ตอนที่ 101
ตอนที่ 101 ไม่เห็นด้วย
อู่เหมยรู้สึกเศร้าสร้อย แต่เธอไม่อยากเลิกล้ม เมื่อชาติก่อนเธอเรียนวาดรูปได้ไม่นานเท่าไร ความรู้พื้นฐานไม่แน่นเลยสักนิดเดียว เหยียนหมิงซุ่นกับคนอื่นๆ เป็นคนนอกวงการ พวกเขาถึงได้คิดว่าเธอวาดรูปเก่ง แต่พอคนในวงการเห็นก็รู้แล้วว่าเธอวาดได้ไม่ดี
“หนูชอบวาดรูป หนูอยากเรียนค่ะ” อู่เหมยพูดเสียงดังขึ้นเล็กน้อยและกล้าที่จะมองสบตาเหอปี้อวิ๋น
เหอปี้อวิ๋นตะลึงงัน ในความทรงจำนั้นนี่เป็นครั้งแรกที่ลูกสาวคนเล็กสบตาเธอแบบนี้ เมื่อก่อนอู่เหมยมักจะก้มหน้าก้มตาตลอด เหอปี้อวิ๋นพิจารณาดูใบหน้าที่งดงามของอู่เหมย ดูสวยมากจริงๆ ทั้งคิ้ว ตา จมูก ปากและรูปหน้าล้วนดูดีทั้งสิ้น
ตอนที่เพิ่งเกิด อู่เหมยน้ำหนักตัวยังไม่ถึงสองกิโลกรัมดี ตัวใหญ่กว่าหนูแค่นิดเดียว แล้วเนื่องจากอั้นอยู่ในท้องนานเกินไป ใบหน้าของอู่เหมยจึงคล้ำไปหมด เสียงร้องไห้ก็เหมือนกับเสียงลูกแมวตัวน้อย ฟังดูอ่อนระโหยโรยแรง คนอื่นๆ ต่างก็บอกว่าเด็กคนนี้ไม่รอดแล้ว ตอนนั้นตัวเธอเองก็แทบจะเอาตัวไม่รอด รู้สึกเวียนหัวและเบลอไปหมด วันๆ หนึ่งนอนหลับมากกว่าตื่นเสียอีก
อู่เจิ้งซือต้องทำงานยุ่งตัวเป็นเกลียวตลอด เขาตั้งใจจ้างพี่เลี้ยงเด็กที่มีประสบการณ์มาดูแลลูกที่บ้านโดยเฉพาะ ช่วงหน้าร้อนก็ต้องใช้ผ้าห่มห่อตัวลูกเอาไว้มิดชิด ต้องห่อตัวเอาไว้นานสองเดือนกว่า สภาพร่างกายถึงค่อยทรงตัวขึ้น ส่วนสุขภาพของตัวเธอเองก็ดีขึ้นพอสมควรแล้ว จากนั้นถึงค่อยไปรับลูกมาด้วยความดีอกดีใจ ลูกที่เธอคลอดออกมาอย่างยากลำบาก เธอจะไม่รักได้อย่างไร
แต่ว่า...
ฟ้าผ่าใส่กลางวันแสกๆ สองครั้งติดต่อกัน
ตรงหว่างคิ้วของอู่เหมยมีไฝสีแดงที่ดูขัดหูขัดตาหนึ่งเม็ดอยู่ตรงกลางพอดิบพอดี ถึงเธอไม่อยากจะเห็นแต่ก็คงยาก ในใจเหอปี้อวิ๋นรู้สึกขยะแขยงราวกับกินมูลวัวอย่างไรอย่างนั้น
ลูกสาวที่เธออุตส่าห์คลอดออกมาอย่างลำบากยากเย็นกลับมีไฝที่หว่างคิ้วเหมือนกับนังจิ้งจอกนั่น แม้แต่หน้าตาก็ดูละม้ายคล้ายกันนิดหน่อยด้วย แบบนี้เหอปี้อวิ๋นจะไม่รังเกียจได้อย่างไรกัน!
แต่ก็ช่างมันเถอะ ฟ้าผ่าที่หนักยิ่งกว่าอยู่ที่ครั้งหลัง เหอปี้อวิ๋นบังเอิญได้ยินบทสนทนาระหว่างอู่เจิ้งซือกับคุณแม่ของเขา พวกเขาคุยกันเรื่องสุขภาพของเธออยู่พอดี เนื่องจากเหอปี้อวิ๋นเสียเลือดจำนวนมากตอนคลอดลูก เธอจึงไม่อาจที่จะมีลูกได้อีก
ฟ้าผ่าครั้งนี้ทำเอาเหอปี้อวิ๋นเป็นลมสลบไป แม้ว่าพ่อแม่สามีของเธอล้วนเป็นคนที่มีความรู้ แต่พวกเขาก็ยังคงให้ความสำคัญกับเพศชายมากกว่าเพศหญิง เมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขาต่างก็พูดจาดี บอกว่าหลานชายกับหลานสาวก็เหมือนๆ กัน แต่ไม่ใช่เพราะพี่สะใภ้ตี๋ชิวเยวี่ยคลอดลูกชายสองคนหรอกหรือ เธอถึงได้เป็นที่ชื่นชอบของพ่อแม่สามีน่ะ
เดิมทีเธอตั้งใจว่าอีกสองปีจะมีลูกอีกสักคน แต่การที่ลืมตาดูโลกอู่เหมยทำให้ความมุ่งมั่นตั้งใจของเธอต้องพังทลายลง นับแต่นั้นมาเหอปี้อวิ๋นก็เกิดความโกรธแค้นอู่เหมย ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ชอบอู่เหมยไม่ลง
นอกจากนี้เธอเองก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร เธอมักจะรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยสนิทสนมใกล้ชิดกับอู่เหมยเหมือนกับที่สนิทสนมกับอู่เยวี่ย เหมือนกับว่ามีผ้าบางๆ กั้นอยู่ บวกกับพักหลังอู่เยวี่ยยุแหย่ให้ทะเลาะกันทั้งต่อหน้าและลับหลัง นับวันเหอปี้อวิ๋นเองก็ยิ่งไม่ชอบอู่เหมยมากขึ้น เห็นเธอก็ราวกับเห็นศัตรู ความรักใคร่ระหว่างแม่กับลูกก็มีแต่จืดจางลงไปเรื่อยๆ
ในแววตาของเหอปี้อวิ๋นบ่งบอกถึงความเอือมระอาอย่างชัดเจน อู่เหมยรู้สึกขมขื่นอยู่ในใจ แล้วเธอก็เบือนสายตาไปทางอื่นเล็กน้อย
“ฉันว่าแกหาข้ออ้างที่จะไม่เรียนหนังสือละมั้ง เรียนวาดรูปแล้วทำอะไรได้บ้าง ต่อไปแกจะเป็นอาจารย์ได้อย่างนั้นเหรอ?”
เหอปี้อวิ๋นมีสีหน้าเย้ยหยัน
แน่นอนว่าอู่เหมยไม่เคยคิดที่จะเป็นอาจารย์ แต่น้ำเสียงดูถูกเหยียดหยามของเหอปี้อวิ๋นนั้นทิ่มแทงใจของเธอ เธอไม่ยอมและพูดเสียงดังว่า “ไม่ทันไรแม่ก็ดูถูกว่าหนูเป็นอาจารย์ไม่ได้เสียแล้วเหรอ สมัยที่คุณจางต้าเชียนเป็นเด็กก็ไม่มีใครรู้เหมือนกันว่าต่อไปเขาจะกลายเป็นอาจารย์”
“โอ๊ะโอ อยากจะหัวเราะให้ฟันร่วงจริงๆ ต่อไปบ้านเราจะมีอาจารย์เพิ่มมาอีกท่าน คุณได้ยินหรือเปล่าคะ ต่อไปคุณจะเป็นคุณพ่อของอาจารย์นะคะ จุ๊ๆๆ มีความทะเยอะทะยานไม่น้อยทีเดียว แกสอบไม่ผ่านสักวิชา แล้วแกจะเป็นอาจารย์วิชาไหนล่ะ คงเป็นอาจารย์วิชาคุยโวละมั้ง”
เหอปี้อวิ๋นเปลี่ยนจากโกรธจัดเป็นหัวเราะ เป็นการหัวเราะที่เล่นใหญ่มาก เธอพูดจาเยาะเย้ยอู่เหมยสุดขีด