ตอนที่ 11
คำสั่งอพยพจากองค์สูริยะทำให้เกศอาภาทุกข์ใจมากจนต้องสวดอ้อนวอนต่อเทวะในปราสาท ขอความเมตตาให้จันทรปุระพ้นภัยพิบัติในเร็ววัน เมื่อบุษกรมาเห็นก็เย้ยหยันด้วยน้ำเสียงสาแก่ใจ
“ชะตากรรมถูกกำหนดมาแล้วจากเทวะ ใครหน้าไหนก็มิมีทางขัดขืนได้หรอก”
“ข้าสวดวิงวอนขอกำลังใจแลสติปัญญาให้แก่ข้าเท่านั้น มิใช่เพื่อตัวข้าเองแต่เพื่อทุกคนในจันทรปุระ”
“คนโง่เขลาเท่านั้นที่พยายามดิ้นรนขัดขืนชะตากรรม เจ้าดูเอาเถิด...เปลวไฟบูชายังริบหรี่ลงทุกที มันมิต่างจากชะตากรรมของจันทรปุระเลยแม้แต่น้อย”
ขาดคำก็ผละจากไป เกศอาภาได้แต่มองตามเครียดๆ ก่อนจะเบิกตาโพลงเมื่อคิดได้ว่าจะช่วยให้จันทรปุระพ้นจากอาเพศและภัยพิบัติครั้งนี้ได้เช่นไร
ไฟนั่นเองที่จะทำลายล้างและเผาผลาญทุกสิ่ง เกศอาภารีบนำความนี้แจ้งต่อองค์สูริยะ
“ให้ราษฎรจุดไฟให้สว่างไสวทั่วเมือง ซากศพทั้งหมด ห้ามขุดฝังหรือโยนทิ้งน้ำ แต่จงส่งดวงวิญญาณไปอยู่กับเทวะด้วยเปลวไฟ จงบูชาน้ำแลอาหารทุกคำที่จะกินด้วยไฟ ให้ราษฎรช่วยกันดูแลไฟให้จันทรปุระสว่างไสวทั้งวันแลคืน”
ผลคือชาวเมืองไม่ต้องหวาดผวาเพราะโรคระบาดอีกต่อไป เปลวไฟเผาผลาญทุกสิ่งจนไม่เหลือซาก องค์สูริยะปลาบปลื้มใจมากและไม่รอช้าจะเรียกตัวอัครมเหสีคนสวยมาชื่นชม
“สติปัญญาเจ้าหลักแหลมนัก จันทรปุระพ้นภัยครั้งนี้ได้ก็เพราะเจ้าแท้ๆเกศอาภา”
“เทวะต่างหากที่ประทานพรนี้แก่พวกเรา เทวะเพียงต้องการพิสูจน์เท่านั้นว่าสติปัญญาที่ท่านประทานให้ทุกคน เราได้ใช้มันอย่างเต็มที่แล้วหรือไม่”
ปุณณะก็ปลื้มใจมาก ยินดีที่บ้านเมืองปลอดภัยและลูกสาวได้รับการชื่นชม
“ราษฎรจะจดจำชื่อของเจ้าไปอีกนาน”
“ท่านพ่อ...ลูกมิได้หวังว่าจะเป็นที่จดจำ ลูกทำเพื่อจันทรปุระที่ลูกรักแลหวงแหนเท่านั้น ลูกจะปกป้องจันทรปุระแม้ต้องแลกด้วยชีวิตของลูกก็ตาม”
หลังผ่านเรื่องร้ายๆ องค์สูริยะก็เห็นสมควรแก่เวลาจะประกาศยกราชสมบัติและบัลลังก์ให้องค์อริยะรัชทายาทเพียงคนเดียวและเกศอาภาอัครมเหสีปกครองจันทรปุระสืบไป เมื่อบุษกรรู้ก็โกรธมาก ประกาศกร้าวต่อหน้าองค์เทวะจะแย่งชิงทุกอย่างมาเป็นของตนให้ได้
“ข้ารู้...ท่านกำลังหัวเราะเยาะข้า ดีแล้วที่มาถึงวันนี้ได้ ในเมื่อเสี้ยนหนามมันกล้าประกาศเป็นศัตรูกับข้า มันก็จะได้เห็นเช่นเดียวกับท่าน บัลลังก์กษัตริย์แห่งจันทรปุระต้องเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว!”
