สมาชิก

ข้าบดินทร์

ตอนที่ 2

ที่ค่ายทหาร คุณชายช่วงกำลังเปลี่ยนผ้าพันแผลให้พระยาราชสุภาวดีที่ถูกแทงสีข้าง คุณชายช่วงเอ่ยอย่างชื่นชมว่า

“สมแล้วที่ท่านเจ้าคุณสิงห์เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย ดีฉันยังมิทันนำเสบียงรอบใหม่มาถึงก็สามารถพิชิตศึกได้แล้ว นับเป็นขุนศึกคู่พระบารมีโดยแท้”

“ขอบใจพ่อช่วงมาก แต่ที่ชนะศึกนี้ได้ มิใช่เพราะฉันคนเดียวดอก แต่เพราะเหล่าทหารเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว แลรบโดยมิอาลัยแก่ชีวิต จึงเอาชัยข้าศึกศัตรูได้” พระยาราชสุภาวดีเอ่ยอย่างถ่อมตัวแลยกย่องเหล่าทหารจนคุณชายช่วงยิ่งชื่นชม

“ฟังว่ามีใบบอกมาจากท่านพระยานครศรีธรรมราชว่าพวกวิลาศยกทัพเรือมาไว้ที่เกาะหมากสี่ลำ จะไปแห่งหนตำบลใดมิได้แจง มิทราบว่าข่าวนี้เป็นจริงหรือไม่ขอรับคุณชายช่วง” ขุนสิทธิสงครามที่นั่งอยู่ด้วยเอ่ยถาม คุณชายช่วงหัวเราะบอกว่า

“อยู่ไกลถึงจำปาศักดิ์ การข่าวยังรวดเร็วนัก ที่ดีฉันมาในครั้งนี้ นอกจากนำเสบียงมาส่งแล้วก็จะมาแจ้งข่าวนี้ด้วย” คุณชายช่วงยกมือไหว้ก่อนเอ่ย “องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่าไม่ควรตั้งอยู่ในความประมาท จึงมีตราทัพเรียกเจ้าคุณพ่อของดีฉันกลับจากราชการแล้ว เพลานี้ตั้งทัพคุมเชิงอยู่ที่เมืองปากน้ำขอรับ”

พระยาราชสุภาวดีบอกว่าดีแล้ว ศึกทางนี้ไม่มีอะไรน่าห่วง ตนจะเร่งถอนทัพไปช่วยท่านพระยาพระคลังอีกแรง

หมื่นพิพิธคิดถึงทับทิมที่เป็นคู่หมั้น เอ่ยถามคุณชายช่วงว่าทับทิมเป็นอย่างไรบ้าง

“น้องสาวฉันอยู่เย็นเป็นสุขดี รอแต่หมื่นพิพิธท่านกลับจากศึกไปจัดงานแต่งงานให้เท่านั้น”

“กระผมก็หวังเช่นนั้นขอรับ เกรงแต่ว่าจะเกิดศึกพวกวิลาศขึ้นมาอีก เพราะนับแต่พวกวิลาศมีชัยเหนือพวกพม่าก็มีแต่ข่าวลือไม่ดีมาตลอด” หมื่นพิพิธเอ่ยสีหน้ากังวล ขุนสิทธิสงครามเชื่อว่ามิต้องกลัวอันใดเพราะพวกวิลาศมีน้อยกว่าเรานัก

“คิดเช่นนั้นไม่ได้ดอกขุนสิทธิ ด้วยวิชาการของพวกฝาหรั่งนั้น เหนือกว่าเรามาก หากเกิดศึกกันจริง จะเป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่กว่าที่สยามเคยเผชิญมามากนัก” พระยาราชสุภาวดีท้วงติง คุณชายช่วงถามทันทีว่า

“ถ้าเช่นนั้น ท่านเจ้าคุณคิดเห็นว่าเราควรต้องทำอย่างไรขอรับ จึงจะพ้นภัยจากพวกฝาหรั่ง”

“ขั้นแรก เราต้องแก้เหตุเฉพาะหน้ากันก่อน จากนั้นต้องเพียรศึกษาวิชาของพวกฝาหรั่งให้มากไว้ อย่างเช่นวิธีทำศึก กระบวนทัพก็แตกต่างจากพิชัยสงครามของเรา ภายหน้าการทำศึกย่อมต้องเปลี่ยนแปลงไป หากเราไม่ศึกษาให้ดี คงไม่แคล้วเสียทีเหมือนพวกพม่าเป็นแน่”

การชี้แนะของพระยาราชสุภาวดีทำให้คุณช่วงนิ่งไปเพราะสอดคล้องกับความคิดของตนที่เห็นควรต้องเรียนวิชาของตะวันตกเพื่อพัฒนาประเทศ

ooooooo

วันนี้ ที่ศาลาวัดท้ายน้ำ พระครูโพมานั่งจิบชาคุมสอบอยู่ บรรดาชายหนุ่มที่มาเรียนต่างก้มหน้า ก้มตาเขียนคำตอบในกระดานชนวน เหมทำเสร็จส่งก่อนเพื่อน พระครูถามว่า ส่งก่อนคิดจะลากลับเรือนล่ะสิ?

“ขอรับ” เหมยิ้มเขินๆ เพราะจะรีบกลับไปเจอบัว

บัวนั่งพับกลีบดอกบัวเพื่อเอาไปถวายพระ เสร็จถาดหนึ่งก็ให้บ่าวเอาไปให้แม่นายก่อน เป็นจังหวะที่เหมมาที่ศาลาพอดี เหมได้ทีรีบเข้าไปหา บอกว่าตนพายเรือไปขึ้นที่ท่าโน้นแล้วเดินอ้อมมาที่นี่ โชคดีที่บัวมาที่นี่ไม่เช่นนั้นต้องขึ้นไปบนเรือนแล้ว บัวถามว่าขึ้นเรือนแล้วไม่ดีอย่างไรหรือ

“มิใช่ไม่ดี เพียงแต่ฉันไม่ได้อยู่กับแม่บัวสองต่อสองต่างหาก” เหมหยิบดอกบัวขึ้นดมเอ่ยคำหวานทำกรุ้มกริ่ม “เจ้าเป็นบัว ตัวพี่เป็นภุมรา เชยผกาโกสุมประทุมทอง”

บัวติงว่าเอาดอกบัวไปดมเสียแล้วจะถวายพระได้อย่างไร เหมขอเสียเลยประคองดอกบัวขึ้นแนบอก “คืนนี้ ฉันจะกอดดอกบัวดอกนี้ไว้แนบกาย แม่บัวคงไม่ว่ากระไรกระมัง”

บัวเขินจนพูดกระไรไม่ออก

แล้วคืนนี้เหมก็เอาดอกบัววางไว้ข้างหมอนนอนอย่างมีความสุข

ooooooo

เช้าวันนี้ สมิงสอดน้อยกับสมิงจักรเพชรประลองดาบสองมือกันต่อหน้าเจ้าพระยามหาโยธารามัญขุนนางผู้ใหญ่ ท่ามกลางการลุ้นของเหม บุษย์และบรรดาทหารมอญของทั้งสองฝ่าย

