ตอนที่ 38
ตอนที่ 38 เหมือนชาติปางก่อน
มือที่แกะปูช้าๆ ของอู่เหมยสั่นระริกให้เนื้อปูที่เพิ่งแกะได้แทบร่วงใส่จาน หัวใจเต้นรัว มาแล้ว เหตุการณ์เหมือนชาติก่อนเลย
ชาติก่อนเหตุการณ์เริ่มต้นโดยอู่เยวี่ยเช่นกันแต่อู่เยวี่ยเจ้าเล่ห์นัก บอกแค่ว่าไปเจอคุณอาเขยระหว่างเดินตลาดกับอู่เหมย รอให้อู่เจิ้งหงถามอู่เหมย และแล้วอู่เหมยกลับเล่าไปตามความจริงทุกอย่างถึงผู้หญิงข้างกายจี้เจี้ยนโป ยังบอกว่าจี้เจี้ยนโปกับผู้หญิงคนนั้นเดินจูงมือกันอยู่
ตอนนั้นอู่เหมยไม่รู้จริงๆ ว่าการที่ผู้ชายกับผู้หญิงสองคนจับมือกันมันสื่อความหมายอะไร โดยเฉพาะกับผู้ชายที่แต่งงานแล้ว คนที่จูงมืออยู่ไม่ใช่ภรรยาตัวเองเสียด้วย
ถ้อยคำของเธอได้สร้างคลื่นพายุภายในบ้านตระกูลอู่ทันที อู่เจิ้งหงพลิกโต๊ะอาหารทันที จานอาหารแตกกระจายบนพื้นก่อนทะเลาะกับจี้เจี้ยนโปยกใหญ่ สถานการณ์รุนแรงเสียจนเพื่อนข้างบ้านต้องวิ่งกรูมาห้ามทัพ
อาหารมื้อเย็นดีๆ จบฉากลงด้วยสภาพนี้ ยังทานไปได้ไม่กี่คำด้วยซ้ำ สุดท้ายแล้วอู่เยวี่ยกลับผิดคำพูดบอกว่าเธอไม่เห็นว่าข้างจี้เจี้ยนโปมีผู้หญิง บอกว่าอู่เหมยดูผิดต่างหาก
จี้เจี้ยนโปรู้สึกขอบคุณอู่เยวี่ยอย่างมาก ทวีความเกลียดชังต่ออู่เหมยมากขึ้น คลื่นพายุเกี่ยวกับมือที่สามในครั้งนี้จึงสงบลงโดยดี อู่เจิ้งหงเข้มงวดมากยิ่งขึ้นขณะเดียวกันจี้เจี้ยนโปก็เชื่อฟังคำสั่งมากกว่าเดิม อู่เยวี่ยได้รับความรักจากคนในตระกูลเพิ่มขึ้นเท่าตัว
มีเพียงอู่เหมย--
กลายเป็นที่รังเกียจของคนทั้งตระกูลโดยเฉพาะสองพี่น้องจี้เหวินเฟิงกับจี้เหวินฮุ่ยที่หาโอกาสพูดเหยียดหยามเธอเป็นบางเวลา เพราะเธอเกือบทำให้พ่อแม่ของพวกเขาต้องหย่ากันเลยมีความผิดติดตัวร้ายแรง
อู่เหมยสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่พลางก้มแทะเนื้อปูต่อไป ปูก้ามขนเป็นของฝากจากนักเรียนที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหารทะเลคนหนึ่งของท่านผู้เฒ่าอู่ ได้มันมาจากทะเลสาบหยางเฉิงแท้ๆ ทุกตัวล้วนหนักเกินกว่าสองร้อยกรัม เนื้อปูอวบอิ่ม ปกติไม่ได้ทานเนื้อปูก้ามขนอย่างดีแบบนี้หรอกนะ
คนที่เริ่มกังวลเช่นเดียวกันยังมีจี้เจี้ยนโปอีกคน ช่วงเวลาก่อนเขาเคยไปเดินเที่ยวที่ถนนหนันสุ่ย ไปกับคนๆ นั้น เขาถึงจงใจเลือกถนนหนันสุ่ยที่มันค่อนข้างปลอดผู้คน ทำไมถึงบังเอิญให้อู่เยวี่ยเห็นเข้าได้นะ?
“เยวี่ยเยวี่ยดูผิดไปหรือเปล่า? ถนนหนันสุ่ยไกลขนาดนั้นอาจะไปเดินที่นั่นได้ยังไง? อีกอย่างถ้าหนูเรียกอาจริงๆ อาไม่มีทางไม่สนใจหนูสิ!”
จี้เจี้ยนโปยิ้มตาหยีกล่าวพลางลอบก่นด่าอู่เยวี่ยในใจ เริ่มหวั่นใจกลัวเรื่องจะแตก
อู่เยวี่ยแสร้งทำท่าครุ่นคิด พูดเสียงยืนยัน “หนูจำคุณอาไม่ผิดหรอก เหมือนว่ามีคนอยู่ข้างคุณอาด้วยนะคะ เหมยเหมย วันนั้นเธอก็อยู่นี่นา พี่ชี้ให้เธอดูด้วย เธอจำได้มั้ย?”
รอยยิ้มบนหน้าของจี้เจี้ยนโปฝืดลงเรื่อยๆ พออู่เจิ้งหงได้ยินว่ามีคนอยู่ข้างๆ ก็ตวัดสายตาปนระแวงมาทางจี้เจี้ยนโปทันที ยิ่งมองยิ่งสงสัย รอยยิ้มที่น่าเกลียดยิ่งกว่าตอนร้องไห้นั่นบ่งบอกว่ากำลังมีเรื่องให้กังวลใจชัดๆ
“เยวี่ยเยวี่ย ข้างๆ คุณอาหนูคือใคร? ผู้หญิงหรือผู้ชาย?” อู่เจิ้งหงถามอย่างร้อนใจ
อู่เยวี่ยได้ใจ แต่กลับทำหน้าลำบากใจ “เพราะอยู่ห่างเกินไปหนูเห็นไม่ชัดหรอกค่ะ จำได้แค่คุณอาเขย คุณอาก็รู้นี่คะว่าสายตาหนูไม่ดี”
เหอปี้อวิ๋นรีบเสริมทัพ “เยวี่ยเยวี่ยปกติเรียนหนักเกินไป กลางคืนดึกดื่นยังมัวแต่อ่านหนังสือ ว่ายังไงเธอก็ไม่ฟังจนเสียสายตาไปหมดแล้ว”
ท่านผู้เฒ่ายิ้มอย่างชื่นชม ฮูหยินผู้เฒ่าทั้งปลื้มใจทั้งปวดใจ ให้เหอปี้อวิ๋นต้มน้ำซุปบำรุงสุขภาพให้อู่เยวี่ยมากๆ เหอปี้อวิ๋นยิ้มตอบ “คุณแม่สบายใจเถอะค่ะ ทุกๆ สามวันก็จะต้มให้อยู่แล้ว ไม่มีทางให้หลานสาวของแม่ลำบากแน่นอน!”
“งั้นก็ดี ต้องต้มสิ่งที่ช่วยเรื่องสายตาให้มากๆ พวกน้ำซุปจากลำไยหรือตับหมู จะให้หลานสาวฉันสายตาสั้นไม่ได้นะ!”
“ค่ะ!”
อู่เจิ้งหงกลับไม่มีอารมณ์จะมาฟังคำพูดไร้ประโยชน์พวกนี้ เธออยากให้อู่เยวี่ยย้อนคิดดีๆ ว่าใครคือคนข้างกายจี้เจี้ยนโป!
อู่เยวี่ยเห็นท่าทางร้อนใจของเธอแล้วนึกได้ใจ เธอชอบความรู้สึกที่ทุกอย่างอยู่ในกำมือเธอแบบนี้ ไม่ชอบใครก็ไม่ให้คนๆ นั้นได้อยู่สบาย แค่ประโยคลอยๆ กลับกระตุ้นให้เกิดคลื่นใหญ่ได้ง่ายๆ
“คุณอา หนูเห็นไม่ชัด แต่เหมยเหมยน่าจะเห็นชัด สายตาเธอดีกว่าหนู”
อู่เยวี่ยลอบมองอู่เหมยที่ก้มหน้าทานเนื้อปูด้วยแววตาเจ้าเล่ห์