สมาชิก

บ่วงอธิฏฐาน

ตอนที่ 10

ไม่ว่าใครจะพูดเช่นไร เมธาวีก็ไม่เปลี่ยนใจยืนยันขอเลิกกับกวินทร์มาแต่งงานกับกฤตธรให้ได้ บรรยากาศระหว่างสองหนุ่มพี่น้องเลยยิ่งร้อนระอุจนกสินทร์ทนไม่ไหว ต้องพูดกับว่าที่ลูกสะใภ้ด้วยตัวเอง

“มันจะไม่มีทางออกที่ดีกว่านั้นเชียวหรือ”

“ไม่ค่ะ...เมย์ต้องได้แต่งงานกับพี่กฤต พี่กฤตต้องรับผิดชอบในสิ่งที่พี่กฤตทำไว้”

กสินทร์หนักใจมากเพราะลูกชายคนโตยืนกรานว่าคิดกับเธอแค่น้องสาวเท่านั้น เมธาวีรู้ว่าเขาจะพูดเช่นไรแต่ก็ไม่ยี่หระ ยืนยันตามความต้องการเดิมแถมขู่อีกต่างหาก

“ปฏิเสธวันนี้ก็ไม่เป็นไรค่ะ แต่วันข้างหน้าการปฏิเสธจะกลายเป็นการประจานตัวเองเปล่าๆ เพราะทุกอย่างมันจะฟ้องด้วยตัวมันเอง อย่างน้อยใครๆก็ต้องถามว่าเด็กในท้องเมย์ลูกใคร จะให้เมย์โกหกคนทั้งโลกอย่างนั้นเหรอคะ สักวันพอลูกรู้ประสา ยังไงเขาก็ต้องถามและเมย์ก็ต้องตอบลูกตามตรงว่าพ่อของเขาชื่อกฤตธร!”

คำประกาศกร้าวของเมธาวีทำให้กวินทร์หัวเสียมาก เจ็บแทบกระอักจนไม่อาจทนมองหน้าพี่ชายคนเดียวได้ แต่กฤตธรก็ไม่ละความพยายามจะปรับความเข้าใจ

“นายโกรธที่ถูกผู้หญิงขอถอนหมั้นหรือโกรธที่ได้ฟังเรื่องโกหกกันแน่”

“ไม่มีเหตุผลอะไรที่เมย์เขาจะโกหก พี่มันไอ้คนหลอกลวง คนเห็นแก่ตัว...เสียชาติเกิดมาเป็นพี่น้องกัน”

“นายวินทร์...ความจริงยังไงก็ต้องเป็นความจริงวันยันค่ำ และคนที่รู้ความจริงก็มีแค่สองคนคือพี่กับเมย์ ตอนนี้ก็อยู่ที่นายจะเชื่อใคร แต่สักวันความจริงยังไงก็ต้องปรากฏ”

สถานการณ์ทำท่าจะลุกลามใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อร่างของเมธาวีถูกใช้เป็นเครื่องมือชำระแค้นเมื่อพันปีก่อน เกรียงเลยตัดสินใจใช้ไม้ตายขู่จะทำลายแผ่นจารึกที่สิงสถิตของผีบุษกร

“ท่านไม่ทำอย่างนั้นหรอก...ข้ารู้ ผู้เป็นบิดาย่อมไม่คิดทำร้ายบุตรในไส้ของตน”

“นับวันเจ้ามีแต่จะก่อปัญหาไม่จบไม่สิ้น จงเป็นสัมภเวสีเร่ร่อนไม่มีที่ให้สิงสู่ไปซะเถอะ”

“ท่านคิดผิดเสียแล้ว ถ้าคิดว่าข้าไม่มีที่ให้สิงสู่...ร่างของนังคนนั้นอย่างไรเล่า”

เกรียงหน้าเสีย ใจไม่ดีเพราะกลัวเมธาวีจะเป็นอันตรายถึงตาย แต่ผีบุษกรก็ไม่สะทกสะท้าน

“นังผู้หญิงคนนั้น จิตมันอ่อนนัก อ่อนจนข้าควบคุมมันได้ง่ายดาย มันไม่เหลืออะไรแล้วนอกจากร่างกายกับลมหายใจ ข้าจะยึดร่างของมันเป็นร่างข้าตลอดไปถ้าท่านทำลายศิลาแผ่นนี้!”