สมิงจักรเพชรกับสมิงสอดน้อยต่างสู้กันอย่างไม่มีใครเพลี่ยงพล้ำแก่ใคร จนสมิงจักรเพชรงัดท่าไม้ตายควงดาบรุกไล่จนสมิงสอดน้อยถอยกรูดต้องตั้งรับอย่างเดียว ก่อนจะพลิกตัวฉากหลบออกมาได้ สมิงจักรเพชรลำพองใจย่างสามขุมเข้าหาสมิงสอดน้อยเห็นทีใช้เพลงดาบปกติตนสู้ไม่ได้ เลยตั้งท่าใหม่ใช้เพลงดาบอาทมาตสู้แทน

สมิงจักรเพชรเจอเพลงดาบอาทมาตก็ถึงกับงงตั้งรับพัลวัน สมิงจักรเพชรใช้ไม้ตายในเพลงดาบของตน แต่ใช้ไม่ได้ผลถูกสมิงสอดน้อยปัดป้องจนดาบของสมิงจักรเพชรหลุดจากมือแล้วใช้ดาบอีกเล่มจ่อคอสมิงจักรเพชรสำเร็จ ท่ามกลางเสียงเฮของเหม บุษย์และลูกน้องของสมิงสอดน้อย

บรรดาลูกน้องสมิงสอดน้อยต่างสะใจที่สมิงสอดน้อย เอาชนะสมิงจักรเพชรได้ แต่สมิงสอดน้อยก็พูดอย่างถ่อมตนว่า

“ถ้าไม่ได้ไปฝึกเพลงดาบกับขรัวปู่ ก็คงไม่ชนะดอกวะ อ้ายสมิงจักรเพชรมันเจนจัดเพลงดาบสองมือนัก ในกองทหารมอญคงไม่มีผู้ใดสู้มันได้แล้ว” เหมถามว่าเพลงดาบที่สมิงสอดน้อยใช้เผด็จศึกสมิงจักรเพชรเป็นวิชาดาบกระไรหรือ “อีกไม่นานเอ็งก็รู้เอง มิต้องใจร้อนไปดอกอ้ายเหม”

ขณะนั้นเองมีชาวบ้านถืออาหารข้าวของมาเตรียมถวายเพล เหมตกใจถามว่าเพลแล้วหรือ แล้วเอ่ยลาบอกว่าพรุ่งนี้ตนจะไปกราบขรัวปู่ที่วัดเอง สมิงสอดน้อยสงสัยว่าเหมรีบร้อนไปไหน บุษย์พูดอย่างรู้แกวว่าเป็นเพราะพิษรักอย่าไปใส่ใจเลย แต่พอตัวเองเห็นหญิงสาวชาวบ้านถือถาดเดินผ่านมา บุษย์เลยขอตัวตามหญิงสาวไปทันที

“การประลองดาบจบแล้ว จะจัดการเรื่องอ้ายเหมตามที่ขรัวปู่สั่งมาดีหรือไม่พี่” ลูกน้องคนหนึ่งถามสมิงสอดน้อย

ooooooo

บัวนั่งรอเหมอยู่ที่ศาลาริมคลองในวัด เหมไม่ทันมาแต่หลวงสรอรรถย่องมาก่อน ทำก้อร่อก้อติกเข้าหาบัว บัวจะลุกหนีก็คว้าแขนไว้ให้อยู่เจรจากันสักครู่ ทันใดนั้นเหมมาถึงก็พุ่งเข้าคว้าข้อมือหลวงสรอรรถ บิดจนต้องปล่อยมือบัว

“โอ๊ย...มึงกล้าทำกับกูเช่นนี้เชียวรึ อ้ายเด็กอมมือ!” หลวงสรอรรถกำหมัดจะต่อยเหม แต่พอดีลูกน้องวิ่งหน้าตื่นมารายงานว่ามีเหตุด่วน เหมฉวยโอกาสนั้นพาบัวไปจากตรงนั้น

หลวงสรอรรถจะตามไปก็รู้ว่าพละกำลังสู้เหมไม่ได้ จึงตวาดลูกน้องแก้หน้าว่า “มึงมีกระไร ถ้าไม่สำคัญจริงกูทวนหวายมึงแน่” แต่พอฟังลูกน้องกระซิบบอก หลวงสรอรรถก็หน้าเครียดทันที

ข่าวนั้นคือลูกน้องหลวงสรอรรถที่กำลังขนฝิ่นถูกทหารไทยจับกุม ลูกน้องหลวงสรอรรถตกใจชักอาวุธออกมาต่อสู้

ขณะนั้นเอง พระยาปลัดสมุทรปราการกับพระพิชัยปราการเดินออกมาสั่งการพวกทหารให้จับพวกค้าฝิ่นให้หมดอย่าให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว ลูกน้องหลวงสรอรรถสู้ไม่ได้พากันวิ่งหนี ทหารไล่ตามไปส่วนพระยาปลัดกับพระพิชัยเดินไปกรีดกระสอบหยิบฝิ่นออกมา พระยาปลัดสั่งทหารให้ขนย้ายออกและเอาไปเผาให้หมด

ที่แท้เป็นอุบายของพระยาปลัดทำทีจับกุมและขนฝิ่นไปเผา แต่ฝิ่นส่วนใหญ่ถูกสับเปลี่ยนมาขึ้นเกวียนเล่มอื่นแทน

หลวงสรอรรถหัวเราะสะใจชมว่าเพราะปัญญาของท่านเจ้าคุณแท้ๆ และพระพิชัยก็ไม่รู้เท่าทันว่าฝิ่นส่วนใหญ่ถูกสับเปลี่ยนมาหมดแล้ว การแกล้งจับฝิ่นครั้งนี้ พระยาปลัดจึงรู้ว่าอาชีพเดิมของหลวงสรอรรถนั้นคือค้าฝิ่น เมื่อหลวงห้ามจึงต้องลักลอบ และที่ตนทำนี้ยังน้อยกว่าที่พวกวิลาศทำไม่รู้กี่เท่า

“นี่พวกวิลาศก็ลักลอบค้าฝิ่นรึ” พระยาปลัดตกใจ หลวงสรอรรถหัวเราะขำๆ เล่าว่า

“ไม่แปลกดอกขอรับที่เจ้าคุณไม่ทราบ ผู้คนทั่วไปเข้าใจว่าฝิ่นมาจากคนจีน แท้ที่จริงฝิ่นที่คนจีนขายมี น้อยนิดฝิ่นส่วนใหญ่มากับเรือของพวกวิลาศต่างหาก”

ooooooo

ฝิ่นบางส่วนถูกยัดไส้ในลังส้มขนไปที่บ้านมิสเตอร์เจเมสัน เพราะอาการป่วยของแหม่มมาเรีย จำเป็นต้องใช้ฝิ่นในการระงับอาการเจ็บปวดที่มากขึ้นเรื่อยๆ หมอเสนอมิสเตอร์เจเมสันว่าควรขนฝิ่นมามากกว่านี้

“สยามห้ามค้าฝิ่น กว่าจะขนมาได้ขนาดนี้ก็ลำบากเอาการ ฉันไม่กล้าขนมามากกว่านี้ดอก” เจเมสันบอกหมอ

ขณะนั้นเองแหม่มเดินคุยออกมาจากข้างในกับเหม แหม่มถามพวกคนงานที่กำลังขนลังเข้ามาว่านั่นลังอะไรหรือ เจเมสันบอกว่าเป็นลังส้มตนเอามาฝากพวกเพื่อนๆ แล้วตัดบทถามเหมว่าจะกลับแล้วหรือ เหมบอกว่าต้องกลับไปเรียนหนังสือที่วัด บอกแหม่มว่าคราวหน้าจะมาเยี่ยมอีก ให้กำลังใจว่าครูแหม่มดูสดใสขึ้นมาก เจอกันคราวหน้าคงหายเป็นปกติแน่

