สมาชิก

หัวใจปฐพี

ตอนที่ 1

อัลบั้ม: ทีวีซีนส่งละครแนวอนุรักษ์ป่าไม้ "หัวใจปฐพี"

ค่ำคืนหนึ่ง ในปี พ.ศ.2535

ที่บ้านพักเจ้าหน้าที่ป่าไม้กลางผืนป่า พิภพ คุณเดช ข้าราชการป่าไม้ผู้ซื่อสัตย์ เข้าบ้านพักมาอย่างรีบร้อน ลุกลี้ลุกลน ในมือกอดซองสีน้ำตาลไว้แน่น เขาตรงไปที่เครื่องโทรศัพท์ หมุนหมายเลขอย่างเร็ว พูดกับปลายสายเสียงสั่นรัว

“ฉันได้หลักฐานมาแล้ว รีบมารับด้วย” พูดจบก็วางโทรศัพท์ หันมองหาที่ซ่อนเอกสารอย่างร้อนใจ แต่เหลือบเห็นจดหมายฉบับหนึ่งที่โต๊ะ เขาหยิบอ่านแล้วตกใจผงะ วิ่งออกไปหน้าบ้านพักมองไปที่ยอดเขา เห็นไฟป่ากำลังลุกลามอยู่บนเขา พิภพตกใจสุดขีด!

พิภพเอาผ้าชุบน้ำปิดจมูก กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปยังจุดที่ไฟกำลังโหมไหม้ พยายามมองหาใครบางคน แต่ข้างหลังเขามีชายชุดดำสี่ห้าคนใส่หน้ากากกันพิษเดินมาล้อมเขาไว้ หนึ่งในนั้นถอดหน้ากากออก พิภพอุทานอย่างไม่อยากเชื่อ

“แกเองเรอะ! แกคือเอเดน!”

วินาทีนั้นเสียงปืนดังกัมปนาทไปทั้งป่า นกแตกรังฮือ!

ณ อนุสรณ์สถานเจ้าหน้าที่ป่าไม้ อธิบดียิ่งยศและถาวรเพื่อนสนิทของพิภพกับเด็กชายพสุ หรือดินในวัย 8 ขวบ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ป่าไม้จำนวนหนึ่ง ต่างเอาดอกไม้มาวางไว้หน้าแทนชื่ออนุสรณ์สีดำที่จารึกไว้ว่า

“อนุสรณ์ นายพิภพ คุณเดช เจ้าหน้าที่ป่าไม้ เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ 25 เมษายน 2535”

ถาวรเหลือบเห็นพสุมองแท่นอนุสรณ์ด้วยสีหน้าเศร้าหมอง เขาย่อตัวลงจับไหล่ทั้งสองข้างของพสุ ปลูกฝังจิตใจหนูน้อยว่า

“ดิน ฟังพ่อให้ดีนะ ลุงภพเป็นข้าราชการที่ดี รักแผ่นดิน รักผืนป่า พ่อเชื่อว่าลุงภพต้องไม่เสียใจ ที่ลุงได้เสียสละชีวิตเพื่อปกป้องสิ่งที่เขารัก”

พสุปาดน้ำตามองป้ายชื่อพิภพอย่างชื่นชมแววตามุ่งมั่นตั้งปณิธานว่า

“โตขึ้น ผมอยากเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้เหมือนลุงครับพ่อ”

นี่คือรากเหง้า “หัวใจปฐพี” ที่ปลูกฝังขึ้นจากการเสียสละท่ามกลางผืนป่ากว้างใหญ่ไพศาลของแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์

ooooooo

ที่ประเทศออสเตรเลีย

“ภูริช สุทธิรัตนากร” หนุ่มไทยลูกชายนายเกริกนายทุนชาวไทยกับภรรยาน้อย เขาเรียนหลักสูตรรักษาความปลอดภัยโดยเฉพาะจากต่างประเทศ จนเชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ทั้งด้วยมือเปล่าและอาวุธ

บ่ายนี้ ภูริชสะพายเป้เดินมาบนทางเปลี่ยว ถูกแก๊งอันธพาลจากหลายชาติมาดักรออยู่ ภูริชเดินเลี่ยงไปอย่างไม่อยากมีเรื่อง ถูกหนึ่งในแก๊งอันธพาลเดินมาขวางหน้า อีกหลายคนตามมาล้อมกรอบเขา มันรุมทำร้าย แต่ภูริชหลบหลีกได้ เขาถอดผ้าพันคอมาเป็นอาวุธ ตวัดรัดคอคู่ต่อสู้อย่างช่ำชอง

พวกอันธพาลหมาหมู่ไร้ฝีมือ ถูกภูริชเล่นงานลงไปกองกับพื้นร้องโอดโอย พริบตานั้นหนึ่งในพวกมันชักปืนออกมายิง แม้เขาจะเอี้ยวตัวหลบแต่ก็โดนเฉี่ยวที่แขนจนได้เลือดทำให้เสียจังหวะ วายร้ายนั้นจ่อปืนใส่ภูริช ขณะมันกำลังจะเหนี่ยวไก ก็ถูกมีดเล่มหนึ่งปาใส่มือจนปืนหลุดกระเด็น พวกมันหันมองพร้อมกัน เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งตรงมาหาพวกมัน แล้วกระโดดเข่าลอยกระแทกเข้าที่ยอดอกจนมันลงไปกองกับพื้น

เขาคือ “พสุ ภูมิรักษา” เด็กชายดินเมื่อสิบกว่าปีก่อนนั่นเอง!

ภูริชกับพสุ ช่วยกันเล่นงานแก๊งอันธพาลจนหนีกระเจิงไปแล้ว ต่างหันมองหน้ากัน พสุถามว่า

“คนไทยใช่ไหมครับ”

“ครับ ขอบคุณมากครับ” ภูริชยิ้มให้พลางยื่นมือไปเช็กแฮนด์แนะนำตัวเอง “ผมภูริช”

“ผมพสุครับ” ต่างยิ้มให้กันอย่างเป็นมิตรนับแต่นั้น ภูริชและพสุก็กลายเป็นเพื่อนสนิทที่โคจรมาพบและช่วยเหลือกันในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน หลายเดือนผ่านไป พสุต้องเดินทางกลับไทย ทั้งสองพบกันในร้านกาแฟ ภูริชเอ่ยเศร้าๆว่า

“พี่ดินกลับเมืองไทย ผมคงเหงาแย่” พสุชวนกลับด้วยกันแนะไปเป็นตำรวจก็ได้ ภูริชเบ้หน้า “เป็นข้าราชการแบบพี่น่ะเหรอ พี่ก็รู้ว่าผมรักอิสระ ไม่ชอบอยู่กับที่” เห็นพสุกำลังจะเทศน์ ภูริชรู้แกวรีบดัก “วันสุดท้ายแล้ว อย่าบ่นนักเลยน่ะ ยังไงก็ติดต่อหาผมบ้างแล้วกัน”

“พี่ไม่ลืมเราแน่น้องรัก” พสุลุกขึ้นยื่นมือไปจับมือภูริชเท่ๆ ตามแบบที่รู้กันสองคน ภูริชสวมกอดพสุ อวยพรให้โชคดี พสุตบบ่าเขาอวยพร “เช่นกันน้อง”

พสุกลับมาอยู่ที่บ้านถาวรผู้เป็นพ่อ เขายืนมองต้นไม้ใหญ่โตเต็มที่ ใบและกิ่งก้านสมบูรณ์แข็งแรงมาก ที่โคนต้นมีขอนไม้ที่นำมาทำเป็นเก้าอี้ สลักชื่อสามคนคั่นด้วยรูปหัวใจ

“ถาวร-แสงสุดา-พสุ” มีภาพแกะสลักคร่าวๆ เป็นรูปพ่อ แม่ ลูกจูงมือกันดูน่ารัก

พสุแหงนมองต้นไม้ที่พ่อปลูก พูดกับต้นไม้ราวกับพูดกับพ่อด้วยสายตามุ่งมั่นว่า...