ooooooo

เพราะเสียงเอะอะแปลกๆที่ปลายสายจากครั้งล่าสุดที่คุยกัน ทำให้โยสิตาเป็นห่วงกฤตธรมากและตัดสินใจกลับกรุงเทพฯในวันต่อมา ปารมีซึ่งถูกสั่งแกมขอร้องให้มารอที่บ้านเพื่อนรักถึงกับงงไปหมด ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

แต่โยสิตาก็ไม่มีเวลาอธิบายและมุ่งหน้าสู่บ้านกสินทร์ทันทีที่ถึงกรุงเทพฯ เมื่อกฤตธรเห็นหน้าช่างภาพสาวก็จัดการลากเธอไปคุยตามลำพังเพื่อระบายความอึดอัดใจ

“คุณโย...ยังไงผมก็ต้องเล่าให้คุณฟัง ผมไม่เคยคิดที่จะมีความลับกับคุณ แต่ก่อนอื่นผมอยากให้คุณรับฟัง เฉยๆอย่างหนักแน่น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมอยากให้คุณรู้ว่าความจริงใจที่ผมมีให้คุณไม่เคยเปลี่ยนแปลง”

หลังจากนั้นเขาก็เล่าเหตุการณ์วุ่นวายทั้งหมดอย่างละเอียด โยสิตาถึงกับผงะ สีหน้าลำบากใจมาก ยิ่งรู้ว่าเป็นเรื่องรักสามเส้าระหว่างพี่น้องก็ยิ่งเครียดจนต้องโพล่งออกไป

“เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในครอบครัวคุณ คุณต้องเคลียร์กันเอง จะให้ฉันเข้ามายุ่งเกี่ยวทำไม”

“ผมเคยบอกคุณแล้ว คุณคือคนเดียวที่ผมแคร์ ผมอยากให้คุณเชื่อใจและไว้ใจผม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

“คุณกฤต...ถ้านี่คือการให้เกียรติ ฉันขอบคุณ แต่หน้าที่มาพร้อมกับความรับผิดชอบเสมอ”

“หมายความว่าคุณไม่เชื่อเรื่องที่ผมเล่าให้ฟัง”

“เวลาเท่านั้นค่ะที่จะพิสูจน์ความจริง”

กฤตธรถอนใจยาวด้วยความเหนื่อยใจ แต่ไม่ทันได้แก้ตัวอธิบายความจริงอีกรอบ สองหนุ่มสาวก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อเห็นว่าเมธาวีกำลังจะกระโดดจากเฉลียงชั้นบน!

เสียงเอะอะจากด้านในเรียกปารมีกับกวินทร์ซึ่งกำลังเถียงกันอย่างดุเดือดตามประสาคู่ปรับให้วิ่งกลับเข้าบ้าน ทันได้ยินและได้เห็นกฤตธรพยายามเกลี้ยกล่อมเมธาวีให้ตั้งสติ แต่ก็เหมือนจะไม่ค่อยได้ผล โยสิตาเลยช่วยพูดอีกแรงว่าทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิด

“โกหก...ถ้าแกไม่เข้ามา พี่กฤตเขาต้องมีฉันคนเดียว แกมันคือมารความสุขของฉัน!”

กสินทร์กับเกรียงตามมาสมทบในอึดใจต่อมาและหาทางรั้งตัวเมธาวีไว้จนได้ โยสิตาโล่งอกมากแต่ก็นิ่งเฉยต่อไปไม่ไหว ต้องหาทางคุยกับอีกฝ่ายตามลำพัง

“เธอคิดว่าฉันทำเรื่องที่โง่มาก” เมธาวีดักคอ

“ความรักทำให้คนเราขาดสติเสมอ”

“แต่ความรักสำหรับฉันคือการช่วงชิงเมื่อถึงเวลาต้องช่วงชิง”

“มันเป็นเรื่องของคนสองคน”

“เธอเข้าใจถูกแล้ว แต่สองคนนั้นคือฉันกับพี่กฤต เธอมาทีหลัง...ฉันกำลังจะมีลูกกับเขา”

โยสิตาถึงกับอึ้ง เมธาวีสะใจมาก ยิ้มหยันพร้อมกับเย้ย “พี่กฤตไม่ได้บอกเรื่องนี้กับเธอใช่ไหมล่ะ ความจริงก็คือความจริง กล้าไหมล่ะจะพิสูจน์ ความรักเป็นเรื่องของคนสามคน พ่อ แม่ ลูก...คนอื่นไม่เกี่ยว!”