ooooooo
เหตุการณ์หลังจากนั้นเต็มไปด้วยความสงบ ชาวเมืองฟื้นจากความโศกเศร้าและเฝ้ารอวันเฉลิมฉลองอริยะขึ้นครองราชบัลลังก์ต่อจากองค์สูริยะ
เกศอาภาก็สบายใจมากและมีความสุขกว่าเดิมเมื่อคีรินมาทาบทามสู่ขออุษาไปเป็นเมีย แต่คนสนิทสาวกลับไม่คิดเช่นนั้น กระดากอายจนไม่อยากยอมรับความจริง
“อุษา...เจ้าจักอยู่ปรนนิบัติข้าไปจนแก่เฒ่ามิได้หรอกนะ”
“เจ้าคงเบื่อรำคาญข้ามิน้อย จึงได้เสือกไสไล่ส่งข้าไปเยี่ยงนี้”
“มิใช่เยี่ยงนั้นเลยอุษา ข้ากลับรู้สึกว่าเจ้าทำหลายอย่างเพื่อข้ามากพอแล้ว ในเมื่อมีคนที่รักเจ้าอย่างจริงใจข้าก็อยากเห็นเจ้ามีความสุขเป็นการตอบแทนบ้าง”
คำพูดของอัครมเหสีคนสวยทำให้อุษาคิดหนัก ไม่ใช่ว่าไม่มีใจชอบพอชายหนุ่มที่มาสู่ขอ แต่เพราะเป็นคู่ปรับกันมานานเลยละอายเกินกว่าจะยอมรับความจริงและคีรินก็พอเดาใจเธอได้ เมื่อได้เจอหน้ากันเลยถามตรงๆ
“เจ้าคิดว่าข้าต้องทำเยี่ยงไรเจ้าจึงจักไว้ใจข้า”
“เจ้าหวังจักได้ข้าเป็นเมียแค่หุงข้าวต้มแกงให้เจ้ากิน”
“ใครบอกเจ้า เรามีอย่างอื่นต้องทำด้วยกันอีกตั้งหลายอย่าง...มิใช่แค่กินข้าวด้วยกัน”
แต่เกลี้ยกล่อมเท่าไหร่อุษาก็ไม่ใจอ่อน แถมเคืองกว่าเดิมเมื่อรู้ว่าคีรินไปสู่ขอเธอกับปุณณะตามที่เธอท้า ปุณณะไม่ขัดข้องจะยกหลานสาวให้ ยินดีด้วยซ้ำที่เธอขายออกเสียที
คีรินย่ามใจมากแต่เพราะรู้ฤทธิ์เดชอุษาดี เลยวางแผนร่วมกับปุณณะและอริยะ หลอกให้เธอตายใจคิดว่าเขาอกหักเพราะปุณณะไม่ยอมยกให้ พร้อมกับยืมมือเกศอาภาซึ่งไม่รู้เรื่องแผนนี้ด้วยกระตุ้นให้เธอหมดทางออกและยอมรับใจตัวเองในเร็ววัน
ความรักของคีรินกับอุษายังไม่ทันถึงฝั่งฝัน ข่าวร้ายก็มาถึงจันทรปุระอีกระลอก เมื่อบุษกรแสร้งทำนายหลอกๆ ว่าชะตาบ้านเมืองจะตกในอันตรายหากองค์สูริยะยกราชบัลลังก์ให้อริยะ
“พิธีสังเวยบูชาจักมิมีวันเกิดขึ้น การตัดสินใจของเจ้าคือจุดจบของจันทรปุระ มันกำลังจักล่มสลาย มันกำลังจักถึงการวิบัติ จันทรปุระกำลังจักสูญหายไปจากแผ่นดินนี้!”
คำทำนายของมหาพราหมณีทำให้ทุกคนแตกตื่น โดยเฉพาะองค์สูริยะ กลัดกลุ้มใจมากที่จะเกิดเรื่องไม่ดีแก่จันทรปุระอีกครั้ง และก็เหมือนเทวะกลั่นแกล้ง คำทำนายของบุษกรทำท่าจะเป็นจริงเมื่อม้าเร็วจากชายแดนมาแจ้งข่าวร้ายว่าเมืองทางเหนือคิดกระด้างกระเดื่องยกทัพมาโจมตี!
เพื่อพิสูจน์ตัวต่อเทวะ อริยะเลยอาสายกทัพไปป้องกันถึงชายแดน คีรินต้องตามไปด้วยในฐานะองครักษ์และคนสนิท อุษารับรู้ด้วยใจร้อนรนจนต้องเลิกทิฐิยอมให้เขามาบอกลา
“ข้าอาจจะมิได้กลับมาอีกเลยก็ได้”
“มันอาจมิเลวร้ายอย่างที่เจ้าคิดหรอกกระมัง”
“สงครามมิเคยปราณีใคร แต่เพื่อแผ่นดินเกิด ข้าจักพยายามรักษาชีวิตของข้าให้ยืนนานที่สุด”
“เจ้าคิดถูกแล้ว ยังไงเจ้าก็ต้องกลับมา เจ้าตายมิได้หรอก”
“มิมีใครรู้หรอกว่าวันพรุ่งนี้จักเกิดอะไร ยังไงข้าก็ขอบอกลาเจ้าตอนนี้ เผื่อว่าเราจักมิได้เห็นหน้ากันอีก ข้าจักจดจำใบหน้าของเจ้า เสียงของเจ้า ท่าทางของเจ้าเวลาเจ้าโกรธไว้จนลมหายใจสุดท้ายของข้า”
“ใจร้าย คีริน...เจ้าใจร้ายมาก!”
ooooooo
อุษาไม่ใช่คนเดียวที่ทุกข์ใจ เกศอาภาก็สภาพไม่ต่างกันเมื่อรู้ว่าสวามีอันเป็นที่รักต้องนำทัพไปถึงชายแดนเพื่อปกป้องจันทรปุระจากเมืองทางเหนือ ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะได้กลับ
“ให้ข้าไปกับท่านได้รึไม่ หากศัตรูยกทัพมาขอให้ข้าได้รบเคียงข้างท่าน เราจักปกป้องจันทรปุระด้วยกัน”
“เกศอาภา...ข้าบูชาหัวใจของเจ้า ต่อให้ศัตรูมากมายมืดฟ้ามัวดินข้าก็มิกลัว แค่รู้ว่าแก้วตาดวงใจของข้าเข้มแข็งเพียงใด เจ้าอยู่ที่นี่ดีแล้ว อย่าได้กังวล เยี่ยงไรเสียไม่นานข้าก็ต้องกลับมา”
จบคำก็ดึงตัวเมียรักไปกอด เกศอาภาน้ำตาซึม ใจหายที่เขาต้องจากไกล
“กอดข้าให้แน่นๆทีเถิด”
“ตัวเจ้าสั่น อย่ากลัวไปเลย”
“ข้าพยายามบอกตัวเองเช่นนั้นแต่ลางสังหรณ์ในใจข้า มันบอกข้าว่าเราอาจจักมิมีวันได้พบท่านอีก”
“เยี่ยงไรเสียข้าก็ต้องกลับมาเพราะข้ารู้ว่าเจ้าคอยอยู่ที่นี่ คำสาบานนี้พอจักทำให้เจ้าอุ่นใจขึ้นบ้างรึไม่”
“ข้าจักสวดมนต์ถวายเทวะ อธิษฐานขอพรให้ท่านปลอดภัยทุกคืนทุกวัน”
“หากเจ้าคิดถึงข้าขอให้สวมพาหุรัดวงนี้ติดกายไว้ เจ้าจักได้รู้ว่าความรักที่ข้ามีต่อเจ้ามากมายเพียงใด”
สองผัวเมียร่ำลากันด้วยความอาลัย จนถึงเวลารุ่งสางก็พากันมาส่งถึงหน้าประตูเมือง อุษาซึ่งชั่งใจทั้งคืนตัดสินใจได้ในที่สุดจะรับรักคีรินและมอบผ้าเป็นของแทนใจ
“เจ้าตายมิได้เพราะเจ้าจักต้องกลับมาคืนผ้าผืนนี้ให้ข้า รับปากสิว่าเจ้าจักมิเอาชีวิตไปทิ้งที่ชายแดน”
“หากข้ากลับมาคืนผ้าผืนนี้แก่เจ้า เจ้าจักยอมเป็นเมียข้า...ใช่รึไม่อุษา”
“เอาชีวิตกลับมาให้ได้เถิด ต่อให้ท่านลุงมิยอมยกข้าให้เจ้า ข้าจักยอมหนีไปกับเจ้าเสียให้รู้แล้วรู้รอด!”