“ผมกลับมาแล้วครับพ่อ ผมจะกลับมาสานต่ออุดมการณ์แทนพ่อเอง”

ooooooo

จากภาพถ่ายดาวเทียม แสดงให้เห็นถึงพื้นที่ป่าถูกทำลายอย่างน่าใจหาย ป่าไม้ถูกผู้ลักลอบตัดไม้จนเตียนโล่ง ฝนตกพายุกระหน่ำ น้ำป่าไหลหลากพังบ้านเรือนเสียหาย ชาวบ้านประสบภัยน้ำท่วมเดือดร้อนแสนสาหัส

นี่คือสภาพของ “ภูสรวง ปี พ.ศ.2557”

การกวดขันปราบปรามผู้ลักลอบตัดไม้ทำลายป่า ดำเนินไปอย่างเข้มงวด โดยมีภาคิน แสงสุภาพ เจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจ NFRD: National Forest Ranger Department ร่วมทีมด้วย

ค่ำนี้หน่วยเฉพาะกิจออกปฏิบัติการ โดยมี ทิชา เจ้าหน้าที่พิเศษในกรมฯ ผู้เชี่ยวชาญด้าน IT คอมพิวเตอร์ระบบดาวเทียม จีพีเอส ทำหน้าที่หาข้อมูลให้ทีม เธอมองจอคอมพิวเตอร์ เห็นจุดที่เจ้าหน้าที่กำลังมุ่งตรงไปและเห็นพวกลักลอบตัดไม้กำลังมุ่งตรงมาจากอีกทาง เธอแจ้งผ่านทางหูฟังแก่ภาคินเสียงเครียด

“เป้าหมายกำลังมา”

ภาคินพยักหน้าให้พสุรู้ว่าเป้าหมายกำลังมา ครู่เดียวก็ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์ดังแว่วมา

นายแดงผู้ลักลอบตัดไม้กำลังสั่งลูกน้องให้ขนไม้มาที่ตีนเขา พสุส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่บุกเข้าล้อมจับ เจ้าหน้าที่ทั้งหมดเล็งปืนไปที่นายแดงและลูกน้อง นายแดงขยับจะจับปืนที่เอว ถูกพสุยิงปืนขึ้นฟ้าขู่มันเลยไม่กล้าขยับ

พสุเดินเข้าหานายแดงเพื่อสืบถามคนที่อยู่เบื้องหลัง พริบตานั้นมีแสงอินฟราเรดสีแดงส่องมาที่หัวใจลูกน้องนายแดง แล้วลูกน้องนายแดงก็โดนยิงล้มลงท่ามกลางความตกใจของทุกคน พสุ ภาคินและเจ้าหน้าที่รีบก้มตัวหลบแสงอินฟราเรดทันที

ทิชาอยู่ในรถตู้ เธอได้ยินเสียงปืนก็รัวแป้นส่งข่าว เธอซูมเห็นจุดที่เป็นสัญลักษณ์พวกลักลอบยิง เธอรีบรายงานพสุ

“พวกมันอยู่ที่สามนาฬิกา”

พสุยิงไปตามทิศที่ทิชาบอกอย่างรวดเร็วแม่นยำ ภาคินกับเจ้าหน้าที่อื่นระดมยิงตาม ไม่นานเสียงปืน

ฝ่ายนั้นก็เงียบไป ทิชารายงานว่า “พวกมันไปแล้ว” พสุส่งสัญญาณให้ภาคินกับพวกรู้ว่าปลอดภัยแล้ว พวกเขาต่างลุกยืน พสุมองไปยังจุดพวกลักลอบยิงอย่างสงสัยว่า พวกมันเป็นใคร?

ooooooo

รุ่งขึ้นที่กรมอุทยานมีการแถลงข่าวโดย “ท่านอธิบดียิ่งยศ รักษ์บำรุงกร อธิบดีกรมอุทยานฯ” มีนักข่าวมามากมาย คนหนึ่งถามว่า หัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจของท่านทำงานบุกลุยทุกพื้นที่ขนาดนี้ ท่านไม่กลัวมีเรื่องกับผู้มีอิทธิพลในพื้นที่หรือ?

“ถ้ากลัว ผมคงไม่ตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจนี้ขึ้นมาหรอกครับ” อธิบดีตอบห้วนๆ ชัดเจน

นักข่าวสาวอีกคนถามว่า “ได้ข่าวว่าคนในทีมย้ายออกไปจนเหลือไม่กี่คนเพราะโดนนายทุนกดดันจริงไหมคะ?”

“ถึงหน่วยงานผมจะมีเพียงไม่กี่คน แต่ผมมั่นใจว่าจะสามารถรับมือกับพวกนายทุนได้แน่นอน ทุกวันนี้ปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าทวีความรุนแรงขึ้นทุกที ถ้าไม่มีใครคิดจะทำอะไรอย่างจริงจัง ต่อไปประเทศไทยคงไม่มีป่าไม้เหลือไว้ให้ลูกหลาน ต่อให้ยากลำบาก โดนข่มขู่คุกคามแค่ไหน ผมมั่นใจว่าทีมของผมจะลากเอาตัวคนผิดมาลงโทษให้ได้”

นายแดงถูกจับมาสอบสวนว่าใครเป็นคนจ้างให้มาตัดไม้ นายแดงกลัวจนตัวสั่นบอกว่าตนไม่รู้เพราะเป็นแค่คนรับจ้างตัดไม้ให้นายใหญ่เท่านั้น พสุถามทันทีว่า “แล้วนายใหญ่เป็นใคร?”