“ขอบใจเธอมากจ้ะ ขอให้พระเจ้าคุ้มครองเธอนะ” แหม่มสดใสมีความสุขจนเจเมสันยิ้มดีใจ

ระหว่างผ่านซอยเปลี่ยวเพื่อกลับวัดนั่นเอง เหมถูกชายคลุมหน้ากลุ่มใหญ่กรูกันออกมาล้อมไว้ เหมตกใจแต่พยายามตั้งสติงัดแม่ไม้มวยไทยที่เรียนมาเข้าต่อสู้ แต่ฝ่ายนั้นมีกำลังมากกว่า เหมจึงกลิ้งตัวหลบคว้าไม้ไผ่ที่อยู่แถวนั้นควงเข้าฟาดพวกชายคลุมหน้าจนแตกกระเจิง หัวหน้าของพวกคลุมหน้าก็บุกเข้าใส่เหมทันที

เหมกับชายคลุมหน้าต่อสู้กันอย่างดุเดือดสูสี เหมฟาดไม้ใส่แต่ถูกฝ่ายนั้นจับไว้ได้แล้วใช้ศอกอีกข้างฟันไปที่ไม้ไผ่จนหักเป็นสองท่อน ท่อนหนึ่งอยู่ในมือเหมและอีกท่อนหนึ่งอยู่ในมืออีกฝ่าย ต่างเอาไม้ไผ่จ่อคอหอยอีกฝ่ายพร้อมกันเป็นอันว่าเสมอ พอชายคลุมหน้าผละออกปลดผ้าคลุมหน้า เหมเห็นเต็มตาอุทานอย่างคาดไม่ถึง

“พี่สมิง”

ที่แท้เป็นอุบายของพระครูยมทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าเรียนวิชาดาบอาทมาต เหมดีใจมาก พุ่มดีใจด้วยบอกเหมว่า นับแต่ขรัวปู่รับศิษย์มา หากรวมพ่อเหมด้วยก็มีเพียงเจ็ดคนเท่านั้นที่ได้รับถ่ายทอดอาทมาต

“อันที่จริงข้าไม่ควรนับเป็นหนึ่งในเจ็ดดอก วิชาดาบอาทมาตของข้ายังผิวเผินมาก” สมิงสอดน้อยออกตัว

“เอ็งไม่ต้องท้อใจไปอ้ายสมิงสอดน้อย ดาบอาทมาตแตกต่างจากวิชาดาบอื่น ทั้งรับแลรุกในจังหวะเดียวกัน พลิกแพลงแปรเปลี่ยนได้ไม่สิ้นสุดเป็นอัศจรรย์ เอ็งจะแตกฉานในเวลาอันสั้นมิได้ดอก” พระครูยมให้กำลังใจ

“รับแลรุกในจังหวะเดียวกัน พลิกแพลงแปรเปลี่ยนไม่สิ้นสุด” เหมพึมพำกับตัวเองอย่างอัศจรรย์

สมิงสอดน้อยได้รับมอบหมายจากพระครูยมให้รำแม่ไม้เพลงดาบอาทมาตให้เหมดู โดยมีพระครูยมอธิบายว่า

เพลงดาบอาทมาตมีหลักการก้าวย่างตามหลักสี่ทิศ ดาวแปดแฉกมีแม่ไม้เพียงสามท่า คือ คลุมไตรภพ ตลบสิงขร ย้อนฟองสมุทร แต่แม่ไม้สามท่านี้ หากเข้าใจลึกซึ้งแตกฉานก็สามารถพลิกแพลงได้เป็นอัศจรรย์ ขึ้นอยู่กับปัญญาของเอ็งเป็นสำคัญ แต่ที่เอ็งต้องจำไว้ให้ขึ้นใจคือหัวใจของเพลงดาบ ‘เขาฟันเราไม่รับ เขารับเราไม่ฟัน จะฟันต่อเมื่อเขาไม่รับ จะรับต่อเมื่อหลบหลีกไม่ทัน’

เหมร่ายรำเพลงดาบอาทมาตด้วยท่วงท่าแข็งแรง สง่างามไม่แพ้สมิงสอดน้อย แลร่ายรำลูกไม้เพลงดาบอีกหลายท่าอย่างสวยงาม จบลงด้วยท่าเพลงดาบที่ทรงพลัง

ooooooo

1 เดือนผ่านไป พิธีแต่งงานระหว่างทับทิมกับหมื่นพิพิธจัดที่เรือนพระยาพระคลัง ทั้งคุณหญิงชมและคุณชายช่วงจัดงานกันอย่างเอิกเกริก สรรหาอาหารคาวหวานล้วนขึ้นชื่อหายากระดมมาในงาน

บัวเห็นทับทิมในชุดเจ้าสาวสวยมากเดินเข้ามาชม ทับทิมจึงให้หยิบเครื่องประดับให้ แต่ลำดวนที่แต่งตัวน่ารักหันไปหยิบให้ก่อน ถูกบัวดุว่าเครื่องประดับเหล่านี้มีค่านักหากหล่นหายขึ้นมาจะทำอย่างไร ลำดวนน้อยใจเดินออกจากห้อง

ที่ละแวกเรือนเจ้าพระยาพระคลังนี่เอง ลำดวนเห็นลูกน้องหลวงสรอรรถ 4-5 คนคุมพวกทาสชายหญิงมา ในนั้นมีเด็กวัยเดียวกับลำดวนอยู่ด้วย ลูกน้องหลวงสรอรรถถือหวายคอยคุมเหล่าทาสนั้นมา เด็กหญิงที่ถูกคุมมาเดินไม่ไหวล้มลงก็ถูกลูกน้องหลวงสรอรรถตะคอกให้ลุกขึ้น อีกคนใช้หวายเฆี่ยนเด็กหญิงอย่างโหดร้ายจนเด็กหญิงร้องด้วยความเจ็บปวด

ขณะนั้นเอง พระยาราชสุภาวดีเดินมากับลูกน้องสองคน คนหนึ่งถือดาบมีผ้าห่อไว้ พระครูหยุดมองอย่างไม่พอใจ ทันใดนั้นมีหินก้อนหนึ่งขว้างมาถูกหัวลูกน้องหลวงสรอรรถ ทุกคนหันมองเห็นเหมที่ยืนห่างไปเล็กน้อยเป็นคนขว้างหิน

ลูกน้องหลวงสรอรรถชักทั้งดาบและมีดออกมากระจายกำลังจะเล่นงานเหม เหมก้มหยิบไม้ที่พื้นขึ้นมาต่างดาบสองมือตั้งท่าเพลงดาบอาทมาต ยืนอย่างสงบ

เมื่อเหมต่อสู้กับพวกลูกน้องหลวงสรอรรถด้วยเพลงดาบอาทมาตจนลูกน้องของหลวงสรอรรถแตกกระเจิงไปชุดหนึ่ง แลเมื่ออีกชุดหนึ่งกรูเข้ามา หลวงสรอรรถจึงแหวกกลุ่มลูกน้องออกมาปรามเหม

“เรื่องที่วัดยังมิได้สะสาง คุณเหมก็ยังตามมาทำร้ายคนของฉันอีก ถ้าอย่างไรวันนี้ก็ให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลยเถิด”