ooooooo

โยสิตาถึงกับหน้าม้านเมื่อเจอคำพูดกีดกันของเมธาวี อารมณ์ที่เคยสงบพลุ่งพล่านอย่างช่วยไม่ได้ และเมื่อได้เจอหน้ากฤตธรชายหนุ่มคนกลางก็อดไม่ได้จะเตือนสติ

“คุณเมธาวีเธอน่าสงสาร คุณควรเข้าใจและเห็นใจเธอให้มาก”

“มันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณได้ยินได้ฟังมาเลยนะคุณโย”

“แล้วทำไมข้อกล่าวหานั้นฉันถึงไม่ได้ยินไม่ได้ฟังจากปากของคุณ การแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำลงไปแล้วเป็นสิ่งชี้วัดความเป็นคนค่ะคุณกฤต”

กฤตธรหน้าเจื่อน คำพูดของเธอแทงใจอย่างแรง โยสิตาเห็นเขาค้านไม่ออกเลยตอกย้ำ

“ผู้หญิงนะคะ ถ้าไม่รักมากก็คงไม่ลงทุนทำถึงขนาดนี้หรอก คุณควรเคลียร์กับคุณกวินทร์ให้เรียบร้อย อีกไม่นานเด็กก็จะออกมาลืมตาดูโลกแล้ว ถ้าคุณทิ้งความรับผิดชอบ เชื่อเถอะว่าบาปจะอยู่กับคุณ ตลอดไป”

“จะให้ผมพูดยังไงคุณถึงจะเชื่อ”

“ให้ฉันเป็นคนนอกดีแล้วค่ะ กรุณาอย่ายัดเยียดความเป็นมือที่สามให้ฉันเลย...”

กว่าเหตุการณ์ในบ้านจะสงบ กสินทร์ก็แทบหมดแรงและอดไม่ได้จะเปรยกับเกรียงด้วยความเหนื่อยใจ

“คุณกสินทร์...ถึงกรรมในชาตินี้จะไม่เคยก่อก็อาจจะเป็นเวลาของการชดใช้กรรมในอดีตชาติ”

“อาจารย์กำลังปลอบใจผมใช่ไหม”

“คนเราเกิดมามีกรรมร่วมกัน ไม่อย่างนั้นไม่มีทางจะได้สัมพันธ์กันในชาตินี้หรอก บางคนเกิดมาเพื่อชดใช้หนี้กรรมเก่า บางคนเกิดมาเพื่อทวงหนี้นั้นคืน”

“ผมต้องยอมรับในสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างนั้นใช่ไหมอาจารย์...”

โยสิตาไม่ได้กลับทันทีแต่แวะเก็บของและอุปกรณ์ถ่ายภาพที่บ้านรับรองของกสินทร์ โดยมีปารมีไปช่วย และทั้งสองก็ตัดสินใจไปลาเกรียงแต่ดันตาไวไปเห็นแผ่นจารึกโบราณในห้องทำงานของเขาเสียก่อน!

อธินเป็นคนต่อมาที่ตกใจจนหน้าซีดเมื่อลูกสาวคนเดียวส่งภาพถ่ายแผ่นจารึกโบราณมาให้ โยสิตามั่นใจว่าพ่อต้องกลับกรุงเทพฯเพื่อการนี้เลยคิดจะนำแผ่นจารึกกลับไปด้วย แต่เหตุการณ์ก็ไม่ง่ายขนาดนั้น ปารมีไม่เห็นด้วยและคิดว่าอาจกลายเป็นข้อหามัดตัวมากกว่า ช่างภาพสาวเลยต้องตัดใจแต่จะหาทางมาทวงคืนวันหลัง

กฤตธรยืนรออยู่แล้วตรงหน้าบ้านและพยายามขอร้องให้โยสิตาอยู่ทำงานถ่ายภาพจนเสร็จ

“คุณกำลังร้องขอในสิ่งที่ฉันให้ไม่ได้จริงๆ”

“แม้แต่ในฐานะเพื่อนขอร้องเพื่อน”

“คนอย่างคุณไม่สมควรจะได้รับสถานภาพนั้น”

“พรุ่งนี้อะไรๆต้องคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น”

“ต่อให้อาทิตย์หน้า เดือนหน้า ปีหน้า หรือนานแค่ไหน พวกคุณในสายตาฉันก็เป็นได้แค่มนุษย์ที่หลอกลวง เห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจที่สุด!”

ooooooo

เหตุการณ์วุ่นวายที่บ้านกสินทร์ทำให้ทุกคนอึดอัดใจมาก กสินทร์ต้องหนักใจกับความบาดหมางของลูกทั้งสอง กวินทร์ต้องอกหักเพราะถูกสะบั้นรัก เมธาวีต้องกลายเป็นทาสอารมณ์และเครื่องมือชำระแค้นของผีบุษกร และกฤตธรต้องกลายเป็นคนช้ำที่สุดเพราะถูกใครต่อใครเข้าใจผิดว่าเป็นชู้รักของเมธาวี

โยสิตาก็ยอกแสยงใจไม่แพ้กัน ทั้งเรื่องรักสามเส้าของกฤตธรและเรื่องแผ่นจารึกโบราณที่พบในห้องทำงานของเกรียง เมื่ออธินมาถึงกรุงเทพฯในเช้าวันต่อมา สองพ่อลูกก็เริ่มวางแผนจะทำให้กสินทร์กับเกรียงสารภาพความจริงและนำแผ่นจารึกคืนสู่คลังสมบัติของชาติให้ได้
เกรียงหนักใจมากกว่าใครเพราะรู้ดีว่าเรื่องวุ่นวายนี้ เกิดจากใคร และเพื่อความถูกต้อง อดีตมหาพราหมณ์ใหญ่แห่งจันทรปุระก็สวดบริกรรมเรียกตัวผีบุษกรมาตักเตือน

“เลิกยุ่งกับคุณเมธาวี ปลดปล่อยเธอไปซะ”

“คำขอของท่านมีข้อแลกเปลี่ยนรึไม่”

“ข้าเตือนด้วยความหวังดีเพราะสิ่งที่เจ้ากำลังทำมันเพิ่มบาปให้ตัวเจ้าเอง”

“เทียบกับการรอคอยอย่างทุกข์ทรมานของข้า บาปที่ท่านเอามาขู่มันก็แค่กระผีกริ้น ไม่มีอะไรขวางข้าได้หรอก”

“เจ้าใช้วิธีนี้แล้ว เจ้าคิดว่าเจ้าจะสมหวังในความรักรึไง”

“อย่างน้อยข้าก็ได้กำจัดมารหัวใจให้พ้นจากทางข้า”

“ถ้าเขาเกิดมาเพื่อเป็นคู่กัน อะไรก็ขัดขวางเขาไม่ได้หรอก”

“แล้วท่านจะได้เห็น...หากข้ามิได้สมหวังก็อย่าได้มีความสุขกันเลยไม่ว่าหน้าไหน”

ขาดคำผีร้ายก็บันดาลให้เกิดกลุ่มควันสีดำขนาดใหญ่ พร้อมประกาศกร้าว

“ถึงวันที่กลางวันกลายเป็นกลางคืน แลกลางคืนกลับกลายเป็นกลางวัน ท่านจะได้เห็น...ท่านจะได้เห็น!”

คำสาปแช่งของผีบุษกรทำให้เกรียงไม่สบายใจเลย ไม่รู้ผีร้ายจะมาไม้ไหน แล้วครานี้ใครจะเป็นผู้โชคร้าย แต่ไม่ทันหาทางแก้ไขคำสาปนั้น ก็ต้องอึ้งหนักกว่าเดิม เมื่อโยสิตากับอธินมาหาแต่เช้า พร้อมข้อกล่าวหาว่าทุกคนในบ้านกสินทร์เป็นโจรปล้นสมบัติของชาติ!

โยสิตาไม่สนใจคำแก้ตัวหรือความพยายามจะอธิบายของกสินทร์ มุ่งหน้าสู่ห้องทำงานของเกรียงในบ้านรับรอง เพื่อชี้ให้เห็นหลักฐานคือแผ่นจารึกโบราณที่เธอเห็นพร้อมกับปารมีเมื่อวันก่อน กฤตธรเสียใจมากเมื่อรู้ว่าเธอยอมรับงานถ่ายภาพของเขาเพราะต้องการเข้ามาสืบความเป็นไปในบ้านเท่านั้น

ช่างภาพสาวถอนใจยาว ก่อนจะเชิดหน้า “สมบัติของชาติคือสมบัติของทุกคนในแผ่นดินนี้ ต่อให้ใครร่ำรวยล้นฟ้าหรือมีอิทธิพลขนาดไหน ก็เอามาครอบครองเป็นสมบัติส่วนตัวไม่ได้”

กสินทร์โบกมือตัดรำคาญ “เข้าใจละ...ลุงเองก็พร้อมจะพิสูจน์ข้อกล่าวหาของพ่อหนูเหมือนกัน ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ถ้าศิลาจารึกแผ่นนั้นมันอยู่ที่นี่จริง ลุงพร้อมจะยอมรับข้อกล่าวหา พร้อมจะรับโทษทุกอย่าง...”

ooooooo

ข้อกล่าวหาว่าทุกคนในบ้านกสินทร์เป็นโจรปล้นสมบัติของชาติว่าน่ากลัวแล้ว ผลการค้นหาน่าตกใจมากกว่า เพราะแผ่นจารึกโบราณหายไปจากห้องทำงานของเกรียงแล้ว ไม่เว้นแม้แต่ภาพถ่ายในมือถือของสองพ่อลูก!

ถึงคราวของกสินทร์จะได้ยิ้มย่องด้วยความสะใจและอดไม่ได้จะท้ากวนๆ

“คุณอธิน...ถ้าคุณยังคาใจ ผมไม่รังเกียจนะ จะให้คุณค้นทุกซอกทุกมุมในบ้านหลังนี้ เพราะผมก็ต้องการพ้นข้อกล่าวหาร้ายแรงของคุณเหมือนกัน”

“ไม่เป็นไร...วันนี้ผมจะถือว่าพลาดเอง แถมโชคยังเข้าข้างคุณ จะยังไงก็ช่าง ความจริงก็หนีความจริงไม่พ้น”

อธินกับโยสิตากลับบ้านด้วยความผิดหวัง เมื่อปารมีรู้เรื่องก็ยืนกรานว่าทุกอย่างคือความจริง แผ่นศิลาอยู่ในห้องทำงานของเกรียง แต่จะหายไป เพราะเหตุใดนั้น เธอเองก็ไม่รู้

แม้จะไม่เห็นกับตาว่าแผ่นจารึกอยู่ในห้องทำงานของเกรียง กฤตธรก็เชื่อว่าโยสิตาไม่ได้โกหก และในคืนเดียวกันนั้นเอง เขาก็ได้คำตอบจากเกรียงว่าทุกอย่างที่เธอพูดคือความจริง

“เมื่อคืนคุณโยสิตาเห็นจารึกแผ่นนี้แล้ว ผมจำเป็นต้องนำมันกลับมาที่นี่ก่อนเรื่องจะลุกลามไปกว่านี้”

“แล้วจารึกแผ่นนี้คือต้นเหตุของปัญหายังไงครับอาจารย์”

“คุณได้เจอเธอแล้วทั้งในเวลาหลับ เวลาตื่น เวลาที่จิตของคุณอ่อนไหวไม่มีพลัง”

กฤตธรขนหัวลุก ภาพผีบุษกรลอยเข้าโสตประสาทพร้อมๆกับประโยคทิ้งท้ายของเกรียง

“ผู้หญิงคนนั้นนั่นแหละ ต้นเหตุของปัญหาทั้งหมด!”

เรื่องราวในอดีต โดยเฉพาะสาเหตุความแค้นของบุษกรถูกถ่ายทอดให้กฤตธรรู้อย่างละเอียด และเพื่อช่วยเมธาวีจากสถานการณ์น่ารังเกียจนี้ นักธุรกิจหนุ่มก็ตัดสินใจร่วมมือกับเกรียงเพื่อภารกิจสำคัญ

และแผนแรกก็คือทำให้ผีบุษกรตายใจด้วยการให้กฤตธรประกาศแต่งงานกับเมธาวี สร้างความโกรธและแค้นเคืองให้แก่กวินทร์เป็นอย่างมากจนแทบทนมองหน้าพี่ชายตัวเองไม่ไหว ถึงขั้นชกต่อยให้วุ่น แต่กฤตธรก็ไม่ตอบโต้น้องชายคนเดียวและหวังว่าสักวันความจริงจะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจทุกอย่าง

เมธาวีซึ่งตกอยู่ในอำนาจของผีบุษกรดีใจมาก ไม่คิดและไม่หวังมาก่อนว่าแผนชำระแค้นจะสำเร็จง่ายดายถึงเพียงนี้ และเมื่อได้เจอหน้าว่าที่เจ้าบ่าวก็อดไม่ได้จะคลอเคลีย เปรยเสียงเบาด้วยความพึงพอใจ

“คนทั้งโลกจะได้รับรู้การเป็นผัวเมียของเราเสียที เราจะครองรักกัน ถึงตายเราก็จะไม่พรากจากกัน!”

ooooooo

แผนต่อมาคือดึงเมธาวีออกจากแผนล้างแค้นชั่วๆของผีร้าย ด้วยการนำตัวกวินทร์ซึ่งช้ำรักและจะหนีออกจากบ้านให้นั่งเฝ้าแฟนสาวและทำสิ่งสำคัญตอนเที่ยงตรง

เกรียงช่วยยืนยันเรื่องนี้ด้วย กวินทร์เลยยอมทำแบบเสียไม่ได้เพราะยังเกรงใจที่ปรึกษาของพ่อ แต่ที่ทำให้เกรียงหนักใจกว่าก็คือคืนวันสุริยคราสที่จะมาถึงในไม่ช้า!