“ไม่รู้ ไม่เคยมีใครเห็นหน้านายใหญ่ ใครเห็นหน้านายใหญ่จะต้องตาย ข้ารู้แค่นี้”

จากปากคำของนายแดง ทำให้พสุเชื่อว่านายแดงคงรู้แค่นี้จริงๆ เขาฝากลุงสมให้จัดการกับนายแดงตามกฎหมายด้วย

ลุงสมถามพสุยิ้มๆว่าย้ายไปอยู่กับท่านยิ่งยศเป็นอย่างไรบ้าง พสุยิ้มขำๆบอกว่าดี ไม่ต้องโดนเด้งย้ายไปย้ายมาเพราะไปขัดหูขัดตาคนใหญ่คนโตที่ไหนอีก พสุเดินออกไป เขาไม่ทันสังเกตว่ามีรถกระบะคันหนึ่งมาจอดซุ่มดูอยู่

ในรถกระบะ ตุลย์ลูกน้องคนสนิทของเรนเป็นคนขับพาเรนมาสังเกตการณ์ ตุลย์ชี้ให้เรนดูพสุ เล่าว่า

“มันชื่อพสุ เป็นหัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจของอธิบดี นายใหญ่สั่งให้จับตาดูไว้ให้ดี” เรนมองพสุอย่างพินิจ พิจารณาเห็นถึงท่าทางมุ่งมั่นเอาการเอางานของเขา

ตุลย์ถามขึ้นว่า “แล้วคนที่ทำข่าวรั่วจะให้จัดการเลยไหมครับ”

เรนพยักหน้าตายังจ้องพสุ จนเขาสังหรณ์ใจหันมอง ก็ไม่เห็นอะไรเพราะตุลย์ขับรถออกไปแล้ว

ooooooo

ตุลย์กับเรนไปสอบลูกน้องคนหนึ่งที่ถูกมัดอยู่ พอเห็นทั้งสองมันคุกเข่าร้องขอชีวิต เรนยกปืนเล็งใส่มันกลัวจนตัวสั่น เรนเหนี่ยวไกช้าๆ พอสิ้นเสียงปืนปรากฏว่าเรนแค่ยิงเฉี่ยวหูเลือดออกซิบๆเท่านั้น

เรนสั่งให้มันหนีไปกบดานที่ชายแดนอย่ามาให้เห็นหน้าอีก ตุลย์ไม่พอใจ เรนยืนยัน “ฉันตัดสินใจแล้ว”

ตุลย์ติงว่าถ้านายใหญ่รู้ว่าเราปล่อยมันไปจะว่าเอาได้ กฎก็คือกฎต้องเก็บทุกคนที่ทำงานพลาด เรนหันมองหน้าถาม

“แล้วถ้าฉันพลาด นายจะเก็บฉันด้วยรึเปล่า” ตุลย์ไม่ตอบ เรนตัดบทว่า “ฉันจะคุยกับนายใหญ่เอง”

ขาดคำเรนเสียงปืนก็ลั่นเปรี้ยง ตุลย์ยิงลูกน้องคนนั้นตายคาที่ แล้วเก็บปืนพูดกับเรนว่า

“อย่าให้เราต้องเสียงานใหญ่เพราะความใจอ่อนของคุณ เรน...หน้าที่ของเราคือกำจัดทุกคนที่คิดจะเป็นศัตรูกับนายใหญ่” พูดแล้วตุลย์เดินออกไป เรนช็อก ทั้งตกใจและโมโหมากที่ตุลย์ฆ่าคนที่ตนสั่งปล่อย!

ooooooo

ที่ “มูลนิธิเดวิด บ้านสีเขียวของเรา” วันนี้มีงานฉลองครบรอบ 10 ปี มีผู้มาร่วมงานมากมายทั้งคนไทยและต่างชาติ

เดวิด เชอร์ล็อค ผู้ก่อตั้งมูลนิธิในชุดสีขาวท่าทางใจดี โอบอ้อมอารี กำลังพูดเปิดงานด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“ถึงผมไม่ใช่คนไทย แต่ผมก็รักผืนแผ่นดินไทย ผมจึงได้ตั้งมูลนิธินี้เพื่อตอบแทนประเทศที่มีพระคุณ

กับผม เป็นเวลานับสิบปี ที่มูลนิธิของเราทำโครงการเพื่อปกป้องผืนป่า ถึงแม้จะมีอุปสรรคมากมาย แต่ผมก็จะทำมูลนิธินี้ต่อไป จนกว่าประเทศไทยที่เปรียบเสมือนบ้านของผม จะกลับมาเขียวชอุ่มเหมือนเดิม”

เสียงปรบมือดังขึ้น พร้อมกับที่จุรีรัตน์ เชอร์ล็อคในชุดเรียบๆ แต่สวยสง่าถือช่อดอกไม้ไปให้เดวิดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ตามด้วยอาร์มในชุดสูทเท่ มีเอวาที่แต่งตัวทันสมัยเดินตามมา หลังจากให้ช่อดอกไม้และหอมแสดงความยินดีกันแล้ว เดวิดแนะนำว่า

“นี่ภรรยาสุดที่รักของผม คุณจุรีรัตน์ ส่วนนี่ลูกๆ ของผมครับ...นี่อาร์มลูกชายคนโต กำลังจะมาสานต่อธุรกิจของครอบครัว ส่วนนี่เอวา ลูกสาวคนเล็ก เพิ่งเรียนจบมาจากเมืองนอก จะมาดูแลมูลนิธิเดวิดต่อจากผม ในโอกาสครบรอบปีที่ 10 ในวันนี้ ผมขอเริ่มงานของมูลนิธิด้วยโครงการฟื้นฟูป่าต้นน้ำภูสรวง”

เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้ง เดวิดยิ้มแย้มยินดีกับเสียงปรบมืออยู่บนเวที...

เดวิดไปเข้าห้องน้ำ ขณะออกมาล้างมือ เขาไม่ได้สังเกตว่ามีคนเข้ามา แต่พอจะออกไป เขาชะงักกึกเมื่อเห็น ศักดิศร คมสรวง เจ้าของภูสรวงรีสอร์ทมายืนยิ้มกวนๆ อยู่ระหว่างลูกน้องสองคนของเขา ศักดิศรเดินเข้ามาหาเดวิด พูดเสียงแข็ง

“หยุดโครงการที่คิดจะทำที่ภูสรวงซะ จะสร้างภาพทำดีที่ไหนก็ไป แต่อย่ามายุ่งกับที่ที่ภูสรวง”

เดวิดมองศักดิศรอย่างเป็นต่อ พูดอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “ตอนนี้ทีมเฉพาะกิจของท่านยิ่งยศจับพวกค้าไม้ได้แล้ว อีกไม่นานก็คงจะรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง”

“คนอย่างกู ไม่โง่ให้สาวถึงตัวได้ง่ายๆหรอก” ศักดิศรจ้องเดวิดเขม็ง แต่เดวิดเฉย เขาเลยหัวเสียเดินออกไป เดวิดมองตามหน้าเครียด

ooooooo

บ่ายวันนี้ ที่กรมอุทยาน อธิบดียิ่งยศเรียกประชุมพสุ ภาคิน และทิชา มีเอกสารกองบนโต๊ะ

พสุเอ่ยขึ้นว่าดูเหมือนพวกมันจะรู้ทันเลยส่งคนตามไปเก็บทั้งลูกน้องมันและสายของเรา พสุเอ่ยแสดงความเสียใจว่า

“ผมขอโทษนะครับ ยังสืบไปไม่ถึงไหน” แต่อธิบดีชมว่าทุกคนทำงานได้ดีแล้ว ทิชาก็เห็นว่าคนเรามีแค่นี้ ยึดของกลางได้ขนาดนี้ถือว่าสุดยอดแล้ว

ภาคินเอาข้อมูลที่ได้จากที่เกิดเหตุ ดูจากวิถีกระสุน ลักษณะอาวุธแล้วเชื่อว่ามันเป็นพวกมืออาชีพ ทิชาเสริมว่ามันต้องเป็นคนที่เชี่ยวชาญพื้นที่ด้วย แล้วทั้งทิชาและภาคินก็มีความเห็นพ้องกันว่า คนในพื้นที่ที่จะทำอะไรขนาดนี้ได้ก็มีแต่ศักดิศร!

