สมาชิก

บ่วงอธิฏฐาน

ตอนที่ 9

อริยะตามสืบจนรู้ว่าหมอหลวงเป็นคนผสมยาบำรุงครรภ์ให้เกศอาภา โกรธมากทั้งที่ตนต้องรู้ว่าเธอตั้งท้องทีหลังคนอื่นและต้องสูญเสียลูก จนต้องเรียกตัวมาคาดคั้นความจริง

“พระอัครชายาตั้งครรภ์ ทำไมเจ้าเก็บงำเป็นความลับไม่บอกใคร”

“เป็นคำสั่งพระอัครชายา นางกำชับมิให้บอกใครโดยเฉพาะองค์อริยะ ข้าคิดว่านางจะเป็นคนบอกท่านเอง”

“แล้วยังมีความลับอะไรที่ข้ายังไม่รู้อีก พูดออกมา ...พูดมาให้หมด!”

บุษกรกลัวหมอหลวงจะหลุดปากเพราะความกลัว ตามไปส่งสายตาขู่จนหมอหลวงหัวหด ไม่กล้าสารภาพอะไรอีกเลย อริยะเลยได้แต่ฮึดฮัดด้วยความแค้นใจที่ดูแลและปกป้องเมียรักไว้ไม่ได้

เวลาเดียวกันที่เรือนอัครมเหสี...ปุณณะแวะมาเยี่ยมเกศอาภา สงสารและเห็นใจไม่น้อยที่ต้องเสียลูกในท้อง

“ความทุกข์ของเจ้าก็คือความทุกข์ของพ่อ เจ้าทำใจให้สบายเถิด เรื่องเลวร้ายผ่านไปแล้วแลมันจะไม่เกิดขึ้นอีก”

“นี่คือบัญชาจากเทวะอย่างนั้นหรือท่านพ่อ ความสุขความทุกข์ทุกสิ่งล้วนเป็นเพราะบัญชาจากเทวะอย่างนั้นหรือ เรามิอาจฝ่าฝืนแลเลือกจะสุขหรือทุกข์ได้ด้วยตัวเราเองจริงๆหรือท่านพ่อ...”

สภาพเหมือนคนตรอมใจของลูกสาวทำให้ปุณณะสะเทือนใจมาก จนต้องไปปรับทุกข์กับมหาพราหมณ์กัมพู

“ข้าต้องวิงวอนร้องขอจากองค์เทวะด้วยวิธีใดรึท่านมหาพราหมณ์ เทวะจึงจะประทานพรคืนความสงบสุขให้แก่ทุกคนได้ ถึงจะต้องบูชาท่านด้วยเลือดเนื้อของข้า...ข้าก็ยินดี”

“เทวะคือองค์ผู้เปี่ยมด้วยเมตตา ท่านมิประสงค์เลือดเนื้อผู้ใดเป็นเครื่องสังเวยบูชาหรอกท่านแม่ทัพ”

“ท่านมีคำถามเดียวกับข้ารึไม่ หากเรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้นหาใช่บัญชาจากเทวะ แล้วมันเกิดขึ้นด้วยฝีมือของผู้ใด”

มหาพราหมณ์กัมพูสะอึก รู้แก่ใจแต่ก็บอกใครไม่ได้

“ผู้ลบหลู่เทวะก็คือภัยอันใหญ่หลวงของจันทรปุระนั่นแหละท่านแม่ทัพ...”

ระหว่างที่ทั่วทั้งเมืองเศร้าโศกเพราะอัครมเหสีเสียลูกในครรภ์ บุษกรลำพองใจมากจะได้เป็นผู้เดียว

ที่ให้กำเนิดองค์รัชทายาท แต่แล้ววันหนึ่งความลับ

ของเธอก็ไม่ใช่ความลับอีกต่อไป เมื่อบริวารสาวดันเก็บผ้าปูตั่งนอนซึ่งเปื้อนระดูของเธอไปซัก แน่นอนว่าบริวารสาวสาบานจะไม่บอกใคร แต่บุษกรก็ไม่ไว้ใจ จัดการฆ่าปิดปากในที่สุด!

ooooooo

บุษกรถึงกับหมดแรงหลังจัดการศพบริวารสาวไม่ให้เหลือร่องรอยจะสาวมาถึงตัวได้ และถึงจะเลือดเย็นอำมหิตแค่ไหน ชายาคนสวยก็อดกังวลไม่ได้จนต้องไปนั่งสงบสติอารมณ์ที่ปราสาทเทวะ

มหาพราหมณ์กัมพูมาถึงหลังจากนั้นและสัมผัสได้ถึงจิตใจไม่ปกติของลูกสาว แต่เพราะความรักของพ่อ ทำให้เขาไม่อยากถามตรงๆเพื่อทำร้ายจิตใจกัน และบุษกรก็รู้ดี แสร้งตีหน้าเศร้าเคล้าน้ำตา

“ท่านพ่อ...ลูกแค่กังวลใจ หากลูกทำสิ่งใดขัดเคืองใจเทวะ ลูกอาจต้องชะตากรรมเดียวกับเกศอาภา”

“เทวะเปี่ยมด้วยเมตตา ความผิดพลาดอันเกิดจากความพลั้งเผลอหลงผิดไปบ้าง แต่หากสำนึกผิด เทวะย่อมให้อภัยจากการสวดภาวนาของเจ้า”

“ลูกหวังเพียงองค์รัชทายาทจะลืมตาดูโลกอย่างปลอดภัย เท่านั้นลูกก็พอใจแล้ว ยศถาบรรดาศักดิ์ตำแหน่งลูกไม่ได้ต้องการแม้สักนิด ลูกแค่ขอตอบแทนจันทรปุระแลราชบัลลังก์เท่านั้น”

“หากเจ้ามั่นใจในความดีที่เจ้าทำก็ไม่มีสิ่งใดต้องกังวล ผู้ประกอบกรรมดี เทวะย่อมสรรเสริญแลอำนวยพร”

ความลับของบุษกรเลยยังไม่ถูกเปิดเผย ผิดกับเรื่องหายตัวไปของบริวารสาวผู้โชคร้ายที่กลายเป็นเรื่องวุ่นวายทั้งตำหนักเพราะไม่มีใครหาตัวเจออีก บุษกรไม่สะทกสะท้านใดๆแถมขู่บริวารสาวคนอื่นอีกต่างหาก

“มันอาจหนีตามผู้ชายที่ไหนไปก็ได้ ใครมันบังอาจพูดเรื่องนังคนนี้ขึ้นมาอีก ข้าจะตบปากมัน!”

