ตอนที่ 31 ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น (31)
ตอนที่ 31 คำนึงหา
คุณย่าหยางกลับไม่คิดเช่นนั้น อย่างไรก็ตามเธอชอบเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ น่ารักๆ อย่างอู่เหมยอยู่ดี เด็กผู้หญิงอายุแค่สิบสองปีจะเจ้าแผนการได้สักแค่ไหนกัน อีกอย่างแผลนั่นต่อให้เป็นผู้ใหญ่เกรงว่ายังทนรับแทบไม่ไหว เป็นเรื่องธรรมดามากที่เจ้าหนูจะตะโกนร้องเจ็บ อย่างนี้จะเรียกว่ามีแผนการได้อย่างไร!
“คุณชอบสงสัยนู่นสงสัยนี่อยู่เรื่อย เหมยเหมยน่าสงสารจะตาย ต้องให้เธอทนกับการโดนตีต่อไปหรือไง? ฉันบอกเลยว่ามีแค่ที่นี่เท่านั้นแหละ ลองไปอยู่ต่างประเทศดูสิ ถ้าไม่ถูกฟ้องว่าทารุณกรรมเด็กล่ะก็ ฉันยอมเปลี่ยนนามสกุลเหมือนคุณเลย!”
กิจกรรมยามว่างของคุณย่าหยางคือการดูข่าวต่างประเทศ จึงทำให้ได้รับแนวความคิดมาจากตะวันตกไม่มากก็น้อย เลยค่อนข้างเข้าใจสภาพแวดล้อมในต่างประเทศ ช่างเป็นคนแก่ที่หัวสมัยใหม่เหลือเกิน
ท่านผู้เฒ่าเหยียนกลับตรงกันข้ามที่เป็นคนเคร่งในวัฒนธรรมเก่าแก่และหัวโบราณพอๆ กับท่านผู้เฒ่าตระกูลอู่ คิดว่าผู้หญิงควรเป็นแม่บ้านแม่ศรีเรือนและมีความอดทนสูง เด็กผู้หญิงที่ขี้งอแงไม่เห็นแก่ภาพรวมอย่างอู่เหมยไม่มีทางเข้าตาคนแก่อย่างเขาได้แน่นอน
ต่อให้เป็นลูกสะใภ้คนปัจจุบันหรือถานซูฟาง คุณแม่ของเหยียนหมิงต๋า ท่านผู้เฒ่าเหยียนก็ไม่ชอบเธอเช่นกัน ลูกสะใภ้ที่เขาชื่นชอบมากที่สุดเป็นคุณแม่ของเหยียนหมิงซุ่น ผู้หญิงที่ทั้งสวยทั้งอ่อนโยนและใจดีคนนั้น
เสียดายเหยียนโฮ่วเต๋อไม่ชอบจึงไม่มีประโยชน์ใดๆ แม้ท่านผู้เฒ่าเหยียนจะชอบมากแค่ไหนก็ตาม ท่านผู้เฒ่าที่รู้สึกผิดอย่างสุดหัวใจต้องรับเหยียนหมิงซุ่นมาอบรมดูแลด้วยตัวเองถึงได้รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย
คุณย่าหยางเริ่มสงครามน้ำลายกับท่านผู้เฒ่าอีกครั้ง ทั้งคู่ทะเลาะกันมาทั้งชีวิต เหยียนหมิงซุ่นชินชาไปเสียแล้ว ไม่นานนักเขาก็ทานข้าวเสร็จก่อนจะกลับไปอ่านหนังสือในห้องตัวเอง แต่คืนนี้ไม่ว่าอย่างไรหัวใจของเขาก็ไม่สงบลงสักที ชอบนึกถึงสาวน้อยน้ำตาคลอเบ้าคนนั้น
มิน่าวันนี้สาวน้อยถึงกล้าขัดขืน เธอน่าจะทนไม่ไหวเลยเลือกที่จะทุ่มสุดตัวจริงๆ สินะ?
แต่สาวน้อยคนนี้ยังโง่เขลานัก ขัดขืนด้วยวิธีนี้จะมีประโยชน์อะไร?
กลัวแต่ว่าหลังจากกลับบ้านไปจะถูกตีแรงกว่าเดิมน่ะสิ!
ต่อให้คนนอกจะเห็นใจขนาดไหนก็ไม่มีทางไปยุ่งเรื่องภายในของครอบครัวตระกูลอู่อยู่แล้ว อย่างคืนนี้คุณย่าเขาพร่ำบอกไปมากมายแต่นั่นแค่พูดเฉยๆ เธอไม่มีทางวิ่งไปร้องหาความยุติธรรมให้กับอู่เหมยที่บ้านตระกูลอู่
เหมือนครั้งที่คุณแม่ของเขาถูกคุณพ่อเพิกเฉยไม่สนใจใยดี คุณปู่คุณย่าเล่าจะทำอะไรได้?
สุดท้ายคุณแม่ของเขาก็ตรอมใจตายอยู่ดี!
เหยียนหมิงซุ่นแค่นหัวเราะพลางปิดหนังสือลง ล้มตัวพักสายตาบนเตียง ตอนนี้เรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายปีที่สอง อีกแค่สองปี แค่สองปีเขาจะเป็นอิสระแล้ว
เขายังไม่รีบ ความอดทนยังมีมากพอ!
------
อู่เหมยตื่นทันทีที่ออกจากบ้านตระกูลอู่ ความจริงเธอสะดุ้งตื่นตั้งแต่วินาทีแรกที่ถูกอู่เจิ้งซืออุ้มแล้ว รอถึงหน้าประตูถึงลืมตาขึ้นให้อู่เจิ้งซือปล่อยเธอลง
อู่เจิ้งซือหน้าเรียบนิ่งจนน่ากลัว เหอปี้อวิ๋นด้วยเช่นกัน ไฟโทสะสุมอยู่ในอก พอเห็นเวลานี้บนถนนไร้ผู้คนแถมยังมืด เธอก็อดยื่นมือไปที่อู่เหมยไม่ได้
“เจ้าเด็กเลี้ยงเสียข้าวสุก!”
อู่เหมยเจ็บจนร้องตะโกนออกเสียงทั้งวิ่งมาตรงหน้าอู่เจิ้งซือแล้วกอดแขนเขาไว้แน่น ถ้าเหอปี้อวิ๋นหยิกอีก เธอจะตะโกนเสียงดังให้คนทั้งโรงเรียนได้ยินกันถ้วนหน้า
“พอแล้ว!”
อู่เจิ้งซือคำรามเสียงต่ำ ตวัดสายตาดุดันไปทางเหอปี้อวิ๋น เธอสะดุ้งเฮือกพร้อมรู้ทันทีว่าสามีโกรธเข้าอย่างจังแล้ว ได้แต่หุบมือกลับถลึงตาใส่อู่เหมยอย่างไม่พอใจ
“เหอปี้อวิ๋น คุณยังขายหน้าไม่พออีกเหรอ? ไม่ได้ยินที่อาจารย์แม่หยางพูดเมื่อกี้เหรอ? คุณไม่ใส่ใจกับคำพูดที่ผมเคยบอกคุณเลยใช่มั้ย?”
อู่เจิ้งซือเสียงสูงขึ้นอีกหน่อย ระเบิดอารมณ์ที่เก็บสั่งสมมาตั้งแต่บ่ายให้กับเหอปี้อวิ๋นทั้งหมด
เหอปี้อวิ๋นไม่กล้าโต้กลับแม้แต่ประโยคเดียวจึงได้แต่ก้มหน้าต่ำ ความเกลียดชังต่ออู่เหมยยิ่งทวีคูณ หากไม่ใช่เพราะยายเด็กนี่ เหล่าอู่จะด่าเธอหรือ?
แต่งงานกันมาสิบห้าปี นี่เป็นครั้งแรกที่เหล่าอู่ด่าเธอเช่นนี้!






