ตอนที่ 118
ตอนที่ 118 คนละครึ่ง
“อย่างไรเสียช่วงสามสี่วันนี้หนูกินแต่ผักกวางตุ้งกับหัวไชเท้าทุกวันเลย แม้แต่เศษเนื้อก็ไม่เห็น พวกเพื่อนๆ ต่างก็ถามหนูว่าพ่อแม่ได้เงินเดือนน้อยมากใช่หรือเปล่า หนูตอบไปว่าใช่ ไม่อย่างงั้นทำไมหนูถึงไม่ได้กินพวกเนื้อสัตว์เลยล่ะ!” อู่เหมยตีหน้าซื่อพลางกุเรื่องขึ้นมาเอง ที่จริงตอนพักเที่ยงเธอไปกินข้าวที่สวนดอกไม้คนเดียวตลอด ไม่มีใครรู้ว่าเธอกินอะไรบ้าง
เหอปี้อวิ๋นแอบโกรธเคืองอยู่ในใจ เจ้าเด็กบ้าควบคุมยากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อก่อนเธอพูดหนึ่งประโยค อู่เหมยไม่แม้แต่จะกล้าผายลมออกมา แต่ตอนนี้กลับเถียงคำไม่ตกฟาก น่าโมโหจริงๆ
“เมื่อสามสี่วันก่อนพี่ก็กินเหมือนกับเธอนี่แหละ เรามาแบ่งเนื้อพวกนี้ด้วยกันเถอะ”
อู่เยวี่ยรีบหยิบตะเกียบมาคีบเนื้อ อู่เจิ้งซือมีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย เขาจ้องเหอปี้อวิ๋นและพูดเสียงทุ้มว่า “เงินเดือนผมน้อยมากเหรอ ถ้าคุณจัดการเรื่องในบ้านได้ไม่ดี งั้นต่อไปผมจะเป็นคนดูแลจัดการเรื่องเงินภายในบ้านเอง รับรองได้ว่าจะไม่ถึงกับต้องให้ลูกสองคนต้องกินผักดองทุกวัน”
เหอปี้อวิ๋นหน้าถอดสี หากปล่อยให้อู่เจิ้งซือริบอำนาจทางการเงินไปจริงๆ ต่อไปเธอจะยังใช้จ่ายอย่างสบายใจได้อย่างไรกัน ตอนนี้เงินเดือนของเธอส่วนใหญ่ส่งไปที่บ้านแม่เธอ ที่บ้านแม่เธอแทบไม่พูดถึงว่าตำแหน่งฐานะของเธอสูงส่งแค่ไหน เวลากลับไปแต่ละครั้งเหมือนกับไปเยี่ยมเยียนครอบครัวช่วงปีใหม่เลย ทำให้เธอภูมิใจในตัวเองสุดขีด
“คุณอย่าโมโหเลยนะคะ วันหลังฉันจะซื้อเนื้อมาเยอะกว่านี้ค่ะ” เหอปี้อวิ๋นรีบยิ้มเข้าสู้และพูดจาไพเราะ
ที่จริงอู่เจิ้งซือก็แค่พูดขู่เธอเท่านั้น เขาจะเข้ามาจัดการเรื่องในบ้านจริงๆ ซะที่ไหนกัน ผู้ชายทำงานนอกบ้าน ผู้หญิงดูแลงานในบ้าน ถ้าเขาต้องดูแลบ้านจริงๆ แล้วจะจดจ่อกับการทำงานได้อย่างไร
“เงินเดือนของคุณคุณจะใช้ยังไงผมไม่ยุ่ง แต่เงินเดือนของผมคุณจะต้องเอาไว้ใช้จ่ายสำหรับบ้านนี้ทุกบาททุกสตางค์” แม้น้ำเสียงของอู่เจิ้งซือจะสงบนิ่ง แต่ก็ทำเอาเหอปี้อวิ๋นตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อและใบหน้าซีดเผือดได้
เธอคิดว่าเรื่องนี้เป็นความลับ แต่ที่ไหนได้คู่ชีวิตกลับรู้เรื่องทุกอย่าง อย่างนี้จะไม่ให้เธออกสั่นขวัญแขวนได้อย่างไร
