ตอนที่ 7
ความพยายามของโยสิตาไม่เป็นผล กฤตธรตื๊อไม่เลิกและตามติดจนเธอทนไม่ไหว เมื่อเจอพ่อที่ไซต์งานเลยฟ้องและขอให้ช่วยไล่นายจ้างหนุ่มกลับกรุงเทพฯ
“พ่อคะ...โยคิดว่ามันคงไม่เหมาะ นี่มันงานราชการ พ่อจะปล่อยให้คนนอกมายุ่มย่ามวุ่นวายในแคมป์ได้ยังไง”
“คนนอกที่ไหนกัน คุณกฤตถือว่าเป็นแขกที่เราต้องรับรองนะลูก เพราะเขาเป็นตัวแทนผู้ให้ทุนสนับสนุนโครงการนี้ ถ้าจะพูดกันตามตรง...เรานั่นแหละคนนอก”
อธินเย้าลูกขำๆ เรียกเสียงหัวเราะได้จากคนรอบตัว โยสิตาหัวเสียมากและยิ่งหงุดหงิดเมื่อกฤตธรตามไปวุ่นวายช่วยเธอทำอาหารในครัว แต่ถึงโดนเหวี่ยงแค่ไหน นักธุรกิจหนุ่มหล่อก็ไม่ถือสา และเมื่อมีโอกาสได้อยู่กับอธินตามลำพังก็ชวนคุยเรื่องความคืบหน้าการขุดค้นฯอย่างสนอกสนใจ
“คุณอาครับ...แผ่นหินที่ขุดเจอวันนี้บอกอะไรเราได้บ้างไหมครับ”
“ไม่ใช่หินคุณกฤต แต่เป็นศิลาจำแลง คนทั่วไปเรียกให้สั้นกลายเป็นศิลาแลง จริงๆมันเป็นดินเหนียวชั้นล่างที่ถูกทับถมอัดบีบด้วยแรงกดจากผิวโลก แต่พอเอาขึ้นมาถูกอากาศมันจะแข็งตัวแบบหิน เราถึงเรียกมันว่าศิลาจำแลง มันเป็นความชาญฉลาดของคนสมัยโบราณที่รู้จักเอาของใกล้ตัวมาใช้ให้เกิดประโยชน์”
การพูดคุยกับอธินทำให้กฤตธรสบายใจขึ้นและมีความกล้าจะไปปรับความเข้าใจกับโยสิตาในเวลาต่อมา
“ผมขอเวลาแค่สองนาที ผมแค่อยากให้คุณรับฟังคำอธิบายของผม”
“จำเป็นด้วยเหรอคะ”
“จำเป็น...เพราะคุณกำลังเข้าใจผมผิดเรื่องเมธาวี มันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณเห็นสักนิด”
“ผู้ชายมักจะแก้ตัวด้วยการปัดภาระไปให้ผู้หญิงงั้นเหรอคะ”
“คุณโย...ถ้าผมจะคิดทำเรื่องสกปรกกับเมธาวีจริงๆ ผมจะทำให้ประเจิดประเจ้อทำไม”
“คุณอาจจะคิดว่าที่ส่วนตัวของคุณ ใครหน้าไหนจะเข้าไปได้ก็ได้”
“ผมคิดกับเมธาวีอย่างน้องสาว ไม่เคยคิดอย่างอื่น แล้วผมจะทำร้ายน้องชายตัวเองอย่างนั้นได้ยังไง”
“ที่อุตส่าห์ตามมาถึงที่นี่ก็แค่จะแก้ตัวเรื่องนี้เหรอคะ”
“ไม่ได้แก้ตัวแต่แก้ข้อกล่าวหาต่างหาก ผมไม่มีทางสบายใจไปได้หรอกนะ ถ้าคุณโยเข้าใจผมผิดไปอย่างนี้ เพราะคุณเป็นคนเดียวที่ผมแคร์”
คำสารภาพซื่อๆของกฤตธรทำให้โยสิตาใจเต้นแรง จนถึงกับนอนไม่หลับเพราะมัวครุ่นคิดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขา แล้วพลันภาพน่ากลัวของผีบุษกรก็ลอยในหัว พร้อมเรื่องราวจากในอดีตนับพันปีก่อนที่ผุดเข้ามาในความฝันของเธออีกครั้ง...
ooooooo
เหตุการณ์ในป่านอกจันทรปุระวนมาอีก คีรินกลับมาที่พลับพลาที่พักหลังจากตามจนแน่ใจว่าอริยะควบม้าถึงวังอย่างปลอดภัย เกศอาภาเบาใจมากและตัดสินใจกลับเข้าเมืองในคืนเดียวกันนั่นเอง
อริยะนอนหมดเรี่ยวหมดแรงบนตักของบุษกรจนถึงเช้า แสงแดดที่ค่อยๆสาดส่องเข้ามาทำให้ต้องหรี่ตา และขอให้เธอปิดหน้าต่าง บุษกรนั่งมองผัวด้วยความรัก และเอ็นดู ก่อนจะเปรยเสียงหวาน
“ใจคอท่านจักนอนหนุนข้าอยู่เยี่ยงนี้มิยอมลุกขึ้นมากินอะไรบ้างเลยรึไร”
“เจ้าป้อนอาหารทิพย์ข้าจนอิ่มขนาดนี้ แล้วข้ายังจักต้องกินอะไรอีกเล่าบุษกร...”
