ตอนที่ 102
ตอนที่ 102 จะต้องเรียนวาดรูปให้ได้
น้ำตาเอ่อคลอในเบ้าตาของอู่เหมย เธอสะกดกลั้นเอาไว้ไม่ให้น้ำตาไหลออกมา แล้วพูดเสียงดังว่า “ทำไมหนูถึงเรียนวาดรูปไม่ได้ วาดรูปกับผลสอบเกี่ยวอะไรกันด้วย เมื่อก่อนมีคนดังตั้งหลายคนที่สอบได้ศูนย์คะแนนอย่างเช่น คุณหลัว คุณเฉียน พวกเขาต่างก็เคยสอบได้ศูนย์คะแนน”
เหอปี้อวิ๋นรู้จักคุณหลัว คุณเฉียนเสียที่ไหนกัน แม้เธอจะเป็นคุณครูชั้นประถม แต่ความจริงแล้วเธอเรียนไม่จบชั้นมัธยมปลายเสียด้วยซ้ำ การที่เธอเป็นคุณครูได้ก็เพราะทางบ้านใช้เส้นสาย นักเรียนชั้นมัธยมปลายสอนวิธีบวกลบเลขไม่เกินหลักสิบของชั้นประถมปีที่หนึ่ง นั่นก็เหลือเฟือแล้ว
“แกอย่ามาหาข้ออ้างให้กับตัวเองเพื่อที่จะเรียนสิ่งอบายมุขหน่อยเลย คนดังคนไหนที่สอบได้ศูนย์คะแนนกัน แกคิดว่าพวกเขาจะโง่เง่าเหมือนแกเหรอไง?” เหอปี้อวิ๋นไม่เชื่อคำพูดของอู่เหมยเลยสักนิด
อู่เจิ้งซือขมวดคิ้ว คำพูดของภรรยาฟังแล้วค่อนข้างระคายหู แน่นอนว่าเขารู้ว่าคุณหลัวกับคุณเฉียนที่อู่เหมยพูดถึงนั้นเป็นใคร แล้วก็รู้เรื่องที่พวกเขาสอบวิชาคณิตศาสตร์ได้ศูนย์คะแนนด้วย เหอปี้อวิ๋นโชคดีมากที่พูดอยู่ในบ้าน ถ้าไปพูดเรื่องนี้ข้างนอก เธอจะต้องปล่อยไก่แน่นอน
“ปี้อวิ๋นถ้าว่างๆ ก็อ่านหนังสือเยอะๆ หน่อยนะ” แม้อู่เจิ้งซือจะพูดแบบอ้อมๆ แต่เหอปี้อวิ๋นก็เข้าใจความหมาย เรื่องที่เจ้าเด็กบ้านี่พูดเป็นความจริงอย่างนั้นหรือ มีคนดังแซ่หลัว แซ่เฉียนสอบได้ศูนย์คะแนนจริงๆ น่ะหรือ
อู่เจิ้งซือมองไปทางอู่เหมยและพูดว่า “พ่อดีใจนะที่ลูกรู้จักคุณหลัวกับคุณเฉียนด้วย แต่ลูกรู้หรือเปล่าว่าผลสอบวิชาอื่นของอาจารย์สองท่านนี้เป็นยังไง”
อู่เหมยส่ายหัวอย่างงงๆ เหยียนหมิงซุ่นบอกแค่ว่าสอบวิชาคณิตศาสตร์ได้ศูนย์คะแนน ส่วนวิชาอื่นไม่ได้บอก แล้วเธอจะรู้ได้อย่างไร
แต่คิดๆ ดูแล้วก็คงจะไม่ค่อยดีสักเท่าไรหรอก สอบวิชาเลขได้ศูนย์คะแนน แล้ววิชาอื่นจะดีสักแค่ไหนกันเชียว
อู่เจิ้งซือพูดต่ออีกว่า “อาจารย์สองท่านนี้สอบวิชาคณิตศาสตร์ได้ศูนย์คะแนนแต่ทางมหาวิทยาลัยชิงหวารับเข้าเรียนเป็นกรณีพิเศษก็เพราะว่าวิชาอื่นๆ ของพวกเขายอดเยี่ยมมาก สอบได้คะแนนเต็มหมดทุกวิชา ดังนั้นอาจารย์ที่ทำหน้าที่รับนักศึกษาในตอนนั้นถึงได้รับพวกเขาเข้าเรียนเป็นกรณีพิเศษ”
คราวนี้เหอปี้อวิ๋นก็รู้เหตุผลแล้ว เธอหัวเราะเยาะพลางพูดว่า “อาจารย์นี่ไม่ธรรมดาเลย ถึงแม้วิชาคณิตศาสตร์จะแย่ไปหน่อย แต่วิชาอื่นดีหมด ถ้าพวกเขาสอบได้ศูนย์คะแนนหมดทุกวิชา ดูสิว่าพวกเขาจะยังเป็นอาจารย์ได้อยู่หรือเปล่า!”
อู่เหมยกัดริมฝีปากอย่างดื้อดึง เหอปี้อวิ๋นต้องการจะพูดว่าเธอเป็นคนโง่ที่สอบไม่ผ่านสักวิชาไม่ใช่หรือไง
“พ่อคะ หนูอยากเรียนวาดรูป หนูชอบวาดรูป” อู่เหมยขอร้อง
เหอปี้อวิ๋นยิ้มเยาะ “ทำไมแกพูดจาไม่รู้เรื่องแบบนี้นะ ค่าเรียนวาดรูปตั้งเทอมละห้าหยวน แถมยังต้องซื้อสี พู่กันแล้วก็กระดาษ ปีๆ นึงต้องใช้เงินไม่น้อย แกคิดว่าที่บ้านผลิตเงินใช้เองเหรอไง พี่สาวแกสอบได้ที่หนึ่งทุกปียังไม่เห็นจะทำอย่างแกเลย ไม่ใส่ใจเรื่องการเรียน เอาแต่ใฝ่ทางอบายมุข”
อู่เยวี่ยเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมอู่เหมยจะต้องเรียนวาดรูปให้ได้ แต่เธอรู้สึกได้ว่าจะให้อู่เหมยเรียนวาดรูปไม่ได้
“เหมยเหมย หน้าที่หลักของเราในตอนนี้ก็คือเรียนหนังสือ อย่างไรเสียการวาดรูปก็เป็นเพียงแค่ความชอบ หากว่างจากการเรียนหนังสือก็เรียนวาดรูปได้เป็นครั้งคราว อย่าจับปลาสองมือ เราควรจะตั้งใจเรียนหนังสือก่อน เรื่องนี้ถึงจะสำคัญที่สุด เธอว่าถูกมั้ยล่ะ”
อู่เยวี่ยพูดเสียงนุ่ม เหอปี้อวิ๋นมองเธอด้วยความปลื้มอกปลื้มใจ ลูกสาวคนโตรู้ว่าอะไรควรไม่ควร ไม่เหมือนกับเจ้าเด็กบ้านี่ เอาแต่ยั่วโมโหเธอทุกวี่ทุกวันเลย
“ได้ยินที่พี่เค้าพูดแล้วหรือยัง ตั้งใจเรียนหนังสือให้ดีๆ อย่ามัวแต่คิดฟุ้งซ่าน” เหอปี้อวิ๋นพูดเสียงเฉียบขาด
อู่เหมยมองอู่เจิ้งซือด้วยสายตาวิงวอน อู่เจิ้งซือเป็นหัวหน้าครอบครัว ขอเพียงเขาอนุญาต ต่อให้เหอปี้อวิ๋นคัดค้านแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์
อู่เจิ้งซือลังเลอยู่พักหนึ่ง แล้วพูดอย่างช้าๆ ว่า “เหมยเหมย แม่กับพี่สาวของลูกพูดถูก หน้าที่หลักของลูกในตอนนี้คือเรียนหนังสือ ลูกจะต้องรู้จักจัดลำดับความสำคัญ กินข้าวกันเถอะ แล้วก็อย่าเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก”
ใจของอู่เหมยจมดิ่งสู่ก้นเหว เนื้อปลากับกระดูกหมูแสนอร่อยก็ไม่อาจปลอบประโลมจิตใจที่เศร้าซึมของเธอได้ แต่ยิ่งเป็นแบบนี้ ความปรารถนาที่จะเรียนวาดรูปของเธอกลับยิ่งแรงกล้า เฉกเช่นเดียวกับหน่ออ่อนที่พยายามผุดขึ้นจากดิน ใครหน้าไหนก็อย่าคิดมาขัดขวางไม่ให้เธอเรียนวาดรูป!