นายพูดจาแปลกๆ เหมือนทำอะไรผิดมากๆเอาไว้ หลายทีแล้วนะ มีเรื่องอะไรก็บอกมาเถอะ” พีระกลบเกลื่อนด้วยการชวนไปซ้อมละครกัน พอน้ำมนต์บอกว่าตนเป็นห่วงเขา พีระก็ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรแต่แล้วก็ไม่พูด
ooooooo
เวลาเดียวกัน ยุทธมาเตือนเมสินีที่ห้องทำงานในออฟฟิศว่าพร็อพเพอชั่นรายการใหม่เธอจะต้องพิจารณาอนุมัติวันนี้ เมสินีตอบอย่างฉุนเฉียวว่าตนไม่มีอารมณ์จะดูเพราะเพิ่งถูกน้ำมนต์เรียกว่า ฆาต...
ยุทธรีบห้ามคำพูดที่รุนแรงนั้น เมสินีบอกให้เขาต้องช่วยจัดการน้ำมนต์ให้ตน
“คุณเมไม่สั่ง ผมก็ช่วยอยู่แล้วครับ ผมให้คนสืบประวัติเด็กคนนี้ทุกเรื่อง ตั้งแต่เกิด จนตอนนี้ ทุกแง่ทุกมุม ทุกเรื่องราว แล้วเดี๋ยวเรามาดูกันว่า เราจะเล่นสนุกกับชีวิตเด็กน้ำมนต์ยังไงได้บ้าง”
“เธอนี่รู้ใจฉันจริงๆนะยุทธ หึ! นังเด็กเมื่อวานซืน เล่นกับใครไม่เล่น!” เมสินีจิกตาร้าย
ooooooo
ระหว่างเดินไปห้องซ้อมนั้นน้ำมนต์ยังย้ำกับพีระอีกครั้งว่า
“ฉันจะไม่บังคับให้นายพูด อยากบอกเมื่อไหร่ก็บอกแล้วกัน แต่ไม่ว่านายจะทำอะไรไว้ ฉันให้อภัยนายได้”
ขณะทุกคนกำลังซ้อมละครนั้น พลันทุกคนก็ตกใจหยุดการซ้อมทันที เมื่อเอมี่วิ่งพรวดเข้ามาบอกว่า
“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!!” เอมี่พยายามตั้งสติก่อนเล่าว่า “คุณเมสินีถอนสปอนเซอร์ละครเวที!!” ทุกคนช็อก “และไม่ใช่แค่ละครเวที รายการพี่ก็ถูกถอดด้วย” เอมี่เอายาขึ้นสูดดมบอกน้องๆว่า “อย่าเพิ่งสติแตก ทุกปัญหามีทางออก เราต้องผ่าทางตันนี้ให้ได้”
น้ำมนต์รู้ว่าตัวเองเป็นต้นเหตุจนเกิดเรื่องนี้ เธอเดินเลี่ยงออกไปเงียบๆ พิมพ์ดาวเดินตามมาถามว่าเป็นอะไร
“คุณเมสินีเขาทำอย่างที่พูดจริงๆ เขาเคยบอกกับฉันแล้วว่าเขาจะถอดรายการและถอนสปอนเซอร์ละคร ถ้าฉันไม่ร่วมมือกับเขาทำลายพีระ เพราะคุณเมสินีรู้ว่า ถ้าพีระหาร่างของเขาพบ เขาจะฟื้นขึ้นมาได้”
“เขาก็เลยไม่อยากให้พีระกลับเข้าร่าง? เพราะ?” อัฐชัยถาม
“เพราะอะไรฉันไม่รู้ แต่ถ้าให้เดา ก็เป็นเพราะ พีระคือทายาทตัวจริงของสถานีพราวด์ดิจิตัล เขามีสิทธิ์ในทุกอย่าง และพีระก็จะเปิดโปงความชั่วของเมสินีด้วย”
“เขาก็เลยเอารายการของพี่ กับละครของพวกเธอมาเป็นตัวประกัน” เอมี่สรุป พิมพ์ดาวถามว่าเราจะเอายังไงต่อไป
“ผมจะไปหาเมสินี!” พีระเดินออกไปทันที น้ำมนต์รีบตามไป บอกว่าไม่ให้เขาไป
“ผมคือตัวแปรที่จะเล่นงานเมสินีได้ เราไม่ใช่ฝ่ายที่ต้องกลัวเขา เขาต่างหากต้องกลัวเรา เชื่อฉันสิ”
เอมี่ที่ตามมาสมทบเห็นด้วย “จริง...คุณต้องอยู่ที่นี่ ส่วนบริษัทของพี่ไม่ต้องห่วง ปล่อยให้มันเจ๊งไป พี่ยอมให้เจ๊ง ดีกว่าร่ำรวยเพราะทำงานรับใช้คนชั่ว”
“โห...” ทุกคนอุทานขึ้นพร้อมกัน
“พี่เอมี่พูดถูก เราต้องช่วยกันนะคะ ส่วนเรื่องสปอนเซอร์ละคร เราค่อยมาหาทางแก้ไขกัน” พิมพ์ดาวเอ่ย
“ฉันจะคุยกับพ่อให้ ถ้าพ่อรู้เรื่อง พ่อต้องยินดีช่วยสนับสนุนละครเวทีแน่” อัฐชัยอาสา เอมี่ตื่นเต้นเพิ่งนึกได้ว่าพ่อของอัฐชัยเป็นเจ้าพ่อตลาดหุ้น
“เยี่ยมเลยอัฐ ขอบใจมากๆ” น้ำมนต์ยิ้มดีใจ พิมพ์ดาวชมว่านี่แหละฮีโร่ตัวจริงแล้วโผเข้ากอด อัฐชัยรีบหลบไปอยู่หลังเอมี่ พีระขอบใจทุกคนที่ทำเพื่อตนถึงขนาดนี้ พอน้ำมนต์ถ่ายทอดให้ฟัง อัฐชัยก็โพล่งทันทีว่า
“ฉันไม่ได้ทำเพื่อนาย ฉันทำเพราะอยากให้น้ำมนต์มีความสุขต่างหาก รู้ไว้ด้วย”
เอมี่กอดแขนอัฐชัยอ้อนถามว่าแล้วไม่คิดจะคุยกับคุณพ่อให้ช่วยบริษัทเอมี่ทำให้พี่เอมี่มีความสุขบ้างหรือ พิมพ์ดาวเข้ากอดแขนอัฐชัยอีกข้าง อ้อนกว่าเอมี่อีกว่า
“แล้วไม่อยากเห็นเค้ามีความสุขบ้างเหรอออออ”
“ไม่! ไม่!! ผมทำเพื่อน้ำมนต์คนเดียว!!” อัฐชัยโวยวาย
น้ำมนต์กับพีระมองหน้ากันหัวเราะขำๆ
ooooooo