พอเห็นว่าเหอปี้อวิ๋นมีอาการตื่นตกใจและเกรงกลัว อู่เจิ้งซือก็ไม่ได้พูดอะไรอีก การกระทำเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นของเหอปี้อวิ๋นไม่อาจปกปิดเขาได้ เขาไม่สนใจเงินเดือนเล็กๆ น้อยๆ ของเหอปี้อวิ๋นอยู่แล้ว ก็เลยปล่อยให้เธอส่งไปที่บ้านแม่เธอ ตราบใดที่ไม่ล้ำเส้น เขาก็ไม่มีทางแฉออกมาหรอก
อู่เหมยเห็นเหอปี้อวิ๋นมีท่าทางตกตะลึงและหน้าซีดก็รู้สึกสะใจ ในบ้านนี้คนที่สามารถเอาเหอปี้อวิ๋นอยู่ก็คืออู่เจิ้งซือนี่แหละ สองคนนี้เมื่อเทียบกันแล้ว ประจบเอาใจอู่เจิ้งซือได้ประโยชน์กว่าประจบเอาใจเหอปี้อวิ๋นเสียอีก
อีกอย่างเหอปี้อวิ๋นเห็นเธอก็ขัดหูขัดตาไปเสียทุกอย่าง ไม่ว่าเธอจะเอาใจสักแค่ไหนก็ไม่อาจสู้อู่เยวี่ยได้ ยังไงเธอก็ถูกใช้ให้ทำงานและถูกด่าทอไม่จบไม่สิ้น แล้วจะหาเรื่องเหยียบย่ำตัวเองต่อไปทำไม!
อู่เหมยรำคาญที่อู่เยวี่ยชักช้ายืดยาด เธอหยิบตะเกียบมาคีบ เธอคีบพลางพูดว่า “มีทั้งหมดสิบสี่ชิ้น เราแบ่งกันคนละครึ่ง พี่เจ็ดชิ้น ฉันเจ็ดชิ้น แล้วก็ยังมีไข่ดาว เราแบ่งกันคนละครึ่งเช่นกัน”
พอแบ่งเนื้อเสร็จ อู่เหมยก็ถือตะเกียบมาแบ่งไข่ดาวอย่างคล่องแคล่ว แล้วไข่ดาวสีเหลืองอร่ามก็แบ่งเป็นสองชิ้น อู่เหมยจงใจคีบชิ้นที่ใหญ่กว่าใส่ลงในกล่องข้าวตัวเอง แล้วหยิบฝากล่องมาปิดอย่างรวดเร็วว่องไว
“พ่อคะ หนูไปโรงเรียนนะคะ”
อู่เหมยอารมณ์ดีเป็นพิเศษ พอเห็นอู่เยวี่ยเสียเปรียบ เธอก็รู้สึกสะใจ อู่เจิ้งซือเองก็มีท่าทีอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย ไม่ว่าอย่างไรก็ตามถึงแม้อู่เจิ้งซือจะไม่ชอบเธอ แต่เรื่องข้าวของต่างๆ เขาไม่เคยไม่เป็นธรรมกับเธอเลยจริงๆ มีเพียงเรื่องนี้ที่เขาดีกว่าเหอปี้อวิ๋นมาก
“อืม เดินทางระวังด้วยนะ” อู่เจิ้งซือยิ้ม
อู่เยวี่ยกัดฟันพลางปิดกล่องข้าว แล้ววิ่งตามหลังอู่เหมยออกมา เธอตะโกนร้องว่า “เหมยเหมยรอด้วย ไปโรงเรียนด้วยกันนะ”
บริเวณระเบียงทางเดินคนที่ทำงานก็ไปทำงาน คนที่เรียนหนังสือก็ไปโรงเรียน คนเยอะจอแจทีเดียว อู่เหมยเลยจำต้องหยุดเดิน อย่างไรเสียเมื่ออยู่ต่อหน้าคนภายนอกเธอต้องเสแสร้งแกล้งทำสักหน่อย เธอจะปล่อยให้อู่เยวี่ยมีข้ออ้างที่จะพูดว่าเธอไม่มีความรักใคร่ให้กับพี่น้องไม่ได้
เพิ่งจะเดินลงบันไดมา ก็บังเอิญเจอสยงมู่มู่ที่กำลังเข็นจักรยานอยู่ เขาตะโกนเรียกอู่เหมย “ไป ฉันขี่พาเธอไปโรงเรียน!”