“ที่แท้ก็คนของคุณหลวงนี่เอง มิน่าเล่าถึงได้ช่ำชองในการทำร้ายเด็กนัก” เหมเย้ยหยัน หลวงสรอรรถโมโหยกมือส่งสัญญาณให้ลูกน้องลุยทันที

“หยุดก่อน” เสียงพระยาราชสุภาวดีขัดขึ้น หลวงสรอรรถตวาดถามว่ามึงเป็นใครวะ แต่พอลูกน้องพระยาราชสุวดีเปิดผ้าที่ห่อดาบออก เป็นดาบประจำตำแหน่ง บนฝักดาบมีสัญลักษณ์สมุหนายกสลักเอาไว้ หลวงสรอรรถตกใจคุกเข่าพนมมือทันที

“กระผมมิทราบว่าท่านเจ้าคุณมาที่เมืองปากน้ำ จึงมิได้ต้อนรับขออภัยด้วยเถิดขอรับ”

“มิต้องขอโทษขอโพยดอก แลฉันก็มิได้ต้องการให้ผู้ใดมาต้อนรับ หลวงสรอรรถใช่หรือไม่ ฉันเคยเจอคุณหลวงที่พระนครคราหนึ่งแล้ว” หลวงสรอรรถหน้าซีดขอบพระคุณที่จดจำตนได้ “จะจำไม่ได้ได้อย่างไร ชีวิตฉันต้องโทษจองจำติดคุกติดตะรางมาหลายครา หนึ่งในนั้นก็ด้วยความเอื้อเฟื้อจากญาติผู้ใหญ่ของคุณหลวงมิใช่รึ”

หลวงสรอรรถกลืนน้ำลายฝืดคอ หน้าซีดเผือดเพราะญาติตนเคยเล่นงานพระยาราชสุภาวดีเอาไว้แต่เพลานี้หมดวาสนาแล้ว และพระยาราชสุภาวดีกลายเป็นสมุหนายกมีอำนาจรองลงมาจากพระเจ้าแผ่นดิน

“เหตุที่อ้ายหนุ่มคนนี้ล่วงเกินคนของคุณหลวง ก็ด้วยคนของคุณหลวงเฆี่ยนตีเด็กเล็กที่เป็นทาส แม้ว่าอ้ายหนุ่มคนนี้จะล่วงเกินขุนนาง แต่ก็ทำไปด้วยเมตตา ถือว่าเห็นแก่ฉันแล้วกัน ไปได้หรือไม่”

“ขอรับ สุดแล้วแต่ท่านเจ้าคุณขอรับ” หลวงสรอรรถจำต้องยอมทั้งที่เจ็บใจ

เหมมองพระยาราชสุภาวดีด้วยความชื่นชมในความเป็นธรรม พอท่านมองมา เหมคุกเข่าลงและดึงลำดวนให้คุกเข่าลงด้วย เหมยกมือไหว้ขอบคุณ

พระยาราชสุภาวดีพยักหน้ารับ ชื่นชมในฝีมือดาบและหัวใจรักความเป็นธรรมของเหมเช่นกัน

ooooooo

ในงานแต่งของทับทิมนี้ ขุนนาฏยโกศลดื่มเมาแล้วยังเรียกให้เอาเหล้ามาอีก จนคุณปิ่นบ่นว่าจะเอาอะไรอีกเพราะเมาจนเดินไม่ไหวแล้ว สั่งพวกทาสให้ประคองขุนนาฏเข้าไปดีๆอย่าให้หกล้มหกลุกได้

ลำดวนช่างสงสัยถามบัวว่าเหตุได้พ่อท่านต้องเมาเช่นนี้ด้วยเล่า บัวบอกว่าท่านดีใจที่ทับทิมออกเรือน

“ถ้าเช่นนั้นหากพี่บัวออกเรือน พ่อท่านก็ต้องเมาเช่นนี้อีกใช่หรือไม่เจ้าคะ” ลำดวนถามอีก ทำเอาบัวเขินก่อนจะปั้นหน้าดุน้องว่าพูดกระไรแล้วจะไปนอน ลำดวนบอกประเดี๋ยวเจ้าค่ะ แล้วหยิบสร้อยข้อมือทองคำเส้นเล็กๆ ออกมายื่นให้ บัวถามว่าเอามาจากผู้ใด “คุณพี่เหมเจ้าค่ะ คุณพี่เหมฝากมาให้พี่บัว”

เมื่อเข้าห้องนอน บัวเอาสร้อยข้อมือที่เหมให้ คล้องที่ข้อมือ พิศดูแล้วยิ้มบางๆอย่างสุขใจ

เช้าวันรุ่งขึ้นขณะเหมพรวนดินอยู่กับบุษย์ที่สวนนั้น ทาสมารายงานว่ามีศพเด็กลอยน้ำมา เหมรีบไปดู จำได้ว่าเป็นทาสเด็กหญิงที่ถูกลูกน้องของหลวงสรอรรถใช้แส้ฟาดวันนั้น

“หลวงสรอรรถ” เหมคำรามขบกรามด้วยความเคียดแค้น เหมกับบุษย์บุกไปตลาดขณะที่หลวงสรอรรถกับลูกน้องกำลังเก็บดอกเบี้ยเงินกู้คนในตลาดอยู่ เหมพุ่งเข้าไปถีบลูกน้องหลวงสรอรรถหน้าคะมำ พอหลวงสรอรรถเห็นเหมกับบุษย์กำลังใช้ไม้ไล่หวดลูกน้องแตกกระเจิง แล้วเหมก็ตั้งท่าจะไล่ฟาดตน หลวงสรอรรถก็ตะโกนลั่น

“ช่วยด้วย...ช่วยกูด้วย...ช่วยด้วย...” หลวงสรอรรถวิ่งหนี ถูกเหมพุ่งไม้กระแทกหลังจนจุกล้มคว่ำบุษย์แกว่งไม้ไล่หวดพวกลูกน้องไม่ให้เข้ามาช่วย เหมพุ่งเข้าไปกระชากคอเสื้อหลวงสรอรรถขึ้นมาเงื้อไม้จะตี

“หยุดประเดี๋ยวนี้นะไอ้เหม” เสียงพระยาบริรักษ์ตวาด เหมตกใจหน้าซีด คราง...

“เจ้าคุณพ่อ...”

ooooooo

เหตุการณ์ครั้งนี้ พระยาปลัดสมุทรปราการไต่สวนแล้วสั่งให้ลงหวายเหมกับบุษย์คนละยี่สิบที เหมถูกลงหวายจนหลังแตกแต่มิได้คร่ำครวญแม้แต่คำเดียว ผิดกับบุษย์ที่ร้องโอดโอยนับแต่หวายแรกจนหวายสุดท้าย

เมื่ออยู่กันลำพังในห้องหนึ่ง พระยาปลัดกระชากคอเสื้อหลวงสรอรรถตะคอก

“ฉันบอกแล้วใช่หรือไม่ว่าอย่าทิ้งศพเรี่ยราด จะต้องรอให้ดาบมาบั่นคอก่อนหรือไรถึงจะพูดเข้าใจ”

“แทนที่ท่านเจ้าคุณจะดุด่าดีฉัน ท่านเจ้าคุณก็ฆ่าให้น้อยลงไม่ดีกว่าหรือขอรับ หากสังวาสแต่เพียงอย่างเดียว ดีฉันก็คงไม่ต้องวุ่นวายทำลายศพเช่นนี้ แต่ท่านอย่ากังวลเลยขอรับ ดีฉันสัญญาว่าต่อไปจะเผาหรือไม่ก็ฝังเสีย จะไม่ทำอย่างนี้อีก”