เมื่ออริยะนำกองทัพไปชายแดนแล้ว บุษกรก็จัดฉากสร้างลางร้ายด้วยการลอบวางเพลิงบัลลังก์กษัตริย์กลางท้องพระโรงจนไม่เหลือซาก ซึ่งก็ได้ผลเกินคาด องค์ สูริยะทุกข์หนักจนต้องร้องหาทางแก้ไขจากมหาพราหมณี
บุษกรไม่รอช้า ฉกฉวยโอกาสนี้แสร้งทำพิธีเชิญเทวะมาเข้าทรงและโพล่งคำทำนายออกมา
“มีแต่ความโศกเศร้าปกคลุมจันทรปุระ จักเกิดความสูญเสีย คนที่จากไปแล้วจักจากไปลับมิมีวันได้กลับคืนมา ความตายพรากเขาไปแล้ว ความตายพรากเขาไปแล้ว”
คำทำนายของบุษกรทำให้ชาวเมืองใจคอไม่ดี ไหนจะข่าวคราวจากชายแดนและอริยะที่หายเงียบไปนานจนเกรงว่าจะเกิดเหตุร้าย ยิ่งทำให้คำทำนายของมหาพราหมณีน่าเชื่อถือ และเมื่อเธอขอให้องค์สูริยะไปบำเพ็ญเพียรต่อเทวะบนยอดเขาตามลำพังเพื่อความอยู่รอดของจันทรปุระ เขาก็ตอบรับด้วยความเต็มใจ
“ท่านจงวางทุกสิ่งลง แม้แต่ดาบประจำองค์กษัตริย์ ท่านจงนุ่งขาวห่มขาวชำระล้างจิตให้นิ่งสงบ ถือศีลแลสวดมนต์ภาวนาปิดวาจาแลการรับรู้ทั้งหมดในที่อันสงบวิเวกอย่างน้อยเจ็ดวันเจ็ดคืน หากเทวะเมตตาทุกอย่าง จากหนักจักกลายเป็นเบา จากร้ายจักกลายเป็นดี”
เพราะต้องละวางจากทุกสิ่งเพื่อบำเพ็ญเพียรบนยอดเขา องค์สูริยะเลยทิ้งดาบกษัตริย์ไว้ในวัง บุษกรเลยใช้จังหวะนี้ยึดมาครองและใช้เป็นเครื่องมือต่อรองกับทุกคน
และคนแรกที่บุษกรใช้ดาบบงการก็คือปุณณะ โดยอ้างชะตาบ้านเมืองให้เขานำหญิงชาวบ้านมาสังเวยเทวะ
“พวกเจ้ากำลังจักได้สร้างความดีความชอบอันใหญ่หลวงแก่แผ่นดินเกิดของเจ้า เลือดเนื้อของพวกเจ้าคือเครื่องเซ่นสังเวยที่เทวะต้องการ”
คราแรกแม่ทัพใหญ่คิดว่าคงเป็นพิธีกรรมบางอย่างเลยไม่ทัดทาน จนเมื่อได้ยินคำสั่งให้ฆ่าบูชายัญหญิงชาวบ้านที่นำตัวมาจึงรีบไปขัดขวาง แต่บุษกรก็อ้างอำนาจของดาบกษัตริย์ในมือ
“ผู้ครอบครองดาบกษัตริย์แห่งจันทรปุระคือผู้มีสิทธิ์ขาดในการออกคำสั่ง ผู้ใดฝ่าฝืนมันคือกบฏ!”
ooooooo
พิธีบูชายัญดำเนินต่ออย่างบ้าคลั่ง หญิงชาวบ้านนับร้อยถูกจับฆ่าสังเวยเทวะอย่างโหดเหี้ยม เกศอาภาร้อนใจมาก เสียงกรีดร้องโหยหวนของหญิงชาวบ้านทำให้แทบข่มตาหลับไม่ลง และในที่สุดก็ทนไม่ไหว ต้องอ้อนวอนขอพ่อให้ช่วยหยุดพิธีกรรมนี้ แต่ปุณณะก็ช่วยอะไรไม่ได้นักเพราะขัดต่ออำนาจของดาบกษัตริย์ไม่ได้
“ทุกชีวิตที่ถูกบูชายัญจะได้ไปอยู่กับเทวะ รับใช้เทวะอย่างใกล้ชิด”
“แล้วความเศร้าโศกที่เกิดขึ้นกับพ่อแม่ญาติพี่น้องของนางพวกนั้นเล่า”
“เกศอาภา...พ่อเองก็เจ็บปวด”
“องค์สูริยะ...ท่านพ่อรายงานเรื่องนี้กับองค์สูริยะแล้วรึไม่”
“การบำเพ็ญภาวนาขององค์สูริยะจะถูกรบกวนมิได้เด็ดขาด...ลูกคิดเสียว่าทุกคนกำลังทำเพื่อจันทรปุระแลกกับชีวิตองค์อริยะ แลกกับความมั่นคงของราชบัลลังก์ มิมีอะไรที่เราจะทำได้ดีไปกว่าสวดภาวนาถวายเทวะ”
สถานการณ์ภายในจันทรปุระเต็มไปด้วยความตึงเครียด พิธีกรรมบ้าคลั่งดำเนินต่อท่ามกลางเสียงร้องระงมของหญิงชาวบ้าน บุษกรเฝ้ามองดูทุกอย่างด้วยแววตาเย็นชาและสาแก่ใจ โดยไม่รู้เลยว่าอริยะซึ่งฝันร้ายเหมือนจะเป็นลางไม่ดีกำลังมุ่งหน้ากลับจันทรปุระเพราะเป็นห่วงบ้านเมือง
เกศอาภาก็ใจไม่ดีไม่ต่างจากสวามี เหตุการณ์บ้าคลั่งเพราะพิธีกรรมอำมหิตทำให้ต้องหันหน้าสวดอ้อนวอนต่อเทวะให้ช่วยปัดเป่าเหตุร้ายให้พ้นจากจันทรปุระ แต่เพียรตั้งจิตเท่าไหร่ก็ไม่สงบ
“อุษา...จิตข้ามิอาจตั้งมั่นสวดมนต์ได้ ชะตากรรมผู้คนมากมายต้องสังเวยชีวิตผ่านความเจ็บปวด มันหลอกหลอนข้าทุกลมหายใจ ข้าได้ยินแต่เสียงกรีดร้องด้วยความกลัว...เมื่อไรจักจบสิ้น เมื่อไรเทวะจักพอใจ”
อุษาก็ตอบไม่ได้ เช่นเดียวกับมหาพราหมณ์กัมพูที่จนด้วยหนทางจะยับยั้งบุษกร และเมื่อได้เจอหน้ากันในวันหนึ่ง อดีตมหาพราหมณ์ก็อดไม่ได้จะตำหนิและเตือนสติลูกสาวคนเดียว
“สิ่งที่เจ้ากำลังทำมันต่ำช้ายิ่งกว่าการหมิ่นเทวะ”
“ถึงวันนี้ท่านยังคิดว่าเทวะมีจริงอีกรึ หากมีจริงทำไมเทวะไม่มาช่วยท่านให้พ้นจากพันธนาการนี้ล่ะ ข้าเชื่อว่าท่านก็ต้องเคยถามคำถามนี้ ข้าจักตอบแทนท่านเอง...เทวะคือข้าแลข้าคือเทวะ!”
มหาพราหมณ์กัมพูหน้าซีด สยดสยองกับความคิดของบุษกรมาก แล้วก็ได้ตกใจมากกว่าเดิมเมื่อได้ยินคำประกาศกร้าวของเธอจะกำจัดมารหัวใจอย่างเกศอาภาให้สิ้นซาก
“อีกไม่นานหรอกท่านพ่อ บัลลังก์จันทรปุระจักตกเป็นของลูก อาณาจักรแห่งนี้จักมีผู้ครองบัลลังก์เป็นหญิง ท่านจงภูมิใจเถิด เมื่อถึงวันนั้นท่านจักได้รับการยกย่องอย่างสูงสุดในฐานะราชบิดากษัตริย์หญิงแห่งจันทรปุระ”
คำประกาศของบุษกรทำให้ชาวบ้านยิ่งหวาดกลัว ขนข้าวของอพยพจากเมืองไม่เว้นแต่ละวัน จนมหาพราหมณีต้องมีคำสั่งให้ทหารกวาดต้อนผู้คนกลับมาให้หมด หาไม่...ครอบครัวของทหารจะต้องตายแทน!
ชาวบ้านถูกจับตัวและนำไปฆ่าอย่างเหี้ยมโหด มหาพราหมณ์กัมพูสะเทือนใจมากกับเสียงกรีดร้องขอชีวิตจึงพยายามดิ้นรนจะออกไปช่วยแต่ก็ถูกวางยาจนไม่มีแรง พิธีบูชายัญทำให้บุษกรยิ่งมีกำลังแข็งกล้า แต่เพียงไม่นานก็ต้องเจออุปสรรคเมื่อทหารมารายงานเรื่องสำคัญ
“ทั้งเมือง...ไม่เหลือหญิงสาวให้บูชายัญแล้วท่านมหาพราหมณี”
“ใครบอกเจ้า...ยังเหลืออีกคน นางผู้นี้สำคัญยิ่งแลเทวะจักพึงพอใจอย่างสูงสุดเพราะข้าจักเป็นผู้ปลิดชีวิตนางถวายเลือดแลหัวใจของนางต่อเทวะด้วยมือของข้าเอง”
เหล่าทหารมองหน้ากันงงๆ ก่อนจะต้องอ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำสั่งของมหาพราหมณี
“ไปจับตัวพระอัครชายาเกศอาภามา จันทร์เต็มดวงคืนนี้นางจักเป็นเครื่องสังเวยเทวะคนสุดท้าย!”
ooooooo
อริยะกับคีรินมุ่งหน้ากลับจันทรปุระด้วยใจ
ร้อนรุ่ม กังวลและวิตกสารพัดเพราะฝันไม่ดี และก็เหมือนเทวะจะเป็นใจ เมื่อจู่ๆระหว่างทางกลับ
ทั้งสองหนุ่มก็ได้สัมผัสกับเหตุการณ์สุริยุปราคา
สองหนุ่มยิ่งใจไม่ดี ควบม้ากลับจันทรปุระอย่างไม่หยุดหย่อน โดยคิดไม่ถึงเลยว่าเวลาเดียวกันนั่นเอง เรื่องร้ายได้เริ่มขึ้นแล้ว เมื่อมหาพราหมณ์กัมพูกระเสือก กระสนไปบอกข่าวร้ายแก่ปุณณะจนได้ว่าเกศอาภากำลังตกในอันตรายเพราะบุษกรจะส่งคนมาจับตัวไปบูชายัญ!
ปุณณะร้อนใจมาก เร่งให้เกศอาภาและอุษาเก็บข้าวของออกจากจันทรปุระไปสมทบกับอริยะและคีรินที่ชายแดนโดยเร็วที่สุด เกศอาภาไม่ยอมจะขออยู่รักษาเมืองด้วยแต่ปุณณะก็หว่านล้อมจนได้
“คิดเผื่อไปให้ถึงวันข้างหน้าเกศอาภา องค์อริยะคอยเจ้าอยู่ที่ชายแดน หากเจ้ามีอันเป็นไปราชบัลลังก์จันทรปุระจะมีความหมายอะไรต่อองค์อริยะ”
บุษกรส่งทหารไปดักล้อมทุกทางแต่ปุณณะก็ซ้อนแผน ให้ลูกสาวกับหลานสาวปลอมตัวเป็นผู้ชายและลักลอบออกจากเมืองจนได้ แต่ก็ไปไกลได้แค่ชายป่านอกเมืองเท่านั้น
“พ่อส่งเจ้าสองคนได้เท่านี้ จงมุ่งหน้าไปตามดาวดวงนั้น องค์อริยะคอยเจ้าอยู่ เมื่อพบองค์อริยะแล้วบอกเขาว่าอย่าเพิ่งย้อนกลับมาจันทรปุระจนกว่าพ่อจักส่งข่าวไปกับคนของเรา”
“ท่านพ่อ...ต่อจากนี้จักเกิดอะไรขึ้น”
“มิมีใครรู้ เหมือนกับที่เราก็มิรู้ว่าจันทรปุระมาถึงวันนี้ได้เยี่ยงไรกัน เจ้าสองคนรีบไปก่อนที่นางจักรู้ตัว ไม่เช่นนั้นอันตรายใหญ่หลวงอาจจักทำให้เจ้ามิได้พบองค์อริยะอีกเลย”
เกศอาภาจำต้องตัดใจทิ้งพ่อให้รักษาเมืองและอารักขาองค์สูริยะตามลำพัง ส่วนตัวเองกับอุษาก็มุ่งหน้าสมทบอริยะกับคีรินที่ชายแดน
หลังจากส่งลูกสาวและหลานสาว ปุณณะก็ไปแจ้งข่าวแก่องค์สูริยะบนยอดเขาให้กลับมายับยั้งบุษกรจากการยึดอำนาจ และก็ใช้เวลาไม่นานเลย พิธีกรรมของมหาพราหมณีก็ถูกขัดขวาง
“หยุดเรื่องโกหกหลอกหลวงของเจ้าได้แล้วบุษกร ข้ารู้ความจริงทั้งหมดแล้ว เจ้ามิใช่มหาพราหมณีตั้งแต่นี้ไปเพราะเจ้าคือกบฏต่อราชบัลลังก์”
“ใครกันแน่ที่คือกบฏ ดาบกษัตริย์เล่มนี้เทวะประทานแก่ข้า”
ขาดคำเหล่าทหารก็กรูมาล้อมองค์สูริยะกับปุณณะ บุษกรเห็นดังนั้นก็หัวเราะสะใจ
“เห็นกับตาเจ้าแล้วใช่รึไม่ ข้ามีผู้ภักดีและต้องการกษัตริย์องค์ใหม่มากมายเพียงใด ข้าจะปูนบำเหน็จรางวัลให้อย่างงามกับมันผู้ใดที่ตัดหัวกบฏสองคนนี้ได้!”
ooooooo
เกศอาภากับอุษาหนีไปเจออริยะและคีรินจนได้ หนุ่มสาวทั้งสี่กอดกันแน่นด้วยความดีใจ โดยไม่รู้เลยว่าภายในอาณาจักรจันทรปุระกำลังร้อนเป็นไฟ
องค์สูริยะกับปุณณะต่อสู้กับเหล่าทหารจนเกือบหมดแรง กลิ่นเลือดคละคลุ้งเน่าเหม็นจนทั้งสองแทบกลั้นใจตาย ต่างจากบุษกรที่มองภาพตรงหน้าด้วยความสาแก่ใจ
“มันผู้ใดที่ทำให้มารหัวใจของข้ามันรอดพ้นความตายไปได้ ข้าจักสับมันเป็นชิ้นๆต่อหน้าท่าน...เทวะ!”
มหาพราหมณ์กัมพูที่เพิ่งหอบร่างอ่อนแรงมาถึง โพล่งออกไปอย่างเหลืออด
“ความเคียดแค้นในใจเจ้ามันหล่อหลอมเจ้าจนสิ้นความเป็นคนไปแล้วบุษกร”
“ท่านพ่อ...ท่านมาจนได้”
“ข้ามาเพื่อให้เจ้าได้สับเป็นชิ้นๆอย่างที่เจ้าต้องการ พ่อเองเป็นคนเปิดเผยแผนการชั่วร้ายของเจ้า”
“ข้ามันคนอาภัพ ทุกคนทอดทิ้งข้าแม้แต่พ่อบังเกิดเกล้าของข้ายังมิมีความรักจริงให้ข้าเลย”
“เจ้าหวังแต่จักได้ความรักแต่เจ้ามิเคยเผื่อแผ่ความรักให้ใคร บาปที่เจ้าก่อมันหนักหนาจนมิมีสิ่งใดจักชำระล้างได้ เป็นความผิดพ่อเองที่เลี้ยงดูเจ้ามิดี เจ้าจึงเห็นผิดเป็นชอบ เห็นความสุขผู้อื่นเป็นสิ่งต้องทำลายล้าง”
“ท่านมาเพื่อประณามข้าให้ข้าสำนึกผิดเยี่ยงนั้นรึ คนผิดคือนังเกศอาภาต่างหาก คือเทวะของท่านต่างหาก ในเมื่อสร้างข้าให้ลืมตาดูโลกนี้แล้ว ไยเทวะของท่านจึงต้องสร้างนังผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาด้วย มันมาเพื่อแย่งชิง ความรักไปจากข้า แล้วข้าผิดตรงไหนท่านพ่อ ข้าผิดตรงไหน!”
ความแค้นของลูกสาวพรั่งพรูออกมาทางสีหน้าและแววตาจนมหาพราหมณ์กัมพูตัดสินใจจะปลิดชีพตัวเอง
“เทวะ...หากความตายของข้าจักช่วยแบ่งเบาบาปที่บุตรสาวข้าก่อขึ้นได้บ้าง ได้โปรดเมตตารับความตายของข้าเป็นเครื่องเซ่นสังเวยด้วยเถิด”
จบคำก็กระเสือกกระสนร่างจะไปแท่นบูชาเทวะ แต่ไปไม่ถึงก็ขาดใจตายก่อน องค์สูริยะกับปุณณะเลยต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ลำบาก เมื่อบุษกรส่งทหารมาสังหารอีกรอบ
องค์สูริยะต่อสู้จนเกือบหมดแรง สะเทือนมากที่ต้องใช้ดาบของตัวเองฆ่าเหล่าทหาร
“มิมีความเจ็บปวดใดทำร้ายข้าได้เท่านี้ ดาบในมือข้าใช้ปกป้องอำนาจข้าด้วยการฆ่าฟันคนของข้าเอง”
บุษกรเห็นเหล่าทหารตายเรียบก็หนีเข้าปราสาท กรีดเลือดตัวเองเพื่อสาบานแค้นต่อหน้าเทวะ
“ข้า...บุษกร ขอตั้งสัตย์อธิษฐาน ไม่ว่าจักเนิ่นนานเพียงใด ข้าขออยู่ทำลายล้างมันให้สิ้นซาก ให้มันเจ็บปวด ผิดหวัง เสียใจ เจ็บช้ำยิ่งกว่าที่ข้าเจ็บเป็นร้อยเท่าพันทวี เมื่อใดที่ข้าตามมันพบ นังเกศอาภาจักต้องพบแต่ความพินาศย่อยยับมิมีวันสงบสุข ข้าขอจองล้างจองผลาญมันทุกชาติทุกภพไป!”
คำสาบานของบุษกรคงทำให้เทวะพิโรธ ทันใด นั้นเอง...ท้องฟ้าก็เปลี่ยนสีเป็นดำทะมึน ก่อเกิดเสียงกัมปนาทและขู่คำราม แผ่นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนทุกสิ่งทุกอย่างบนอาณาจักรจันทรปุระจมลงใต้ดินไปต่อหน้าต่อตา!
องค์สูริยะกับปุณณะก็ถูกแผ่นดินสูบหายไปพร้อมบุษกร ซึ่งฝังตัวเองในแผ่นศิลา สะกดวิญญาณของตัวเองไว้ เพื่อรอคอยการชำระแค้นในอีกอีกพันปีต่อมา
อริยะ เกศอาภา อุษาและคีรินกลับมาทันเห็นหายนะของแผ่นดินเกิดแต่ก็ไม่ช่วยอะไรได้ นอกจากยืนมองภาพแห่งความโศกเศร้าและสูญเสียจากยอดเขานอกเมือง...
ooooooo
เสียงกรีดร้องระงมจากชาวเมืองจันทรปุระค่อยๆ เลือนหาย บรรยากาศจากอดีตกลายเป็นภาพปัจจุบันในอึดใจต่อมา แต่กระนั้น...สถานการณ์ก็เลวร้ายไม่ต่างกันเมื่อผีบุษกรปรากฏตัวและประกาศความแค้น
“ข้ามิยอมจากไปแต่ลำพังอย่างผู้แพ้แน่ หากข้าจักต้องตกนรกหมกไหม้อย่างที่โดนสาปแช่ง ข้าก็จักลากคอนังเกศอาภามันไปกับข้าด้วย!”
เกรียงเห็นท่าไม่ดี เร่งให้กฤตธรทำลายแผ่นศิลาโบราณเสีย จังหวะเดียวกับที่ปารมี กวินทร์และกสินทร์ตามมาสมทบ ส่วนโยสิตาถูกมนต์ดำของผีร้ายพรางตาไว้และหลอกล่อให้ไปติดกับในทุ่งโล่งไม่ไกลจากไซต์งานของอธินนัก
กฤตธรละล้าละลังเพราะเป็นห่วงโยสิตา เกรียงเลยตัดสินใจทำลายแผ่นศิลานั้นเอง สร้างความโกรธแค้นให้แก่ผีบุษกรมาก และคนรับเคราะห์ก็คือโยสิตาซึ่งถูกพาตัวมาที่ริมบึงบัวแดง
“ลงไปชดใช้กรรมชั่วของเจ้าเสียเถอะนังตัวดี โทษฐานขัดขืนบัญชาเทวะแลทำให้จันทรปุระต้องล่มสลาย เจ้าต้องได้รับความทุกข์ทรมานยิ่งกว่าข้าเป็นทบเท่าทวีคูณ...”
ผิวน้ำสีแดงที่เคยนิ่งสงบกระเพื่อมไหวพร้อมกับมีมือขาวซีดจำนวนนับไม่ถ้วนโผล่จากใต้น้ำ เสียงร้องโหยหวนด้วยความทุกข์ทรมานเรียกร้องให้ช่างภาพสาวลงไปอยู่ด้วยกัน
โยสิตาถึงกับผงะ ถอยหนีด้วยความตกใจแต่ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเพราะเสียงกร้าวของผีบุษกร
“ลากตัวมันลงไป จองจำมันไว้ชั่วกัปชั่วกัลป์เหมือนที่มันทำกับพวกเจ้า!”
กฤตธรตามหาตัวโยสิตาไม่พบเพราะฤทธิ์ผีบังตา เกรียงเลยตั้งสมาธิสะกดจิตช่วยหาจนตามเจอจนได้ ผีบุษกรโกรธมากที่อดีตคนรักตามมาขวางแต่ก็ไม่หวั่นและไม่เปลี่ยนใจ
“หากข้าต้องจากไป ข้าก็จักเอาชีวิตนังคนนี้ไปด้วย ข้ามิมีวันยอมให้มันได้เสวยสุขกับท่านพี่เป็นอันขาด”
“ขอร้องล่ะบุษกร อย่าทำร้ายใครอีกเลย คนที่คุณสมควรชำระแค้นคือผมต่างหาก เอาชีวิตผมไปแทนทุกอย่างจะได้จบสิ้นเสียที พอทีเถอะบุษกร”
“ท่านยอมแลกชีวิตกับนางได้อย่างไร นางผู้นี้มีค่าอันใด”
“ผมรักโยสิตา แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่ผมจะปกป้องเธอ”
“ไม่จริง...ท่านรักข้าต่างหาก ท่านรักข้า มิใช่นังคนนี้”
“ผมไม่รู้จักคุณ แล้วผมจะรักคุณได้ยังไง”
ผีบุษกรกรีดร้องโหยหวนด้วยความช้ำใจเหลือจะกล่าว แต่กฤตธรก็ไม่สน โพล่งออกไปอย่างอัดอั้น
“ผมจำเรื่องทุกอย่างได้ก็เพราะความฝันซึ่งมันไม่ใช่เรื่องจริง หรือต่อให้มันเป็นความจริง มันก็คือความจริงที่กลายเป็นความฝันสำหรับผมไปแล้ว ชาตินี้ผมคือกฤตธร ยังไงผมก็กลับไปเป็นเจ้าชายอริยะของคุณไม่ได้”
“ไม่จริง...ท่านคือองค์อริยะของข้า องค์อริยะที่ข้ารัก”
“ผมรักโยสิตา ไม่ได้รักคุณ”
คำสารภาพรักของเขาต่อหญิงศัตรูหัวใจทำให้ผีบุษกรแค้นแทบกระอัก ตัดพ้อทั้งน้ำตา “หากท่านไม่รักข้า ท่านหลอกลวงข้าทำไม ท่านมีความสุขกับการหลอกลวงให้ผู้หญิงคนหนึ่งหลงรัก หลงรอคอยท่านมาเนิ่นนานอย่างนี้รึ”
“องค์อริยะของคุณ เขาก็คงไม่มีความสุขหรอกที่คุณต้องเป็นทุกข์ขนาดนี้ ผมไม่รู้ว่าทำไมองค์อริยะถึงเปลี่ยนใจจากคุณ แต่ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่าเขาคงรู้สึกเหมือนผม นั่นคือไม่อยากเห็นคุณต้องเป็นอย่างนี้”
“ท่านเคยลั่นวาจาว่าจักครองรักกับข้า”
“ผมขอโทษ ถ้าคุณคิดว่าเป็นเพราะผม ไม่ว่าจะเพราะอะไร ผมยินดีชดใช้ให้ ปล่อยคุณโยออกมาเสีย”
ผีร้ายส่ายหน้า ทั้งรักทั้งแค้น “ข้าจักปลิดชีวิตท่านแลจักขังวิญญาณท่านไว้มิให้ได้ผุดได้เกิด ให้ท่านต้องทนทุกข์ทรมาน ต้องพลัดพรากจากนังคนนี้ทุกภพทุกชาติ”
“ถ้าคุณทำอย่างนั้นแล้ว มันจะสลายความโกรธแค้นในใจคุณได้...ผมก็ยินดี”
โยสิตาร้องห้ามทั้งน้ำตาแต่กฤตธรก็ไม่เปลี่ยนใจ ผีบุษกรยิ่งแค้นหนัก แหวลั่น
“ข้าจักแยกพวกเจ้าทั้งคู่ให้จากกันทั้งเป็น ข้าจักมิยอมปล่อยนังคนนี้จนกว่าท่านจักสิ้นรักมัน!”
ooooooo
ผีร้ายทำร้ายโยสิตาและโยนลงบึงบัวแดงอย่างไม่ลังเล กฤตธรไม่รอช้ากระโจนไปช่วย ผีร้ายเห็นเขาดำผุดดำว่ายตามหาช่างภาพสาวก็ถึงกับทรุด กรีดร้องด้วยความขัดใจที่เขาไม่เคยเห็นเธอในสายตา
“ไม่จริง...ท่านพี่รักมันจนพร้อมจะไปตายพร้อมกับมันอย่างนี้รึ...ไม่จริง!”
“เจ้าก็เห็นกับตาเจ้าเองแล้วบุษกร การได้เห็นคนที่เรารักเป็นทุกข์มันไม่ใช่ความสุข การได้เห็นคนที่เรารักมีความสุขต่างหากถึงจะเรียกว่าความรัก ในหัวใจของเจ้ามีแต่มิจฉาทิฐิ”
คำพูดเตือนสติของเกรียงทำให้ผีร้ายพูดไม่ออกและยิ่งสะเทือนใจเมื่อเห็นน้ำตาของเขา
“ท่านพ่อ...ท่านเสียน้ำตาเพราะข้า”
“ที่เจ้าต้องเป็นอย่างนี้ พ่อก็มีส่วนผิด พ่อดูแลเจ้าไม่ดี เจ้าจึงได้หลงเดินทางผิด พ่อเสียใจที่เห็นเจ้าต้องอยู่ในสภาพนี้ นี่คือคำขอร้องครั้งสุดท้ายจากพ่อ...อโหสิกรรมให้ทุกคนแล้วจงไปตามทางที่ควรไปเถิด”
ผีร้ายนั่งกับพื้นอย่างอ่อนแรง สำนึกได้นาทีนั้นเองว่าคงฝืนชะตากรรมและบัญชาเทวะไม่ได้
“เขาสองคนเป็นคู่แท้ ติดตามกันมาหลายภพหลายชาติ ความผูกพันนี้ไม่มีสิ่งใดทำลายได้ เจ้าจงยอมรับและอยู่กับความจริงแล้วเจ้าจะพบกับความสงบสุข จงเชื่อพ่อสักครั้งเถอะบุษกร พ่อคือพ่อ พ่อไม่เคยหวังร้ายต่อเจ้าแม้แต่ครั้งเดียว ทุกสิ่งที่พ่อทำล้วนเพื่อเจ้าทั้งสิ้น”
คำพูดของอดีตมหาพราหมณ์และพ่อแท้ๆทำให้ผีบุษกรสำนึกผิดทั้งหมด เอ่ยขออโหสิกรรมและปลดปล่อยวิญญาณน้อยใหญ่นับร้อยที่เธอเคยสะกดไว้ในบึงบัวแดงเพื่อรอวันชำระแค้น
“ข้าทำผิดบาปต่อพวกเจ้ามาเนิ่นนาน บัดนี้ข้าสำนึกผิดในสิ่งที่ทำแล้ว ข้าขอปลดปล่อยพวกเจ้าให้เป็นอิสระ มิต้องทนทุกข์ทรมานเช่นที่ผ่านมาอีกแล้ว”
พลันท้องฟ้าที่มืดมิดก็ส่องแสงสว่างจ้า พร้อมๆกับที่ดวงวิญญาณมากมายในบึงบัวแดงกลายเป็นควันสีขาวลอยหายไปตามทางของตน เช่นเดียวกับผีบุษกรที่สลายร่างกลายเป็นกลุ่มควันและหายวับไปในพริบตา!
ooooooo
กฤตธรช่วยโยสิตาขึ้นจากน้ำและช่วยปฐม-พยาบาลจนรอดชีวิต บรรยากาศอึมครึมและชั่วร้ายค่อยๆจางหายกลายเป็นเหตุการณ์ปกติ แต่กระนั้น... ทุกคนโดยเฉพาะกฤตธรก็สัมผัสถึงความสูญเสีย ทั้งอาณาจักรอันเป็นที่รักในอดีตและผีบุษกร หญิงสาวอายุนับพันปีที่เคยหลงรักเขาจนหมดใจ...
หลังเหตุการณ์คลี่คลาย สถานการณ์กลับสู่สภาวะปกติ อธินกับกสินทร์ก็ร่วมมือกันจัดงานแสดงวัตถุโบราณจากอาณาจักรจันทรปุระ พร้อมแถลงรายละเอียดและเรื่องราวความเป็นมาของเมืองโบราณให้คนทั่วไปรับรู้
กวินทร์กับปารมีก็ญาติดีกันได้ แม้ทั้งสองจะไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ในอดีตชาติมากนักแต่การได้เผชิญเหตุการณ์วุ่นวายครั้งล่าสุดด้วยกันทำให้เข้าอกเข้าใจกันมากขึ้น ส่วนเมธาวีมีอาการเซื่องซึมและเหม่อลอย ผลข้างเคียงจากการถูกผีร้ายเข้าสิงเมื่อหลายวันก่อนและคงต้องรักษาอีกพักใหญ่จึงจะอาการดีขึ้น
โยสิตาทำงานถ่ายภาพให้กสินทร์จนเรียบร้อย โดยมีกฤตธรตามประกบและชวนให้เธอมาทำงานด้วยกัน
“คุณมีสิทธิ์อะไรมาสั่งฉันไม่ทราบค่ะ”
“สิทธิ์ความเป็นเจ้านายคุณ”
“ฉันเป็นฟรีแลนซ์ค่ะ ไม่มีเจ้านายถาวร”
“แต่หัวใจผมมันสั่งว่าทำยังไงก็ได้ให้ฟรีแลนซ์คนนี้กลายเป็นพนักงานประจำให้ได้”
“คำพูดแบบนี้ยังมีคนใช้กันอีกเหรอคะ...เฉิ่มจัง”
“เฉิ่มแต่ก็จริงใจนะคุณ เพราะมันไม่ได้หลุดมาจากปากผมเฉยๆ มันล้นจากหัวใจเชียวละ”
โยสิตาหน้าแดงที่ถูกจีบตรงๆ แม้จะยอมรับกับตัวเองแล้วว่ารู้สึกพิเศษกับเขาแต่เมื่อถูกบอกรักซึ่งๆหน้าก็อดเขินไม่ได้ กฤตธรเห็นเธออายก็รีบรุกอ้อนวอนให้เธอมาทำงานด้วยกัน
“งานของคุณ ฉันจะช่วยอะไรได้ ฉันไม่มีความรู้ ไม่มีประสบการณ์เลย”
“อยู่ข้างๆผมตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เดี๋ยวคุณก็เรียนรู้ไปเอง”
“เงื่อนไขนี้ยิ่งต้องคิดหนักใหญ่เลย”
“คุณก็รู้ว่าผมหมายถึงอะไร โยสิตา...ผมไม่อยากให้คุณห่างจากตัวผมไปเลย...แม้แต่นาทีเดียว”
สองหนุ่มสาวตกลงปลงใจกันในที่สุดและพากันไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้บุษกรในวันต่อมา คู่รักหมาดๆ อดใจหายไม่ได้กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นแต่เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายคงไปสู่ภพภูมิที่ชอบก็อโหสิกรรมให้และเลือกจะมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน
ooooooo
–อวสาน–