“ยังไม่มีหลักฐานอะไรโยงใยถึงเขา พวกเรายังด่วนสรุปไม่ได้หรอก ตอนนี้สมกำลังตีสนิทกับคนในพื้นที่อยู่ คิดว่าเร็วๆนี้คงได้ข้อมูลเพิ่ม” อธิบดีติงแล้วมองหน้าทิชากับภาคิน “การจับกุมครั้งนี้คงสร้างความไม่พอใจให้กับนายใหญ่มาก ขอให้ทุกคนระวังตัวกันให้มากขึ้น”

“ผมไม่กลัวตายหรอกครับท่าน ผมต้องจับนายใหญ่มารับโทษให้ได้” พสุเอ่ยอย่างมุ่งมั่นมาก

ค่ำนี้เอง ขณะพสุวิ่งออกกำลังกาย เขารู้ตัวว่ามีไอ้โม่งถือไม้จ้องทำร้ายอยู่ เมื่อมันพุ่งเข้าเอาไม้ฟาด พสุจึงรับมือทัน เขาใช้ศอกฟันหน้ามันจนล้ม อีกคนพุงเข้ามา พสุกระโดดหลบแล้วแย่งไม้กับมัน ถูกมันแย่งไม้ไปได้เงื้อจะฟาดกลางหลังเขา

จังหวะนั้นเอง ภูริชโผล่มาเตะไม้มันกระเด็นแล้วจับมันทุ่มลงกองกับพื้น พสุตั้งหลักได้พอเห็นภูริชก็ทักดีใจว่ามาได้ยังไง แต่ไม่มีโอกาสพูดกันเพราะคนร้ายทั้งสองกรูกันเข้ามา ทั้งพสุและภูริชจึงหันไปเล่นงานมันจนสะบักสะบอมพยุงกันหนีไป พสุกับภูริชหันมาเช็กแฮนด์กันด้วยมาดเท่ประจำตัว สวมกอดกันด้วยความดีใจ

ooooooo

พสุพาภูริชไปนั่งคุยกันที่บ้านพักจึงรู้ว่าภูริชกลับมาหลายวันแล้ว คิดจะมาเซอร์ไพรส์เขาแต่ก็มาความแตกเสียก่อน ภูริชถามว่าพวกนั้นเป็นใครหรือ ตนคิดว่ามีการปล้นจึงเข้าไปช่วยไม่คิดเลยว่าจะเป็นพสุ

ภูริชบอกว่าตนยังพักอยู่ที่โรงแรมไม่ได้บอกทางบ้านเพราะพวกเขาไม่สนใจหรอกว่าตนจะเป็นจะตายอย่างไร แล้วขอพักกับพสุ พสุยินดีมาก ภูริชถามว่าจะจ้างตนเป็นบอดี้การ์ดแลกกับที่พัก อาหารและค่าขนมนิดหน่อยไหม พสุเสนอให้มาทำงานด้วยกันเลย เพราะท่านอธิบดีกำลังหาคนเก่งฝีมือดีมาร่วมงานอยู่พอดี

“ไม่ดีกว่า กฎระเบียบเยอะ คนรักอิสระอย่างผมคงอยู่ยาก ขออยู่แบบนี้ดีกว่า”

“ไม่ต้องเป็นข้าราชการ แค่เป็นลูกจ้างพิเศษไปก่อน ถ้าไม่ชอบค่อยลาออกก็ได้”

ภูริชยังไม่ตัดสินใจ ก็พอดีมือถือของพสุดังขึ้น พอดูเบอร์แล้วเขารีบกดรับ “ว่าไงครับลุงสม...ได้หลักฐานแล้ว...ครับ ผมจะรีบออกไปเดี๋ยวนี้เลย”

ลุงสมกอดซองเอกสารไว้อย่างระมัดระวัง นั่งรอพสุอยู่ที่ร้านข้าวต้ม สังหรณ์ใจว่ามีคนจ้องตนอยู่เลยรีบจ่ายค่าอาหารแล้วออกไป พลางโทร.บอกทางให้พสุตามไป

ลุงสมถูกตุลย์สะกดรอยตามไปแกล้งชนลุงสมแล้วกระชากซองเอกสารไป ลุงสมมองท้องตัวเองจึงเห็นมีมีดปักอยู่ เลือดเริ่มทะลักออกมา ลุงสมทรุดลงกับพื้น พอดีพสุกับภูริชตามมาถึง ลุงสมที่บาดเจ็บสาหัสพยายามบอกว่ามันเอาเอกสารไปแล้ว ภูริชหันมองแล้ววิ่งไล่ตามตุลย์ไป ลุงสมพยายามจะบอกพสุว่านายใหญ่คือใคร แต่พูดไม่ทันจบก็สลบไป

ภูริชวิ่งไล่ตามไปดักจับตุลย์สั่งให้มันเอาซองเอกสารคืนมา ตุลย์ไม่ให้จึงต่อสู้กันจนซองเอกสารที่ตุลย์เหน็บขอบกางเกงไว้ข้างหลังร่วงไม่รู้ตัว ระหว่างต่อสู้ ภูริชเห็นที่คอตุลย์สักอักษร A เป็นสัญลักษณ์อย่างเด่นชัด ส่วนตุลย์สู้กันอยู่พักใหญ่เห็นท่าไม่ดีกลัวตำรวจจะมา จึงหนีไป ภูริชวิ่งตามไป ไม่รู้ว่าซองเอกสารร่วงที่พื้นแล้ว

แต่ในที่สุดตุลย์ก็หนีไปได้ เพราะเรนขี่มอเตอร์ไซค์มาให้โดดซ้อนพาหนี ภูริชได้แต่มองตามอย่างเจ็บใจ

เรนกับตุลย์ไปที่โกดังร้าง เรนไม่พอใจถามตุลย์ว่าแค่จะแย่งเอกสารทำไมต้องฆ่ากันด้วย ตุลย์โต้ว่ามันรู้แล้วว่านายใหญ่คือใคร เรนไม่สนใจถามว่าแล้วซองเอกสารล่ะ? ตุลย์คลำที่ขอบกางเกงด้านหลัง จึงรู้ว่าหล่นหายไปแล้ว เรนโมโหเดินไปสตาร์ตมอเตอร์ไซค์ ตุลย์ถามว่าจะไปไหน

“เรื่องของฉัน นายหาทางกลับเองก็แล้วกัน” ว่าแล้วขี่มอเตอร์ไซค์ไปเลย ตุลย์หัวเสียที่ถูกภูริชขวางจนทำงานพลาด

ooooooo

อธิบดียิ่งยศได้รับรายงานการเสียชีวิตของลุงสม เขาหน้าเครียด มองรูปถ่ายพิภพกับถาวรตอนสมัยหนุ่ม รำพึงเศร้า

“ต้องมีเจ้าหน้าที่ตายอีกกี่คน ถึงจะกวาดล้างพวกตัดไม้หมดเสียที”

ที่ห้องดับจิต พสุดึงผ้าคลุมหน้าลุงสมน้ำตาคลอ ภูริชปลอบใจว่าอย่าคิดมาก เรื่องลุงสมไม่ใช่ความผิดของเขาอย่าเอาแต่โทษตัวเองเลย

“ทำไมข้าราชการดีๆ ต้องมาตายเพราะไอ้คนเลวพวกนี้ด้วย” พสุรำพึง คิดถึงเรื่องของตัวเองในอดีต วันนั้นเขากับพ่อและแม่ช่วยกันปลูกต้นไม้ เขาบอกพ่อว่าตนตัดสินใจแล้วว่าจะรับราชการเหมือนพ่อ ตั้งปณิธานกับพ่อว่า

“ผมจะปกป้องรักษาผืนป่าเหมือนอย่างที่พ่อกับลุงภพพยายามทำมาตลอดชีวิต” ถาวรผู้เป็นพ่อจับมือลูกชายพูดอย่างภูมิใจว่า ให้มันได้อย่างนี้สิลูกพ่อเชื้อไม่ทิ้งแถวจริงๆ ส่วนแสงสุดารำพึงอย่างน้อยใจว่าคิดสั้นทั้งพ่อทั้งลูก ใจคอจะไม่ให้ตนกินได้นอนหลับเลยหรือ ถาวรปลอบใจว่า

“คนเราเกิดมาก็ต้องตาย ถ้าผมตายแล้วเป็น ประโยชน์ต่อแผ่นดินมันก็คุ้มนะ ดินคิดถูกแล้วลูก พ่อภูมิใจในตัวลูกมากที่สุด” พสุฟังแล้วยิ้มปลื้ม ถาวรมองหน้าพสุ ยิ้มกับเขาอย่างภูมิใจ มีความสุขมาก...

ooooooo

เมื่อพสุเป็นวัยรุ่น พ่อที่เขาถือเป็นแบบอย่าง ในชีวิต ก็เหลือเพียงภาพขาวดำในกรอบรูปใหญ่ ที่พสุประคองมาวางไว้บนหิ้งที่จัดไว้ พสุหน้าเศร้า ตาบวมเพราะผ่านการร้องไห้อย่างหนัก ส่วนแสงสุดายังร้องไห้ฟูมฟายคร่ำครวญ...

“ฉันเตือนคุณแล้ว ว่าอย่าไปยุ่งกับพวกมัน สุดท้ายแม้แต่ศพของคุณฉันก็ไม่มีโอกาสได้เห็น...”

“พ่อครับ...” พสุพนมมือไหว้พูดกับรูปพ่อเบาๆ “พ่อหลับให้สบายนะครับ ผมจะดูแลแม่และผืนป่าต่อจากพ่อเอง”

นั่น...คือความจริงที่จารึกในชีวิตของพสุเป็นทั้งความเศร้าความแค้นและพลังกระตุ้นที่ไม่มีวันดับมอดในจิตวิญญาณของเขา และวันนี้...ชีวิตของลุงสมก็เป็นอีกครั้งที่สั่งสมตอกย้ำความมุ่งมั่นในอุดมการณ์ของพสุให้หนักแน่นมั่นคงยิ่งขึ้น

ขณะเดินออกจากห้องดับจิตกับภูริช พสุเอ่ยอย่างมีความหวังว่า

“ถ้าพี่ได้แกมาทำงานด้วยกัน แกต้องเป็นกำลังสำคัญให้ทีมพี่แน่ๆ” ภูริชคิดตามแต่หลบสายตาพสุที่มองอย่างคาดหวัง “พี่ไม่ได้บังคับแกนะ อยากให้แกเต็มใจมากกว่า”

พสุตบบ่าภูริชก่อนเดินนำออกไป พร้อมกับกดโทรศัพท์มือถือ ส่วนภูริชหันมองศพของลุงสมด้วยสีหน้าเศร้าใจ พอหันกลับมาอีกครั้ง สีหน้าเขานิ่งขรึมอย่างตัดสินใจแล้ว

ooooooo

เช้าวันต่อมา ขณะอธิบดียิ่งยศอยู่ในห้องประชุมกับพสุ ภาคินและทิชา เขาเอ่ยอย่างเคร่งเครียดว่า

“ผมรู้ว่าทุกคนเสียใจกับการตายของสม แต่งานของเราก็ต้องเดินหน้าต่อไป อย่าให้การตายของสมต้องสูญเปล่า” พลันทุกคนก็ชะงักเมื่อมีเสียงเคาะประตูอย่างเร่งร้อนแล้วเจ้าหน้าที่นายหนึ่งก็เปิดพรวดเข้ารายงานอย่างตื่นตระหนก

“ท่านครับ...มีพัสดุต้องสงสัยวางอยู่ที่หน้ากรมครับ!”

ทุกคนตื่นตัว เป็นกังวลขึ้นทันที ต่างระแวงว่าจะเป็นระเบิด รีบรุดไปยังหน้ากรม แหวกกลุ่มเจ้าหน้าที่ที่มามุงดูไปจนถึงหน้าสุด เห็นภูริชถือกล่องพัสดุต้องสงสัยนั้นเดินมาหาพสุอย่างไม่หวั่นกลัว กลุ่มเจ้าหน้าที่แถวนั้นพากันถอยห่างอย่างหวาดเสียว ภูริชบอกพสุว่า “ในกล่องเป็นแค่ระเบิดปลอมครับพี่”

พสุยิ้มพอใจกอดไหล่ภูริชพาไปหาอธิบดี ภูริชไหว้นอบน้อม อธิบดียิ่งยศรับไหว้ยิ้มดีใจ เอ่ยต้อนรับอย่างยินดี

ทิชากับภาคินมองสงสัย ทิชาถามเบาๆ ว่าภูริชเป็นใคร ภาคินส่ายหน้าไม่รู้ ส่วนพสุยิ้มให้ภูริชแทนคำขอบคุณ ภูริชตะเบ๊ะเท่ๆรับคำขอบคุณนั้น

กลับไปที่ห้องประชุมอีกครั้ง คราวนี้มีภูริชมาร่วมทีมด้วย อธิบดียิ่งยศนั่งหัวโต๊ะ มองหน้าทุกคนเอ่ยแนะนำว่า

“ตอนนี้ทุกคนก็คงรู้จักกันแล้วนะ ภูริช เรียนศิลปะการต่อสู้กับหลักสูตรสายลับจากต่างประเทศมาโดยเฉพาะ ผมเลยขอร้องให้เขามาช่วยงาน” ยิ่งยศมองภูริชแจ้งหน้าที่ของเขาแก่ที่ประชุม “ภูริชจะมารับผิดชอบด้านการสืบสวนและวางแผนให้กับทีม...ฝากคุณด้วยนะ”

“ผมจะมาช่วยทุกคนจนกว่าจะจับตัวนายใหญ่ที่ฆ่าลุงสมได้” ภูริชให้คำมั่น

“เรื่องรายละเอียดของงานเดี๋ยวพี่หาเวลาอธิบายให้เราฟัง ถ้ามีปัญหาสงสัยอยากรู้อะไรก็ถามทิกับคินได้เลย”

ทั้งทิชาและภาคินต่างยิ้มต้อนรับภูริช อธิบดียิ่งยศหน้าเครียดขึ้นเมื่อย้ำภาระหน้าที่ของทีมว่า

“เราต้องช่วยกันหยุดความสูญเสีย อย่าให้เกิดเรื่องแบบสมซ้ำขึ้นอีก ผมเองก็เคยเผชิญหน้ากับพวกอิทธิพลมืดจนต้องสูญเสียเพื่อนรักไปแล้วเหมือนกัน...”

อธิบดีหน้าเศร้าลงเมื่อคิดถึงเรื่องในอดีต ทั้งพสุ ภูริช ทิชา และภาคิน ซึ่งเป็นคนรุ่นหลังต่างมองหน้าเขาอย่างใคร่รู้...

ooooooo

อธิบดียิ่งยศเล่าถึงเหตุการณ์เมื่อ 20 ปีก่อนให้ทีมงานหน่วยเฉพาะกิจฟังราวกับเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน...

“เมื่อ 20 ปีก่อน ผม พิภพ และถาวร รับราชการด้วยกัน เราสามคนทำงานเข้าขากันมากจนได้สมญาว่า ‘สามทหารเสือแห่งภูสรวง’ มีแก๊งค้าไม้ข้ามชาติรายใหญ่กอบโกยผลประโยชน์จากผืนป่า ทุกคนเรียกหัวหน้าใหญ่ของมันว่า ‘เอเดน’ ลักษณะการทำงานเหมือนกับนายใหญ่ คือให้ชาวบ้านทำงานโดยบงการอยู่เบื้องหลัง...”

อธิบดียิ่งยศหยุดทำใจก่อนเล่าต่อว่า...

“มีเจ้าหน้าที่หลายคนตายเพราะพยายามตามสืบเรื่องของมัน พิภพตามสืบเรื่องนี้จนได้หลักฐานแล้วติดต่อให้ผมไปรับ พวกผมรีบไปหาพิภพที่บ้าน แต่กลับไม่เจอใคร พวกผมเห็นไฟไหม้ในป่าก็คิดว่าน่าจะเกิดเรื่องกับพิภพ...ไฟป่าแรงมาก ทำให้พวกผมเข้าไปไม่ได้... วันถัดมาพวกเราจึงพบว่าพิภพเสียชีวิตแล้ว...”

บรรยากาศในห้องประชุมเงียบกริบจนแทบได้ยินเสียงลมหายใจกัน อธิบดียิ่งยศเล่าต่อด้วยน้ำเสียงที่เคียดแค้นว่า

“ผมเชื่อว่าพิภพต้องตายเพราะฝีมือพวกมัน” พสุเอ่ยเสียงแผ่วว่าตนไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย “ผมถึงได้ตั้งหน่วยเฉพาะกิจนี้ขึ้นมาเพื่อกวาดล้างอิทธิพลคนพวกนี้...ต่อไปงานของพวกเราคงจะเสี่ยงมากขึ้นเรื่อยๆ”

“มาถึงขั้นนี้แล้ว เสี่ยงแค่ไหนก็คงไม่มีใครถอยแน่ครับท่าน” พสุเอ่ยแทนหัวใจของทุกคนในทีม

“ขอบคุณทุกคนมากจริงๆ” ทั้งอธิบดีและทุกคนต่างยิ้มให้กันด้วยความมุ่งมั่นที่จะสู้ต่อไป!

ออกจากห้องประชุม พสุบอกภูริชว่าตนจะไปหาครอบครัวลุงสมหน่อย ถามว่าจะไปด้วยกันไหม ภูริชนิ่งไปนิดหนึ่ง บอกว่าตนจะกลับไปเก็บของที่โรงแรมก่อน แล้วแยกกันไป

ooooooo

ภูริชแวะไปทานอาหารก่อน ขณะนั่งรอเงินทอนที่โต๊ะ ก็ได้ยินเสียงโวยวายของเอวาแทรกเข้ามา

“เพราะผู้หญิงคนนี้ใช่ไหม ถึงได้ไม่ยอมกลับบ้านกับเอวา” เธอตรงไปหาอาร์มที่กำลังพลอดรักกับหญิงสาวที่โต๊ะ บอกหญิงสาวคนนั้นว่า “พี่อาร์มเขาก็แค่คบเธอเล่นๆ ขอเตือนด้วยความหวังดี”

อาร์มถูกฉีกหน้าก็ลุกพรวดสั่งเอวาให้หยุดเดี๋ยวนี้ไล่ให้กลับไปเสีย เอวาแผดเสียงดังยิ่งกว่าว่าไม่กลับจนกว่าเขาจะกลับไปด้วยกัน อาร์มฉุนขาดกระชากแขนเอวาลากออกไปจากร้าน

ภูริชได้รับเงินทอนแล้ว เขาเดินออกจากร้านไปเจออารม์กำลังยื้อยุดฉุดลากกับเอวาอยู่ ภูริชทนไม่ได้เข้าไปดึงอาร์มออกจากเอวา ถูกอาร์มหันมองอย่างเอาเรื่อง ผลักภูริชจนเซสั่งให้ถอยไป ภูริชมองกวนๆพูดเหยียดเย้ยว่า

“ทำร้ายผู้หญิง แมนมากเลยนะคุณ”

“แล้วมึงยุ่งอะไรด้วย” อาร์มตะคอกแล้วจะชก เอวาตกใจรีบเข้าไปขวางคว้าแขนอาร์มบอกให้ใจเย็นๆ แต่สู้แรงของอาร์มไม่ได้ เขาสะบัดหลุดตรงเข้าชกภูริช ถูกภูริชที่เบี่ยงตัวหลบเอาฝ่ามือกระแทกไหล่อาร์มจนเซเสียหลัก พวกลูกน้องของอาร์มในร้านดาหน้าออกมาคุ้มกันอาร์มเป็นแผง

เอวาตกใจเพราะรู้นิสัยพี่ชายดี คว้าแขนภูริชลากวิ่งหนีไป ออกไปจนพ้นพวกของอาร์มแล้ว ภูริชจึงรู้ว่าที่แท้เอวาเป็นน้องสาวของอาร์มไม่ใช่แย่งผู้ชายกันอย่างที่เขาคิด เอวาขอบคุณที่ช่วยตน นึกไม่ถึงว่าสมัยนี้จะมีคนดีแบบเขาหลงเหลืออยู่อีก

“ผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะช่วยคุณหรอก เผอิญคุณขวางทางผมอยู่” ภูริชพูดอย่างไว้เชิงแล้วเดินไป เอวาเรียกเขาแต่ภูริชยกมือโบกลาโดยไม่หันมอง เอวามองตามหลังเขาไปด้วยความรู้สึกประทับใจผู้ชายมาดแมนคนนี้

ooooooo

ที่บ้านลุงสม เรนทำตัวเป็นนักข่าวมาสัมภาษณ์ภรรยาของลุงสมเพื่อสืบว่าลุงสมฝากหรือสั่งอะไรไว้บ้าง หรือมีใครเอาของอะไรมาให้ลุงสมหรือเปล่า พอภรรยาลุงสมบอกว่าไม่มี ไม่ได้ฝากอะไร เรนก็แอบโล่งใจที่เธอไม่รู้อะไรจริงๆ

เมื่อสืบรู้แล้วเรนไหว้ลากลับ พสุถือกล่องใส่ของใช้ของลุงสมมาถึงพอดี เขาถามเรนอย่างระแวงว่าเป็นใคร มาหาคุณป้าทำไม เรนจึงเอานามบัตรให้ดู เป็นนามบัตรชื่อ เมทินี ใจเอื้อ ตำแหน่งผู้สื่อข่าวสำนักพิมพ์ไทยนิวส์ มีเบอร์โทรศัพท์และที่ตั้งสำนักพิมพ์ แล้วบอกพสุว่า

“ฉันเป็นนักข่าวค่ะคุณพสุ มาสัมภาษณ์คุณป้าเรื่องการตายของคุณสม” พสุแปลกใจถามว่ารู้จักตนด้วยหรือ? เรนเล่าอย่างรู้ลึกรู้จริงว่า “คุณพสุ วีรบุรุษผู้กวาดล้างอำนาจมืด ขัดแข้งขัดขานายทุนไปทั่วจนเกือบโดนเป่าหัวมาหลายครั้ง โดนสั่งย้ายไปเกือบจะทั่วประเทศ สุดท้ายท่านอธิบดียิ่งยศเห็นแววก็เลยตามตัวมาอยู่หน่วยเฉพาะกิจขึ้นตรงกับท่านคนเดียว”

พสุถึงกับอึ้ง เรนถามกวนๆว่าเป๊ะเลยไหม พสุไม่ตอบ ย้อนถามว่าเธอรู้เรื่องลุงสมได้ยังไง ทำไมถึงมาตามข่าวนี้ เรนย้อนถามว่าแปลกตรงไหนที่ตนจะตามข่าวข้าราชการน้ำดีที่เสียชีวิตในหน้าที่เพราะกำลังตามสืบราชการลับบางอย่าง

“เรื่องงานที่ลุงสมตามอยู่มีแค่ไม่กี่คนที่รู้ คนนอกอย่างคุณไม่น่ารู้เรื่องนี้” พสุมองหน้าเรนอย่างจับผิด

“ฉันเป็นนักข่าวนะคะ ฉันก็ต้องรู้ลึก รู้จริงเป็นธรรมดา ที่สำคัญฉันรู้อะไรมากกว่าที่คุณคิดเยอะ บก.ฉันสนใจเรื่องราวการทำงานของคุณ โดยเฉพาะ เรื่องที่คุณตามสืบว่าใครคือนายใหญ่ เราก็เลยรู้เรื่องของลุงสม”

พสุถามทันทีว่าเธอตามสืบเรื่องนายใหญ่ถึงไหนแล้ว ใครเป็นคนให้ข่าว เรนยิ้มอย่างเป็นต่อย้อนเย้ยว่าทำไมจะต้องบอกเรื่องแหล่งข่าวของตนด้วย แล้วขอตัวเดินไปเลย พสุพยายามรั้งไว้ว่าน่าจะอยู่คุยกันก่อนเผื่อเราจะแลกเปลี่ยนข้อมูลอะไรกันได้บ้าง ถูกเรนย้อนอย่างรู้ทันว่า “อยากแลกข้อมูลหรืออยากจับผิดฉันกันแน่ หรือจะหาเรื่องจีบฉันคะ ฉันจะได้วางตัวถูก” เธอยิ้มหวานให้แล้วขอตัวไปเลย

พสุดูนามบัตรที่เรนให้ แล้วโทร.ไปตามเบอร์ในนามบัตร “ขอโทษนะครับขอสายคุณเมทินีหน่อยครับ...ออกไปทำข่าวเหรอครับ ไม่เป็นไรครับไว้เดี๋ยวผมติดต่อกลับไปอีกที ขอบคุณมากครับ”

พสุกดวางสายยักไหล่ทำนองว่าระแวงมากไปเอง แล้วเดินเข้าไปในบ้านเพื่อคุยกับภรรยาลุงสมเรนออกไปแล้วแอบจับตาดูการเคลื่อนไหวของพสุด้วยสีหน้านิ่งเฉยแววตาดุดัน ดูลึกลับ น่ากลัว หลังจากได้ไปคุยกับภรรยาและลูกของลุงสมแล้ว วันนี้พสุรายงานแก่ที่ประชุมทีมงานเฉพาะกิจว่า ตนได้ข้อมูลจากลูกชายลุงสมว่านายใหญ่จะไปงานเลี้ยงผู้ประกอบการรีสอร์ตประจำปีนี้

ภูริชดีใจที่จะได้ฉีกหน้ากากนายใหญ่คราวนี้

ทิชาเสริมว่ารู้สึกว่านายศักดิศรก็จะไปงานนี้ด้วย ทุกคนกระตือรือร้นกับข่าวใหม่และงานใหญ่นี้

“ถ้านายใหญ่ไปงานนี้จริง ก็ถือเป็นโอกาสทองของเราที่จะสืบว่าใครกันแน่คือนายใหญ่” อธิบดีหมายมั่นบอกภูริชว่า “งานนี้คุณได้แสดงฝีมือแล้ว”

“ไม่ต้องห่วงครับ งานถนัดของผม” ภูริชตอบสบายๆ ทุกคนมองอย่างดีใจที่ได้เขามาเสริมทัพหน่วยเฉพาะกิจ

ooooooo

งานจัดที่โรงแรมหรู พสุกับภูริชในชุดสูทลงจากรถลีมูซีนสีดำอย่างเท่ ในขณะที่ทิชากับภาคินเข้าประจำในรถตู้ของหน่วยเฉพาะกิจติดอุปกรณ์ไฮเทคต่างๆ รวมทั้งกล้องมอนิเตอร์

เมื่อพสุกับภูริชเดินเข้าไปในห้องจัดงานแล้ว ทั้งสองแยกกันไปหาข้อมูล แทรกไปในบรรดาแขกที่มาร่วมงานมีทั้งไทยและเทศ แอบติดเครื่องดักฟังไว้ตามจุดต่างๆ ภูริชมีกล้องตัวจิ๋วติดบนเนกไทเดินเก็บภาพไปตามมุมต่างๆ ส่งไปให้ทิชาเก็บบันทึกและประมวล ส่วนอธิบดียิ่งยศ ดูการปฏิบัติการจากภาพที่ทิชาประมวลและส่งให้จากจอมอนิเตอร์ที่กรมอุทยาน

“สายรายงานว่าคนของนายใหญ่จะใส่ชุดสูทสีขาว ถือกระเป๋าหนังสีดำ” ทิชาแจ้งพสุและภูริชที่แทรกตัวผสมกลมกลืนอยู่ในงาน ภูริชมองหาเป้าหมายไม่เจอ พลันพสุก็บอกว่าเป้าหมายอีกคนกำลังมา เขาคือศักดิศรกับลูกน้อง พสุเดินดิ่งไปเผชิญหน้าทันที ศักดิศรถามประชดว่ามาที่นี่ทำไม เป็นผู้ประกอบการรีสอร์ตกับเขาด้วยหรือ

พสุสวนทันควันว่าตนแค่มาดูว่ามีผู้ประกอบการคนไหนทำอะไรผิดกฎหมายบ้างหรือเปล่า ศักดิศรแสยะยิ้มถามว่าพรรคพวกตายไปคนหนึ่งยังไม่เข็ดอีกหรือ ทำให้พสุฉุนขาดที่ศักดิศรพูดถึงลุงสมอย่างดูแคลน พูดเสียงแข็งใส่ว่า

“ถ้าผมเข็ดก็คงจะไม่มายืนอยู่ตรงนี้หรอก ที่สำคัญผมจะลากตัวคนร้ายและคนที่บงการอยู่เบื้องหลังมารับโทษให้ได้”

“ระวังจะกลายเป็นศพเสียก่อนล่ะคุณพสุ”

“พูดอย่างนี้ถือเป็นการข่มขู่นะคุณศักดิศร” เสียงเดวิดแทรกเข้ามา พลางเดินมาร่วมวงสนทนาโดยยืนอยู่ฝั่งพสุ พูดกับพสุว่า “ถ้าคุณจะฟ้องคุณศักดิศร ผมเป็นพยานให้คุณได้นะคุณพสุ”

ศักดิศรจ้องหน้าเดวิดอย่างโกรธจัดแล้วผลุนผลันเดินเลี่ยงไป พสุกับเดวิดมองหน้าและยิ้มให้กัน เดวิดวางมือบนบ่าพสุ บีบเบาๆอย่างให้กำลังใจ

ooooooo

ฝ่ายภูริชใช้กล้องตัวจิ๋วที่เนกไทเก็บภาพใน ห้องงานส่งไปให้ทิชา ได้ยินเสียงภาคินแจ้งมาว่า

“แขกน่าจะมางานกันครบแล้ว อยากได้รายชื่อแขกที่มาร่วมงานทั้งหมด”

ภูริชจึงทำทีเข้าไปตีซี้ขี้หลีกับพนักงานที่โต๊ะลงทะเบียนแล้วแอบเอากล้องจิ๋วถ่ายรายชื่อทั้งหมดส่งไปให้ภาคิน

เอวามาในงานเห็นภูริชก็จำได้จะเข้าไปทัก แต่ถูกช่างภาพมาขอถ่ายรูป ถ่ายรูปเสร็จมองไปอีกทีภูริชก็หายไปแล้ว

ศักดิศรดูนาฬิกาท่าทางร้อนใจ กระซิบบอกลูกน้องให้มองหาผู้ชายใส่สูทสีขาวถือกระเป๋าหนังสีดำ

ไม่นานชายใส่สูทสีขาวถือกระเป๋าหนังสีดำก็เข้ามาในงาน ภูริชยกมือขึ้นกดหูฟังพูดกับไมโครโฟนที่ข้อมือว่า

“เป้าหมายเข้าไปในงานแล้ว” พลางภูริชก็เดินกลับไปในงานอย่างเร็ว เขาถูกเอวาตามไปแอบดูอย่างสงสัย

พสุมองหาชายใส่สูทสีขาวถือกระเป๋าหนังสีดำอยู่ พอเห็นก็รีบเดินไปหาเพื่อจะดูว่าชายคนนั้นจะไปหาใคร และใครคือนายใหญ่ แต่เขาก็ถูกศักดิศรเห็นเสียก่อน ศักดิศรส่งสัญญาณให้ชายคนนั้นรู้ตัว เขาจึงเดินเลยไป จากเดินเร็วๆ กลายเป็นกึ่งเดินกึ่งวิ่ง พสุรีบตามไป แต่ถูกศักดิศรออกมาขวางไว้ ถามว่าจะมาหาเรื่องอะไรอีก

พสุฉุนขาดที่ถูกขัดจังหวะ ผลักศักดิศรพ้นทางแล้วรีบตามชายคนนั้นไปตามทางเดินในโรงแรม ทันใดนั้น ร่างในชุดดำใส่หน้ากาก สวมแจ็กเกต สวมฮู้ด มือถือมีดก็โผล่มาขวางเขาไว้ ทั้งคู่ต่อสู้กัน พสุสู้ด้วยมือเปล่าแต่อีกฝ่ายมีมีดสั้นเป็นอาวุธ

พสุกระชากฮู้ดออก ฝ่ายนั้นพยายามปัดป้อง พสุเลยถูกมีดบาดที่โคนแขน ร่างในชุดดำถูกกระชากฮู้ดออกทำให้ผมสยายยาว พสุจึงรู้ว่าเป็นผู้หญิง เธอคือเรนนั่นเอง!

เรนชะงักเมื่อเห็นพสุถูกมีดบาดโดยเธอไม่ได้ตั้งใจ ส่วนเอวาที่มาแอบดูเห็นพสุบาดเจ็บก็ร้องกรี๊ด พอพสุกับเรนหันมอง ก็พอดีภูริชที่ได้ยินเสียงต่อสู้กันวิ่งมาช่วยพสุ เรนฉวยโอกาสนั้นวิ่งหนีไป ถูกพสุคว้าแขนแต่เกี่ยวได้แค่สร้อยหนังถักที่ข้อมือเธอขาดกระเด็น ส่วนตัวเรนหนีไปได้ ภูริชห้ามเอวาตามมาเพราะอันตราย แล้วตัวเขากับพสุก็วิ่งไล่ตามเรนไป

สร้อยหนังถักของเรนที่ถูกเกี่ยวขาดกระเด็นตกที่พื้นยังไม่มีใครเห็น

เรนวิ่งไปที่ระเบียงมองลงไปจะกระโดดก็อันตราย พสุกับภูริชตามมาทัน พสุถามว่าใครส่งเธอมา เธอขวางไม่ให้ตนตามชายชุดขาว เธอเป็นคนของนายใหญ่ใช่ไหม? เรนไม่ตอบ พลันก็มีเสียงมอเตอร์ไซค์ดังอยู่เบื้องล่าง เธอปีนไปนอกระเบียบกระโดดลงไปอย่างบ้าระห่ำ พสุกับภูริชวิ่งตามถึงจุดกระโดดก็ชะงัก มองลงไปเห็นเรนขึ้นมอเตอร์ไซค์ที่โฉบมารับหนีไปอย่างเร็ว พสุกับภูริชได้แต่มองตามไปอย่างเจ็บใจ!

ooooooo

หัวใจปฐพี

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด