ตอนที่ 39
ตอนที่ 39 ไม่ให้ความร่วมมือ
อู่เหมยได้ยินชัดเจน หัวเราะเสียงเย็น ยายอู่เยวี่ยจุดประกายไฟได้ง่ายๆ แล้วถอยออกไปสบายๆ เปลี่ยนทิศทางของไฟให้หันมาทางตัวเอง เป็นแผนที่แยบยลจริงๆ
เธอแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินพลางแกะปูทานไปนิ่งๆ ไม่ลุกลี้ลุกลนและสง่าผ่าเผย พวกอู่เจี๋ยที่นั่งข้างๆ มองจนตาค้าง รู้สึกว่าลูกพี่ลูกน้องคนนี้เปลี่ยนไปราวกับคนละคน ไม่เหลือร่องรอยเมื่อก่อนสักนิดเดียว
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ชอบที่ลูกสาวตนชอบตื่นตูมไปก่อนถลึงตาใส่อู่เจิ้งหงแวบหนึ่งพลางกล่าวช้าๆ “โวยวายทำไม? ก็แค่เจี้ยนโปเดินเที่ยวกับคนอื่นไม่ใช่เหรอ? มีอะไรน่าตกใจ ยิ่งโตยิ่งไม่รู้จักควบคุมอารมณ์เอาซะเลย”
อู่เจิ้งหงแย้ง “คุณแม่ คุณแม่ไม่รู้ว่าเขา...”
“ฉันไม่รู้อะไร? ฉันรู้หมดนั่นแหละ เจี้ยนโปจะเป็นคนแบบนั้นได้ยังไง? ใช่มั้ยล่ะเจี้ยนโป?”
แม้ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่สายตาคมเฉี่ยวนั่นทำให้จี้เจี้ยนโปรู้สึกขนลุกไปทั้งหัว เขาฝืนยิ้มตอบ“คุณแม่เข้าใจผมจังเลย ผมจะทำเรื่องที่ผิดต่อเจิ้งหงได้ยังไงกัน มาเมืองจินตั้งนานผมก็ไม่ค่อยได้ไปเดินถนนหนันสุ่ยสักเท่าไหร่ เยวี่ยเยวี่ยต้องดูผิดแน่ๆ”
อู่เยวี่ยไม่ชอบใจแล้ว เธอไม่ชอบที่คนอื่นมาสงสัยในตัวเธอ ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามา ยิ้มตาหยีว่า “น่าจะไม่ผิดหรอกนะคะ? ตอนนั้นหนูชี้ให้เหมยเหมยดูด้วยล่ะ!”
เธอจงใจเพิ่มเสียงสูงขึ้นเพราะความไม่พอใจต่อการกระทำของอู่เหมย เจ้าโง่นี่ทำไมยังไม่พูดออกมา วันนั้นจี้เจี้ยนโปกับผู้หญิงสวยๆ คนหนึ่งจูงมือกันเดินเที่ยว ท่าทางสนิทสนมมากเลยล่ะ
เมื่อนั้นอู่เหมยบอกว่าจะฟ้องคุณอาแต่ถูกเธอห้ามเอาไว้เพราะอยากรอมาเปิดโปงในวันนี้ แน่นอนว่าต้องผ่านปากอู่เหมยเท่านั้น เช่นนี้แล้วทั้งจะทำให้อู่เหมยโดนผู้ใหญ่ตำหนิติเตียนและยังทำให้อู่เจิ้งหงระเบิดอารมณ์ออกมาได้
เป็นคนที่เธอไม่ชอบทั้งคู่ ทะเลาะกันยิ่งหนักเธอถึงยิ่งพอใจ!
แต่อู่เหมยเป็นอะไรไป?
เหตุใดไม่ให้ความร่วมมือกับเธอเหมือนแต่ก่อน?
เหอปี้อวิ๋นเห็นอู่เหมยมัวแต่ก้มหน้าทานข้าวเหมือนคนหูหนวก อดรู้สึกขุ่นเคืองใจไม่ได้ ตวาดใส่อู่เหมย“เหมยเหมย พี่สาวเรียกไม่ได้ยินหรือไง?”
ระดับความดังนี้ยิ่งกว่าอู่เยวี่ยมากโข อู่เหมยไม่อาจแกล้งเป็นใบ้ต่อไปได้ จำต้องวางปูในมือลงเงยหน้าหันมองเหอปี้อวิ๋น ถามอย่างนอบน้อม “คุณแม่เรียกหนูมีอะไรเหรอคะ?”
เหอปี้อวิ๋นชี้ไปทางอู่เยวี่ย “ไม่ได้ยินที่พี่สาวแกพูดก่อนหน้านี้เหรอไง?”
“ไม่ได้ยินค่ะ!” อู่เหมยตอบกลับเด็ดขาด
เหอปี้อวิ๋นโกรธจนแทบหงายหลัง เริ่มคันไม้คันมืออีกแล้ว ยายบ้านี่วันนี้ฤทธิ์เยอะนัก กลับบ้านไปค่อยจัดการเธอ
อู่เจิ้งหงร้อนใจเพราะอยากรู้ความจริง รีบกระชากแขนอู่เหมยมาที่โต๊ะพวกเขาแล้วถาม “พี่สาวเธอบอกว่าหลายวันก่อนเห็นคุณอาเขยที่ถนนหนันสุ่ย มีเรื่องอย่างนี้จริงๆ ใช่มั้ย?”
อู่เหมยถูแขนที่แดงเป็นปื้นเพราะถูกอู่เจิ้งหงกระชากเบาๆ เอียงหัวแสร้งขบคิดชั่วครู่ อู่เยวี่ยที่อยู่ข้างๆ ก็เริ่มกระวนกระวาย พูดเตือนความจำเธอ “ที่หลายวันก่อนเราไปซื้อกระดาษเซวียนจื่อไง เหมยเหมยยังจำได้มั้ย?”
“จำได้ พี่จำผิดแล้ว วันนั้นพี่ไม่ได้ซื้อกระดาษเซวียนจื่อ แต่ซื้อดอกไม้ประดับหัวมาหลายอัน” อู่เหมยพูดแก้
อู่เยวี่ยคิดแค้นในใจ ให้ตายสิเจ้าโง่นี่ อะไรที่ควรจำกลับไม่จำ สิ่งที่ไม่ควรจำกลับจำได้แม่นยำ
“วันนั้นกระดาษเซวียนจื่อในร้านค่อนข้างชื้นฉันเลยไม่ได้ซื้อ ดอกไม้ประดับหัวที่ซื้อมาก็เพื่อจะให้เธอไง ดูสิวันนี้เธอติดมันแล้วสวยแค่ไหน”
อู่เยวี่ยเห็นท่านผู้เฒ่าและฮูหยินผู้เฒ่าเผยสีหน้าปลื้มใจหน่อยๆ ก็โล่งอกไปที แต่กลับรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ว่าวันนี้ทุกอย่างจะไม่ราบรื่นดั่งใจเธอหวัง!
อู่เจิ้งหงไม่มีอารมณ์ที่จะฟังดอกไม้ประดับหรือกระดาษเซวียนจื่ออะไรนี่ เธอถามย้ำ “เหมยเหมย วันนั้นเธอเห็นอาเขยของเธอมั้ย? ข้างๆ เขามีใครอยู่หรือเปล่า?”
จี้เจี้ยนโปใจเต้นแรงจนแทบหลุดจากอก คีบถั่วลิสงใส่ปากเหมือนหุ่นยนต์ อู่เหมยเหลือบมองด้วยสายตามีนัยยะใส่จี้เจี้ยนโปวูบหนึ่ง แววตาล้ำลึกนั่นทำให้จี้เจี้ยนโปใจหล่นตุบ