กระนั้นพระยาปลัดก็ปรามหลวงสรอรรถว่าเมื่อเหมสงสัยคุณหลวงแล้ว แม้เจ้าคุณบริรักษ์จะยอมให้ลูกถูกเฆี่ยนแต่ก็สงสัยด้วยเช่นกัน นับแต่นี้คุณหลวงอย่าหาเรื่องกับสองพ่อลูกนี้อีก เพราะคุณหลวงหมายตาผู้หญิงคนเดียวกับเหม ย้ำว่า

“ถ้าเข้าตามตรอกออกตามประตูก็เป็นเรื่องของคุณหลวง แต่ถ้าลอบกัดเพื่อให้ได้แม่บัวมา ฉันขอห้ามขาด เพราะฉันไม่อยากรับเคราะห์ไปด้วย คุณหลวงเองก็ชั่งน้ำหนักให้ดีว่าจะเห็นแก่ผู้หญิงหรือการงานมากกว่ากัน”

เมื่อเหมกลับบ้านในสภาพหลังแตกจนต้องนอนคว่ำให้คุณหญิงชมใส่ยาให้ คุณหญิงร้องไห้สงสารลูก เหมบอกว่าตนโง่เง่าเอง ควรแล้วที่ต้องเอาหลังตัวเองจ่ายค่าความโง่ ฝ่ายพระยาบริรักษ์เองก็สงสารลูก ถามคุณหญิงว่าเหมเป็นอย่างไรบ้าง คุณหญิงสะบัดหน้าใส่ตอบประชดว่า “ก็ยังไม่ตายสมใจท่านเจ้าคุณดอกเจ้าค่ะ” แล้วสั่งจวนไปดูยาหม้อกับตน

พระยาบริรักษ์มองเหมถามว่าโกรธพ่อหรือไม่ เหมบอกว่าตนไม่กล้าโกรธเจ้าคุณพ่อ แต่น้อยใจที่คำพูดของตนไม่มีผู้ใดเชื่อเท่านั้น พระยาบริรักษ์จึงบอกความในใจว่า

“ไม่ใช่พ่อไม่เชื่อเจ้า พ่อเชื่อทุกคำ แลยังมั่นใจว่าหลวงสรอรรถต้องเกี่ยวข้องกับการตายของเด็กผู้หญิงนั่นแน่” เหมถามว่าแล้วเหตุใดถึงปล่อยให้ลูกถูกโบยเล่า? “วงศ์วานว่านเครือของหลวงสรอรรถมีอำนาจมากนัก แม้แต่ท่านเจ้าพระยาก็ยังมิกล้าหักหาญเอาซึ่งหน้า หากเจ้าจะเอาผิดก็ต้องมีพยานหลักฐานมั่นคงหาไม่ก็เหมือนเอาไข่ไปกระทบหินมีแต่จะนำภัยสู่ตัว”

“เจ้าคุณพ่อเกรงจะมีภัยเลยให้ลูกถูกโบยแทนอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”

“เจ้าเหม..พ่อเจ้ามิใช่คนขี้ขลาดที่จะยอมให้ลูกถูกเฆี่ยนเพียงเพราะกลัวภัยดอก แต่นอกจากเจ้าไม่มีหลักฐานแล้ว เจ้ายังทำร้ายหลวงสรอรรถก่อน พ่อเป็นพระยาถือน้ำพระพัทสัจจา เป็นข้าแห่งบดินทร์ไม่อาจให้ความรักลูกอยู่เหนือกว่าอาญาบ้านเมืองได้” พระยา บริรักษ์ลูบหัวเหมด้วยความรักและสงสาร

เหมได้ฟังแล้วก็เริ่มเข้าใจสิ่งที่เจ้าคุณพ่อทำมากขึ้น ความน้อยใจจึงค่อยคลายหายไป

เมื่อบัวรู้จากลำดวนว่าเหมถูกเฆี่ยนจนหลังลายก็ตกใจ ถามว่าพวกเหมทำร้ายกันด้วยเรื่องกระไรและตอนนี้เหมเป็นอย่างไรบ้าง ลำดวนที่สนใจเล่นตุ๊กตานางรำมากกว่าบอกว่าตนก็ไม่รู้ได้ยินมาเท่านี้ บัวหงุดหงิดที่ไม่ได้ดั่งใจ ฉุกคิดได้ถามว่า

“ลำดวน เจ้าไม่คิดไปเยี่ยมคุณเหมบ้างรึ” พอลำดวนบอกว่าคิด บัวยิ้มอย่างมีเลศนัยที่จะใช้ลำดวนเชื่อมถึงเหม

เมื่อลำดวนไปเยี่ยมเหมก็เอาถุงผ้าปักลายที่ข้างในใส่กลีบดอกไม้แลเครื่องหอมที่บัวฝากมาให้เหม บอกว่า

“พี่บัวบอกว่าคุณพี่เหมได้กลิ่นหอมแล้วจะได้คลายอาการเจ็บแผลลงไปได้บ้างเจ้าค่ะ”

เหมรับถุงผ้าปักไปสูดดมได้กลิ่นหอมชื่นใจ รำพึงกับตัวเองเบาๆ เคลิ้มๆ

“แม่บัวเป็นห่วงเป็นใยฉันเช่นนี้ อย่าว่าแต่รอยหวายแค่นี้เลย ต่อให้โดนแล่เนื้อเอาเกลือทาฉันก็ยอม” เหมยิ้มอย่างมีความสุข ลำดวนเอามือปิดปากกลั้นหัวเราะคิกคัก

ooooooo

หลายวันต่อมาเมื่อแผลทุเลา เหมจึงกลับไปที่วัด พระครูยมทักว่ามาแล้วหรือ รสหวายเป็นอย่างไรบ้าง

เหมตกใจถามว่าหลวงปู่รู้ด้วยหรือขอรับ พุ่มยิ้มขำๆ บอกว่าเขารู้กันทั่วเมืองปากน้ำเลยล่ะ เรื่องเล็กเสียเมื่อไหร่เล่า

“เอ็งถูกหวายเสียทีก็ดีจะได้ลดความทะลุลงเสียบ้าง ผู้ฝึกดาบอาทมาตต้องมีสติ อย่าหุนหันพลันแล่นแลอย่าใช้วิชาดาบพร่ำเพรื่อเป็นอันขาด”

เหมบอกว่าข้อมีสติไม่หุนหันนั้นตนเข้าใจ แต่เมื่อฝึกวิชาดาบแล้วไม่ให้ใช้จะฝึกไปเพื่อกระไรเล่า

สมิงสอดน้อยบอกว่าไม่ใช่ไม่ให้ใช้แต่ไม่ให้ใช้พร่ำเพื่อต่างหาก เพราะว่า...