อริยะไม่ได้สนใจเรื่องการหายตัวไปของบริวารสาวในตำหนักชายารอง มัวสนใจแต่อัครชายาซึ่งตกเลือดเกือบตายเพราะแท้งลูกของเขา เกศอาภาอดกระดากไม่ได้ที่เขาตามติดทุกฝีก้าวในช่วงหลายวันที่ผ่านมา

“ข้าควรเป็นฝ่ายปรนนิบัติดูแลท่านมากกว่า”

“ข้าเต็มใจแลขอดูแลเจ้าเยี่ยงนี้ตลอดไป ชดเชยความผิดของข้า”

“ข้าสบายดีแล้ว ท่านควรเอาเวลาไปดูแลพระชายาบุษกรให้มากเถิด”

“เจ้ายังไม่เลิกน้อยใจข้าอีกรึ”

“ข้ามิได้น้อยใจ หากแต่พูดความสัตย์จากใจข้า นางกำลังตั้งครรภ์รัชทายาทจันทรปุระ ท่านควรเอาใจใส่ดูแลนางอย่างดีที่สุด เพราะนางคือความหวัง...คือผู้กำอนาคตของจันทรปุระโดยแท้”

แม้ว่าเกศอาภาจะไม่เจ็บแค้นเรื่องเสียลูก อุษากับคีรินกลับไม่คิดเช่นนั้นและตามสืบจนได้เบาะแสสำคัญว่าบุษกรอาจเป็นตัวการบงการหมอหลวงให้ผสมยาพิษในยาบำรุงครรภ์ แต่ทั้งสองก็ไม่มีอำนาจพอจะสอบสวนเรื่องทั้งหมด คีรินเลยตัดสินใจไปขอความช่วยเหลือจากปุณณะตามลำพัง

“ท่านแม่ทัพ...ข้ารู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่แลสำคัญยิ่ง ข้าอาจต้องโทษถึงอาญาแผ่นดิน แต่ชีวิตข้าหากต้องแลกเพื่อความมั่นคงแห่งราชบัลลังก์จันทรปุระ ข้าก็ยินดีแลไม่นึกเสียดายแม้สักนิด”

“พระชายาบุษกรต้องการอะไรถึงได้ทำอย่างที่เจ้ากล่าวหา”

“ตำแหน่งพระอัครชายาคือสิ่งที่นางมุ่งหมาย”

“เป็นไปไม่ได้หรอกคีริน บิดานางคือผู้รับบัญชาเทวะ แล้วนางจะทำเรื่องเลวร้ายอย่างเจ้าว่าได้เยี่ยงไร”

“ท่านแม่ทัพ...ถึงเวลานี้ คนเดียวที่จะเปิดปากพูดทุกสิ่งให้ความจริงปรากฏก็คือไอ้หมอหลวง!”

ooooooo

หมอหลวงยังไม่รู้ตัวว่าจะถูกจับมาคาดคั้นความจริง มัวสติแตกเพราะหญิงชาวบ้านที่เตรียมไว้ให้ชายาคนสวยเกิดแท้งลูก เมื่อบุษกรรู้ก็หัวเสียมาก ประกาศกร้าวจะให้หาหญิงชาวบ้านคนใหม่มาให้ได้

แต่หมอหลวงก็กลัวจนฝ่อแล้ว ไหนจะความผิดซ้ำซากที่ร่วมก่อทำให้ข่มตานอนไม่หลับสักคืน สุดท้ายเลยตัดสินใจจะบอกความจริงแก่อริยะ โดยเฉพาะสาเหตุที่เกศอาภาต้องแท้ง แต่บุษกรก็ยับยั้งได้ทันเวลา

“เจ้ากำลังพยายามจะทำอะไร เจ้าคิดจะเอาตัวรอดคนเดียวแล้วโยนความผิดให้ข้าเยี่ยงนั้นรึ”

“ข้ามิได้คิดเยี่ยงนั้น แต่...ความลับไม่มีในโลกนี้พระชายา”

“มี...ถ้าเจ้าไม่เปิดปากพูดมันออกมา”

“ข้าสัญญาว่าข้าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับตลอดไปจะไม่มีใครรู้ พระชายาปล่อยข้าไปเถิด...ข้าสัญญาว่าชาตินี้ ข้าจะไม่กลับมาเหยียบจันทรปุระให้ใครเห็นหน้าอีกเลย ความลับจะเป็นความลับตลอดไป”

“เจ้าพูดได้ถูกใจข้าทีเดียว”

พูดจบก็ยิ้มเย็น ก่อนจะควักมีดพกมาเสียบท้องหมอหลวงแล้วผละหายไปในความมืด!

ภาพในอดีตเลือนหายไปแล้ว โยสิตาสะดุ้งตื่นจากภวังค์ โดยมีสายตาของอธินและกฤตธรมองมาด้วยความห่วงใย ช่างภาพสาวกวาดตามองรอบตัวงงๆ ก่อนจะได้อึ้งเมื่อรู้ว่าเธอหมดสติไปแค่ห้านาที

“ห้านาทีเหรอคะ...ทำไมมันเหมือนยาวนานมาก”

ผีบุษกรที่เกาะติดกฤตธรส่งเสียงหัวเราะต่ำๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น ตั้งใจให้เข้าหูช่างภาพสาวคนเดียว

“ยาวนานมากงั้นรึ...มันเทียบไม่ได้หรอกกับเวลาที่ข้ารอคอย กว่าจะมาถึงวันนี้”

“คุณโหดเหี้ยมเกินไปแล้วบุษกร”

ชื่อที่ไม่คุ้นหูทำให้ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก กฤตธรสบตาให้กำลังใจ ต่างจากอธินที่นิ่วหน้าด้วยความสงสัยว่าลูกสาวคนเดียวอาจเจอเรื่องอะไรมาแล้วยังไม่เล่าให้เขาฟังแน่ๆ

อธินพยายามสอบถามจากลูกสาวหลังจากนั้น แต่โยสิตาก็ลังเลเพราะไม่อยากให้เขาเป็นห่วง และไม่รู้ว่าจะทำให้เขาเชื่อได้มากแค่ไหน กฤตธรเฝ้ามองสถานการณ์ตรงหน้าด้วยความหนักใจ โดยเฉพาะเมื่อได้ยินเธอพึมพำท้าทายกับผีบุษกรให้มาหาและบอกความจริงในอดีตทั้งหมด

“ในเมื่อเขามีตัวตนจริงแล้วต้องการอะไรบางอย่างจากฉัน จำเป็นด้วยเหรอที่จะมาบอกเล่าผ่านความฝัน...ถ้าเขาแน่จริงก็ปรากฏตัวต่อหน้าฉันตอนนี้ซะเลยสิ”

“คุณโย...บางสิ่งที่เรามองไม่เห็น พิสูจน์ไม่ได้ บางทีมันก็อาจจะเป็นแค่จิตใต้สำนึกของเราเองก็ได้”

“คุณเองก็ยอมรับว่าเขามีตัวตน”

“แต่การท้าทาย...มันเสี่ยง”

“คุณกลัว แต่ฉันไม่กลัว ฉันว่าถึงเวลาแล้วที่เขาควรมาเผชิญหน้ากันตรงๆแล้วบอกมาว่าต้องการอะไร”

คำท้าทายได้รับการตอบรับในอึดใจต่อมา ผีบุษกรนั่นเองที่แผลงฤทธิ์ให้เกิดลมพายุ พร้อมปรากฏร่างให้เห็น

“เจ้ากล้าเกินไปแล้วที่ท้าทายข้า”

“บอกมาเลยว่าคุณต้องการอะไรจากฉัน”

“ต้องการอะไรอย่างนั้นรึ...นังคนสามานย์ เจ้าคือต้นเหตุของความทุกข์ทรมานที่ข้าต้องเผชิญ จันทรปุระของข้าต้องล่มสลายก็เพราะเจ้าคนเดียว ข้ามาทวงทุกอย่างของข้าคืน แลเจ้าต้องชดใช้กรรมที่เจ้าทำเอาไว้!”

ooooooo

โยสิตากับกฤตธรถูกลากกลับสู่อดีตนับพันปีอีกครั้ง ผีบุษกรพาทั้งสองข้ามกาลเวลาต่อจากครั้งที่แล้ว เมื่อมีคนพบศพหมอหลวงในป่าลึก สภาพแทบจำไม่ได้เพราะถูกสัตว์ป่าแทะจนเหลือแต่กระดูก!

บุษกรสะใจมากแต่ก็เป็นกังวลเพราะยังหาทางออกเรื่องลูกในท้องไม่ได้ และเมื่อจนด้วยหนทางหาหญิงชาวบ้านคนใหม่ไม่ได้ก็ต้องเลือกทางสุดท้ายคือแกล้งบอกทุกคนว่าแท้งลูกในเช้าวันหนึ่ง

อุษาได้ยินข่าวร้ายจากบรรดาบริวารสาวๆก็รีบนำความไปบอกเกศอาภา

“ข้ามิได้ให้ร้าย ข้ามิได้แช่งชักพระชายาบุษกรแท้งลูกในครรภ์จริงๆ”

“เทวะ...ไยจึงมีแต่เรื่องร้ายเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน”

“มันเป็นกรรมที่ตามสนองนางมากกว่า คิดร้ายต่อผู้อื่น เรื่องร้ายนั้นก็ต้องย้อนเข้าตัวนางเอง ข้าละอยากจะสมน้ำหน้านางนัก ตำแหน่งพระอัครชายาสำหรับนางก็เป็นได้แค่ความฝันเท่านั้น”

“อุษา...เลิกทับถมคนอื่นเสียทีเถอะ นึกถึงจิตใจของนางบ้าง หัวอกคนเป็นแม่ต้องเจ็บปวดทรมานขนาดไหนที่ต้องเสียลูกไป เราควรแสดงความเห็นใจนางมากกว่านินทาว่าร้ายสนุกปากเยี่ยงนี้”

ด้านอริยะ...ตามมารยาสาไถยของชายารองไม่ทัน เฝ้าปลอบขวัญและร้องสั่งให้คีรินตามหมอหลวงคนใหม่มาตรวจ บุษกรตีโพยตีพายด้วยความเสียใจ ก่อนจะได้ หน้าซีดเผือดเมื่อเห็นหน้าหมอหลวงคนใหม่ชัดๆ!

บุษกรอ้าปากค้าง ที่ร้องไห้ฟูมฟายหมายจะให้ได้ลูกคืนเป็นอันต้องชะงัก เมื่อได้ยินคำของหมอหลวง

“คงไม่มีหวังหรอก...เพราะพระชายาก็รู้แก่ใจว่าพระครรภ์พระชายามันเป็นเรื่องโกหกหลอกลวงทั้งเพ!”

ความจริงเรื่องบุษกรปั้นน้ำเป็นตัวว่าตั้งท้ององค์รัชทายาทถูกเปิดเผยแบบหมดเปลือกในเวลาต่อมา

เกศอาภาไม่อยากเชื่อหู อุษาเลยต้องช่วยยืนยันว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจริง

“คีรินเป็นคนช่วยชีวิตท่านหมอเอาไว้ได้ ท่านหมอจึงได้เปิดปากพูดความจริงทั้งหมด เรื่องที่นางตั้งครรภ์เป็นเรื่องหลอกลวง ซ้ำร้ายนางยังเป็นผู้บงการให้หมอหลวงวางแผนกำจัดลูกในครรภ์ของเจ้าด้วย”

“จิตใจนางทำด้วยอะไร ถึงได้โหดเหี้ยมเลือดเย็นอย่างนี้”

“เรื่องมนต์ดำที่เกิดขึ้นกับองค์อริยะก็เป็นฝีมือนาง”

“เพื่ออะไรอุษา...เพื่อการได้ขึ้นเป็นพระอัครชายาเยี่ยงนั้นรึ”

“คนเราทำได้ทุกอย่างนั่นละ เพียงแต่คนอย่างนางแยกไม่ออกระหว่างความดีความชั่ว สมควรแล้วที่ต้องอาญาแผ่นดิน ตัดหัวอย่างเดียวหาพอไม่ ต้องเสียบประจานไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างอีกด้วย”

บุษกรถูกเรียกตัวไปสอบสวนและสารภาพบาปทั้งหมดต่อหน้าองค์สูริยะหลังจากนั้น แต่ชายาคนสวยก็ปากแข็งไม่ยอมรับข้อกล่าวหาใดๆทั้งสิ้น

“หากจะเอาผิด ท่านก็ต้องไปเอาผิดกับคนที่มันแย่งชิงทุกอย่างไปจากข้า!”

พูดจบก็ปรายตาไปทางเกศอาภา อริยะโกรธมาก โพล่งออกไปอย่างเหลืออด

“จิตใจเจ้าโหดเหี้ยมอำมหิตเกินไปแล้วบุษกร”

“ท่านจะประณามข้าอย่างไรก็เอาเลย แต่จงรับรู้ไว้ ...ความอำมหิตของข้ามันมาจากความรักที่ข้ามีต่อท่าน หากในสายตาท่าน ข้าเลวจนไม่มีวันให้อภัยได้แล้ว ท่านก็จงฆ่าข้าด้วยน้ำมือท่านเสียเลย...ฆ่าข้าเลย!”

ขาดคำก็คว้ามีดสั้นใกล้ตัวจะฆ่าตัวตายแต่อริยะก็ถลามาห้ามไว้ องค์สูริยะโมโหมาก ประกาศกร้าว

“เจ้าบังอาจมากที่คิดหนีผิดด้วยความตายแลทำให้เลือดของเจ้าราดลงบนเรือนข้า คีริน...ลากตัวนางไปประหารด้วยการมัดคอ ร่างโยนให้แร้งกากิน หัวให้เสียบประจานไว้ที่ประตูเมือง!”

ooooooo

บุษกรกลัวมากแต่ยังใจแข็งตีหน้านิ่งไม่หวั่นต่อบทลงโทษ เกศอาภาก็ตกใจมาก ไม่อยากให้เรื่องลุกลามถึงเพียงนี้แต่ก็ขัดคำสั่งองค์สูริยะไม่ได้ และทันใดนั้นเอง...มหาพราหมณ์กัมพูก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน

“นางผู้นี้คือลูกสาวข้า นางทำความผิดร้ายแรงอย่างไม่มีทางให้อภัยได้ การลงโทษนางตามอาญาแผ่นดินจึงสมควรยิ่ง หากจงอย่าลืมอาญาแผ่นดิน ข้อหนึ่ง...มันผู้คิดร้ายต่อราชบัลลังก์ต้องโทษตัดหัวเสียบประจานทั้งโคตร ขอองค์สูริยะท่านจงตัดหัวข้าเสียพร้อมกับนางด้วยเถิด”

“ท่านมหาพราหมณ์กัมพู...ท่านกำลังทำให้ข้าต้องลำบากใจ”

“หากความตายของข้าเป็นเยี่ยงอย่างแก่ทุกคนแลทำให้จันทรปุระอยู่ในความสงบสุข ผู้คนเกรงกลัวต่อการทำความชั่ว นั่นคือหน้าที่แลความภาคภูมิใจของข้า ท่านจงเปล่งวาจาเป็นคำสั่งออกมาเถิดองค์สูริยะ”

ทุกคนถึงกับพูดไม่ออก มีเพียงเกศอาภาที่ตัดสินใจช่วยพูดให้บุษกร

“องค์สูริยะได้โปรดเมตตา เรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นจันทรปุระได้สูญเสียมามากเกินพอแล้ว เราควรถืออาญาแผ่นดินเป็นที่ตั้งแต่ต้องสูญเสียยิ่งขึ้นอีกอย่างนั้นหรือ”

“อาญาแผ่นดินก็คืออาญาแผ่นดิน ข้าคือผู้สร้างมันขึ้นมา แล้วข้าจะละเลยมันได้อย่างไร”

“ท่านมิได้ละเลย หากแต่ได้โปรดใคร่ครวญดูอีกทีเถิด ได้โปรดตัดสินโทษพระชายาบุษกรด้วยราชธรรมด้วยเถิด เมตตาแลให้อภัยนางสักครั้ง”

บุษกรถึงกับอ้าปากค้าง ไม่อยากเชื่อว่าศัตรูหัวใจคนสำคัญจะทำเพื่อตนขนาดนี้ องค์สูริยะเองก็คิดไม่ต่างกัน

“อริยะเกือบต้องเสียคนเพราะอำนาจมนต์ดำของนาง เจ้าเองก็ต้องเสียลูกด้วยความอำมหิตของนาง เจ้าคิดว่าความเมตตายังจะเป็นสิ่งที่นางควรจะได้รับอีกรึ”

“ต่อให้สำเร็จโทษนางหรือใครต่อใครต้องสังเวยชีวิต ก็ใช่ว่าลูกของข้าจะฟื้นคืน หากท่านตัดสินเรื่องนี้อย่างมีเมตตาแลให้อภัยนำทาง ข้าเชื่อว่าเทวะจะต้องสรรเสริญแลอำนวยพร ตัวข้านั้นมิอาจแค้นเคืองได้ด้วยนางก็สารภาพว่าเพราะความรักนางจึงหลงผิดเยี่ยงนี้ องค์สูริยะโปรดทบทวนเรื่องนี้อีกทีเถิด”

คำร้องขอและเหตุผลของเกศอาภาทำให้องค์ สูริยะได้คิด ในที่สุดก็ตัดสินใจได้

“เพื่อเห็นแก่เทวะแลท่านมหาพราหมณ์ ข้าจะเว้นโทษชีวิตเจ้า แต่นับแต่วันนี้เจ้ามิใช่พระชายาองค์อริยะ จงกลับไปสู่ที่ที่เจ้าจากมาแลอย่าให้ข้าได้เห็นหน้าเจ้าอีก”

“เป็นพระกรุณา บุญคุณของท่านครั้งนี้ ข้า...บุษกร... จะขอจดจำจนวันตาย!”

ภาพในอดีตหายวับไปอีกครั้ง โยสิตากับกฤตธรหลุดจากภวังค์ โดยมีผีบุษกรตามหลอกหลอนไม่เลิก ไม่ได้สำนึกแม้แต่น้อยที่เกศอาภาหรือโยสิตาในชาติที่แล้วเคยช่วยชีวิตไว้

โยสิตาก็ตระหนักถึงข้อนี้ดี พยายามกล่อมให้อีกฝ่ายเลิกแล้วต่อกัน

“ไม่มีเกศอาภาอีกแล้ว มันเป็นอดีตที่ผ่านไปแล้ว”

“เจ้าคิดจะหนีสิ่งที่เจ้าทำเอาไว้อย่างนั้นรึ”

“ฉันเห็นแต่ความเลวของคุณ ไม่มีใครทำร้ายคุณ คุณต่างหากทำร้ายตัวเอง...บุษกร”

“เจ้าเป็นคนทำให้จันทรปุระล่มสลาย มันเป็นความผิดของเจ้าคนเดียว”

“งั้นก็เล่ามาสิ ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน”

“เจ้าจะได้เห็น...เจ้าจะต้องได้รับรู้เพราะเจ้าจะต้องชดใช้...นังคนสารเลว!”

ooooooo

ผีบุษกรอาฆาตแล้วก็ลับร่างหายไป กฤตธรเป็นห่วงช่างภาพสาวมาก ไม่อยากให้เธอท้าทายผีร้ายแบบนั้น ยิ่งเห็นอาการตัวสั่นของเธอ ยิ่งใจไม่ดี แต่โยสิตาก็ไม่หวั่นเพราะอยากเผชิญหน้ากับความจริงมากกว่า

“ก่อนหน้านี้ฉันคิดว่าฉันประสาทหลอนไปเอง ขืนเล่าเรื่องแบบนี้ให้ใครฟัง เขาต้องว่าฉันเป็นบ้าแน่ๆ”

“แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องเล่าเรื่องนี้ให้ใครรับรู้ไม่ใช่เหรอครับ”

“หลายครั้งแล้วที่เขาประกาศว่าฉันต้องชดใช้ ก็ไม่รู้ว่าฉันต้องชดใช้ยังไง”

“เรื่องนี้คงไม่จบง่ายๆแต่คุณไม่ต้องกลัว ตราบใดที่ผมยังอยู่...ผมจะปกป้องคุณเอง ถึงต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม”

อธินเฝ้ามองท่าทางครุ่นคิดแปลกๆของลูกสาวด้วยความหนักใจ พยายามเกลี้ยกล่อมให้กลับกรุงเทพฯแต่โยสิตาก็ยืนกรานปฏิเสธอยากอยู่ช่วยเขามากกว่า กฤตธรก็จนใจจะหว่านล้อมได้แต่ตามดูแลห่างๆ แล้วในวันต่อมาทั้งคณะก็ได้เตรียมห้องพักใหม่อีกครั้ง เมื่อกสินทร์เดินทางมาสมทบพร้อมกับเกรียง

ความลำบากของไซต์งานไม่ได้เป็นอุปสรรคแก่ผู้มาใหม่ โดยเฉพาะกสินทร์มีความสุขมากเมื่อได้เห็นของเก่าล้ำค่าหลายอย่างที่ทีมของอธินขุดพบ

“นี่ถ้ามีใครจากยุคสมัยนั้นมาบอกเล่าให้พวกเราฟังได้ก็คงจะดีนะ”

กฤตธรกับโยสิตาสบตากันเครียดๆ แต่อธินก็ไม่ทันสังเกต จึงพูดถึงข้อสันนิษฐานของตัวเอง

“เรื่องคำสาปอะไรนี่ ผมว่ามันคงเป็นแค่กุศโลบายบางอย่างของคนรุ่นหลังมากกว่า”

“คุณอธินจะหมายความว่าคำสาปอะไรนี่มันไม่มีอยู่จริงอย่างนั้นใช่ไหมครับ”

“มันเป็นเรื่องพิสูจน์ไม่ได้มากกว่าครับคุณเกรียง”

“คำสาปแช่งกับมิจฉาทิฐิมันก็คือสิ่งเดียวกัน อำนาจภัยอะไรก็ไม่น่ากลัวเท่ามิจฉาทิฐิในใจคน เพราะมันดลบันดาลการทำลายล้างทุกอย่างได้...แม้แต่ความเป็นคน”

คำพูดเหมือนรู้อะไรบางอย่างของเกรียงทำให้โยสิตาคาใจและตัดสินใจไปถามให้รู้เรื่อง เกรียงรับรู้ได้ด้วยญาณพิเศษว่าช่างภาพสาวจะมาหาแต่ก็บอกอะไรไม่ได้มาก นอกจากเตือนให้ระวังตัว

“ความอาฆาตพยาบาทของคนบางคน มันก็เป็นพลังงานอย่างหนึ่ง อำนาจการทำลายล้างอาจสำเร็จหรือล้มเหลวขึ้นอยู่กับบุญทำกรรมแต่ง คุณมีคำถามมากมายในใจตอนนี้จนทำให้จิตใจของคุณว้าวุ่น...นั่นละอันตราย ตั้งสติให้ดีคุณโยแล้วจิตคุณจะมีพลังพร้อมรับมือกับ...อำนาจร้าย”

“อาจารย์ดูรู้เรื่องทุกอย่างดี”

“กรรมเป็นเครื่องกำหนดทุกสิ่ง แม้แต่การโคจรมาพบกันวันนี้ ได้รู้จักกัน ได้เป็นเพื่อนกัน ได้อุปถัมภ์ค้ำชูกัน หรือแม้แต่เกลียดกัน เป็นศัตรูกันก็ล้วนมาจากกรรมที่เคยร่วมสร้างกันมาทั้งสิ้น”

โยสิตาพอจะเข้าใจถึงสิ่งที่เกรียงพยายามบอกแต่ผีบุษกรกลับไม่สำนึกและคิดไม่ได้

“มากันพร้อมหน้าพร้อมตาทีเดียว นี่คงถึงเวลาต้องชำระสะสางแล้วละมัง”

“กรรม...คือสิ่งที่ต้องชดใช้ไม่มีใครหนีพ้นไปได้”

“รู้ตัวก็ดีแล้ว ท่านอย่าได้คิดจะปกป้องมันก็แล้วกัน”

“ข้าหมายถึงตัวเจ้าต่างหากบุษกร”

“ข้าไม่เคยคิดหนี ข้าคือฝ่ายรอคอยให้ถึงวันนี้ต่างหาก”

“เจ้าโกหกหลอกลวงแม้กระทั่งตัวเจ้าเอง เจ้าหนีการชดใช้กรรม จองจำวิญญาณตัวเองอย่างนี้ เจ้าจะไม่มีวันได้พบความสุขแท้ เจ้าจะจมอยู่แต่กับบาปที่เจ้าก่อเอาไว้ชั่วกัปชั่วกัลป์!”

“เทวะของท่านบัญชาลงมารึไร เทวะที่ท้ายสุดแล้วก็เป็นแค่ก้อนหินที่นอนจมดินอยู่โน่นไง”

“ปล่อยวางซะเถอะบุษกร แล้วเจ้าจะพบหนทางแห่งการชำระบาป”

“ปล่อยวางอย่างนั้นรึ ข้ารอมาร่วมพันปี ทนทรมานหนักหนา แล้วท่านจะให้ข้าปล่อยวางง่ายๆได้อย่างไร!”

ooooooo

ผีบุษกรไม่กลัวเกรงคำข่มขู่ของเกรียงแม้แต่น้อย แผลงฤทธิ์ให้เกิดแผ่นดินไหวและฝนตกอย่างหนัก อธินตกใจมาก ช่วยกันกับชาวคณะเก็บข้าวของและหนีตายกันให้วุ่น เช่นเดียวกับโยสิตาและครอบครัวของกฤตธร

โยสิตาตกใจมาก สายตาเพ่งมองที่เทวรูปเก่าแก่ แล้วพลันภาพในอดีตก็ผุดขึ้นอีกครั้ง ถึงตอนที่อาณาจักรจันทรปุระเกิดแผ่นดินไหวและห่าฝนเหมือนเช่นวันนี้...

ทั่วทั้งเมืองแตกตื่นเพราะภัยร้ายต้องหนีตายให้วุ่น องค์สูริยะร้อนใจมาก มหาพราหมณ์กัมพูก็กังวลไม่ต่างกันเพราะสังหรณ์ใจว่าแผ่นดินไหวอาจเป็นอาเพศหรือลางร้ายที่จะเกิดกับบ้านเมือง

บุษกรที่ถูกปลดให้กลายเป็นสามัญชนธรรมดาเฝ้ามองหายนะตรงหน้าด้วยความสาแก่ใจ และด้วยความแค้น ก็เลยหาทางไปดักเจอเกศอาภา ทำทีเป็นซาบซึ้งในบุญคุณจนอีกฝ่ายตายใจ คิดว่าเธอกลับตัวกลับใจได้แล้ว

เกศอาภาเชื่อว่าบุษกรจะกลับตัวได้ เลยนำความนี้ไปหารือกับมหาพราหมณ์กัมพู

“ลูกสาวท่าน...นางดูเศร้าหมองจนข้าอดเป็นห่วงนางมิได้”

“นางคงยังอยู่ในห้วงแห่งความสำนึกผิดยิ่ง พระ อัครชายามิได้ถือโทษโกรธเคืองนาง นางคงยิ่งรู้สึกผิดบาป ความอาทรของท่านคงเยียวยาจิตใจนางได้ในไม่ช้า”

“มีสิ่งใดที่ข้าพอจะช่วยนางได้ ขอให้ท่านบอกมาเถิด ข้ายินดี”

“น้ำใจของท่าน นางได้รับรู้ เทวะเองก็ย่อมอภัยให้ผู้สำนึกผิด นางจึงตัดสินใจละทิ้งทุกสิ่ง แลตั้งใจทำงานรับใช้เทวะจนตัวตาย ไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับลาภยศสรรเสริญใดๆอีกแล้ว”

“ขอให้ความตั้งใจมั่นของนางส่งนางให้ถึงปลายทางที่นางมุ่งหวังด้วยเถิด”

อริยะก็เป็นอีกคนที่เกศอาภานำเรื่องบุษกรไปหารือ และเขาก็ภูมิใจมากที่เมียรักเป็นคนจิตใจงดงาม

“จักว่าไปแล้ว นางก็เหมือนได้เกิดใหม่เพราะเจ้านะเกศอาภา”

“เทวะเป็นผู้กำหนดทุกสิ่ง หากนางเลือกแล้วที่จัก ทำงานรับใช้เทวะตลอดชีวิต ข้าก็เห็นสมควรแล้ว”

“เจ้าไม่ถือโทษโกรธนางแม้แต่น้อยเชียวรึ ทั้งที่นางมุ่งทำร้ายเจ้าถึงเพียงนี้”

“สิ่งที่ผ่านไปแล้ว เรามิอาจแก้ไขหรือเรียกร้องให้กลับมาดังเดิมได้ แล้วจักมีประโยชน์อันใดจักต้องโกรธเคืองนาง ในเมื่อนางทำผิดพลาดก็เพราะนางรักท่าน มากเกินไปเท่านั้น”

“จิตใจเจ้างดงามไม่แพ้ดวงตาของเจ้าเลย ชีวิตนี้ข้าไม่ต้องการสิ่งใดแล้ว...นอกจากขอให้ได้อยู่เคียงข้างเจ้า ไปตราบจนลมหายใจสุดท้ายของข้า...เกศอาภา”

เกศอาภาสุขสมและผล็อยหลับอย่างมีความสุขในอ้อมกอดของอริยะ โดยไม่รู้เลยว่าบุษกรกำลังร่ำไห้และฟูมฟายต่อหน้าเทวะถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“ต่อให้ท่านทำแผ่นดินสะเทือนอีกกี่ครั้ง ท่านก็หยุดข้าไม่ได้ ข้า...บุษกร...มิได้เกิดมาเป็นเพียงแค่พระอัครชายา หากแต่ข้าเกิดมาเพื่อเป็นกษัตริย์แห่งจันทรปุระต่างหาก!”

ooooooo

หลังจากสูญเสียทุกอย่างทั้งผัวและตำแหน่งชายารอง บุษกรก็แทบคลั่งและเปลี่ยนเป้าหมายจากตำแหน่งอัครมเหสีที่รอคอยเป็นมหาเทวีผู้ครองราชบัลลังก์ จันทรปุระและคำบนบานและสาปแช่งต่อหน้าเทวะของเธอในคืนนั้น ก็ทำให้เกศอาภาฝันร้ายสะดุ้งตื่นกลางดึก อริยะตกใจตามไปด้วย และเมื่อเห็นสีหน้าวิตกเป็นกังวลของเธอก็อดไม่ได้จะปลอบขวัญ

“เจ้าเต็มไปด้วยความกังวล เล่าให้ข้าฟังได้รึไม่ ในฝันของเจ้ามันน่ากลัวมากรึไร แบ่งปันมาให้ข้าเผื่อว่าความกังวลของเจ้าจะลดน้อยลงบ้าง”

“ในความฝัน...ข้าเห็นไฟกำลังลุกไหม้จันทรปุระ ข้าเห็นน้ำหลากท่วมแผ่นดิน หากแต่มันมิใช่น้ำจากฟ้า มันเป็นเลือด ข้าได้ยินแต่เสียงกรีดร้องโหยไห้ของผู้คน”

ภาพผู้คนหนีตายและเสียงกรีดร้องขอชีวิตยังก้องในหูจนเกศอาภาหน้าซีด อริยะต้องกอดปลอบ

“มันก็เป็นเพียงความฝัน ข้าว่าเจ้ากังวลเรื่องแผ่นดิน สะเทือนจนเกินไป”

“ท่านมหาพราหมณ์กัมพูก็ยังกังวลว่าอาจเป็นลางบอกเหตุร้าย”

“ตราบใดที่ข้ายังมีลมหายใจ ข้าจะไม่ยอมให้มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับจันทรปุระของเราแน่ เจ้าวางใจเถิด...”

บุษกรเริ่มต้นแผนการร้ายครั้งใหม่ด้วยการแสร้งทำตัวเป็นลูกที่ดี ปรนนิบัติพัดวีและดูแลพ่อจนมหาพราหมณ์กัมพูตายใจว่าลูกคงกลับใจแล้ว จึงหาโอกาสวางยาพ่อให้เจ็บป่วยช้าๆ

และระหว่างนั้นก็ฉวยโอกาสตอนบังเอิญผ่านไปเห็นกลุ่มโจรกระจอกที่ลอบปล้นเรือนชาวบ้านและแอบซ่อนสมบัติที่ขโมยไว้ใกล้กับปราสาทเทวะเป็นเครื่องมือและใบเบิกทางจะเข้ารับตำแหน่งมหาพราหมณ์แทนพ่อ

อริยะจับตัวหัวขโมยได้ก็เพราะบุษกรซึ่งอ้างว่าได้ยินเรื่องโจรมาจากเทวะ เลยยิ่งทำให้องค์สูริยะเชื่อสนิท ว่าลูกสาวคนเดียวของมหาพราหมณ์กัมพูอาจเป็นความหวัง ครั้งใหม่แห่งจันทรปุระ

แต่อุษากลับไม่คิดแบบนั้น เช่นเดียวกับคีรินที่เชื่อว่าอดีตชายารองไม่น่าจะกลับใจได้

“นางปั้นน้ำเป็นตัวอ้างเทวะเสียมากกว่า”

“แต่ข้าเห็นกับตา จุดที่นางชี้ให้ขุด มันมีสมบัติซ่อนอยู่จริงๆ”

“ใครจะไปรู้ นางอาจเป็นคนเอาสมบัติพวกนั้นไปฝังซ่อนไว้เองก็ได้”

เกศอาภาที่นั่งฟังมาตลอดทนไม่ไหว ต้องปรามออกไป

“อุษา...เจ้าเลิกมีคำถาม เลิกสงสัยในตัวนางเถิด ไม่อย่างนั้นเจ้าอาจถูกตำหนิได้ว่าหมิ่นเทวะ นางอาจสวดมนต์ภาวนาอย่างแรงกล้าจนเทวะไว้ใจแลเลือกนางเป็นผู้ทำงานรับสาส์นจากเทวะก็เป็นได้”

มหาพราหมณ์กัมพูก็คาใจเรื่องที่ลูกสาวแอบอ้างว่าติดต่อกับเทวะได้ จนต้องซักถามให้วุ่น บุษกรไม่อยากให้เสียแผนเลยแกล้งโมโหกลบเกลื่อน

“ท่านพ่อ...ท่านตั้งคำถามข้าราวกับว่าท่านไม่เชื่อว่า ข้าติดต่อกับองค์เทวะได้จริง”

“ทุกคนมีคำถามที่เจ้าจะต้องตอบทั้งนั้น”

“ข้าบอกสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ข้าเห็นในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตได้ เท่านั้นยังมิเพียงพออีกรึ...”

ส่วนอริยะเชื่อสนิทว่าบุษกรกลับตัวได้แล้ว ยิ่งเห็นเธอทำความดีความชอบให้บ้านเมือง ช่วยจับโจรร้าย ที่ระรานชาวบ้าน ยิ่งทำให้รัชทายาทหนุ่มมั่นใจว่าอดีตชายาคนสวยเปลี่ยนไปแล้ว

“ก่อนนี้นางคิดแต่เรื่องตัวเอง แต่ตั้งแต่นางตั้งใจถวายตัวรับใช้เทวะ ข้ารู้สึกว่าจิตใจนางสงบลงมาก”

เกศอาภาก็เชื่อเช่นนั้น “จิตใจของนางคงมีแต่เทวะเป็นที่ยึดเหนี่ยวจริงๆ แลหากพรที่เทวะประทานให้นางสามารถช่วยเหลือผู้อื่นให้หลุดพ้นจากความทุกข์ใดๆได้ก็นับเป็นสิ่งดี”

“การให้อภัยของเจ้า ก่อให้เกิดบุญกุศลอันใหญ่หลวง แท้ๆเกศอาภา...”

ooooooo

อุษาไม่ปักใจเชื่อว่าบุษกรจะกลับตัวกลับใจได้ เมื่อได้เจอหน้ากันในเช้าต่อมาพร้อมกับเกศอาภา ก็พยายามจะหลีกเลี่ยงไม่ให้เจ้านายสาวอยู่กับอดีตชายารองตามลำพัง บุษกรรู้ทันเลยแกล้งโพล่งออกไป

“วันข้างหน้า...จันทรปุระจะยิ่งเจริญเลื่องลือด้วยมหาเทวีผู้ครองบัลลังก์”

เกศอาภานิ่วหน้า ไม่เข้าใจคำพูดแปลกๆของอีกฝ่าย

“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกันมหาเทวีผู้ครองบัลลังก์”

“ข้ามิอาจล่วงรู้ได้ เทวะกระซิบบอกข้าเพียงเท่านี้”

“จะเป็นไปได้เยี่ยงไรกัน ในเมื่อผู้ครองราชบัลลังก์ก็คือนักรบผู้กล้าเท่านั้น”

“ถึงวันนี้นักรบอ่อนแอแลโฉดเขลา ราชบัลลังก์ต้องพึ่งพาสตรีอยู่ดี นางผู้นั้นอาจเป็นเจ้าก็ได้เกศอาภา...”

เกศอาภายังไม่รู้ความนัยจากคำพูดของบุษกรนัก เลยไม่ทันระวังว่าอีกฝ่ายจะดำเนินแผนเพื่อแย่งชิงราชบัลลังก์จากองค์สูริยะด้วยการวางยาพ่อให้ล้มป่วยหนักกว่าเดิมจนไม่มีแม้แต่แรงจะลุก จะได้หาทางสอดแทรกทำความดีความชอบและทำหน้าที่พราหมณ์ใหญ่ของพ่อซึ่งชี้เป็นชี้ตายให้แก่บ้านเมืองได้ในที่สุด

องค์สูริยะกับอริยะก็ไม่ทันได้สงสัย คิดว่ามหาพราหมณ์กัมพูเจ็บป่วยจริง เช่นเดียวกับเกศอาภาที่ไม่ได้ติดใจเรื่องอันใด นอกจากความรักของคนสนิทใกล้ตัวสองคนเท่านั้น

อุษากับคีรินนั่นเองที่เริ่มมีความรู้สึกดีๆให้กัน แต่ดูเหมือนฝ่ายหญิงจะไม่ยอมรับ กลัวจะเหมือนเจ้านายที่ต้องช้ำรักเพราะชายเป็นอื่น แต่กระนั้นคีรินก็ไม่ย่อท้อ เพียรหยอดคำหวานจนอุษาอดหวั่นไหวไม่ได้...

ทุกอย่างกำลังจะไปได้ดี บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุข หากแต่ภัยแล้งและผู้คนทุกข์ยากจะไม่กลายเป็นปัญหาใหม่ของจันทรปุระ มหาพราหมณ์กัมพูยังไม่หายดี

องค์สูริยะ อริยะและปุณณะเลยต้องปรึกษาหาทางแก้ไขกันเอง แต่สถานการณ์ก็ไม่ดีขึ้น จนแม้แต่เกศอาภาก็อดหนักใจไปด้วยไม่ได้

อริยะเห็นเมียรักนั่งซึมเพราะห่วงบ้านเมือง เลยต้องนั่งปลอบ

“เจ้าอย่าได้กังวลใจไปนักเลย อีกไม่นานความเลวร้ายก็ต้องผ่านไป ท่านมหาพราหมณ์กัมพูกำลังจะทำพิธีบูชาเทวะ เทวะน่าจะให้คำตอบแก่พวกเราได้ว่าต้องทำเยี่ยงไรจึงจะพ้นภัยนี้ได้”

“ข้าวของสมบัติพวกนี้ไม่มีค่าอะไรเลยถ้าเทียบกับความทุกข์ยากที่ราษฎรกำลังได้รับ หากเทวะจะรับเพชรนิลจินดานี้เป็นเครื่องสักการบูชา แลกกับการคืนความสมบูรณ์พูนสุขแก่จันทรปุระได้...ข้าก็ยินดี”

มหาพราหมณ์กัมพูเฝ้ามองดูความลำบากของราษฎรแล้วก็ตัดสินใจจะทำพิธีปัดเป่าและบูชาเทวะ แต่อาการเจ็บป่วยที่เรื้อรังมานานซึ่งยังไม่หายดี ทำให้ล้มกลางพิธีจนเกือบถูกไฟคลอกตาย โชคดีที่ช่วยกันไว้ทัน

บุษกรจึงฉวยโอกาสนี้เสนอตัวทำพิธีบูชาเทวะแทนพ่อ ความดีความชอบที่ทำก่อนหน้าก็ทำให้เธอ

สมหวังและพิธีกรรมที่เธอแอบอ้างว่าได้รับบัญชามาจากเทวะก็คือพิธีบูชายัญด้วยเลือดของสัตว์สี่เท้าห้าร้อยตัว!

ooooooo

มหาพราหมณ์กัมพูไม่อยากเชื่อว่าพิธีกรรมบูชายัญด้วยเลือดจะเป็นบัญชาจากเทวะ เพราะเทวะไม่เคยต้องการเลือดหรือชีวิตของมนุษย์เพื่อการอันใด แต่บุษกรก็ยืนยันว่าเป็นความจริงจนใครๆก็ค้านไม่ออก

เกศอาภาได้ยินเรื่องพิธีบูชายัญก็ร้อนใจมากและทนไม่ได้ต้องไปอ้อนวอนขอร้องต่อองค์สูริยะ

“ข้าสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดในใจเจ้า ข้าได้กลิ่นบาปกรรมที่จะเกิด แต่จันทรปุระกำลังจะล่มสลาย ข้าไม่มีทางเลือกนอกจากสนองความพึงพอใจเทวะ เกศอาภา ...ข้ามิอาจล้มเลิกคำสั่งได้ พิธีบูชายัญจะต้องเกิดขึ้น!”

พิธีกรรมสุดอำมหิตเริ่มต้นในคืนเดียวกันนั่นเอง เสียงร้องของสัตว์สี่ขาหลายร้อยตัวโหยหวนจนเกศอาภานอนไม่หลับ ร่ำไห้กลางดึกด้วยความรู้สึกผิดที่ช่วยอะไรไม่ได้ อริยะต้องตื่นมาปลอบ

“ในเมื่อเป็นประสงค์เทวะ เราจะขัดขืนได้เยี่ยงไร ...เจ้าทำใจให้สบายเถิดเกศอาภา สัตว์พวกนั้นพลีชีวิตของมันเพื่อจะได้ไปอยู่กับเทวะ เจ้าคิดเสียเยี่ยงนี้เถิด ความทุกข์ทรมานจะได้บรรเทาจากใจเจ้า”

พิธีการดำเนินต่อจนถึงวันต่อมา ท่ามกลางความหวาดผวาของผู้คนและความน่าเกรงขามของพิธีกรรม และก็เหมือนเทวะจะเป็นใจ เพราะหลังจากนั้นไม่นาน ฝนก็ตกทั่วอาณาจักรจันทรปุระสมการรอคอย

ราษฎรพากันโห่ร้องด้วยความดีใจ เพราะฝนตกจะทำให้พืชสวนไร่นาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง และเพื่อตอบแทนบุษกรครั้งนี้ก็ทำให้องค์สูริยะตัดสินใจครั้งสำคัญ

“ความดีความชอบอันเกิดแก่จันทรปุระในครั้งนี้ต้องยกให้บุษกร ท่านมหาพราหมณ์กัมพูก็ล้มป่วยจนมิอาจแม้แต่จะลุกขึ้นยืน เทวะยังเมตตาประทานพรแก่นาง จงสั่งลงไปให้รู้ถ้วนทั่วทุกคนว่านับแต่วันนี้...ข้าขอแต่งตั้งให้บุษกรเป็นมหาพราหมณีแห่งจันทรปุระ!”

บุษกรสะใจมากที่แผนขั้นแรกได้ผล เสียงโห่ร้องยินดีของผู้คนทำให้ยิ่งลำพองใจ “วันนี้กราบไหว้ข้าในฐานะมหาพราหมณีไปก่อนเถิดพวกหน้าโง่ วันข้างหน้าพวกเจ้าจะได้กราบไหว้ข้าในฐานะมหาเทวีแห่งจันทรปุระ!”

ฉับพลันภาพในอดีตก็เลือนหายไปอีกครั้ง...

พร้อมกับเสียงกรีดร้องของผู้คนในไซต์งานขุดค้นเพราะแผ่นดินไหว กสินทร์วิ่งหน้าตื่นมาดูเทวรูปโบราณด้วยความเป็นห่วง แล้วก็ต้องร้องเสียงดังเมื่อส่วนหนึ่งของเทวรูปหล่นทับ

เกรียงเป็นคนมาช่วยไว้ กสินทร์เลยรอดชีวิตมาได้ แต่กระนั้น...กฤตธรก็ไม่วางใจเพราะรู้ดีว่าเหตุการณ์นี้ไม่ใช่อุบัติเหตุแต่เป็นการแผลงฤทธิ์ของผีบุษกร จึงตัดสินใจพาพ่อกลับกรุงเทพฯในวันต่อมา

ส่วนโยสิตายังไม่ยอมกลับ แม้อธินจะคะยั้นคะยอเท่าไหร่ ช่างภาพสาวก็ยืนยันคำเดิม

“พ่อ...โยยังไม่อยากกลับ โยอยากอยู่ช่วยพ่อที่นี่”

“ถ้าทุกอย่างมันเป็นความจริงอย่างที่ลูกเล่ามา ที่นี่ก็อันตรายมาก...กลับไปซะ!”

“โยไม่กลัว...พ่ออยู่ที่ไหน โยก็ขออยู่ที่นั่นด้วย”

“อย่าเล่นกับความเสี่ยงโย ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะพิสูจน์ไม่ได้ แต่อำนาจลี้ลับ...เราปฏิเสธไม่ได้ว่ามันไม่มีอยู่จริง กลับกรุงเทพฯซะ ที่นี่ไม่เหมาะกับลูก เพราะถ้าลูกเป็นอะไรพ่อจะเสียใจที่สุดและจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเลย”

ooooooo

อาการบาดเจ็บของกสินทร์ทำให้เกรียงโกรธมาก และทันทีที่ถึงกรุงเทพฯ ก็ไม่รอช้าจะไปตำหนิและคาดคั้นความจริงจากผีบุษกรซึ่งเขาเชื่อว่ายังสิงสถิตในแผ่นจารึกโบราณ แต่ผีร้ายก็ไม่ปรากฏตัว จนเขาต้องขู่

“ขืนเจ้ายังหลบหน้าข้า ข้าจะนำศิลาจารึกแผ่นนี้กลับไปไว้ในที่ที่มันควรอยู่...บุษกร”

พลันก็มีกลุ่มควันสีดำพวยพุ่งมาจากแผ่นจารึกโบราณพร้อมเสียงหัวเราะเย้ยหยัน

“ท่านไม่กล้าทำอย่างนั้นหรอกข้ารู้ ศิลาแผ่นนั้นมันมีค่ามากมิใช่รึ”

“มันไม่มีค่าอะไรเลย ถ้าการมีอยู่ของมันทำร้ายผู้คนมากมายไม่รู้จบอย่างนี้”

“แล้วเจ้าจะได้เห็น!”

“ท่านขวางทางไม่ได้หรอก ในอดีตท่านอาจจะทำได้แต่ไม่ใช่วันนี้...”

จบคำก็สลายตัวและเริ่มแผนต่อมาคือทำให้กฤตธรกับกวินทร์แตกหักกัน ด้วยการสิงร่างของเมธาวี อีกครั้ง และบีบบังคับให้เธอไปบอกเลิกกวินทร์

“มันเกิดอะไรขึ้นเมย์ บอกผมซิ ผมทำอะไรผิด เมย์ถึงทำกับผมอย่างนี้”

“คุณไม่ได้ทำอะไรผิด เพียงแต่ฉันไม่ได้รักคุณ แล้วเราจะแต่งงานกันไปทำไม”

“เมื่อก่อนคุณไม่ได้พูดอย่างนี้”

“เมื่อก่อนฉันไม่รู้แต่เดี๋ยวนี้ฉันรู้แล้วว่าฉันรักใคร ฉันเลิกรักเขาไม่ได้เพราะ...ฉันเป็นของเขาแล้ว”

“ใคร...ผู้ชายคนนั้นมันเป็นใคร”

“จะแกล้งทำเป็นโง่อยู่ทำไม ในเมื่อเขาสวมเขาให้คุณมาตั้งนานแล้ว!”

กวินทร์มัวช็อกเลยไม่ทันสังเกตว่าแฟนสาวผละไปแล้ว และมุ่งหน้าไปหากฤตธรที่กำลังคุยมือถือกับโยสิตา ซึ่งสองจิตสองใจไม่รู้ว่าจะกลับกรุงเทพฯดีหรือไม่ เพราะเป็นห่วงพ่อที่ตอนนี้รู้เรื่องผีบุษกรตามรังควานแล้ว

“คุณโย...ฟังผม ที่นั่นไม่ปลอดภัย ความจริงผมอยากจะไปตอนนี้เลยด้วยซ้ำ ถึงคุณอาอธินจะดูแลคุณได้ แต่ถ้าจะเกิดอะไรขึ้นผมควรจะต้องเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองคุณ หัวใจของผมมันบอกผมอย่างนั้น”

บรรยากาศทำท่าว่าจะดีอยู่แล้ว ถ้าจู่ๆกวินทร์จะไม่บุกมาในห้องพี่ชายแล้วปล่อยหมัดเต็มแรง โทรศัพท์มือถือกระเด็นไปแล้ว โยสิตาตกใจมากแล้วก็ต้องอึ้งกว่าเดิมเมื่อได้ยินเรื่องราวจากทางโทรศัพท์ว่าสองหนุ่มพี่น้องชกต่อยกันเพราะเรื่องเมธาวี!

กว่าสองพี่น้องจะแยกจากกันได้ กสินทร์กับเกรียงก็ต้องช่วยแยก โดยที่กวินทร์ถูกเกรียงพาไปสงบสติอารมณ์ในบ้านใหญ่และเตือนสติให้คิดถึงความรักของครอบครัวมากกว่านี้

“คุณวินทร์...สิ่งมีค่าที่สุดในชีวิตคนเรามีอยู่ไม่กี่อย่างและหนึ่งในนั้นก็คือญาติพี่น้อง คุณควรรักษาเอาไว้ให้ดีเพราะไม่มีใครจะหวังดีอย่างจริงใจเท่าสายเลือดเดียวกันหรอก”

“แล้วคนสายเลือดเดียวกัน เขาทำกันอย่างนี้เหรอครับอาจารย์”

“คุณวินทร์...สิ่งที่เห็นและเป็นอยู่อาจจะไม่ใช่ความจริงเสมอไป”

“เมย์เขาไม่เคยโกหกผม”

“ตั้งสติให้ดี อย่าปล่อยให้อารมณ์โกรธนำทาง นอกจากจะไม่ช่วยให้อะไรแล้ว คุณจะสูญเสียด้วย”

ส่วนกฤตธร...โมโหมากและตามไปเอาเรื่องเมธาวีที่โกหกจนเกิดเรื่อง

“ทำไมทำแบบนี้เมย์”

“เหตุผลง่ายๆ พี่กฤตก็รู้ดี เมย์รักพี่กฤต”

“แล้วไม่คิดบ้างรึไงว่านายวินทร์จะเสียใจขนาดไหน”

“ทำไมเมย์จะต้องแคร์ ในเมื่อเมย์ไม่ได้รักวินทร์”

“แล้วใช้วิธีนี้ เมย์คิดว่าตัวเองจะสมหวังหรือไง”

“แล้วพี่กฤตจะได้เห็น...พี่กฤตจะต้องเป็นของเมย์ คนเดียว เราจะเป็นของกันและกันตลอดไป!”

ooooooo

บ่วงอธิฏฐาน

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด