ตอนที่ 68
ตอนที่ 68 ใจอ่อน
“เหมยเหมยไม่อยู่บ้านเหรอ”
เหยียนหมิงซุ่นไม่อยากพูดอะไรกับอู่เยวี่ยมาก เขาแค่อยากเห็นสภาพของเจ้าเด็กน่าสงสารคนนั้น เมื่อกี้เหอปี้อวิ๋นตีแรงขนาดนั้น เด็กตัวเล็กๆ อย่างเธอทนไหวก็แปลกแล้ว
เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงได้ใจอ่อนกับคนที่ไม่สนิทสนมด้วย บางทีสภาพที่อู่เหมยโดนตีเมื่อครู่นี้อาจทำให้เขานึกถึงความทรงจำที่ไม่มีความสุขขึ้นมาละมั้ง
เขากระโดดออกมาจากหลุมปีศาจนั้นแล้ว แต่อู่เหมยกลับยังคงจมปลักอยู่ในนั้น เขาจึงไม่อาจนิ่งดูดายได้
เหยียนหมิงซุ่นไม่ชอบที่ตัวเองใจอ่อนแบบนี้ กรอบที่เขากำหนดไว้ให้ตัวเองคือ เย็นชาไร้ความเมตตา ไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น ทว่าเจ้ากรอบนี้ไม่มีผลเมื่ออยู่กับอู่เหมย ซึ่งทำให้เขาหงุดหงิดมาก
แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น!
อู่เยวี่ยยิ้มและตอบว่า “เหมยเหมยไม่ค่อยสบายก็เลยเข้านอนไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันไปปลุกเธอขึ้นมาก็แล้วกันนะคะ”
ถึงแม้เหยียนหมิงซุ่นจะรู้ว่าเธอพูดโกหก แต่ก็ไม่อาจเปิดโปงได้ อย่างไรเสียเขาก็คงเข้าไปดูในห้องของเด็กผู้หญิงไม่ได้หรอกมั้ง
ดูท่าอู่เหมยจะเจ็บหนักพอดู ไม่แม้แต่จะลุกขึ้นยืนไหว เหยียนหมิงซุ่นขมวดคิ้ว จู่ๆ อู่เยวี่ยที่ยิ้มสวยมีเสน่ห์ เหอปี้อวิ๋นที่อ่อนโยนใจดี รวมถึงอู่เจิ้งซือที่ท่าทางภูมิฐานก็ดูน่าขยะแขยงน่ารังเกียจขึ้นมาทันที
“ไม่ต้องปลุกเหมยเหมยหรอก ไปก่อนนะ”
เหยียนหมิงซุ่นหมุนตัวตั้งใจจะกลับบ้าน ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก อู่เหมยเดินออกมาจากห้องและเรียกเสียงเบาว่า “พี่หมิงซุ่น”
เธอใช้ความพยายามอย่างมากถึงจะตะเกียกตะกายขึ้นมาได้ เธอจะต้องออกไปให้ได้ เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงดึงดันที่จะเจอเหยียนหมิงซุ่นขนาดนี้ เธอแค่อยากจะพูดคุยกับคนที่พอจะพึ่งพาได้ ทำให้เธอมีความมั่นใจสักเล็กน้อยที่จะยืนหยัดต่อไป
เหยียนหมิงซุ่นหมุนตัวกลับมา อู่เหมยผมเผ้ากระเซอะกระเซิงเล็กน้อย ใบหน้าของเธอนั้นไม่มีบาดแผล แต่ว่าสีหน้าดูแย่มาก ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นลมล้มพับได้ทุกเวลา นอกจากนี้เหงื่อเย็นๆ ยังผุดขึ้นเต็มหน้าผาก
อู่เยวี่ยกับเหอปี้อวิ๋นหน้าถอดสีเล็กน้อย ไม่พอใจอย่างมากที่อู่เหมยไม่รู้จักกาลเทศะ เหอปี้อวิ๋นพูดเสียงนุ่มนวลว่า “เหมยเหมยลูกลุกขึ้นมาทำไม ไม่สบายก็นอนไปเถอะ พี่หมิงซุ่นของลูกก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล พี่เขาไม่ตำหนิลูกว่าเสียมารยาทหรอก”
“นั่นสิ เหมยเหมยเธอลุกขึ้นมาเดี๋ยวก็เวียนหัวอีกหรอก” อู่เยวี่ยผสมโรง
อู่เหมยรู้สึกสะอิดสะเอียนกับคำพูดของสองแม่ลูกคู่นี้มาก เพิ่งจะฟาดเธออย่างแรงไปหยกๆ แต่ตอนนี้กลับแสร้งทำเป็นแม่และพี่สาวที่เมตตาใจดีอีกแล้ว ทำไมคนเราถึงจอมปลอมได้ขนาดนี้นะ
ชาติก่อนเธอโง่ดักดานขนาดไหนกันนะถึงได้ไม่รู้โฉมหน้าแท้จริงอันเสแสร้งของญาติพี่น้องพวกนี้!
“พี่หมิงซุ่น ฉันไม่เวียนหัวแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วง”
อู่เหมยไม่สนใจสองแม่ลูกนั่น เธอยิ้มให้เหยียนหมิงซุ่นด้วยความซาบซึ้งใจ สำหรับเรื่องที่โดนตีเมื่อสักครู่นี้ เธอไม่ได้เอ่ยถึงเลยสักคำเดียว วิธีการอบรมสั่งสอนที่เป็นที่นิยมในสมัยนี้ก็คือรักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี ต่อให้เธอระบายความทุกข์ให้คนอื่นฟัง คนอื่นก็แค่คิดว่าเหอปี้อวิ๋นเข้มงวดกวดขันกับลูกสาว ไม่มีทางต่อว่าเธอแน่นอน
แล้วก็อาจหันมาตำหนิอู่เหมยเสียด้วยซ้ำว่าเธอไม่สำนึกบุญคุณที่พ่อแม่ให้กำเนิดมา เป็นคนเนรคุณที่เลี้ยงไม่เชื่องและอกตัญญูอย่างที่สุด
ดังนั้นขณะที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ เธอจึงได้แต่อดทนไว้ ไม่ว่าจะทุกข์แค่ไหนก็ได้แต่ทนไว้
“ไม่เวียนหัวก็ดีแล้ว เธอรีบเข้านอนเถอะ”
แม้เหยียนหมิงซุ่นจะเห็นใจเรื่องสภาพความเป็นอยู่ของอู่เหมย แต่เขาไม่อยากที่จะยุ่งเรื่องนี้ การมาขอยืมหนังสือเพื่อช่วยเหลือเธอก็ทำให้เขาหงุดหงิดมากแล้ว อนาคตที่เขาวางแผนไว้ไม่มีอู่เหมยคนนี้ เขาไม่อาจสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไปกับคนที่ไม่เกี่ยวข้องได้
แต่เขาหารู้ไม่ว่าชีวิตไม่ใช่ละครเวทีที่แสดงเป็นหมื่นรอบก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ชีวิตนั้นเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง บางทีคนที่ปรากฏตัวขึ้นโดยบังเอิญก็อาจจะส่งผลกระทบต่อคุณได้ทั้งชีวิต และแม้กระทั่ง...