“ดาบอาทมาตเป็นวิชาสังหาร แต่ละท่าเพลง ล้วนถึงตายได้ทั้งสิ้น เอ็งจึงไม่ควรใช้โดยพลการ”

“อ้ายสมิงพูดถูกแล้ว ดาบอาทมาตมีไว้ใช้ในคราวจำเป็น หากเป็นยามปกติ เอ็งต้องจำไว้ว่า ‘มีเรื่องต้องหนี หนีไม่ได้ให้สู้ สู้ได้อย่าให้เจ็บ เจ็บได้อย่าให้ตาย’ นี่คือกฎที่ผู้ฝึกดาบอาทมาตทุกคนต้องจำไว้ให้ขึ้นใจ” พระครูยมย้ำ

“ขอรับ กระผมจะจำไว้ขอรับ” เหมก้มกราบพระครูยมด้วยความเคารพเต็มหัวใจ

ooooooo

หลายปีผ่านไป เหมยังเล่าเรียนโดยมีพระครูโพเป็นผู้สอน และฝึกดาบอาทมาตโดยมีพระครูยมเป็นผู้สอน ส่วนบัวก็ซ้อมรำโดยมีขุนนาฏและคุณปิ่นสอนให้อย่างใกล้ชิด

ลำดวนกลายเป็นสาวแล้ว สวมชุดนางรำซ้อมรำอย่างสวยงามอ่อนช้อยคู่กับบัว ขุนนาฏกับคุณปิ่นนั่งดูอย่างพอใจ

เหมซ้อมดาบกับสมิงสอดน้อยจนฝีมือทัดเทียมกัน สมิงสอดน้อยมองเหมอย่างชื่นชมที่สามารถต่อสู้เสมอกับตนได้ พระครูยมเอ่ยอย่างพอใจว่า “บัดนี้ข้าหมดความรู้ที่จะสั่งสอนพวกเอ็งแล้ว ส่วนพวกเอ็งจะแตกฉานดาบอาทมาตได้ลึกซึ้งเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับปัญญาของพวกเอ็งเอง”

“แค่กระผมได้ฝากตัวเป็นศิษย์ขรัวปู่ก็เป็นบุญที่สุดแล้วขอรับ กระผมสัญญาว่าจะใช้วิชาความรู้ที่ได้จากขรัวปู่สนองคุณบ้านเมืองต่อไปขอรับ” สมิงสอดน้อยให้สัญญา พระครูยิ้มพอใจ ฝ่ายเหมยิ้มเจื่อนหน้าจ๋อย ยอมรับกับพระครูยมว่า

“ส่วนกระผม คงให้คำมั่นได้แค่จะหมั่นฝึกฝน แลไม่อาจเอาวิชาไปใช้ในทางที่ผิดขอรับ เพราะเจ้าคุณพ่อคงให้กระผมรับราชการทำบาญชีเก็บภาษีเช่นเดียวกับท่าน คงไม่มีโอกาสได้ใช้ดาบอาทมาตดอกขอรับ”

“มิเป็นไร ขอเพียงเอ็งอยู่ในศีลในธรรม ข้าก็ดีใจมากแล้ว” พระครูหันไปพยักหน้าให้พุ่ม พุ่มลุกไปหยิบดาบสองมือสองคู่ยื่นให้ “ข้าให้พวกเอ็ง รับไปเถิด มิว่าเอ็งจะได้ใช้หรือไม่ ก็ถือเสียว่าเป็นเครื่องเตือนใจว่า ดาบหรือความรู้อื่นใดก็ดี สำคัญที่การนำไปใช้ หากเอ็งใช้ในทางเป็นคุณ ก็จะเป็นประโยชน์แก่เอ็งเอง แต่หากเอ็งใช้ในการเบียดเบียนผู้อื่น ก็จะกลายเป็นโทษแก่เอ็งได้เช่นกัน”

ทั้งเหมและสมิงสอดน้อยก้มกราบพระครูยมพร้อมกัน เหมจับดาบคู่ขึ้นดูอย่างภาคภูมิใจที่ตนสำเร็จวิชาดาบจนได้แล้วเหมก็ให้บุษย์เอาดาบไปเก็บให้ดีอย่าให้เจ้าคุณพ่อเห็นเป็นอันขาด บุษย์รับรองว่าแม้แต่เรื่องที่เหมเรียนดาบนอกจากตนแล้วก็ไม่มีใครที่เรือนล่วงรู้แน่นอน

รับดาบไปแล้วบุษย์ให้เหมกลับเรือนไปก่อนตนจะไปหาแม่แสงเนยเพราะไม่เจอกันนานวันแล้วคิดถึงเหลือเกิน ฝากเหมว่า “หากเจอพ่อกระผม บอกว่ากระผมจะกลับไปตอนค่ำนะขอรับ” เหมส่ายหน้าบุษย์ที่ทำกรุ้มกริ่มพึมพำขำๆ

“อ้ายบุษย์ อ้ายเจ้าชู้” แต่แล้วก็หน้าซึมเมื่อนึกได้ว่าตัวเองก็ไม่ได้เจอบัวมานานแล้วเหมือนกัน

ooooooo

เหมไปหาบัวแต่เจอลำดวนปิดตาวิ่งไล่จับหุ่นกับบ่าวและไพร่ผู้หญิงอยู่ เลยถลำไปจับเหมกอดเข้าเต็มมือแต่ลำดวนมิได้คิดกระไรเพราะนับถือเหมเป็นพี่ชายอยู่แล้ว เมื่อเหมถามว่าบัวอยู่เรือนหรือไม่ ลำดวนตอบขำๆ ก่อนวิ่งขึ้นเรือนไปว่า

“ไม่อยู่หรอกเจ้าค่ะ”

พอเหมไปเจอบัวบนเรือนถูกบัวหัวเราะขำที่เหมถูกลำดวนหลอกก็ตัดพ้อว่าถูกลำดวนเย้าแล้วยังถูกบัวเยาะอีก ขณะหนุ่มสาวตัดพ้อต่อว่ากันตามประสานั้น ทาสหญิงคนหนึ่งยกสำรับอาหารว่างมาให้ บัวบอกว่าของว่างมาแล้วรับเสียหน่อยสิ

ทาสหญิงคนนั้นชำเลืองสังเกตเหมกับบัวตลอดเวลาท่าทางมีเลศนัย

ที่แท้ทาสหญิงคนนั้นเป็นสายที่หลวงสรอรรถวางไว้สืบการเคลื่อนไหวของเหมกับบัว เมื่อทาสหญิงคนนั้นไปรายงานหลวงสรอรรถก็ได้รับเงินรางวัลโยนมาให้ พอทาสหญิงคนนั้นหยิบถุงเงินและขอลากลับลุกไปก็เจอกัปตันเดวิดเดินเมามาคว้าไปกอด ทาสหญิงโวยวายผลักกัปตันเดวิดออกแล้ววิ่งหนีไป

ลูกน้องหลวงสรอรรถตำหนิว่าวิลาศคนนี้ช่างทรามแท้ผิดจากวิลาศคนอื่นเหลือเกิน

“อ้ายกัปตันเดวิด มันถือว่าลุงมันเป็นทหารใหญ่ในกองทัพวิลาศ ไม่มีใครกล้าทำกระไรมัน มันถึงได้...” พลันหลวงสรอรรถก็หยุดกึกฉุกคิดแผนขึ้นได้ ยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์

เมื่อทาสหญิงคนนั้นมารายงานและลูกน้องก็ยุว่าขนาดเหมไปอยู่วัดห่างกันนานบัวก็ยังมีใจให้ หากได้ใกล้ชิดกันกว่านี้เห็นทีคุณหลวงจะหมดหวัง หลวงสรอรรถจึง วางแผนไปหาขุนนาฏเพื่อจ้างให้ขุนนาฏนำคณะละครไปแสดงในงานสมโภชพระเจดีย์ เมื่อขุนนาฏแจ้งว่ารับงานไว้เต็มแล้ว หลวงสรอรรถก็บ่นเสียดายแทนชาวบ้านที่ไม่มีบุญได้ชมละครของขุนนาฏ จนในที่สุดขุนนาฏรับงานไว้

เหมชวนบัวว่าหากวันนี้บัวไม่มีกิจอันใดก็จะขอ อนุญาตท่านขุนพาไปเที่ยวทะเลกัน บัวหน้าจ๋อยบอกว่าพ่อท่านรับปากหลวงสรอรรถแล้วว่าจะไปแสดงงาน
สมโภชพระเจดีย์ ตนคงต้องอยู่ซ้อมเพิ่ม เมื่อบัวไปไม่ได้ลำดวนก็ยิ้มอย่างมีแผนการ ในที่สุดเหมก็ต้องพาลำดวนไปเที่ยวชายทะเล

แต่เพราะไม่มีบัวมาด้วย เหมจึงมิได้เล่นน้ำเก็บเปลือกหอยกับลำดวน ปล่อยลำดวนเดินเก็บเปลือกหอยตามลำพังจนไปเจอโจรกำลังลักลอบขนฝิ่น ลำดวนถูกจับไปแม้โจรจะดูออกว่าไว้ผมยาวแต่งตัวอย่างลำดวนต้องเป็นนางรำในสำนักใดสำนักหนึ่งแต่เมื่อมารู้เห็นความลับของตนอย่างไรเสียก็ต้องฆ่าปิดปาก

แต่พอมันเงื้อดาบ เหมก็ถือไม้วิ่งเข้าหาพวกโจร เหมใช้วิชาไม้พลองเข้าสู้ ไล่ฟาดจนพวกโจรแตกกระเจิง โจรคนหนึ่งหยิบดาบคู่ของลูกน้องขึ้นมาใช้ดาบสองมือรำเพลงดาบอาทมาตเข้าใส่เหมทันที

“ดาบอาทมาต” เหมอุทานตกใจถูกโจรฟันไม้ในมือขาดเป็นสองท่อน เหมเลยใช้ไม้สองท่อนในมือต่างดาบ ใช้เพลงดาบอาทมาตเข้าสู้บ้าง โจรเห็นก็ตกใจแตกกันไม่เป็นขบวน จนเหมใช้ไม้ฟาดหัวหน้ามันสลบ ลำดวนกัดมือโจรที่จับตนจนมันปล่อยจึงวิ่งมาหาเหม โจรตกใจจะวิ่งหนีก็ถูกพระยาปลัดคุมทหารเข้ามาจับกุมไว้

“จับพวกมันให้หมด” พระยาปลัดตะโกน โจรถูกทหารจับได้หมด เหมกับลำดวนเห็นโจรถูกจับได้หมดก็โล่งใจ

ooooooo

ตกค่ำพระยาปลัดเดินออกมาส่งเหมกับพระยาบริรักษ์ที่หน้าเรือน เอ่ยชมว่านี่ขนาดเหมไม่ได้ตั้งใจยังช่วยจับโจรค้าฝิ่นได้ หากเหมมารับราชการช่วยตนคงจับโจรผู้ร้ายได้อีกมากนัก

พระยาบริรักษ์บอกว่าตนมีลูกชายคนเดียวให้ก้าวหน้าในราชการด้วยการเก็บภาษีค่าขนอนตามอย่างตนเถิด แต่ท่านก็ฉงนว่า “เพียงแต่ฉันไม่เข้าใจว่าเจ้าเหมมันเก่งกล้าถึงขนาดช่วยท่านเจ้าคุณได้อย่างไร” เหมรีบเบี่ยงเบนว่าตนแค่เป็นห่วงลำดวนเลยสู้สุดใจเท่านั้นมิได้เก่งกาจอะไรดอก

ส่งพระยาบริรักษ์กับเหมลงเรือนไปแล้ว พระยาปลัดกลับไปพบกับหลวงสรอรรถที่เดินออกมาจากในเรือน ถามว่าโจรค้าฝิ่นให้การว่าอย่างไรบ้าง

“ฉันกำลังทรมานมันอยู่ ไม่ต้องกลัว พวกมันต้องเปิดปากแน่ มิว่าผู้ใดก็ตามที่คิดค้าฝิ่นแข่งกับคุณหลวง ฉันต้องกำจัดมันทิ้ง มิให้เป็นเสี้ยนหนามดอก”

ที่ในป่า เรืองหัวหน้าโจรสู้กับพวกทหารอย่างดุเดือด แต่เพราะกำลังน้อยกว่าและถูกฆ่าไปมาก เรืองแค้นมากประกาศว่า “อ้ายหลวงสรอรรถ อ้ายขุนนางขี้ฉ้อ แค้นนี้กูต้องชำระด้วยชีวิต” พลันลูกน้องคนหนึ่งก็ถูกธนูยิงที่ซอกคอล้มตายไปต่อหน้า เรืองตกใจสั่งลูกน้องให้ตามมา ตนจะเปิดทางให้เอง แล้วเรืองก็เปิดทางพาลูกน้องแหวกวงล้อมหนีไปได้

เหมกลับมาเล่าให้พระครูยมฟัง พระครูยมเชื่อว่าศิษย์ของท่านบ้างตายบ้างรับราชการที่จะไปค้าฝิ่นนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่เหมยืนยันว่าที่ตนเห็นเป็นวิชาดาบอาทมาตไม่ผิดแน่ พระครูทบทวนแล้วบอกว่าอาจเป็นวิชาดาบอาทมาตใต้ก็เป็นได้

พระครูยมเล่าให้ฟังว่า

“ข้าเองก็ไม่เคยเห็นกับตาดอก แต่ครูข้าเคยเล่าให้ฟังว่า ครั้งแผ่นดินพระเจ้าทรงธรรม มีครูดาบอาทมาตสองคนชื่อครูเสือกับครูทองได้ประลองวิชากันที่พิษณุโลกสองแคว...”

เป็นเหตุการณ์เมื่อ 100 กว่าปีก่อน การประลองวิชากันครั้งนั้นครูเสือเป็นฝ่ายชนะ แต่ครูทองไม่ยอมแพ้หลบไปอยู่นครศรีธรรมราช เพื่อฝึกวิชาดาบแลบัญญัติลูกไม้ท่าเพลงเพิ่มเติมเพื่อหวังกลับมาเอาชัยล้างอาย...แต่ครูทองก็ไม่มีโอกาสล้างอายเพราะพอกลับมาพิษณุโลกครูเสือก็สิ้นใจตายไปแล้ว ครูทองเลยกลับไปอยู่นครศรีธรรมราช วิชาดาบอาทมาตจึงแบ่งเป็นอาทมาตเหนือกับอาทมาตใต้นับแต่บัดนั้น

เล่าเรื่องเมื่อ 100 กว่าปีก่อนเกี่ยวกับดาบอาทมาตเหนือและอาทมาตใต้แล้ว พระครูยมย้ำว่า

“จะเหนือหรือใต้ก็มาจากรากเหง้าเดียวกัน มิว่าจะมีกระบวนเพลงสูงส่งร้ายกาจเพียงใด ก็ไม่สำคัญเท่าหัวใจอันเป็นแก่นแท้ของดาบอาทมาตดอก เมื่อเอ็งถ่องแท้ในวิถีแห่งดาบแล้ว สิ่งอื่นใดย่อมไร้ความหมายทั้งสิ้น”

ooooooo

ลำดวนกลับมาคุยฟุ้งให้ขุนนาฏฟังว่าเหมเก่งมาก สู้กับโจรบุกซ้ายซ้ายแตก บุกขวาขวาแตก ทั้งยังออกท่าออกทางเล่าอย่างสนุกสนานด้วย

ขุนนาฏฟังแล้วพูดขำๆว่าเหมไม่ใช่นักรบที่ไหน ชะรอยพวกโจรจะเป็นพวกติดฝิ่นไร้เรี่ยวแรงเสียมากกว่ากระมัง

ในงานสมโภชเจดีย์มีผู้คนมาเที่ยวกันคึกคักมากมาย ที่สำคัญหลวงสรอรรถพากัปตันเดวิดขี้เมามาด้วยอย่างมีแผน

เมื่อเริ่มเปิดงานลำดวนเป็นคนขึ้นไปรำโชว์ก่อน เดวิดไปเกาะอยู่ขอบเวที เมื่อลำดวนรำมาใกล้มันก็กระชากลำดวนไปกอดอย่างเมามัน ทุกคนตะลึงพรึงเพริดกับการกระทำต่ำทรามนั้น

เหมพุ่งเข้าไปชกเดวิดอย่างแรง พระยาบริรักษ์ที่นั่งอยู่หน้าเวทีก็เข้าไปต่อยหน้าเดวิดจนคว่ำไปด้วย

ขณะพระยาปลัดกำลังต้อนรับคุณชายช่วงที่มางานโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้านั้น ลูกน้องวิ่งมารายงานว่าเกิดเรื่องใหญ่แล้วพระยาบริรักษ์กับเหมชกหน้ากัปตันเรือของพวกวิลาศคว่ำไปแล้ว

กัปตันเดวิดให้ลุงซึ่งเป็นนายทหารใหญ่โตนำทหารมาข่มขู่เหมและพระยาบริรักษ์ ด่าเป็นภาษาอังกฤษที่ชาวบ้านฟังไม่รู้เรื่อง ครั้นพระยาปลัดให้ไปตามล่ามก็ไม่มีล่ามเหลืออยู่ในปากน้ำแม้แต่คนเดียว เพราะหลวงสรอรรถวางแผนจ้างล่ามไปทำงานนอกเมืองปากน้ำจนหมด หากเกิดเรื่องวุ่นวายพูดจากันไม่รู้จะได้ถึงเลือดตกยางออกกัน

ลุงของกัปตันเดวิดฉุนเฉียวเกรี้ยวกราดสั่งให้ทหารยกปืนเล็งใส่ชาวบ้าน ทำให้ชาวบ้านพากันตื่นกลัว พวกมันก็ยิ่งกำแหง พระยาบริรักษ์ลุกขึ้นตวาดอย่างสุดทนว่า

“พวกมึงผิดแล้วยังคิดจะขู่อีกรึ ก็เอาสิวะ” แล้วเดินเข้าหาจะเอาเรื่อง เหมรีบเข้าไปเจรจาภาษาอังกฤษว่า

“พวกเราไม่ใช่ฝ่ายผิด หลานท่านลวนลามผู้หญิงก่อนเราถึงต้องปกป้องศักดิ์ศรีของเรา”

หลวงสรอรรถตกใจไม่คิดว่าเหมจะพูดภาษาอังกฤษได้ พระยาบริรักษ์เองก็เสียหน้าที่ตนเป็นคนเกลียดฝรั่งมากแต่ลูกชายกลับพูดภาษาอังกฤษได้คล่อง มีแต่คุณชายช่วงที่ทึ่งแกมยินดียิ่งเพราะอยากเจอคนไทยที่พูดภาษาอังกฤษได้นานแล้ว

เมื่อเดวิดไม่ยอมรับว่าตนลวนลามลำดวน เหมจึงท้าเป็นภาษาอังกฤษว่า

“ถ้าอย่างนั้นท่านกล้าสาบานต่อหน้าพระคัมภีร์ไบเบิลหรือไม่ว่าท่านไม่ได้ลวนลามผู้หญิง” เดวิดไม่กล้าสาบาน ลุงของเดวิดจึงสั่งทหารให้เอาปืนลง
บรรยากาศคลี่คลายทันที ทุกคนมองเหมทึ่งที่แก้ไขสถานการณ์ได้ กระนั้นพระยาบริรักษ์ก็ยังเคืองเหมที่พูดภาษาอังกฤษที่ตนต่อต้านรังเกียจ จนคุณชายช่วงขอร้องว่า “ท่านเจ้าคุณอย่าเคืองเหมเลย ในกาลภายหน้าภาษาวิลาศจะเป็นสิ่งสำคัญนัก แม้แต่ดีฉันก็ยังต้องเรียนจากพวกมิชชันนารี เพียงแต่ยังไม่คล่องแคล่วเท่าพ่อเหมเท่านั้น”

เหมดีใจที่คุณชายช่วงมีความคิดเห็นเช่นเดียวกับตน คุณชายช่วงบอกว่ามิใช่แต่ภาษา แต่วิชาความรู้ของพวกวิลาศตนก็สนใจ ระหว่างที่ตนอยู่ปากน้ำหากเหมว่างก็แวะเวียนไปหาบ้างตนมีเรื่องจะพูดคุยกับเขามากมาย ทั้งยังบอกพระยาบริรักษ์กับคุณหญิงชมว่า

“หากลูกชายคนนี้ของท่านบวชเรียนเมื่อใด วานส่งคนไปแจ้งข่าวดีฉันที่พระมหานครที ดีฉันตั้งใจจักใคร่ขอร่วมเป็นโยมอุปัฏฐาก”

คุณหญิงดีใจมากบอกเหมให้รีบกราบคุณชายช่วง เพราะคุณชายช่วงเป็นโยมอุปัฏฐากก็เหมือนขอตัวเหมไปรับราชการ พูดอย่างปลื้มปีติว่า “คุณชายช่วงรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท ถ้าพ่อเหมได้รับใช้พระพุทธเจ้าอยู่หัวก็ถือว่าเป็นสุดยอดของชีวิตแล้ว ดีเสียกว่ารับใช้ท่านเจ้าพระยาหรือเจ้านายพระองค์อื่นเสียอีก โธ่...พ่อคุณของแม่ ได้ดีเพราะภาษาวิลาศแท้ๆ” แต่พระยาบริรักษ์กลับหน้าบึ้งตึงเดินผละไป เหมมองตามไปอย่างไม่สบายใจที่ขัดใจเจ้าคุณพ่อ

ooooooo

คุณหญิงชมตามไปถามพระยาบริรักษ์ว่า “เพลานี้ ทั้งคุณชายช่วง ท่านเจ้าพระยาพระคลัง หรือแม้แต่สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว ยังต้องเกรงวิลาศเพราะเหตุใดหรือเจ้าคะ เพราะกองทัพของพวกวิลาศแข็งแกร่งนัก ยิ่งอาวุธของพวกมันยิ่งร้ายกาจอย่างที่บ้านเมืองเราเทียบไม่ได้เลย ถ้าเช่นนั้น หากเรายังถือตัว ไม่เรียนรู้ภาษาแลวิชาความรู้ของวิลาศอีก สยามก็จะยิ่งเทียบวิลาศไม่ได้ แล้วเราจะแพ้วิลาศเหมือนพม่าหรือไม่เจ้าคะ”

พระยาบริรักษ์นิ่งไปกับเหตุผลของคุณหญิง คุณหญิงยิ้มบางๆ รู้ว่าสามีเป็นคนหัวรั้นแต่ก็ใช่จะไร้เหตุผลเสียเลย

ooooooo

ข้าบดินทร์

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด