ตอนที่ 8
บุษกรโกรธมาก เข้าใจเป็นตุเป็นตะว่าหมอผีจากแดนไกลหลอกลวง มหาพราหมณ์กัมพูเลยต้องบอกความจริงว่าหมอผีไม่ได้โกหก น้ำมันพรายนั้นเป็นของจริงแต่ถูกทำลายด้วยฝีมือเขาเอง
พระชายาคนสวยถึงกับผงะ หัวเสียมากแต่ก็ต้องข่มใจทำเป็นสำนึกผิด
“ท่านพ่อ...ลูกพลาดพลั้งไปแล้ว ท่านพ่อได้โปรดอภัยให้ลูกด้วยเถิด”
“เจ้าควรไปสารภาพผิดต่อหน้าองค์เทวะ แล้วตั้งสัจวาจาว่าความผิดเยี่ยงนี้จะมิก่อเกิดขึ้นอีกในใจเจ้า เพราะสำหรับองค์อริยะ ท่านอาจไม่ให้อภัยแก่เจ้าก็เป็นไปได้”
บุษกรส่ายหน้าไม่อยากทำ มหาพราหมณ์เลยต้องบังคับเพราะมีหลักฐานแน่นหนาจะเอาผิดเธอ และหนึ่งในหลักฐานสำคัญที่เขาเลือกจะไม่บอกลูกสาวคือเขาเป็นคนดักตีหัวคีรินและเอาไปทิ้งไว้ชายป่านอกเมือง
แต่นอกเหนือจากเรื่องคีรินแล้ว มหาพราหมณ์กัมพูก็ไม่ได้คิดจะปิดบังลูกสาวคนเดียว
“น้ำมันเกสรดอกไม้ร้อยแปดอย่างที่เจ้าอุปโลกน์ขึ้นให้องค์อริยะกิน แท้จริงคือน้ำผึ้งบริสุทธิ์ที่พ่อเอาไปใส่ไว้แทน ความดีความชอบของเจ้าในครั้งนี้อาจพอช่วยหักล้างข้อกล่าวหาในตัวเจ้าได้ พ่อทำหน้าที่พ่อได้ดีที่สุดเท่านี้ แลเรื่องความผิดนี้จักเป็นความลับตลอดไปพร้อมๆกับความตายของไอ้หมอผีนั่น”
“ท่านพ่อ...น้ำใจของท่านพ่อ ลูกซาบซึ้งยิ่งนัก”
“ผู้กระทำผิดพลั้งแลยอมรับในความผิดของตน ย่อมได้รับการให้อภัยเสมอ เริ่มต้นใหม่เสียบุษกร จงพอใจในสิ่งที่เจ้ามีอยู่ แลยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นในชีวิตเท่านั้น เจ้าก็จักพบความสุขแท้”
“ข้าซาบซึ้งในพรที่ท่านพ่อมอบแก่ข้ายิ่งนัก”
“นั่นคือพรจากเทวะต่างหาก เจ้ากลับไปได้แล้ว แลลืมเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นให้หมด...กลับไป!”
แต่ทว่า...คำพูดเตือนสติของพ่อไม่ได้ทำให้บุษกรสำนึกและเดินแผนต่อมาด้วยการเผชิญหน้ากับเกศอาภาถึงปราสาทเทวะ พร้อมข้าวของสักการะมากมาย
“ท่านมิสงสัยรึว่าเหตุใดวันนี้เครื่องบูชาของข้าจึงมากมายเยี่ยงนี้”
“ท่านคงตอบแทนเทวะที่ประทานพรให้องค์อริยะหายจากป่วยไข้กระมัง”
“คนเป็นเมีย...ย่อมมีความปรารถนาต่อผัวมิแตกต่างกันหรอก เครื่องสังเวยส่วนหนึ่งเพื่อตอบแทนเทวะ ตามนั้น แต่อีกส่วนเป็นความปีติอันเกิดในใจข้า หลังจากเฝ้าวิงวอนขอจากองค์เทวะมานาน”
พูดจบก็ทำทีเดินไปหน้าแท่นบูชาจะถวายเครื่องสักการะ แล้วพลันก็แกล้งหน้ามืดจะเป็นลม บริวารต้องถลาประคอง เช่นเดียวกับเกศอาภาที่ลืมเรื่องขุ่นใจชั่วขณะและเดินไปดูอาการด้วยความเป็นห่วง
บุษกรสาแก่ใจมาก จงใจเน้นเสียงให้หวานเป็นพิเศษเหมือนจะเยาะเย้ย
“ข้าไม่เป็นไร หน้ามืดเยี่ยงนี้เป็นพักๆมาแต่เมื่อวานแล้ว แต่เมื่อคืนฝันดีของข้ายิ่งทำให้ข้าแน่ใจว่าเทวะประทานพรที่ข้าพร่ำขอมานานแก่ข้าแล้ว เลือดเนื้อเชื้อไของค์อริยะก่อกำเนิดในกายข้าแล้วพระอัครชายา!”
ooooooo
เรื่องบุษกรตั้งครรภ์สร้างความตื่นเต้นให้แก่คนทั่วจันทรปุระ โดยเฉพาะองค์สูริยะกับอริยะปลาบปลื้มใจเป็นพิเศษที่จะมีองค์รัชทายาทรุ่นต่อมา คงมีเพียงอุษาที่เคลือบแคลงใจกับการตั้งครรภ์นี้
“นางแค่คิดไปเอง ฝันไปเอง แล้วก็ตั้งใจจะข่มให้ตำแหน่งพระอัครมเหสีอยู่เบื้องต่ำกว่านางเท่านั้น อย่าไปสนใจนิทานของนางเลย หมอหลวงคนเดียวเท่านั้นที่จะยืนยันเรื่องนี้ได้”
เกศอาภาก็สงสัยไม่ต่างจากคนสนิทแต่ก็ไม่อยากปรักปรำทั้งที่ไม่มีหลักฐาน
“ข้ามิได้คิดอิจฉานางแม้แต่น้อย หากนางมีวาสนาได้เป็นผู้ให้กำเนิดรัชทายาทเพื่อสืบบัลลังก์ตามบัญชาแลประสงค์เทวะ ก็เป็นเรื่องที่ข้าสมควรร่วมแสดงความยินดีกับนางมิใช่รึอุษา”
“อะไรๆเจ้าก็อ้างเพื่อจันทรปุระ ทบทวนดูสิ่งที่นางทำกับเจ้าบ้างเถิด จำมิได้รึว่าจิตใจนางร้ายกาจเพียงใด”
“อุษา...จงน้อมรับทุกสิ่งที่เทวะบัญชาเถิด”
“เทวะลำเอียง เทวะตาพร่ามัวไปข้างนึง ข้าจะคอยหัวร่อให้ท้องแข็ง เมื่อหมอหลวงประกาศว่าข่าวดีของนางเป็นแค่นิทานเรื่องหนึ่งเท่านั้น!”
คีรินเป็นคนต่อมาที่อุษาระบายด้วย หงุดหงิดใจเหลือเกินที่เกศอาภาไม่เอาเรื่องบุษกร
“เราควรไปรายงานเรื่องที่นางสมรู้ร่วมคิดกับไอ้หมอผีอุบาทว์ทำเรื่องอัปรีย์ให้องค์สูริยะและองค์อริยะรับรู้”
“ก็บอกเจ้าแล้ว หลักฐานไม่มีแล้วจะเอาผิดนางได้อย่างไร”
“หลักฐานไม่มีแต่หากเราสองคนยืนยันมั่นคงก็เป็นพยานได้...มิใช่รึ”
“แค่คำพูด หามีน้ำหนักเพียงพอไม่ อีกอย่าง...ข้าว่านางกล้าทำความผิด นางก็คงคิดวางแผนเอาตัวรอดมาเป็นอย่างดีแล้ว ขนาดไอ้หมอผีนั่นยังหมดโอกาสจะพูดเลย”
“ข้าเห็นว่าเราต้องทำบางอย่าง วันข้างหน้าหากต้องกราบแลเรียกนางว่าพระอัครชายา ข้าขอกลั้นใจตายดีกว่า”
“เจ้านี่ชอบตีตนไปก่อนไข้ รอฟังหมอหลวงเถิด นิทานอย่างไรเสียก็เป็นแค่นิทาน...”
นิทานของอุษากับคีรินเริ่มต้นในวันเดียวกันนั่นเอง เมื่อบุษกรแสร้งมารยาให้อริยะไปรอด้านนอกระหว่างที่หมอหลวงตรวจ หมอหลวงหน้าซีด เหงื่อแตกพลั่กเพราะรู้ดีว่าชายาคนสวยไม่ได้ตั้งครรภ์
บุษกรเห็นท่าอึกๆอักๆของหมอหลวงเลยแกล้งอ้างอำนาจบารมีของพ่อให้อีกฝ่ายกลัวเกรง
“เจ้าก็รู้ดีใช่หรือไม่ว่าบิดาข้าผู้ติดต่อรับสารจากองค์เทวะมีอำนาจมากมายล้นฟ้าเพียงใด องค์สูริยะชี้เป็นให้มันผู้ใดได้ บิดาข้าก็ชี้ตายให้มันผู้นั้นได้เช่นเดียวกัน”
หมอหลวงกลัวตัวสั่น ลังเลว่าจะทำผิดต่อวิชาชีพดีหรือไม่ แล้วก็ต้องเบิกตาโพลงเมื่อบุษกรโยนเงินถุงใหญ่มาตรงหน้า และเพียงไม่กี่เพลาต่อมาชาวเมืองและองค์สูริยะก็ได้ชื่นชมยินดีกับข่าวดีที่จันทรปุระจะมีรัชทายาทคนใหม่
แต่ถึงกระนั้น...บุษกรก็ยังไม่พอใจ ปั้นเรื่องและบังคับให้หมอหลวงโกหกว่าลูกในท้องจะเป็นชาย
“ในฝันข้า...ข้าเห็นช้างฝูงใหญ่เดินมาหาข้า พญาช้างเผือกทรุดตัวลงตรงหน้าข้า แลยื่นงวงของมันมาหาข้า เหมือนจะมอบบางสิ่งให้แก่ข้า เมื่อข้ารับมา ข้าจึงได้เห็นกับตาว่ามันคือเพชรเม็ดงามส่องประกายสุกสว่าง”
มหาพราหมณ์กัมพูยินดีกับลูกสาวเพราะไม่รู้เรื่อง แถมยืนยันต่อหน้าธารกำนัลอีกต่างหากว่าความฝันนั้นตรงตามตำราทุกอย่างว่าผู้ฝันจะได้ลูกชาย องค์สูริยะกับอริยะเลยยิ่งปลื้ม
ooooooo
ขณะที่ทุกคนชื่นชมและยินดีกับข่าวดีของบุษกร เกศอาภาต้องช้ำใจอย่างหนัก อุษาสงสารเลยค่อนขอดบุษกรไม่หยุดว่าช่างสร้างเรื่องเป็นตุเป็นตะว่าจะได้ลูกชายทั้งที่ยังไม่ได้คลอด!
“อุษา...เจ้าเลิกใช้คำพูดให้ภัยผู้อื่นเสียทีเถิด”
“ใครหน้าไหนก็ให้ร้ายนางมิได้หรอก หากนางเป็นคนดีจริง”
“อุษา...ข้ามิเคยอยากได้ตำแหน่งนี้แต่แรก ในเมื่อนางสร้างความดีความชอบแลมีสิทธิ์นั่งในตำแหน่งนี้ ข้าควรจะลาออกไปโดยดี มิต้องให้นางผลักไส...มิใช่รึ”
“แต่นางจงใจผลักไสเจ้า”
“ให้ข้าเป็นอะไรก็ได้ ไม่ต้องเป็นอะไรเลยยิ่งดี ข้าอยากกลับเป็นคนธรรมดา ไม่ต้องมีตำแหน่งอะไรค้ำคอ”
อุษาตั้งท่าจะค้านแต่เกศอาภาก็ยกมือห้ามพร้อมปรามทิ้งท้าย
“หากเจ้ารักแลหวงแหนแผ่นดินนี้ จงร่วมแสดงความยินดีกับนางเถิด นางเป็นผู้มอบอนาคตให้จันทรปุระและเทวะก็เป็นผู้เมตตามอบหมายสิ่งนี้ให้แก่นาง”
แต่ถึงจะพูดกับคนสนิทแบบนั้น เกศอาภาก็อดน้อยใจสวามีไม่ได้ เมื่อเขากลับตำหนักในคืนเดียวกัน จึงเริ่มเปรยถึงเรื่องย้ายออกและสละตำหนักใหญ่ให้บุษกร
“พระชายาบุษกรจะได้ย้ายมาอยู่เรือนหลังนี้แทนข้า เพราะอีกไม่นาน...อย่างไรเสียนางก็ขึ้นเป็นพระอัครชายาแทนที่ข้าอยู่แล้ว จะเร็วหรือช้าข้าก็ต้องไปอยู่ดี”
“นั่นมิใช่เรื่องจะมาพูดกันเวลานี้”
“ท่านจะให้ข้าไปวันใด ท่านก็บอกข้าละกัน ข้าพร้อมเสมอ...”
แล้วก็เหมือนบุษกรจะรู้ถึงความในใจของเกศอาภา บุกมาประกาศศักดาถึงตำหนักว่าตนกำลังจะได้เป็นมารดาขององค์รัชทายาท แต่กลับพบแค่เหล่าบริวารของอัครมเหสีที่พยายามยับยั้งไม่ให้เธอเข้าไป
“บังอาจขวางทางข้ารึนังขี้ข้า อีกไม่นานทุกอย่างก็ต้องเป็นของข้า มิใช่แต่เรือนหลังนี้หรอก”
“พระอัครชายาไปเที่ยวชายป่า ท่านรอก่อนเถิด อย่าเพิ่งขึ้นไปเลย ไม่นานพระอัครชายา...”
เอ่ยไม่ทันจบ บริวารสาวคนนั้นก็ถูกบุษกรตบหน้าหัน ก่อนประกาศกร้าว
“นังหน้าโง่ หากยังไม่รู้ก็จงรู้เอาไว้ คำว่าพระอัครชายามีไว้เรียกข้าแต่เพียงผู้เดียว!”
เหล่าบริวารสาวๆกลัวลนลาน ผวาหนีคนละทิศ ละทาง บุษกรสะใจมาก แล้วก็แทบโห่ร้องเมื่อตามไปเจอศัตรูหัวใจคนสำคัญที่ท่าน้ำไม่ไกลจากตำหนัก เกศอาภานั่นเองที่หน้ามืดจะเป็นลม คีรินซึ่งตามอารักขาเลยถลาไปประคอง เพราะอุษาไม่อยู่แถวนั้น มัวแต่คันคะเยอเพราะถูกรังมดแดงเล่นงาน
บุษกรไม่รอช้า ฉวยโอกาสนี้กล่าวหาว่าอัครมเหสีคบชู้ คีรินตอบโต้อย่างดุเดือดแต่ก็เถียงสู้ไม่ได้ เกศอาภาเลยรวบแรงเท่าที่มีปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเอง
“หยุดคำพูดกล่าวหาข้ากับคีรินเดี๋ยวนี้พระชายาบุษกร”
“เจ้าโกรธหรือละอายแก่ใจตัวเองกันแน่เกศอาภา”
“ข้าบอกให้หยุด!”
“ข้าเข้าใจหัวอกเจ้าอยู่หรอก องค์อริยะสิ้นเยื่อใยจากเจ้าแล้ว เป็นธรรมดาที่เจ้าคงจะเหงาเปล่าเปลี่ยวและต้องการใครสักคน แต่ก็ไม่น่าคว้าเอาคนใกล้ตัวเจ้าอย่างนี้นะเกศอาภา”
เกศอาภาต้องระงับใจไม่ให้ระเบิดอารมณ์ออกไป บุษกรเลยยิ่งได้ใจ
“น่าสมเพชแท้ แทนที่จะลงจากตำแหน่งพระอัครชายาอย่างเงียบๆให้ใครๆเห็นใจ เจ้ากลับสร้างความอัปยศให้กับตัวเจ้าเองด้วยความใฝ่ต่ำของเจ้า!”
ooooooo
กว่าอุษาจะกลับมา เกศอาภาก็เป็นลมอีกรอบ คีรินต้องช่วยประคองพาอัครมเหสีคนสวยไปพักในตำหนัก อุษาจะให้เรียกหมอหลวงมาตรวจแต่เกศอาภาก็ห้ามไว้ไม่อยากให้เป็นเรื่องถึงหูสวามี
แต่บุษกรไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น เมื่อได้เจอหน้าอริยะในเวลาต่อมาก็แกล้งพูดให้เขาสงสัยว่าเกศอาภาอาจมีความลับบางอย่าง...และมันอาจเกี่ยวข้องกับคีริน!
ใช้เวลาไม่นาน อริยะก็คิดได้และรีบผละกลับตำหนักของเกศอาภาเพื่อคาดคั้นความจริงจากคีริน อัครมเหสีคนสวยไม่อยากให้มีเรื่องเพราะความเข้าใจผิดเลยพยายามจะอธิบายความจริง แต่อริยะก็ไม่เชื่อ
“เจ้าจะแก้ตัว แทนมันหรืออย่างไร”
“มิใช่คำแก้ตัว แต่ควรแล้วหรือที่ท่านจะฟังความเพียงข้างเดียว”
“ข้าถึงต้องการพบหน้ามัน ต้องการฟังจากปากของมันอยู่นี่ยังไง”
“ความโกรธในใจท่านตอนนี้จะทำให้ตาท่านบอดไปข้างหนึ่ง”
อริยะโมโหมากจนขาดสติจะยั้งคิดและไตร่ตรอง “เจ้าอย่าบังอาจมาสั่งสอนข้า เรื่องนี้เป็นเรื่องของข้ากับมัน เจ้ายิ่งแก้ต่างแทนมันมากเท่าไร ข้าก็ยิ่งรู้สึกว่าเจ้าอยากจะปกป้องมันด้วยจิตพิศวาส”
เกศอาภาเสียใจมากแต่ก็ไม่ละความตั้งใจจะบอกความจริงแต่เขาก็ไม่ฟังอะไรแล้ว
“ข้ากันเจ้าไว้ให้อยู่ในที่ที่เหมาะที่ควร แต่เจ้ากลับออกรับแทนมันเยี่ยงนี้ จะให้ข้าคิดเยี่ยงไร ถ้ามิใช่เจ้าร่วมมือกับมันสวมเขาให้ข้า!”
แผนการปั่นหัวของบุษกรได้ผลเกินคาด อริยะโกรธเกศอาภาจนแทบไม่อยากมองหน้า อุษาสงสารและเห็นใจเจ้านายสาวเลยปลอบให้ใจเย็นๆ อย่าหลงไปกับแผนร้ายของบุษกร
“ข้าว่านางต้องพูดจาใส่ไฟจนเกินจริง ไม่อย่างนั้นองค์อริยะคงไม่โกรธขนาดไม่ยอมฟังอะไรเช่นนี้หรอก”
“ช่างเถอะอุษา ดีแล้ว...สิ่งที่เกิดวันนี้ทำให้ข้าเห็นชัดว่าความรักมันมิได้มีอยู่จริง มันก็แค่ภาพลวงตาเท่านั้น”
“ต้นเหตุมันมาจากนาง...พระอัครชายา”
“ไม่หรอกอุษา คนรักกันไม่ให้เกียรติกันได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ต่อให้คำพูดใส่ร้ายหนักหนาเกินจริงขนาดไหน ความจริงก็ต้องทำให้จิตใจของเรามั่นคง เชื่อมั่นในตัวคนที่เรารักมิใช่รึ วันวาน...ความรักอาจจะเคยมีแต่วันนี้มันหมดสิ้นไปแล้วอุษา มันไม่มีเหลือแล้ว”
เกศอาภาผละไปแล้ว อยากนั่งทำใจคนเดียว แต่ก็ต้องหน้าเสียเมื่อเจอพ่อในอึดใจต่อมา ปุณณะเห็นสีหน้าเศร้าหมองของลูกสาวก็อดไม่ได้จะถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง เกศอาภาเลยถึงกับน้ำตาร่วง
“ลูกคิดถึงท่านพ่อเหลือเกิน ในโลกนี้มีแต่ความรักจอมปลอม ท่านพ่อ...ลูกได้ใช้ความอดทนอย่างที่ท่านพ่อให้พรลูกมาอย่างถึงที่สุดแล้ว ลูกคงต้องขอยอมแพ้”
“เกิดอะไรขึ้น เล่าให้พ่อฟังได้รึไม่”
“ชีวิตนี้ลูกไม่ขอเป็นอะไรอีกแล้ว นอกจากลูกของท่านพ่อ...”
ooooooo
เกศอาภาจมอยู่กับความทุกข์เพราะถูกเข้าใจผิด อริยะหมางเมินและตีตัวออกห่าง ไม่กลับตำหนักเหมือนเคย บุษกรลำพองใจมากและคิดว่าความปรารถนาจะกำจัดศัตรูหัวใจจะเป็นจริงในไม่ช้า
และกุญแจสำคัญก็คือหมอหลวง ซึ่งลำบากใจมากที่ต้องปั้นหน้าโกหก แต่บุษกรก็ไม่ยี่หระ สีหน้ากระอัก กระอ่วนใจของอีกฝ่ายไม่ใช่เรื่องใหญ่ของเธอเลย
“อีกเจ็ดเดือนข้างหน้า...ข้าจะให้กำเนิดลูกชายได้อย่างไร เจ้าคงอยากรู้ใช่รึไม่”
“ข้าต้องคอยตอบคำถามอีกมากมายต่อองค์สูริยะและองค์อริยะ”
“เรื่องนั้นพ่อข้าและข้าคิดวางแผนเอาไว้หมดแล้ว เจ้ามีหน้าที่ทำตามคำสั่งของข้าผู้เดียวเท่านั้น!”
เช้าวันเดียวกันที่หน้าตำหนักหลวงขององค์สูริยะ อริยะชกต่อยกับคีรินอย่างดุเดือด ด้วยปักใจว่าอีกฝ่ายเป็นชู้กับเกศอาภาเมียรัก คีรินไม่ยอมสู้ พยายามหลบเลี่ยงแต่ก็ต้านแรงหึงหวงไม่ไหว
“ท่านมันเขลาเบาปัญญา กับคำพูดไม่กี่คำของคนบางคน ท่านก็พร้อมจะทำลายทุกสิ่งแม้กระทั่งคนที่อยู่เคียงข้างท่านแลภักดีต่อท่านด้วยชีวิต!”
แต่ถึงจะพูดขนาดนั้นอริยะก็คิดไม่ได้ พิษรักแรงหึงทำให้หน้ามืดขาดสติยั้งคิดด้วยเหตุผล ส่วนเกศอาภาก็อาการไม่ค่อยดีเป็นลมทั้งวันจนอุษาทนไม่ไหวต้องไปตามหมอหลวงมาตรวจ แล้วพลันความจริงก็เปิดเผยเมื่อหมอหลวงแจ้งว่าอัครมเหสีคนสวยตั้งครรภ์แล้ว
เกศอาภาตกใจมากและเมื่อได้สติก็สั่งห้ามแพร่ง พรายเรื่องนี้ให้ใครรู้ เพื่อความปลอดภัยของลูกในท้องและเพื่อป้องกันไม่ให้อริยะเข้าใจคีรินผิดมากไปกว่านี้
แต่ความลับก็ไม่มีในโลก หมอหลวงถูกบุษกรบีบเค้นจนต้องทำผิดอีกครั้งด้วยการหลุดปากบอกเรื่องเกศอาภา
“เป็นความสัตย์ ข้ามิได้กล่าวเท็จ เทวะเป็นพยานให้ข้าได้...พระอัครชายาเกศอาภาตั้งครรภ์จริงๆ”
ภาพจากอดีตเลือนหายไปแล้ว โยสิตาสะดุ้งตื่นกลางดึก เพียงเพื่อจะพบว่าผีบุษกรตามมาหลอนถึงปัจจุบัน ช่างภาพสาวกระถดตัวหนี แต่ผีร้ายใบหน้าเละเทะก็ตามมาจ้องหน้า
“ข้ามีตัวตนอยู่ทั้งในความฝัน แลความจริงของเจ้าทั้งยามหลับแลตื่น...เกศอาภา”
“ฉันคือโยสิตาไม่ใช่เกศอาภา ต่อให้อดีตฉันเป็นอะไรหรือเป็นใคร แต่ปัจจุบันฉันคือโยสิตา!”
จบคำก็แผดเสียงลั่น อธินถลามาดูลูกสาวด้วยความเป็นห่วง แต่เธอก็บอกอะไรพ่อไม่ได้เพราะไม่มีหลักฐานมากพอจะทำให้เขาเชื่อว่าเธอถูกผีร้ายจากเมื่อพันปีก่อนตามอาฆาต
และคงเพราะความฝันบ้าๆทำให้โยสิตาอารมณ์เสียตั้งแต่เช้า กฤตธรตามมาวุ่นวายในครัวเหมือนเคยเลยถูกเหวี่ยงใส่จนเข้าหน้าไม่ติด แต่กระนั้นเขาก็ไม่ถือสา หาเรื่องคุยกับเธอจนได้ในเวลาต่อมา
โยสิตาถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อกฤตธรเล่าว่าเขาก็ฝัน ถึงเรื่องในอดีตเหมือนกับเธอ และผู้หญิงตัวร้ายที่ทำให้ทั้งเธอและเขาต้องนอนสะดุ้งตื่นกลางดึกแทบทุกวันในระยะหลังๆก็น่าจะเป็นคนคนเดียวกัน
“ผู้หญิงคนนั้นชื่อบุษกร...ความจริงฉันคงเรียกเขาไม่ถูก เพราะฉันว่าเขาไม่ใช่คน!”
ooooooo
โยสิตาตัดสินใจเล่าเรื่องความฝันประหลาดและเหตุการณ์แปลกๆที่เกิดกับเธอในระยะหลังๆ โดยเริ่มจากการพาตัวกฤตธรไปไซต์ขุดค้นของโบราณของพ่อในเวลาต่อมา
“มันเริ่มต้นที่นี่ หลังจากพ่อฉันขุดเจอศิลาจารึกแผ่นนั้น”
“เรื่องแปลกๆก็เกิดขึ้นกับครอบครัวของผมหลังจากคุณพ่อผมได้พาหุรัดครึ่งซีกนั้นมา”
“สิ่งที่ฉันอยากรู้คือเขาต้องการอะไรจากฉัน”
โยสิตายังไม่ได้คำตอบ ก็ต้องหันไปตามเสียงเรียกของชาวคณะที่มาตามพ่อของเธอไปดูพระพุทธรูปโบราณซึ่งเพิ่งขุดพบ กฤตธรตามไปด้วย แล้วพลันสองหนุ่มสาวก็ถูกดึงสู่อดีตนับพันปีอีกครั้ง...
บุษกรนั่นเองที่เป็นคนทำให้เกิดนิมิต ให้เห็นพระพุทธรูปองค์ที่เพิ่งขุดพบในสภาพสมบูรณ์ ตั้งตระหง่านท่ามกลางเครื่องสักการะมากมาย โดยมีบุษกรในชุดมหาพราหมณ์เหมือนพ่อยืนตรงหน้า ประกาศกร้าวต่อเทวะ
“ข้า...บุษกร จะไม่มีวันเป็นผู้แพ้ ข้าขอจองเวรกับมันทุกชาติ นานแค่ไหนข้าก็ขอล้างเวรด้วยน้ำมือของข้าเอง!”
หลังจากนั้นภาพก็ถูกเปลี่ยนอีกครั้ง จากปราสาทเทวะโบราณเป็นห้องนอนของเกศอาภา ซึ่งสะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะฝันร้ายเหมือนจะถูกคนปองร้าย อุษาตื่นตามและปลอบไม่ให้คิดมาก เพราะฝันก็คือฝัน ภารกิจสำคัญกว่าเวลานี้คือดูแลครรภ์ให้ดี องค์รัชทายาทจะได้แข็งแรง
ปุณณะเป็นห่วงลูกสาวมากนับตั้งแต่เจอกันครั้งก่อน แต่กระนั้น...แม่ทัพใหญ่ก็ใจกว้างพอจะแสดงความยินดีต่อมหาพราหมณ์กัมพูที่บุษกรลูกสาวคนเดียวและพระชายาจะให้กำเนิดองค์รัชทายาทคนแรก
มหาพราหมณ์กัมพูยิ้มบางๆ ตอบรับด้วยความยินดี
“ทุกอย่างเป็นไปตามเทวะบัญชา”
“จริงดังท่านว่า...บัญชาเทวะไม่มีผู้ใดฝ่าฝืนได้ แลไม่มีสิ่งใดอยู่เหนือเทวะได้เช่นกัน...ข้าขอตัวก่อนล่ะ”
คำพูดทิ้งท้ายของปุณณะสะกิดใจมหาพราหมณ์กัมพูไม่น้อย โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงวีรกรรมของบุษกรที่ถึงขั้นทำเสน่ห์ยาแฝดให้ได้มาซึ่งความรักจากอริยะ และเวลานี้ก็กำลังตั้งครรภ์องค์รัชทายาทแห่งจันทรปุระ...หากนี่เป็นประสงค์แห่งเทวะลิขิตก็คงดี แต่หากไม่ใช่...
ลูกสาวคนเดียวจะเป็นเช่นไร...
ฝ่ายคีริน...ถูกอริยะเล่นงานจนบาดเจ็บสาหัส ต้องกระเสือกกระสนไปขอความช่วยเหลือถึงเรือนอัครมเหสี เมื่อเกศอาภากับอุษาเห็นสภาพเขาก็ตกใจมาก และแทบไม่อยากเชื่อหูเมื่อเขาแจ้งว่าถูกอริยะเนรเทศจากจันทรปุระ
อริยะเองก็เจ็บปวดใจไม่น้อยที่ต้องมีเรื่องกับคีรินคนสนิทที่เป็นเพื่อนตั้งแต่เด็ก บุษกรสะใจมากที่ปั่นหัวและยุแยงผัวได้ พยายามจะพะเน้าพะนอเหมือนเคย แต่ก็ต้องหน้างอเมื่อถูกเขาไล่ออกจากห้อง
และคงเพราะความเจ็บใจนี่เอง ทำให้ชายาคนสวยบุกไปหาเรื่องเกศอาภาถึงปราสาทเทวะ พูดจาถากถางสารพัด โดยเฉพาะเรื่องที่อีกฝ่ายตรอมใจจนล้มป่วยเมื่อวันก่อน
เกศอาภาซึ่งหงุดหงิดใจเรื่องคีรินอยู่แล้ว ต้องพยายามระงับอารมณ์อย่างมากและเดินหนี แต่บุษกรก็ถลาไปดักหน้าและพูดจาค่อนแคะไม่หยุดปากจนอุษาทนไม่ไหวโต้แทนอย่างเหลืออด
“คนบางคนสำคัญตนผิด คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่คับฟ้าเหนือคนอื่น มันก็ไม่ต่างอะไรกับหมูที่ชอบกินของสกปรก แลคิดว่าตัวเองสูงส่งราวพญาช้างเผือกนั่นแหละ”
บุษกรโกรธมาก ตั้งท่าจะตบสั่งสอนแต่ก็ถูกเกศอาภา ขวางไว้
“หากเจ้าทำร้ายคนของข้า เป็นได้เห็นดีกันแน่!”
ooooooo
คำขู่ของเกศอาภาไม่ได้ผล บุษกรถลาหาหมายจะตบให้หายแค้น แต่ก็ถูกอีกฝ่ายคว้ามือแล้วหักบิด จังหวะเดียวกันนั่นเอง...อริยะก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ บุษกรเลยฉวยโอกาสนี้สะบัดตัวออก ทำทีล้มกับพื้นแล้วกรีดร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัสเรียกร้องความสนใจจากผัว
อริยะตามมารยาสาไถยไม่ทัน ถลาประคองบุษกร ก่อนจะหันไปเอ็ดเสียงเข้ม
“เจ้าทำเกินไปแล้วเกศอาภา!”
อุษาเห็นท่าไม่ดี พยายามจะอธิบายความจริง แต่อริยะก็โกรธจนขาดสติเสียแล้ว
“หุบปากของเจ้าอุษา แก้ตัวอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ ในเมื่อข้าเห็นกับตาข้าเอง”
บุษกรได้ทีปั้นเรื่องใส่ไฟใหญ่ “ข้าเพียงแต่พูดปลอบใจนางว่าลูกของข้าที่กำลังจะเกิดก็เหมือนลูกของนางเหมือนกัน นางจะรักลูกของข้าได้เท่ากับเป็นลูกของนางรึไม่ นางก็โกรธแลทำร้ายข้า”
ได้ผล...อริยะโมโหมาก “จิตใจเจ้าทำด้วยอะไรเกศอาภา นี่ต่อหน้าองค์เทวะ เจ้ายังต่ำทรามได้เพียงนี้ ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเต็มไปด้วยความชิงชังริษยาบุษกรด้วยเรื่องเท่านี้เอง”
เกศอาภากัดฟันแน่น แค้นใจแทบกระอักแต่ก็ต้องข่มไว้ บุษกรแสยะยิ้มร้าย ก่อนจะแสร้งร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด อริยะเป็นห่วงลูกในท้อง รีบช้อนตัวชายาคนสวยไปให้หมอหลวงตรวจ
“หากลูกของข้ามีอันเป็นไป ข้าจะเอาผิดกับมันทุกคน!”
“เป็นความผิดของน้องเองท่านพี่ น้องไม่ระวังตัวให้ดี น้องไม่คิดเลยว่าแรงความเกลียดชังจะซ่อนอยู่เบื้องหลังใบหน้าอันงดงามของคนอย่างเกศอาภาได้ ท่านพี่...น้องเจ็บใจที่ตัวน้องช่างเหมือนคนโง่ที่ถูกหลอกซ้ำแล้วซ้ำอีก”
“อย่าเพิ่งพูดอะไรบุษกร อดทนไว้นะ เจ้าต้องปลอดภัยทั้งแม่ทั้งลูก”
หมอหลวงถูกตามตัวอย่างเร่งด่วน และเมื่อสบตาเหี้ยมๆของบุษกร เขาก็จำต้องโกหกอีกครั้งว่าลูกในครรภ์ของเธอปลอดภัยและแข็งแรงดี อริยะเบาใจมาก ร้องสั่งให้บริวารสาวๆนำสำรับอาหารมาให้ชายาคนสวย บุษกรปลื้มใจมาก แต่ไม่วายยุให้เขาจัดการเรื่องเกศอาภาให้เด็ดขาด
“เจ้าไม่ต้องห่วงหรอกบุษกร เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง”
อริยะอยู่ดูอาการบุษกรอีกพักจึงลงจากตำหนัก หมอหลวงรออยู่แล้ว อยากบอกเรื่องเกศอาภาใจแทบขาด แต่ก็กลัวบุษกรและเกรงบารมีของมหาพราหมณ์ เลยได้แต่พูดอ้อมๆ
“ข้ามีเรื่องไม่สบายใจ ข้ามิอาจข่มตาให้หลับลงได้หลายคืนมาแล้ว”
“ความทุกข์ของเจ้าคืออะไรกันแน่ พูดออกมาตามตรงอย่าอ้อมค้อม”
“พระอัครชายาเกศอาภา...ขอร้องมิให้ข้าบอกความจริงบางอย่างแก่ท่าน”
“ความจริงอะไร”
“ข้าคงบอกท่านได้เท่านี้ ความจริงที่ท่านอยากรู้ท่านคงต้องไปถามพระอัครชายาเอาเอง”
บุษกรผ่านมาได้ยินพอดี และเมื่อได้อยู่ตามลำพังกับหมอหลวงก็คาดคั้นให้สารภาพถึงสิ่งที่คุยกับอริยะ หมอหลวงกลัวตายเลยโกหกว่ารัชทายาทหนุ่มแค่ถามถึงเรื่องยาบำรุงครรภ์ของเธอเท่านั้น...
ooooooo
บุษกรกระหยิ่มใจมากที่แผนยุแยงเป็นไปตามต้องการ อริยะแสดงออกชัดเจนว่าเป็นห่วงเป็นใยลูกในครรภ์เธอมาก จนถึงกับหมางเมินเกศอาภา ที่สำคัญหมอหลวงก็เป็นตัวช่วยอย่างดี ช่วยปิดความลับที่เธอไม่ได้ตั้งท้อง เพราะกลัวเกรงอำนาจและบารมีมหา พราหมณ์กัมพูพ่อของเธอ
อริยะยังไม่รู้ตัวว่าถูกปั่นหัวและใช้เป็นเครื่องมือของบุษกร บุกถึงเรือนอัครมเหสีเพื่อเอ็ดถึงเรื่องในปราสาทเทวะ แต่ภาพเมียรักกำลังทำความสะอาดแผลให้คีรินก็ทำให้ของขึ้น
“เห็นกับตาข้าอย่างนี้แล้วยังจะมีข้อแก้ตัวว่าเยี่ยงไรอีก!”
เกศอาภาหน้าซีดเผือด ส่วนคีรินก็ตั้งท่าจะอธิบายความจริง แต่อริยะก็โกรธจนไม่มีแก่ใจจะฟังแล้ว
“ข้าเพิ่งได้รู้จักกับความผิดหวังก็ครั้งนี้ ในโลกนี้ยังมีใครเหลือพอที่ข้าจะไว้วางใจได้อีก ในเมื่อคนที่ใกล้ชิดข้าร่วมมือกันทรยศหักหลังข้าเยี่ยงนี้เสียแล้ว เจ้าทำเรื่องอัปยศเยี่ยงนี้ลงคอได้เยี่ยงไรเกศอาภา!”
อัครมเหสีคนสวยเสียใจจนพูดไม่ออก อริยะเลยยิ่งโมโห ปราดถึงตัวและคาดคั้นให้พูดความจริง
“แก้ตัวสิ เผื่อข้าจะเข้าใจแลเห็นใจ แลโทษที่เจ้าจะต้องได้รับมันจะได้ไม่หนักหนาเกินไปนัก”
“จะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อท่านเองยังยอมรับว่าสิ้นความไว้วางใจในตัวข้าแล้ว ความรักมันไม่มีเหลือเพราะหัวใจท่านไม่มั่นคงเสียแล้ว ความจริงก็กลายเป็นเพียงคำแก้ตัวที่ท่านไม่เปิดใจรับฟัง”
“ความรักที่ข้ามีให้เจ้ามันไม่มากพอหรือไร เจ้าจึงตะเกียกตะกายคว้ามันจากชายอื่น เจ้าหวงแหนตำแหน่งอัครชายาของเจ้ามากจนคิดร้ายต่อผู้อื่น คิดทำลายแม้กระทั่งเลือดเนื้อเชื้อไขของข้า จิตใจเจ้าเหี้ยมโหดเลือดเย็นนัก”
เกศอาภาช้ำใจมากแต่ก็เลือกจะไม่ตอบโต้ อุษาเสียอีกทนไม่ไหว ตัดสินใจจะบอกเรื่องเจ้านายสาวตั้งท้ององค์รัชทายาทอีกคน เกศอาภากลัวเขาไม่เชื่อแล้วต้องเจ็บกว่านี้ เลยโพล่งตัดบท
“อุษา...ข้าพร้อมจะบอกความจริงองค์อริยะแล้ว ให้ข้าเป็นคนพูดเองเถิด”
อุษายินดีมาก คิดว่าเจ้านายสาวจะบอกเรื่องตั้งท้อง แต่ก็ต้องผิดหวัง เมื่อเกศอาภาตัดสินใจขอลาออกจากตำแหน่งพระอัครชายาเพื่อยุติปัญหาแทน
“ข้าก้าวมาไกลเกินกว่าจุดที่ข้าคิดฝัน ข้าจำทนอยู่ตรงนี้ด้วยเหตุผลเดียวที่หล่อเลี้ยงหัวใจข้า...นั่นคือความรัก ในเมื่อวันนี้ทุกอย่างมันหมดสิ้นแล้ว ไม่มีอะไรเหลือแล้วแม้แต่ความไว้วางใจ ข้าก็ต้องขอถอยกลับไปอยู่ในที่เดิมที่ข้าจากมา ทั้งท่านแลข้าจะได้พ้นจากความทุกข์ทรมานเพราะการทำร้ายจิตใจกันเสียที”
“ได้...เจ้าจะได้สิ่งที่เจ้าร้องขอแน่ ข้าไม่คิดเลยว่าลูกสาวท่านแม่ทัพปุณณะจะได้รับการอบรมสั่งสอนมาเยี่ยงนี้”
“ข้ายินดีรับโทษทัณฑ์ทุกอย่างตามอาญาแผ่นดิน หากการลงทัณฑ์ข้าจะทำให้ท่านสบายใจขึ้นเพราะศักดิ์ศรีเกียรติยศของท่านกลับคืนมา แต่ข้าขอสิ่งเดียว...อย่าได้ประณามไปถึงท่านพ่อของข้าเด็ดขาด”
คีรินถูกนำตัวไปขังคุกหลังจากนั้น เมื่อองค์สูริยะรู้ก็เรียกลูกชายมาถาม แต่อริยะก็ทิฐิเกินกว่าจะยอมรับความจริงว่าโมโหจนขาดสติ ปักใจเชื่อว่าเกศอาภาลาออกจากตำแหน่งเพราะทำผิดจริง
เกศอาภาก็คาดการณ์ไว้เช่นนั้น เห็นกับตาว่าสวามีที่เคยรักและหลงใหลในตัวเธอเปลี่ยนไปแค่ไหนนับแต่รู้ว่าบุษกรตั้งครรภ์ ต่างจากอุษาที่คิดว่าบุษกรคือผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้
“นางวางแผนไว้หมดแล้ว เจ้ามิเห็นหรอกรึ นางทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดเจ้าให้พ้นทาง”
“แล้วจะให้ข้าลุกขึ้นมารบรากับนางอย่างนั้นรึอุษา เพื่ออะไร...เพื่อกอดรัดตำแหน่งพระอัครชายาเอาไว้อย่างนั้นรึ เปล่าประโยชน์...ในเมื่อความรักที่องค์อริยะเคยพร่ำพูด มันก็เป็นแค่ลมปาก แค่ภาพลวงตาเท่านั้น”
“แต่อย่าลืมว่าเลือดเนื้อเชื้อไของค์อริยะก็ถือกำเนิดในกายเจ้าแล้วเหมือนกัน”
“แล้วเจ้าคิดรึ...องค์อริยะจะเชื่อว่าเด็กนี่เป็นเลือด เนื้อเชื้อไขของท่านจริงๆ”
“ก็ต้องพิสูจน์กันให้เห็นจริง เจ้ามิได้กำลังสู้เพื่อตัวเจ้าเอง แต่เจ้ากำลังปกป้องบัลลังก์จันทรปุระนะเกศอาภา คิดดูให้ดีเถิด เราจะยอมให้ความฉ้อฉลหลอกลวงจากพระชายาบุษกรอยู่เหนือความถูกต้องชอบธรรมได้เยี่ยงไร!”
ooooooo
เกศอาภาถูกองค์สูริยะเรียกไปพบเพื่อซักถามและเกลี้ยกล่อมให้ลองปรับความเข้าใจกับอริยะอีกครั้ง ปุณณะก็ช่วยพูดอีกแรง หวังให้ทั้งสองประคับประคอง ความรักและการแต่งงานให้ตลอดรอดฝั่ง แต่ก็เหมือนอริยะจะไม่ให้ความร่วมมือนักเพราะปักใจแล้วว่าเมียรักปันใจให้ชายอื่น
แม้จะทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจในตัวเกศอาภาได้แล้ว แต่บุษกรก็ยังไม่ไว้ใจ เดินแผนขั้นต่อไปคือหาทารกเพศชายมาสวมรอยเป็นองค์รัชทายาท โดยมีหมอหลวงเป็นคนจัดหา
“ออกนอกเมืองไปทางตะวันตก หญิงชาวบ้านนางหนึ่งอยู่กินกับผัวด้วยอาชีพทำนาแลหาของป่ามาขาย นางกำลังตั้งท้องอ่อนๆ แลเลี้ยงลูกทั้งสี่คน”
“เจ้าแน่ใจได้เยี่ยงไรว่าลูกในท้องของมันจะเป็นชาย”
“ลูกของนางสี่คนที่นางคลอดล้วนเป็นชาย ข้ามั่นใจว่าเด็กในท้องก็ต้องเป็นชายเช่นกัน”
“ดี...เจ้าส่งข่าวมันไป ลูกคนที่ห้าของมันจะทำให้มันได้ลาภก้อนใหญ่ ข้อแม้เดียวคือทันทีที่ส่งเด็กถึงมือข้า พวกมันต้องไปให้พ้นเขตจันทรปุระแลไม่คิดจะกลับมาที่นี่อีก”
ไม่เพียงเท่านั้น เพื่อกำจัดเสี้ยนหนามในอนาคต บุษกรยังเหี้ยมโหดพอจะวางยาเกศอาภา และคนที่ต้องนำยาพิษนี้ไปให้ก็คือหมอหลวงคนเดิม
“เจ้าก็เชี่ยวชาญรอบรู้ในเรื่องสมุนไพรทุกอย่าง เจ้าบอกข้าได้รึไม่ว่าสิ่งนั้นมันวิเศษอย่างไร”
“ไม้เถานี้...สรรพคุณเป็นยาบำรุงกำลังไม่มีรสไม่มีกลิ่น ชาวบ้านกินใบของมันสดๆจะทำให้มีเรี่ยวแรงในการทำงานหนัก แต่หากต้มสุกจะกลายเป็นพิษร้ายแรงขับเลือดในกาย หญิงมีครรภ์กินเข้าไปเป็นอันตรายยิ่ง”
หมอหลวงหน้าซีด แล้วก็ถึงกับอ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำสั่งเลือดเย็นของบุษกร
“เจ้ารู้แล้วใช่รึไม่ว่างานที่เจ้าต้องทำให้สำเร็จคืออะไร”
มหาพราหมณ์กัมพูมาเยี่ยมบุษกรหลังจากนั้น เมื่อหมอหลวงเห็นก็กลัวจนแทบกองกับพื้น มหาพราหมณ์ใหญ่ไม่รู้เรื่องที่ลูกสาวแอบอ้างชื่อตนเป็นเครื่องมือข่มขู่และบีบบังคับหมอหลวงเลยแปลกใจมาก และเมื่อได้เจอรอยยิ้มมีเลศนัยของลูกสาวก็สังหรณ์ว่าจะมีบางอย่างผิดปกติ
“ถึงองค์อริยะจะมิได้พาดพิงถึงใครที่เป็นต้นเหตุแห่งความบาดหมาง แต่พ่อคิดว่าพ่อเดาไม่ผิด ความทะยานอยากของเจ้ากำลังทำร้ายผู้อื่น...บุษกร”
“ท่านพ่อพูดถึงอะไร ลูกไม่เข้าใจ”
“ไม่มีใครรู้จักเจ้าดีไปกว่าพ่อ ปัญหาที่เกิดขึ้นจะคลี่คลายได้ก็จากเจ้าคนเดียว ไปสารภาพกับองค์อริยะเสียว่าเป็นเรื่องที่เจ้าเข้าใจผิดเอง”
“ท่านพ่อ...ลูกไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น ท่านพ่อปรักปรำลูกเยี่ยงนี้ลูกเสียใจ ในสายตาท่านพ่อ เรื่องร้ายต่างๆที่เกิดขึ้นคงเพราะลูกเป็นต้นเหตุสินะ ลูกจะทำเยี่ยงนั้นทำไม ในเมื่ออีกไม่นานลูกก็จะเป็นพระชายาที่ให้กำเนิดองค์รัชทายาทอยู่แล้ว ลูกไม่คิดเลยว่าความริษยาของคนที่กำลังสูญเสียอำนาจบารมีจะทำร้ายผู้อื่นได้ยิ่งกว่าคมหอกคมดาบเยี่ยงนี้”
บุษกรไม่ยอมจนมุม ไม่ต่างจากอริยะที่ต้องเผชิญหน้ากับปุณณะ เมื่ออีกฝ่ายขอคุยเรื่องลูกสาว
“ในฐานะที่เป็นพ่อ ลูกสาวที่ออกเรือนไปแล้วก็ถือว่ามิใช่สมบัติของข้าอีกต่อไป แต่ความทุกข์ที่นางทนแบกรับตอนนี้มันหนักหนาจนนางออกปากขอกลับไปเป็นคนธรรมดา เพราะนางพบแล้วว่าตำแหน่งสูงส่งแค่ไหนก็มิใช่ความสุขสำหรับนาง ข้าต้องคุยกับท่านอย่างเปิดอก ในเมื่อท่านสิ้นรักสิ้นความไว้เนื้อเชื่อใจนางแล้ว ข้าก็ขอลูกสาวคืนจะได้รึไม่”
อริยะถึงกับอึ้ง สับสนในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก เจ็บแค้นที่เกศอาภามีชู้ แต่ก็ตัดใจเสียเธอไปไม่ได้
“ท่านแม่ทัพโปรดเห็นใจข้าด้วย สิ่งที่ข้าได้รับคือความอับอาย คนที่ข้าไว้ใจที่สุดสองคนร่วมมือกันทรยศหักหลังข้า หากไม่เห็นแก่ความเป็นเพื่อน ข้าคงตัดหัวมันไปแล้ว”
“ท่านคิดว่าคนอย่างคีรินที่เติบโตมาพร้อมกับท่านจะกล้าทำสิ่งนั้นจริงๆรึ”
“ข้าเค้นความจริงจากลูกสาวท่าน นางก็ได้แต่ประชดประชัน แล้วจะให้ข้าคิดเยี่ยงไร”
“ท่านปล่อยนางเป็นอิสระเสียเถิด ไม่ว่าเยี่ยงไร นางก็ต้องเลี้ยงดูลูกของท่านอย่างดี เพียงแต่วันข้างหน้านางคงไม่ยอมบอกลูกเท่านั้นว่าพ่อของเขาคือใคร”
“ท่านพูดอะไร ลูกใครท่านแม่ทัพ”
“นี่ท่านไม่รู้รึว่าเกศอาภากำลังตั้งครรภ์ลูกของท่าน!”
ooooooo
ความลับของเกศอาภาจากปากปุณณะทำให้อริยะทำอะไรไม่ถูก เช่นเดียวกับคีรินซึ่งแหกคุกในเช้าวันเดียวกัน และได้ล่วงรู้ความลับเดียวกันจากอุษา
“ใช่...มีไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ พระอัครชายาต้องการเก็บไว้เป็นความลับ เพราะต้องการปกป้องเจ้านั่นแหละ องค์อริยะกำลังโกรธจนไม่ยอมฟังอะไร ถ้ารู้ว่าพระอัครชายาตั้งครรภ์ ไม่พ้นพาลมาถึงเจ้าแน่”
“อุษา...เรื่องนี้สำคัญมาก เจ้ารีบกลับไปดูแลพระอัครชายาให้ดี อย่าให้คลาดสายตา ข้าว่าหากพระชายารู้เรื่องนี้ นางต้องคิดกำจัดองค์รัชทายาทในครรภ์เป็นแน่!”
การคาดการณ์ของคีรินไม่ได้เกินจริงเลย เพราะเวลาเดียวกันนั่นเองหมอหลวงก็เตรียมการจะผสมยาพิษในน้ำสมุนไพรให้เกศอาภา ส่วนอริยะ...ยังตะลึงกับความจริงจนจับต้นชนปลายไม่ถูก
“นางมีเหตุผลไรจึงมิยอมบอกความจริงแก่ข้า”
“ความจริงสำหรับคนที่กำลังเป็นไฟเผาไหม้ตัวเอง มันก็ไม่ต่างจากความเท็จ เกศอาภาต้องการปกป้องลูกของนาง ปกป้องคีริน รวมไปถึงปกป้องท่านด้วย ไม่เช่นนั้นความโกรธในใจท่านจะทำลายทุกสิ่ง แม้แต่ลูกของท่านเอง”
“นี่ข้าทำอะไรลงไป”
“ความรักที่ทำให้คนกลายเป็นคนโง่ ท่านจะเรียกมันว่าความรักได้รึไม่ ในหัวใจท่านยังเหลือความทรงจำที่ดีกับความรักที่เคยมีต่อลูกสาวข้ารึไม่ ถามใจท่านดูเอาเองเถิด...”
ระหว่างที่อริยะใคร่ครวญถึงเหตุการณ์วุ่นวาย
ที่ผ่านมา รวมถึงคำพูดเตือนสติของปุณณะ เลยสำนึกได้ในเวลาต่อมาว่าเกศอาภามีความสำคัญต่อเขาและจันทรปุระมากแค่ไหน เกศอาภาก็กำลังถึงคราวเคราะห์หนัก เมื่อเธอดื่มน้ำสมุนไพรผสมยาพิษของบุษกร!
กว่าอริยะจะมาถึง เกศอาภาก็ดื่มน้ำสมุนไพร
เจ้าปัญหาไปหลายจอกแล้ว แต่กระนั้น...ก็ยังไม่ออกอาการ เลยได้แต่ตะลึงงันเมื่อได้ยินสวามีตัดพ้อด้วยความน้อยใจที่เธอไม่ยอมบอกเรื่องลูก
“ข้ามาเพื่อกล่าวคำขอโทษต่อหน้าเจ้า ข้าพลั้งพลาดไปด้วยความโกรธ ข้าตามืดบอดไปดังเจ้าว่าจริงๆ แต่นั่นก็เพราะข้ารักเจ้า หวงเจ้ามากเกินไป ยกโทษให้ข้าด้วยเถิดเกศอาภา”
จบคำก็คุกเข่าขอโทษเมียรัก เกศอาภาต้องถลาไปห้าม
“ท่านอย่าทำเยี่ยงนี้เลย”
“ข้าจะไม่ยอมลุกขึ้น ข้าจะคุกเข่าอยู่เยี่ยงนี้จนกว่าเจ้าจะอภัยให้ข้า”
“ข้าจะถือโทษโกรธเคืองผู้ที่เป็นเจ้าชีวิตของข้าได้เยี่ยงไรกัน”
เกศอาภาน้ำตาร่วง ใจอ่อนยวบยอมคืนดีในที่สุด อริยะดีใจมาก กระวีกระวาดดูแลเพื่อไถ่โทษและชดเชยเวลาที่หายไป แต่กระนั้น...อัครมเหสีคนสวยก็อดเปรยถึงลูกในท้องของบุษกรไม่ได้
“เจ้าเลิกตัดพ้อ เลิกน้อยใจเสียทีเถิด แล้วจงมั่นใจในความรักที่ข้ามีให้แก่เจ้า”
“ความรักที่ท่านมีให้ข้า ข้าขอเก็บมันเอาไว้ในใจ เก็บเอาไว้ในความทรงจำตลอดไปน่าจะดีที่สุดเพื่อความสุขของทุกคน เรื่องวุ่นวายทุกอย่างจะจบได้ จันทรปุระจะสงบสุขก็ต้องไม่มีข้าเท่านั้น”
พูดจบก็จะผละไป อริยะต้องรั้งข้อมือไว้ ดึงตัวมากอดแน่น
“เราจะไม่พูดเรื่องนี้กันอีก เพราะข้าจะไม่มีวันยอมให้เจ้าจากข้าไปไหนทั้งนั้น”
คำประกาศกร้าวของอริยะทำให้เกศอาภาลำบากใจ แต่ไม่ทันได้สรตะ อัครมเหสีคนสวยก็ต้องหน้าซีดเผือด ทรุดตัวกับพื้นและกุมท้องด้วยความเจ็บปวด อริยะต้องช่วยประคอง แล้วก็ได้เบิกตาโพลง ตกใจสุดขีด
จนเหมือนหัวใจจะหลุดจากร่าง เมื่อเห็นเลือดไหลจากหว่างขาเมียรัก!
หมอหลวงถูกตามตัวมาทันที เกศอาภาปวดท้องมากแต่ก็กัดฟันสะกดกลั้นความเจ็บปวดอย่างสุดความสามารถ อริยะเฝ้าอยู่ไม่ห่าง แล้วก็แทบล้มทั้งยืนเมื่อหมอหลวงแจ้งข่าวร้าย
“อภัยให้ข้าด้วย ข้ามิอาจช่วยอะไรได้แล้ว พระอัครชายาเสียลูกในครรภ์เสียแล้ว...”
ข่าวการสูญเสียองค์รัชทายาทในครรภ์อัครมเหสีทำให้ผู้คนทั่วจันทรปุระแตกตื่น ต่างหวาดกลัวและตื่น
ตระหนกเพราะเกรงว่าอาจเป็นบัญชาเทวะเพราะไม่พอใจอะไรบางอย่าง ส่วนหมอหลวงมีอาการประสาทเสียนับตั้งแต่วันนั้นด้วยความรู้สึกผิด คงจะมีเพียงบุษกรที่สาแก่ใจที่ศัตรูหัวใจแท้งลูกเสียได้
“ข้ากลัว...พระชายา...ข้ากลัว ชั่วชีวิตข้ามีแต่รักษาผู้คนให้หายจากความเจ็บไข้ แต่ครั้งนี้ข้าทำผิดทำบาปอย่างหนัก ข้าไม่อาจให้อภัยตัวเองได้”
“หุบปากของเจ้า เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เจ้าจะมาคร่ำครวญ เรื่องนี้ก็มีแค่เจ้ากับข้าแลพ่อข้าเท่านั้นที่รู้เรื่อง เจ้าจะต้องกลัวไปไยในเมื่อพ่อข้าเป็นผู้คอยคุ้มกะลาหัวเจ้าอยู่”
น้ำเสียงเกรี้ยวกราดทำให้หมอหลวงหัวหด บุษกรลำพองใจมากและเลือดเย็นพอจะไปเยี่ยมเกศอาภา
ถึงตำหนัก อริยะยังไม่รู้เรื่องและคิดว่าชายารองมาเยี่ยมด้วยความหวังดี
“ท่านพี่...ข้าได้รู้ข่าวร้ายก็รีบมาทันที โถ...พระอัครชายา...ทำไมถึงโชคร้ายเยี่ยงนี้ ข้ารู้สึกเจ็บปวดแทนนางเหลือเกินท่านพี่ ข้าเข้าใจดีว่าหัวอกคนเป็นแม่จะปวดร้าวแค่ไหนที่ต้องสูญเสียเลือดในอกไป เทวะ...หากความเจ็บปวดแบ่งปันมาได้ ข้าก็ยินดีรับมันไว้ที่ข้าเพียงคนเดียว”
อาการฟูมฟายอย่างหนักทำให้อริยะเชื่อสนิทว่าบุษกรไม่มีส่วนรู้เห็น ต่างจากเกศอาภาถอนใจยาวด้วยความเอือมระอาและเหนื่อยหน่าย อยากหายตัวจากตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอด จะได้ไม่ต้องเห็นหน้าผู้หญิงมารยา สาไถยอย่างบุษกร!
ooooooo