รัชทายาทหนุ่มแห่งจันทรปุระขลุกตัวในตำหนักของบุษกรตั้งแต่เช้าจนบ่าย และไม่มีวี่แววจะไปไหน อุษาตามสืบจนรู้และเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเกศอาภามาก เลยอาสาจะไปตามกลับโดยอ้างว่าเจ้านายสาวไม่สบาย
“ทำอย่างนั้นเพื่ออะไรอุษา”
“นางปั้นเรื่องมา ทำไมเราจักปั้นเรื่องกลับไปบ้างมิได้ ก็ให้นางรู้ไปว่าเรารู้ไส้รู้พุงนางขนาดไหน”
“ข้าละอายใจเกินกว่าจักทำเรื่องเยี่ยงนั้นได้ ในเมื่อ เขามีความสุขที่อยู่เรือนโน้นมากกว่า ก็สุดแท้แต่ใจเขาเถอะ”
อุษาเจ็บใจมากที่ทำอะไรบุษกรไม่ได้ เลยต้องไประบายกับคีรินในค่ำวันเดียวกัน
“นายเจ้าทำให้นายข้าต้องเสียใจเสียน้ำตามาหลายครั้ง ข้าหมดสิ้นความนับถือแล้ว”
“นี่เจ้ากำลังชวนให้ข้าสิ้นความนับถือในตัวนายข้าด้วยรึไร”
“เจ้ามันคนขี้ขลาด ข้ารู้ว่าเจ้ามิมีความกล้าแม้แต่จักคิด”
“แล้วตัวเจ้าเล่า วันหนึ่งหากนายของเจ้าทำสิ่งที่มิถูกใจเจ้า เจ้าคิดจักเปลี่ยนนายรึ”
“เกิดเป็นข้าที่ดีต้องภักดีต่อนายคนเดียว”
“เจ้าก็รู้นี่ แล้วไยมาชวนข้าให้เสื่อมศรัทธานายข้า”
“นายเจ้ามิเหลือศรัทธาอะไรให้นับถืออีกต่อไปแล้ว... ฝากกลับไปบอกนายของเจ้าด้วยว่าผู้หญิงมิได้เกิดมาเพื่อเป็นเมียแต่เพียงอย่างเดียว...จำเอาไว้!”
อริยะตกอยู่ในมนต์เสน่ห์ ไม่รู้เรื่องและไม่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไร แม้เมื่อเจอหน้าเกศอาภาในเวลาตั้งสำรับอาหาร ก็เอาแต่เมินหน้าหนี ก้มหน้าก้มตากินข้าวตามที่บุษกรบอกทุกประการ
สีหน้าช้ำใจของเกศอาภาทำให้บุษกรสาแก่ใจมาก แต่เพื่อให้แน่ใจก็อดไม่ได้จะหยั่งเชิงจากอริยะ
“ท่านพี่มิได้คิดถึงเกศอาภาบ้างเลยเชียวรึ”
“ใคร...เกศอาภา ข้ามิเคยรู้จัก มิเคยได้ยินแม้แต่ชื่อ ในหัวข้ามีแต่คนชื่อบุษกรเพียงผู้เดียว”
พูดจบก็ดึงเธอไปกอดจูบอย่างเร่าร้อนและดุดัน บุษกรโน้มตัวเข้าหาด้วยความเต็มใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งชัยชนะที่ในที่สุดความปรารถนาจะครอบครองอริยะก็เป็นจริง
ooooooo
อริยะลุ่มหลงกับมนต์เสน่ห์ของบุษกรแบบไม่ลืมหูลืมตา จนแม้เมื่อองค์สูริยะมีข้อราชการต้องหารือ รัชทายาทหนุ่มก็ไม่ออกมาพบ คีรินอาสาไปตามให้แต่ก็ถูกตะเพิดไล่อย่างไม่ไยดี
บุษกรเห็นท่าทางแข็งกร้าวของผัวก็ตกใจมาก ถลาเข้าไปขวางไม่ให้เขาลงดาบกับคีริน
“ท่านพี่...ท่านพี่ใจเย็นๆเถิด คีรินก็ทำงานตามหน้าที่ของเขาเท่านั้น องค์สูริยะเรียกหาท่านพี่เยี่ยงนี้ ข้อราชการงานเมืองก็คงสำคัญมากจริงๆ น้องว่าท่านพี่รีบไปเถิด”
จบคำก็บริกรรมมนต์ดำเป่าใส่หน้าผัวรัก อริยะเลยสงบลง คีรินแอบสังเกตทุกอย่างอยู่แล้วและอดแปลกใจไม่ได้กับอาการเปลี่ยนไปราวกับหน้ามือเป็นหลังมือของเจ้านายหนุ่ม
ในที่สุดอริยะก็ยอมไปพบองค์สูริยะ แต่ก็ทำให้องค์ประชุมซึ่งประกอบไปด้วยปุณณะและมหาพราหมณ์กัมพูต้องแตกกระเจิง เมื่อรัชทายาทหนุ่มให้ข้อคิดเรื่องราชการได้ประหลาดมาก
อาการที่เปลี่ยนไปของอริยะทำให้ปุณณะอดเป็นห่วงลูกสาวไม่ได้ และเมื่อได้เจอเธอในคืนเดียวกันนั้น แม่ทัพใหญ่ก็ได้รู้ว่าความกังวลของเขาไม่ได้เกินจริงเลย
“หน้าตาเจ้าดูมีแต่ความทุกข์”
“ลูกสบายดี...ทั้งกายและใจ”
ปุณณะนิ่งไปอึดใจ มั่นใจว่าลูกสาวโกหก และเกศอาภาก็รู้ตัวดี รีบโพล่งดักคอ
“ลูกจำคำสอนท่านพ่อได้เสมอ ทำหน้าที่ของตนให้ถึงพร้อม ใครจักตำหนิติเตียนเยี่ยงไรก็มิหวั่นไหว”
เกศอาภาพยายามกลั้นน้ำตา ปุณณะสงสารแต่ก็ทำได้แค่ลูบหัวและให้กำลังใจ
“จงภาคภูมิใจในศักดิ์ศรีของตน พ่อมิมีพรใด
จักมอบให้แล้วนอกจากความอดทนนะลูก เทวะประทานพรแด่ผู้มีความอดทนมุ่งมั่นเสมอด้วยผู้กล้า”
อัครมเหสีคนสวยตื้นตันใจมาก ก้มลงจับเท้าพ่อแล้วมาแตะหัวตัวเองด้วยความเคารพรักสุดหัวใจ...
อริยะอยู่คุยข้อราชการกับองค์สูริยะอีกหลายเพลาต่อมา แต่ก็มีอาการมึนงงเหมือนคนสติไม่อยู่กับตัว
จนทุกคนที่เห็นอดแปลกใจไม่ได้ แล้วในวันหนึ่งรัชทายาทหนุ่มก็ล้มตึงกลางท้องพระโรง!
คีรินถือโอกาสพาตัวเจ้านายหนุ่มไปพักรักษาที่ตำหนักของอัครมเหสี เกศอาภาลืมความขุ่นข้องหมองใจไปชั่วขณะ เรียกหมอหลวงมาดูอาการและปรนนิบัติดูแลอย่างใกล้ชิด
เมื่อบุษกรรู้ว่าผัวรักถูกกักตัวไว้ที่ตำหนักอัครมเหสีก็โกรธมาก และในคืนเดียวกันนั่นเอง ชายารองคนสวยก็ลงมือบริกรรมคาถามหาเสน่ห์เรียกผัวกลับมาอีกครั้ง
อิทธิฤทธิ์มนต์ดำจากตุ๊กตาดินปั้นที่ถูกมัดติดกันทำให้อริยะนอนกระสับกระส่าย เหงื่อแตกพล่านไปทั่วตัวและมีอาการคลุ้มคลั่งในเวลาต่อมา เกศอาภาตกใจมาก ร้องเรียกให้อุษากับคีรินมาช่วยรั้งตัวสวามีแต่ก็ต้านแรงไม่ไหว โดยเฉพาะคีริน ถูกเหวี่ยงกระเด็นไปไกล
“ผู้ใดมันบังอาจขวางทางข้า ข้าจักตัดหัวมัน!”
พูดจบก็คว้าดาบประจำตัวมาดึงจากฝัก เกศอาภาหน้าตื่น ถลาเอาตัวไปขวาง
“ท่านเป็นอะไรองค์อริยะ ท่านเป็นอะไรไป”
“เจ้าบังอาจขวางทางข้ารึ”
“หากคมดาบของท่านปลิดชีวิตข้า แล้วทำให้ท่านกลับมาเป็นองค์อริยะคนเดิมได้ก็จงทำเถิด ชีวิตของข้าอยู่ในกำมือท่าน จันทรปุระคือท่าน...หาใช่ข้าไม่”
คำพูดเตือนสติของอัครชายาทำให้อริยะนิ่งไปอึดใจ เหมือนมนต์สะกดจะหมดฤทธิ์ชั่วขณะ พลันก็ทิ้งดาบข้างตัวแล้วผลุนผลันออกไปทันทีตามเสียงเรียกผัวของบุษกรในหัว
และเพียงไม่กี่อึดใจ อริยะก็หอบร่างกะปลกกะเปลี้ยถึงตำหนักของชายารองจนได้ บุษกรรออยู่แล้วพร้อมเสนอตัวเข้าหา ปรนเปรอเขาด้วยรสสวาทที่เขาทุรนทุรายอยากได้จนหนำใจ และเมื่อเขาผล็อยหลับด้วยความอ่อนเพลีย ชายารองคนสวยก็เบิกตาโพลงในความมืด ประกาศก้องถึงเจตนารมณ์ของตนเอง
“วันใดที่สายเลือดอันบริสุทธิ์ของท่านก่อกำเนิดเป็นรัชทายาทใหม่ของจันทรปุระ วันนั้นคือวันที่ทุกคนจักต้องเรียกข้าว่าพระอัครชายา!”
ooooooo
เกศอาภาช้ำใจมากเมื่อรู้ว่าสวามีที่เฝ้าปรนนิบัติจนเกือบหายดีหนีไปอยู่กับชายารองกลางดึก แต่ก็บ่นหรืออุทธรณ์กับใครไม่ได้ นอกจากอุษาเพื่อนและคนสนิทผู้ซื่อสัตย์
“สิ่งที่ข้ากลัวมาตลอดได้เกิดขึ้นแล้วอุษา...รักง่ายก็หน่ายเร็ว นี่แหละธาตุแท้ของผู้ชาย”
“องค์อริยะแค่ป่วยไข้มิสบายไปเท่านั้น อย่าเพิ่งคิดอะไรมากเลยพระอัครชายา”
“ข้าพอจักเห็นชะตากรรมตัวข้าเองแล้วอุษา...หากจักต้องอดทนต่อไปก็เพราะสิ่งเดียวคือเป็นหน้าที่เท่านั้น”
อุษาทุกข์ใจแทนเจ้านายสาวมาก คีรินก็รู้สึกไม่ต่างกัน แต่เมื่อลองทบทวนถึงเหตุการณ์และท่าทางแปลกๆของรัชทายาทหนุ่มในระยะหลัง สองคนสนิทหนุ่มสาวก็สังหรณ์ใจว่าทุกอย่างอาจเกี่ยวข้องกับบุษกร
เกศอาภาไม่อยากเชื่อข้อสันนิษฐานของสองคนสนิท แต่อุษาก็พยายามหว่านล้อมด้วยเหตุผลสารพัด โดยเฉพาะคำยืนยันจากคีรินที่สะกดรอยตามเจ้านายหนุ่มมาตลอดและความจริงเกี่ยวกับหมอผีจากแดนไกล
“อย่าลืมสิ ก่อนหน้านี้ไอ้คนแปลกถิ่นก็เพิ่งถูกลงภาคทัณฑ์เพราะมันใช้มนต์ดำหากิน”
“อาญาแผ่นดิน โทษถึงตัดคอเชียวนะอุษา”
“คนที่กล้าทำความชั่ว มันก็ต้องใคร่ครวญดูแล้วว่ามันต้องได้มากกว่าเสียมันจึงยอมที่จักเสี่ยง”
“ข้ามิอยากเชื่อ พระชายาบุษกรเป็นถึงบุตรสาวท่านมหาพราหมณ์ นางเคร่งครัดในวิถีแห่งองค์เทวะ
นางมิมีทางพาตัวเองเฉียดใกล้วิถีทางสกปรกของมนต์ดำหรอก”
“นางต้องการทำทุกทางเพื่อเอาชนะแลอยู่เหนือเจ้าให้ได้”
“เลิกพูดเรื่องนี้เสียที เจ้าปรักปรำนางด้วยข้อหาที่ร้ายแรงเกินไปแล้ว เขารักกันมาก่อน มิใช่เรื่องแปลกที่เขาจักยังมีเยื่อใยต่อกัน ตำแหน่งพระอัครชายามันก็แค่เรื่องอุปโลกน์ ตัวข้าเองมิดีพอจึงมัดใจเขาไว้มิอยู่ ข้ามิโทษ ใครเลย นอกจากตัวข้าเอง...อุษา”
แม้จะบอกคนสนิทสาวไปแบบนั้น แต่เกศอาภาก็หวั่นใจไม่น้อย แล้วข้อสงสัยของอุษาก็ได้รับการพิสูจน์ว่าอาจเป็นจริง เมื่ออัครมเหสีคนสวยได้เจอบุษกรที่ปราสาทเทวะในวันต่อมา
“บอกข้าได้ไหมว่าพระอัครชายาเฝ้าวิงวอนขอพรใดจากเทวะ”
“ข้าขอให้ทุกคนที่ข้ารักมีแต่ความสุข ขอให้ท่านปกป้องคุ้มครองจันทรปุระให้สงบร่มเย็น”
“เป็นไปได้รึที่เจ้ามิได้วิงวอนขอสิ่งใดเพื่อตัวเจ้าเองเลย”
“เทวะคือผู้กำหนดทุกสิ่ง ข้าพอใจและน้อมรับความเมตตาทุกอย่างที่เทวะประทาน”
“ความเมตตาทุกอย่างที่เทวะประทาน...รวมถึงองค์รัชทายาทที่จักกำเนิดจากเลือดในกายข้าด้วยรึ”
“หากเทวะประสงค์ให้เป็นเช่นนั้น ก็เป็นเรื่องน่ายินดีกับจันทรปุระ”
“พระอัครชายามีน้ำใจประเสริฐนัก ในมิช้านี้จันทรปุระก็คงได้เฉลิมฉลองกับข่าวดีนั้นจริงๆ”
“ท่านจักสวดมนต์ก็เชิญตามสบายเถิดข้าขอตัว”
เหตุการณ์หลังจากนั้นเป็นไปตามที่บุษกรต้องการทุกอย่าง แม้เธอจะยังไม่ตั้งครรภ์ลูกของอริยะ แต่เขาก็หลงใหลและขลุกตัวกับเธอไม่ไปไหน หมอผีเลยได้ทองหลายก้อนเป็นของกำนัลความดีความชอบและไม่รอช้าจะนำไปใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย ปรนเปรอกิเลสตัณหาอันชั่วร้ายของตน
คีรินแอบสะกดรอยตามหมอผีห่างๆจนได้ข้อสังเกตหลายอย่าง เลยรีบนำความไปบอกอุษาและเกศอาภา แต่อัครชายาคนสวยก็ไม่ทันได้รู้เรื่อง บุษกรก็เดินแผนขั้นต่อมาด้วยการมาขนข้าวของของอริยะไปเกือบหมด!
“ท่านสั่งให้ข้ามาเก็บเสื้อผ้าของใช้บางอย่างที่นี่ ความจริงที่เรือนข้าก็มีทุกสิ่งพร้อมสรรพอยู่แล้ว ข้าเองก็มิเข้าใจว่าเหตุใดจักต้องให้มาขนจากที่นี่อีก แต่ก็นั่นล่ะ... คำสั่งก็คือคำสั่ง เจ้าอย่าได้ถือสาเลยนะ”
อุษาเจ็บแค้นแทนเจ้านายสาว ตั้งท่าจะขัดขวางเต็มที่ แต่เกศอาภาก็ห้ามไว้ แล้วสั่งให้จัดเตรียมทุกอย่างตามบัญชาของสวามี บุษกรย่ามใจมากและอดไม่ได้จะเยาะเย้ยทิ้งท้าย
“ข้าบอกองค์อริยะไปแล้วว่าทำเยี่ยงนี้ พระอัครชายาเกศอาภาจักเข้าใจผิด คิดว่าท่านจักไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว ท่านก็มิฟังอะไรทั้งนั้น เจ้าก็เคยเห็นแล้วนี่ เวลาท่านดื้อดึงอะไรก็ขัดขวางท่านมิได้”
ooooooo
หลังจากทำร้ายจิตใจอัครมเหสีศัตรูหัวใจคนสำคัญจนสาแก่ใจแล้ว บุษกรก็หอบผ้าผ่อนของผัวรักกลับตำหนัก แต่ระหว่างทางนั่นเอง มหาพราหมณ์กัมพูซึ่งสังหรณ์ใจว่าลูกสาวคนเดียวอาจเกี่ยวข้องกับท่าทางประหลาดของอริยะในระยะหลังๆก็มาดักหน้าเพื่อเตือนสติเธอ
บุษกรร้อนตัว กลัวพ่อรู้ทันแผนการของเธอแต่ก็ยังใจดีสู้เสือโต้กลับ
“ท่านพ่อพูดราวกับว่าลูกกำลังกล่าวความเท็จ”
“จริงหรือเท็จ เจ้าย่อมรู้แก่ใจเจ้าดี”
คำพูดแฝงนัยเหมือนรู้ทันของพ่อทำให้บุษกรหน้าเสีย มหาพราหมณ์เลยถือโอกาสย้ำให้คิด
“เทวะประทานพรแก่ผู้บูชาเสมอ แลเทวะมิเคยให้ร้ายผู้ใด เพราะผู้ประกอบกรรมชั่วจักได้รับผลชั่วนั้นเอง”
“ท่านพ่อเมตตาอบรมสั่งสอนลูก ลูกซาบซึ้งแลจักจดจำมิรู้ลืม”
“เป็นถึงพระชายาแล้ว หากลูกก็ยังเป็นลูกของพ่ออยู่ดี มิมีใครรู้ใจเจ้าดีไปกว่าพ่อหรอกบุษกร”
พูดพลางส่งสายตาคาดคั้นมาให้ แต่บุษกรก็ไม่ยอมจำนน จนเขาต้องทิ้งท้ายอย่างอ่อนใจ
“เกิดเป็นคน...ผิดพลาดแล้วแก้ไข ยังพอจักได้รับการให้อภัย”
มหาพราหมณ์กัมพูเดินจากไปแล้ว ทิ้งบุษกรให้มองตามด้วยความหงุดหงิดใจ กลัวพ่อจะรู้ความลับและขัดขวางแผนการของเธอ แต่ที่ชายารองคนสวยไม่รู้คือคีรินตามสืบจนรู้ว่าหมอผีมีอะไรเกี่ยวข้องกับบุษกรแน่ และเกศอาภาซึ่งเป็นห่วงสวามีมากก็ประกาศกร้าวจะหาหลักฐานมาเอาผิดคนทำชั่วให้ได้!
บุษกรมัวหลงระเริงกับความสำเร็จในการดึงตัวอริยะไว้กับตัวจนไม่ทันระวังว่าอาจมีใครมาขัดขวางหรือทำลายแผนการ แต่หมอผีจากแดนไกลไม่คิดเช่นนั้นและเร่งรุดมาหาชายารองคนสวยในกลางดึกของคืนเดียวกัน
“อีกสองคืนจักถึงคืนเดือนเพ็ญ จันทร์เต็มดวงจักเติมพลังอำนาจให้สรรพสิ่ง คืนนั้นจึงเหมาะจะทำพิธีอีกครั้ง”
“จำเป็นด้วยรึ ในเมื่อมนต์ที่ข้าใช้ทุกวันนี้ก็มัดใจผัวข้าจนโงหัวมิขึ้นอยู่แล้ว”
“มนต์ที่ท่านใช้จักเสื่อมลงทุกวัน หากท่านมิเลี้ยงดูภูตผีบริวารที่ทำงานรับใช้ให้ดีพอ หากพิธีในคืนเดือนเพ็ญสำเร็จลุล่วง ท่านจักอยู่เหนือสตรีทุกนางในแผ่นดิน แม้แต่องค์อริยะก็พร้อมหมอบราบคาบแก้วแทบเท้าท่าน”
บุษกรไม่เชื่อในคราแรกแต่เมื่อได้ยินผัวรักละเมอถึงเกศอาภาก็เริ่มร้อนใจ ตัดสินใจตอบตกลงจะทำพิธีสังเวยจันทราในวันเดือนเพ็ญทันที เช่นเดียวกับองค์สูริยะที่มีคำสั่งให้เตรียมการใหญ่โตตามคำแนะนำของมหาพราหมณ์กัมพู
“คืนพรุ่งนี้จันทราจักปรากฏเต็มดวง ท่านควรถือ โอกาสนี้ทำพิธีบวงสรวงสังเวยจันทรา แสดงคารวะต่อพลังอำนาจที่จันทราได้มอบให้แก่จันทรปุระ สิ่งอัปมงคลชั่วร้ายที่มองมิเห็นจักได้ถูกขจัดปัดเป่าออกไปให้สิ้น”
“เป็นเรื่องดี ข้าเห็นด้วย ราษฎรจักได้เกิดขวัญแลกำลังใจ” ปุณณะเห็นดีเห็นงาม
“ท่านมหาพรหมณ์...สั่งการได้เลย คืนพรุ่งนี้พิธีบวงสรวงสังเวยจันทราจักต้องมิมีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง!”
คำประกาศิตขององค์สูริยะทำให้เกศอาภาครุ่นคิดถึงคำบอกเล่าของอุษากับคีรินอีกครั้ง แล้วก็อดกังวลไม่ได้ เพราะหากเป็นจริงก็นับว่าบุษกรทุ่มเทมาก อุษากับคีรินไม่เข้าใจ เกศอาภาเลยต้องอธิบาย
“สงครามนี้เป็นเรื่องระหว่างนางกับข้า แต่ข้าคิดมิถึงว่านางจักใช้องค์อริยะแลจันทรปุระเป็นตัวประกัน”
อริยะไม่ได้รู้สึกรู้สาว่ามีใครเป็นห่วงบ้าง มัวหลงเสน่ห์บุษกรจนโงหัวไม่ขึ้น บุษกรปลาบปลื้มกับคำรักหวานหยดของเขา แล้วก็อดไม่ได้จะแกล้งถาม
“ลับหลังข้า ท่านก็พูดเยี่ยงนี้กับหญิงอื่น”
“จักให้ข้าสาบานก็ได้ ข้าพูดเยี่ยงนี้กับเจ้าคนเดียว”
“วันใดท่านทอดทิ้งข้า ท่านจักต้องมีอันเป็นไป แผ่นดินจักกลืนกินท่านทั้งเป็น...ท่านยังกล้าสาบานรึไม่”
รัชทายาทหนุ่มยังอยู่ในฤทธิ์ของมนต์เสน่ห์ยาแฝดตอบรับทันควัน บุษกรต้องร้องห้าม
“อย่าทีเดียว ข้าเพียงล้อท่านเล่นเท่านั้น ข้าจักทนเห็นคนที่ข้ารักถูกฝังทั้งเป็นได้เยี่ยงไรกัน แค่ทุกคืนทุกวันข้ามีท่าน แลท่านมีข้าเยี่ยงนี้ตลอดไป ข้าก็มีความสุขยิ่งนักแล้ว...”
ooooooo
พิธีทำเสน่ห์ของหมอผีจากแดนไกลต้องการส่วนประกอบสำคัญอย่างสิ่งของหรือเส้นผมของอริยะ บุษกรเลยแอบขโมยจากผัวรักและขึ้นเสลี่ยงไปให้หมอผีถึงนอกเมือง คีรินซึ่งจ้องจับผิดอยู่แล้วรีบตามติด เปิดโอกาสให้อุษาลักลอบเข้าไปค้นภายในตำหนักของบุษกรจนเจอตุ๊กตาดินปั้นมัดติดกันในที่สุด
อุษาแอบเอาตุ๊กตาดินทั้งสองตัวไปจากตำหนักของบุษกรได้สำเร็จอย่างหวุดหวิด แต่ก็พลาดทำหล่นหายกลางทาง บุษกรซึ่งพยายามพะเน้าพะนอผัวรักเหมือนเคยแต่เขากลับร่ำร้องอยากกลับไปหาเกศอาภาเพราะมนต์ดำเสื่อมจึงได้ค้นพบว่าตุ๊กตาของสำคัญถูกขโมยไปแล้ว
ค่ำคืนเดือนเพ็ญและพิธีบวงสรวงสังเวยจันทรามาถึงในที่สุด อริยะถูกบุษกรจับอาบน้ำแต่งตัวไปร่วมพิธี แต่เพราะมนต์ที่เสื่อมลงเลยทำให้เขามองหาแต่เกศอาภาตลอดเวลา
และเวลาเดียวกันนั่นเอง...หมอผีจากแดนไกลก็เริ่มทำพิธีเสน่ห์อีกครั้ง ด้วยการนำเส้นผมของอริยะใส่ลงในอ่างบรรจุของเหลวสีเหลืองหรือน้ำมันพรายจากศพตายโหงในป่าช้า พิธีกรรมดำเนินไปด้วยดี หมอผีบริกรรมคาถาชั่วร้าย ก่อเกิดเป็นกลุ่มหมอกควันสีดำลอยเข้าไปในเมือง พร้อมๆกับปรากฏการณ์จันทรคราส!
ทุกคนในวังหลวงแตกตื่นกับปรากฏการณ์จันทรคราสมาก โดยเฉพาะอุษาที่สังหรณ์ใจไม่ดี
“มันต้องเป็นลางร้ายแน่ พระอัครชายาหลบมาข้างในเถิด อย่าไปจ้องมองมันเลย เรื่องร้ายๆจะเข้าตัว”
เกศอาภาซึ่งเดินมาพร้อมอริยะซึ่งเริ่มคืนสติแล้วต้องปรามเสียงอ่อน “เรื่องร้ายๆ...ถ้ามันจะเกิดก็เกิดจากจิตใจของคนมากกว่าอุษา เราเคารพบูชาจันทราประหนึ่งเทวะ จันทราไม่น่าจะให้ภัยเราได้หรอก”
“ไม่มีใครล่วงรู้ได้ แต่ข้ากลัวเหลือเกินว่าจะต้องเกิดเรื่องร้ายขึ้นกับจันทรปุระแน่ ปิดหน้าต่างเสียเถิด”
พูดจบก็ไล่ปิดหน้าต่างทุกบานทั่ววัง ทิ้งเกศอาภาไว้กับอริยะที่ขยับมากอด
“ตัวเจ้าเย็นเฉียบ...หนาวรึ”
เกศอาภาเบี่ยงตัวออก ปั้นปึงใส่จนอริยะแปลกใจ
“เจ้าโกรธเคืองข้าด้วยเรื่องอันใด”
“ข้ารึจะมีสิทธิ์โกรธเคืองท่าน”
“หลายวันที่ผ่านมา ข้าเหมือนตัวเองตกอยู่ในความฝันตลอดเวลา เหมือนอยากจะลืมตาตื่นแต่ก็บังคับตัวเองให้ทำอย่างนั้นไม่ได้ หากข้าทำอะไรที่เจ้าไม่พอใจก็ให้อภัยข้าด้วยเถิดเกศอาภา...”
ระหว่างที่อริยะกับเกศอาภาปรับความเข้าใจ
คีรินก็สะกดรอยตามหมอผีจนถึงตำหนักบุษกรอีกครั้ง และจังหวะที่ได้รับรู้ความลับสำคัญของหมอผีกับบุษกรที่จะใช้น้ำมันพรายในขวดใบจิ๋วให้อริยะกินเพื่อตกในมนต์เสน่ห์อีกครั้ง เขาก็ถูกตีหัวโดยใครบางคนจากด้านหลังจนสลบเหมือด!
ooooooo
คีรินถูกจับมัดมือมัดเท้านำไปทิ้งไว้ชายป่านอกเมืองในคืนนั้นเอง อริยะกับเกศอาภาไม่รู้เรื่อง เพราะมัวปรับความเข้าใจกันอยู่ โดยเฉพาะรัชทายาทหนุ่มที่จำอะไรก่อนหน้าไม่ได้เลย
“ข้าจำได้แค่เราไปเที่ยวป่าด้วยกัน เราสนุกและมีความสุขมาก แต่จนถึงเมื่อวาน ข้ารู้สึกเหมือนตัวเองหลงทางในป่าทึบคนเดียว ข้าหาทางออกไม่เจอ ร้องตะโกนเรียกใครก็เหมือนไม่มีใครได้ยิน แม้แต่เจ้าหรือคีริน”
เกศอาภาทำหน้าไม่อยากเชื่อ แต่คิดว่าหากเป็นเพราะมนต์เสน่ห์ก็อาจเป็นไปได้ อริยะพยายามคาดคั้นอยากรู้ถึงสาเหตุที่เธอโกรธเคืองแต่เธอก็บ่ายเบี่ยงขอผลัดไปเล่าวันหลัง
คีรินรู้สึกตัวและพยายามแก้มัดเชือกจนหลุด
เร่งรุดกลับเข้าวังเพื่อบอกความจริงแก่อริยะ ไม่ให้หลงกลของบุษกรกินน้ำมันพรายของหมอผี แต่ที่เขานึกไม่ถึงคือมหาพราหมณ์กัมพูตามไปดักหน้าบุษกรไว้ก่อนแล้ว
บุษกรซึ่งทำทีเป็นเคารพและศรัทธาเทวะเหมือนเคยตกใจมากที่เห็นพ่อ มหาพราหมณ์กัมพูนึกรู้และตัดสินใจเตือนสติลูกสาวคนเดียวไม่ให้ทำผิดซ้ำซาก
“แสงสว่างที่ถวายแก่เทวะ เทวะจักประทานพรเป็นแสงสว่างคืนแก่เจ้าเช่นกัน เพื่อให้เจ้าเกิดแสงสว่างขึ้นในจิตใจ ดำเนินชีวิตไปในหนทางที่ถูกที่ควรที่เทวะได้เมตตามอบไว้ให้”
คำสอนลึกซึ้งของพ่อทำให้บุษกรชะงักไปอึดใจแต่ก็ยังคิดไม่ได้ จนมหาพราหมณ์กัมพูต้องย้ำทิ้งท้าย
“ระหว่างหนทางสว่างกับมืดมน จะเลือกทางไหนก็อยู่ที่ใจเจ้า ยังไม่สายเกินไปหรอกพระชายาบุษกร”
แม้จะมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีอยู่บ้าง แต่กิเลสตัณหาที่ครอบงำอยากได้อยากมีและอยากเป็นอัครมเหสีทำให้บุษกรตัดสินใจทำตามแผนเดิมคือบุกถึงตำหนักของ
เกศอาภาและนำน้ำมันพรายให้ผัวรักกิน โดยหลอกว่าเป็นน้ำมันเกสรดอกไม้ร้อยแปดชนิด เกศอาภากลัวจะเป็นยาพิษเลยพยายามยับยั้งไว้ก่อน
“ข้าได้ยินสรรพคุณเกสรดอกไม้ร้อยแปดอย่างนี้มาเหมือนกัน มันเป็นของทำยาก แพงยิ่งกว่าทองคำ”
“เพื่อท่านพี่ ข้าถึงดิ้นรนหามาจนได้นี่อย่างไรเล่าพระอัครชายา”
“น้ำใจท่านประเสริฐนัก”
“ถึงต้องแลกมาด้วยทองคำทั้งหมดที่ข้ามี ข้าก็ยอม”
“แต่จะแน่ใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่อยู่ในขวดนี้เป็นน้ำมันเกสรดอกไม้ร้อยแปดอย่างจริงๆ”
อริยะเห็นดีเห็นงามกับเกศอาภาและเสนอให้เรียกตัวหมอหลวงมาตรวจสอบและยืนยัน แต่ไม่มีใครได้ทันขยับ มหาพราหมณ์กัมพูก็โผล่มาเสียก่อน
“ไม่ต้องถึงหมอหลวงหรอกองค์อริยะ ข้ายืนยันได้ว่าสิ่งที่อยู่ในขวดนั้นคือน้ำมันเกสรดอกไม้ร้อยแปดอย่างจริงๆ”
อริยะยิ้มให้ผู้มาใหม่และหยิบขวดบรรจุน้ำมันสีเหลืองมาดู มหาพราหมณ์กัมพูเลยถือโอกาสบรรยายสรรพคุณ
“น้ำมันเกสรดอกไม้ร้อยแปดอย่างเป็นของหายาก ผู้มีบุญบารมีเท่านั้นจึงจะได้มาครอบครอง เพราะนอกจากจะรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้สารพัดแล้ว ยังเป็นยาอายุวัฒนะอีกด้วย”
บุษกรดีใจมาก คิดไม่ถึงว่าพ่อจะช่วย แล้วใจของชายารองคนสวยก็ได้เต้นระรัวเมื่ออริยะตัดสินใจกินน้ำมันสีเหลืองในขวดใบจิ๋วรวดเดียวหมดขวด!
คีรินกระหืดกระหอบมาถึงในอึดใจต่อมา ไม่ทันเวลายับยั้งอริยะไม่ให้กินของเหลวในขวดใบจิ๋ว เลยถึงกับโกรธตัวเองมากที่มาช้า ทำให้รัชทายาทหนุ่มตกในอันตราย
“ข้าผิดเอง ข้ามันโง่เองที่ประมาทจนไม่ระวังตัว ข้ามันสมควรตายที่ปกป้ององค์อริยะเอาไว้ไม่ได้”
อุษานั่งอยู่ไม่ไกลกันนั้น ไม่ปลอบแต่ซ้ำเติมเขาอีกต่างหาก
“ถ้าเจ้ามาเร็วกว่านี้แค่เพียงอึดใจ องค์อริยะก็คงไม่กินสิ่งอัปรีย์นั้นเข้าไป เราคงจับคนชั่วได้ด้วยหลักฐานคามือ แต่นี่ทุกอย่างมันสายเกินไป มันเป็นความผิดเพราะความโง่ของเจ้าคนเดียว เจ้ามันสมควรตายอย่างเจ้าว่านั่นแหละ”
ooooooo
บุษกรกลับถึงตำหนักด้วยความสมหวัง เริ่มต้นพิธีบริกรรมมนต์ชั่วร้ายเรียกผัวกลับตามที่หมอผีสอน โดยไม่รู้เลยว่าสิ่งที่หวังคงไม่มีวันเป็นจริง เพราะอริยะไม่กระสับกระส่ายแต่กระปรี้กระเปร่าอย่างบอกไม่ถูก
คีรินถูกเรียกตัวมาหลังจากนั้นเพื่อไปขี่ม้าเที่ยวในป่า เกศอาภารีบห้ามไว้ กลัวเขาไข้กลับ อริยะก็ดื้อดึงจะไป แต่เมื่อเห็นหน้าตาเป็นห่วงของเมียรักก็พยายามคาดคั้นหาเหตุผล
“ข้าเป็นห่วงท่าน จันทรปุระคือท่าน ท่านจงเลิกใช้ชีวิตบนความประมาทเสียที ท่านไม่รู้รึไรว่ามีผู้คนที่เฝ้าเป็นห่วงท่านมากมายเพียงใด”
อริยะถึงกับอึ้งไปอึดใจ ก่อนจะดึงตัวเธอมากอดแน่น
“ข้ารู้แล้ว แลเจ้าก็เป็นหนึ่งในผู้คนเหล่านั้น ขอบใจเจ้านักเกศอาภา...ที่เตือนสติข้า”
บรรยากาศหลังจากนั้นเต็มไปด้วยความสุข อริยะหายดีและแข็งแรงเหมือนเดิม ไม่มีอาการมึนงงหรืออ่อนแรงเหมือนที่เป็นมาตลอดหลายวัน เกศอาภา คีรินและอุษาสบายใจขึ้นมาก ต่างจากบุษกรที่ร้อนรนราวกับมีไฟสุมใจเมื่อรู้จากทาสสาวๆว่าผัวรักกำลังเริงระรื่นกับอัครมเหสี!
บุษกรโมโหมากและไม่รอช้าบุกไปหาหมอผีถึงเรือนพักในเวลาต่อมา
“ข้าตั้งใจอยู่ทีเดียวว่าหากพ้นคืนนี้ท่านยังไม่มาเยี่ยมเยียนข้า เห็นทีว่าข้าจักต้องไปเยี่ยมเยียนท่านเอง”
“ผลงานของเจ้าน่าประทับใจจนข้าต้องรีบมา”
“ท่านคิดถูกแล้ว เพราะแต่คืนนี้ องค์อริยะจะลุ่มหลงท่านหัวปักหัวปำ จนท่านจะแทบไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน”
“เจ้าคิดเอาไว้รึยังว่ารางวัลที่เจ้าสมควรได้รับเป็นสิ่งใด”
“อยู่ที่ท่านเองว่าจะให้ข้าเท่าไร”
ทองหลายก้อนถูกโยนมาตรงหน้า หมอผีตาโตด้วยความโลภสุดขีด แต่เพียงอึดใจเดียวก็ต้องตาเหลือกเมื่อบุษกรควักมีดสั้นออกมาพร้อมกับทำท่าจะปาดคออีกฝ่าย
“ข้าจะควักหัวใจเจ้าออกมา...ไอ้คนทรยศ!”
หมอผีกระเสือกกระสนหนีไปนอกเรือน บุษกรตามติด
“ไอ้คนถ่อย...คิดจะตบตาลวงข้า ผิดไปแล้ว...ข้ามิใช่เหยื่อหน้าโง่ของเจ้า”
“พระชายาได้โปรดเมตตาฟังข้า ข้าเสี่ยงชีวิตทำงานเพื่อท่านจนสำเร็จลุล่วง น้ำมันอาคมก็ส่งถึงมือท่านแล้ว”
“ไอ้คนโลภมากเยี่ยงเจ้า คิดจะใช้มันต่อรองกับข้ารึ ความจริงก็คือลิ้นของเจ้าสมควรต้องถูกตัดทิ้ง ลูกตาของเจ้าสมควรถูกควักออกมา ตั้งแต่เจ้ามอบน้ำมันอัปรีย์นั้นให้ข้าแล้ว”
“เทวะเมตตา...เทวะเมตตา”
“เทวะองค์ไหนก็ช่วยเจ้าไม่ได้หรอกไอ้คนถ่อย เพราะข้านี่แหละคือเทวะ”
พูดจบก็เงื้อมีด แต่ไม่ทันลงมือ มหาพราหมณ์กัมพูก็โผล่มาสังหารหมอผีจากแดนไกลเสียก่อน
“ไอ้คนชั่วนอกวิถีแห่งเทวะ แผ่นดินจันทรปุระมีค่ามากกว่าจะเป็นที่ฝังร่างมัน”
หลังจากนั้นสองพ่อลูกก็จัดการเผาเรือนหมอผีทำลายหลักฐาน บุษกรยังอึ้งไม่หายที่จู่ๆพ่อก็โผล่มา
“ท่านพ่อรู้เรื่องของลูกมาโดยตลอด”
“เจ้าคิดว่าในโลกนี้ ใครจะรู้จักเจ้าดีไปกว่าพ่ออย่างนั้นรึ”
“ท่านพ่อโปรดเมตตาลูกด้วย”
“พ่อถึงต้องปกป้องเจ้าจากความผิดที่เจ้าก่ออย่างไร เล่า...ความลุ่มหลงในความรักทำให้ความโกรธเข้าครอบงำจิตใจเจ้า เจ้าผิดพลาดพลั้งเผลอเยี่ยงนี้ พ่อเป็นพ่อ...อย่างไรเสียก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เจ้าก่อ ไอ้หมอผีชั่วนั่นพาเจ้าหลงออกไปนอกวิถีแห่งเทวะ มันสมควรตาย!”
ooooooo










