ตอนที่ 32
ตอนที่ 32 ฝันที่แตกสลาย
อู่เจิ้งซือตำหนิเหอปี้อวิ๋นเสร็จเริ่มสั่งสอนอู่เหมยต่อ “เหมยเหมย พ่อพูดมาตลอดว่ายังไง มีอะไรให้คุยกันที่บ้าน เรื่องที่บ้านจะบอกให้คนนอกรู้ไม่ได้ ลูกลืมสิ่งที่พ่อเคยพูดไว้หมดแล้วใช่มั้ย?”
“ไม่ได้ลืม แต่หนูเจ็บ” อู่เหมยตอบเสียงเบา
อู่เจิ้งซือพูดไม่ออก ไม่รู้ว่าต้องพูดอย่างไรเพราะก่อนออกจากบ้านลูกสาวคนเล็กเคยบอกเขาว่าเจ็บมากแต่เขาไม่สนใจ ที่สำคัญเนื่องจากลูกสาวคนเล็กเคยถูกตีมาก่อนหน้าและไม่เคยร้องไห้มาก่อน เขาจึงไม่เก็บมาใส่ใจ
ใช่แล้ว ความจริงอู่เจิ้งซือรับรู้มาตลอดว่าเหอปี้อวิ๋นตีอู่เหมย ขอแค่ไม่มีใครรู้เขาก็ได้แต่หลับตาข้างหนึ่งทำเป็นไม่เห็น คร้านจะสนใจ ใครใช้ให้อู่เหมยการเรียนแย่ขนาดนี้ล่ะ!
“ครั้งนี้เป็นความผิดของคุณแม่แต่การที่ลูกเอาเรื่องที่บ้านบอกให้คนนอกรู้ก็ไม่ถูกเหมือนกัน คราวหลังถ้ามีอะไรให้บอกคุณพ่อ รู้หรือยัง?”
อู่เหมยรอประโยคนี้อยู่พอดี เธอเบิกตากว้างถามอย่างหวาดหวั่น “บอกทุกเรื่องกับคุณพ่อได้จริงๆ เหรอคะ? คุณแม่จะฟังที่คุณพ่อพูดเหรอ?”
เหอปี้อวิ๋นตวัดตามองมาอย่างดุดัน ยายตัวแสบ รู้จักยุยงกันแล้ว!
อู่เจิ้งซือตอบกลับพร้อมมองเธอด้วยสายตาตักเตือน “ต้องฟังอยู่แล้ว พ่อเป็นหัวหน้าครอบครัว พูดอะไรต้องเป็นไปตามนั้น!”
อู่เจิ้งซือเน้นเสียงหนักตรงคำว่า ‘หัวหน้าครอบครัว’ เรียกให้เหอปี้อวิ๋นสะดุ้งเฮือก ไม่กล้าถลึงตามองอีก
“ค่ะ จากนี้หนูจะบอกคุณพ่อทุกอย่าง” อู่เหมยฉีกยิ้มกว้าง
อู่เจิ้งซือเผลอสติหลุดไปเพราะรอยยิ้มลูกสาวคนเล็ก จนมีความรู้สึกบางอย่างในใจที่พูดไม่ถูกจึงกล่าว “รีบไปกันเถอะ คุณปู่คุณย่ารอแย่แล้ว”
เขาเดินนำอยู่ข้างหน้า แสงจันทร์ส่องให้เงาของเขาทอดเป็นแนวยาว ร่างสูงโปร่งงอพับเป็นเก้าสิบองศาคล้ายตัวปีศาจ อู่เหมยเดินตามเงียบๆ พลางย้อนคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในชาติก่อน ความทรงจำเริ่มเลือนลางลง เธอต้องกลับไปนึกดีๆ จะได้เตรียมรับมือถูก
-----
เหมยซูหานกลับมาถึงบ้านที่อาศัยอยู่แถบชานเมือง ตัวบ้านทรุดโทรม หน้าต่างหลายบานมีกระดาษหนังสือพิมพ์เก่าๆ มาติดแปะ ประตูเอียงกระเท่เร่พร้อมจะหลุดอยู่ตลอดเวลา
“ซูหานกลับมาแล้วเหรอ?”
เสียงแผ่วดังออกจากตัวบ้าน เป็นเสียงคุณแม่ของเหมยซูหาน อาการป่วยทำให้ต้องนอนอยู่บนเตียงมาหลายปีแต่เธอยืนยันจะทำกล่องกระดาษ ไม่ยอมเสียเวลาเปล่าแม้แต่นาทีเดียว
เพราะนี่เป็นรายได้หลักของครอบครัวเขา คนทั้งครอบครัวต้องอาศัยเงินจากการขายกล่องกระดาษในการใช้ชีวิต
“แม่พักผ่อนก่อน เดี๋ยวผมทำอาหารเสร็จจะมาช่วยติด”
เหมยซูหานวางกระเป๋ารีบพุ่งตัวเข้าห้องครัว อาหารเย็นของครอบครัวเขาเป็นเมนูง่ายๆ มาโดยตลอด บะหมี่น้ำใสเพิ่มผักกาดดองสักหน่อยก็พอให้ประทังหิวไปมื้อหนึ่งได้ บางครั้งในช่วงพระอาทิตย์ตกดินเขาจะไปซื้อผักที่แห้งเหี่ยว แม้หน้าตาดูไม่ได้แต่ความจริงแล้วรสชาติไม่ต่างจากผักสด ราคาถูกกว่าครึ่งหนึ่ง หากเถ้าจอเจ้าของแผงผักอารมณ์ดีอาจจะเอาผักที่เหลือทั้งหมดให้เขาฟรีๆ ประทังชีวิตได้ตั้งหลายวัน!
“ไม่ต้องหรอก ลูกแค่สนใจการเรียนก็พอ แม่ยังแข็งแรงดี แค่กๆๆ!” คุณแม่เหมยหลุดไอทันทีที่พูดได้ไม่กี่ประโยค ไอรุนแรงคล้ายปอดจะฉีก
“แม่ อาทิตย์นี้ผมพาแม่ไปหาหมอนะ!”
เหมยซูหานปวดใจเหลือเกิน คุณแม่ของเขาป่วยเพราะความเหนื่อยที่สั่งสมมานานต่างหากล่ะ!
“หาหมออะไรล่ะ? ไม่ต้องหรอก เมื่อกี้แม่แค่สำลักนิดหน่อย ดื่มน้ำให้ลื่นคอหน่อยก็พอ”
เหมยซูหานยื่นแก้วน้ำชาให้คุณแม่ แต่คุณแม่เหมยแค่เม้มปากจิบเพียงอึกเดียวด้วยไม่กล้าดื่มไปมากกว่านี้ ดื่มน้ำเยอะจะทำให้อยากเข้าห้องน้ำ ร่างกายของเธออ่อนแอเกินไป การเข้าห้องน้ำเป็นเรื่องที่เสียพลังงานมากสำหรับเธอและเสียเวลาที่เธอจะทำกล่องกระดาษด้วยซ้ำ ดื่มน้อยหน่อยจะดีกว่า!
เหมยซูหานเดินกลับไปต้มบะหมี่ในห้องครัวเงียบๆ สิ่งที่เขาจำเป็นมากที่สุดในตอนนี้ก็คือเงิน หากมีเงินเขาสามารถพาคุณแม่ไปรักษาที่โรงพยาบาลใหญ่ๆ ได้ เขาสามารถต้มเนื้อบำรุงร่างกายคุณแม่ได้ทุกวัน เขาสามารถซื้อเสื้อผ้าดูดีมาสวมใส่ ไม่ต้องได้รับสายตาสงสารจากเพื่อนสาวเหล่านั้นอีกต่อไป
ข้อความเหล่านี้ผุดขึ้นในหัวเขาให้วุ่น ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เขาฝันถึงในหลายคืนนี้ ในฝันของเขานอกจากผู้หญิงหน้าตาสวยงามคนนั้นก็เหลือเพียงเรื่องพวกนี้แล้ว
เก็บของเก่าขายสร้างรายได้ได้เยอะหรือ?
เหมยซูหานไม่อยากเชื่อ แต่ในฝันของเขากลับมีเศรษฐีร้อยล้านคนหนึ่งเริ่มต้นชีวิตด้วยการเก็บของเก่า ทำไมไม่ลองดูก่อนล่ะ?
ทุกเทอมในโรงเรียนจะมีขยะกระดาษมากมาย เขาสามารถลองขอซื้อขยะกระดาษเหล่านี้ในราคาถูกๆ จากผู้อำนวยการโรงเรียน ก่อนจะขายต่อให้ร้านรับซื้อของเก่าเหล่านั้น กำไรที่ได้มาน่าจะมากกว่าเงินที่ได้จากการทำกล่องกระดาษขายมากทีเดียว