คืนวันสุริยคราสจะทำให้กลางวันกลายเป็นกลางคืนและกลางคืนกลายเป็นกลางวัน วันสำคัญที่จะทำให้พระจันทร์มีอิทธิพลเหนือทุกสิ่ง และวันนั้นผีบุษกรจะมาทวงแค้นที่ค้างไว้มานาน...

ด้านโยสิตากับปารมี...ไม่เชื่อว่าแผ่นจารึกจะหายไปได้ จึงตัดสินใจไปเฝ้าสังเกตการณ์หน้าบ้านของกสินทร์ เผื่อจะได้หลักฐานสำคัญ แต่ทั้งสองสาวก็ไม่เห็นอะไรจนกระทั่ง...เกรียงออกจากบ้านไปพร้อมกับกฤตธร

โยสิตากับปารมีได้แต่มองตามรถของกฤตธรไปด้วยความสงสัย แต่ก็หาคำตอบไม่ได้เพราะมัวพะวงกับเหตุการณ์ในบ้านกสินทร์ ซึ่งมีเพียงกวินทร์ที่รับหน้าที่ดูแลเมธาวีในห้องตามลำพัง

สภาพของเมธาวีซีดเซียวจนน่าใจหาย กวินทร์ได้แต่มองแฟนสาวด้วยความรักและอาลัย พร้อมกับคิดถึงคำสั่งของเกรียงให้เขาร่วมแผนการด้วยเพื่อช่วยเมธาวีจากผีร้าย

“นี่เป็นทางเดียวจะช่วยคุณเมย์ได้ จงมีศรัทธาและเชื่อมั่น บางสิ่งบางอย่างพิสูจน์ไม่ได้ด้วยตา แต่เห็นด้วยจิต...”

ระหว่างที่กวินทร์รอเวลาสำคัญ...เกรียงก็พากฤตธรไปบ้านและสวดบริกรรมเรียกผีร้าย ผีบุษกรออกจากร่างของเมธาวีมาทันที แล้วก็ถึงกับยิ้มหวานเมื่อเห็นว่าใครอยู่กับอดีตมหาพราหมณ์แห่งจันทรปุระ

กฤตธรตกใจมากเมื่อได้เห็นผีบุษกรแบบจังๆ เกรียงตั้งท่าจะพูดบางอย่างแต่ก็ถูกผีร้ายดักคอ

“ผัวเมียเขาจะคุยกัน ท่านไม่เกี่ยว”

“เกี่ยว...เพราะข้ามีส่วนทำให้กรรมนี้เกิดขึ้น ไปตามทางของเจ้าเถิดบุษกร เจ้าก็รู้แก่ใจว่าสิ่งที่เจ้าคิดไม่มีวันสมหวังได้ เจ้ากับคุณกฤตอยู่กันคนละภพ ไม่มีทางมาใช้ชีวิตร่วมกันได้”

“ทำไมจะไม่ได้ในเมื่อท่านพี่ตกปากรับคำกับข้าแล้ว”

“นั่นมันร่างของคนอื่น”

“แต่มันยอมยกให้ข้าแล้ว จิตของมันพ่ายแพ้ราบคาบกับข้าแล้ว”

จังหวะเดียวกันนั่นเอง ผีร้ายก็ได้เบิกตาโพลง สะดุ้งสุดตัวเมื่อรับรู้ด้วยญาณพิเศษว่าร่างของเมธาวีไม่ได้ตกอยู่ในอำนาจดำมืดของเธออีกต่อไปเพราะกวินทร์นำเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์มาสวมให้แล้ว

“ท่านหลอกลวงข้า!”

“ข้าช่วยเหลือเจ้าไม่ให้ก่อกรรมทำบาปเพิ่มต่างหากบุษกร เจ้าทำลายจิตแล้วอาศัยร่างคุณเมธาวีอย่างนี้ไม่ได้”

จบคำของเกรียง ผีบุษกรก็กรีดร้องโหยหวนพุ่งไปทำร้ายเกรียงด้วยความโมโหสุดขีด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะอีกฝ่ายอยู่ในห้องพระ เกรียงเห็นท่าไม่ดีเลยตัดสินใจเด็ดขาดใช้ไม้แข็ง หยิบสายสิญจน์มาพันรอบแผ่นจารึก

“และตั้งแต่นาทีนี้ไป ศิลาจารึกแผ่นนี้ก็จะไม่ใช่ที่สิงสถิตของเจ้าเหมือนกัน”

ผีบุษกรโกรธมาก สลายร่างเป็นกลุ่มควันดำอีกครั้ง พร้อมประกาศโต้เสียงกร้าว

“วันที่กลางวันกลายเป็นกลางคืน แลกลางคืน กลายเป็นกลางวัน มันผู้ใดที่ขวางข้า มันผู้นั้นจะถึงจุดจบ!”

ooooooo

ผีบุษกรหายวับไปแล้ว พร้อมคำประกาศจะทำทุกทางเพื่อล้างแค้น เกรียงเลยตัดสินใจหอบแผ่นจารึกโบราณไปทำลาย ณ สถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ที่เหตุการณ์ทุกอย่างเมื่อพันปีก่อนเริ่มต้น...

“วิญญาณของบุษกรกลับไปใช้ร่างกายของคุณเมธาวีไม่ได้แล้ว ก็เหลือศิลาแผ่นนี้อย่างเดียวจะเป็นที่สิงสู่...ยังไงก็ต้องทำลายครับ อย่างน้อยที่สุดก็ตัดกำลังวิญญาณร้ายไม่ให้สร้างความเดือดร้อนมากไปกว่านี้”

“แล้วทำไมเราต้องทำลายศิลาแผ่นนี้ภายในวันนี้ด้วยครับ”

“วันที่กลางวันกลายเป็นกลางคืน กลางคืนกลายเป็นกลางวัน เมื่อพันกว่าปีก่อน...ศิลาแผ่นนี้มันเกิดพลังบางอย่างเพราะผู้หญิงที่ชื่อบุษกร ทุกอย่างมันเวียนมาบรรจบกันในวันนี้คุณกฤต...เวลาที่เหมาะสม สถานที่ที่เหมาะสมและบุคคลที่เหมาะสม เพราะฉะนั้นวันนี้ก็ต้องเป็นวันสุดท้ายของศิลาแผ่นนี้เหมือนกัน”

โยสิตากับปารมีแอบตามจนรู้ว่าพวกเกรียงมุ่งหน้า สู่ไซต์ขุดค้นทางโบราณคดีของอธิน ร้อนใจมากเพราะกลัวทั้งสองหนุ่มจะทำลายแผ่นจารึกหลักฐานชิ้นสำคัญที่พ่อของเธอตามหามาตลอด เลยคิดจะขัดขวางแต่ก็ถูกเกรียงตลบหลังจนได้ด้วยการสับเปลี่ยนรถที่ปั๊มน้ำมันระหว่างทาง

อธินถึงกับพูดไม่ออกเมื่อได้ยินจากลูกสาวว่าพวกเกรียงจะนำแผ่นจารึกไปที่ไซต์งาน ส่วนกสินทร์กับกวินทร์ก็ร้อนใจมากเมื่อรู้ว่าแผ่นจารึกหายไปแล้ว แต่

กระนั้น...เกรียงก็ไม่เปลี่ยนใจ ต้องทำลายแผ่นจารึก

เจ้าปัญหานั้นให้ได้ ก่อนที่โยสิตาหรือเกศอาภาในอดีตชาติจะมาขัดขวาง

ผีบุษกรรับรู้ได้ด้วยญาณพิเศษว่าแผ่นจารึกจะถูกทำลาย เลยเปลี่ยนแผนกะทันหันจับตัวโยสิตาเป็นตัวประกัน เพราะรู้ดีว่าอธินจะทำทุกทางเพื่อชิงตัวลูกสาวและขัดขวางไม่ให้แผ่นจารึกถูกทำลาย

เกรียงไม่มีเวลาคิดมาก เมื่อไปถึงทุ่งโล่งไม่ไกลจากไซต์งานของอธินก็จัดแจงให้กฤตธรช่วยทำลายแผ่นจารึก

“ทุบให้แตกออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งทิ้งให้จมลงก้นบึง อีกส่วนฝังดินบริเวณนี้”

แต่ไม่ทันได้เริ่มพิธีกรรม อธินซึ่งเฝ้าระวังอยู่แล้วก็มาขวาง กฤตธรพยายามอธิบายเหตุผลที่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ แต่อธินหรือปุณณะอดีตแม่ทัพใหญ่แห่งจันทรปุระก็ไม่ยินยอม

“ความจำเป็นอะไรของพวกคุณ การค้นพบจันทรปุระเป็นเรื่องสำคัญของหน้าประวัติศาสตร์...ศิลาจารึกแผ่นนี้เป็นกุญแจสำคัญไปสู่ความรู้อีกมากมายเกี่ยวกับจันทรปุระ มันเป็นสมบัติของชาติ เป็นสมบัติของทุกคน ไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง วางลงซะคุณเกรียง ไม่อย่างนั้นคุณเจอข้อหาหนักแน่”

“คุณอธิน...ศิลาแผ่นนี้มันไม่ใช่ศิลาจารึกการสร้างเมืองอย่างที่คุณเข้าใจแต่มันคือสิ่งอัปมงคล มันมีแต่พลังความชั่วร้ายในตัวมัน เพราะมันคือศิลาที่จารึกแต่คำสาปแช่ง ความเกลียดชัง ความแค้นของคนที่สร้างมันขึ้นจะทำลายล้างทุกคนที่เกี่ยวข้องกับมัน!”

ขาดคำแผ่นศิลาก็ตกพื้น พร้อมเสียงฟ้าร้องโหยหวนราวกับเสียงกรีดร้องจากผีร้าย พลันภาพในอดีตนับพันปีก่อนก็ปรากฏอีกครั้ง ถึงตอนที่มหาพราหมณีบุษกรมีอำนาจล้นฟ้า ไม่ว่าพูดหรือทำสิ่งใดก็มีแต่คนเชื่อถือ

เกศอาภากับอุษาได้แต่มองสถานการณ์ต่างๆด้วยความกังวล โดยเฉพาะอุษาที่มีอคติกับบุษกรมาตลอด

“โรคบางอย่างมันอาจจะเกินเยียวยานะอุษา”

“ข้าว่านางไม่ได้รักษา นางอ้างแต่เทวะต้องทำอย่างโน้น อย่างนี้เทวะจึงจะพอใจ หากเทวะไม่พอใจก็ตายอย่างเดียว อย่างนี้มันเป็นการรักษาที่ไหนกัน”

“เจ้าอย่าได้เที่ยวพูดออกไปเชียวนะอุษา ความคิดเจ้าจะทำเจ้าเดือดร้อน”

“การกระทำของนางต่างหากจะทำให้จันทรปุระเดือดร้อน แม้แต่เด็กเกิดใหม่ พ่อแม่มันยังอุ้มไปให้นางตั้งชื่อให้ ข้าว่านับวันนางจะมีความสำคัญมากเกินไปแล้ว”

“นางก็ทำหน้าที่แทนท่านพ่อของนางยังไงล่ะ ในเมื่อราษฎรอยู่เย็นเป็นสุขก็เป็นเรื่องดีเหมาะสมแล้วล่ะ”

ooooooo

นอกเหนือจากอำนาจของบุษกรที่มากขึ้นทุกวัน สถานการณ์โดยทั่วไปก็เหมือนจะเป็นปกติ อริยะกับเกศอาภาครองรักกันอย่างราบรื่นและวางแผนจะมีลูกด้วยกันอีก สร้างความขมขื่นใจให้แก่บุษกรมาก

และคงเพราะความแค้นนี่เองทำให้มหาพราหมณีแห่ง จันทรปุระต้องไประบายกับพ่อด้วยการวางยาจนอีกฝ่ายแทบขยับตัวจากเตียงไม่ได้ แต่กระนั้น...มหาพราหมณ์กัมพูก็ไม่ย่อท้อ พยายามเตือนสติลูกสาวคนเดียว

“เจ้ามิได้กำลังทำผิดวิถีเทวะแต่เจ้าแอบอ้างเทวะด้วย”

“ท่านกล่าวหาข้าเพราะคิดว่าข้ามีบุญบารมีเหนือท่าน... เทวะจึงเมตตาอาศัยร่างข้าปัดเป่าความทุกข์ให้ราษฎร”

“โกหกหลอกลวงใครก็ได้แต่เจ้าไม่มีทางโกหกหลอกลวงตัวเจ้าเองได้หรอก”

“โกหกหลอกลวงเพื่อเปลื้องความทุกข์ให้สรรพสัตว์ในโลกนี้ได้ ท่านพ่อน่าจะร่วมยินดีกับข้ามากกว่า นับวันข้ายิ่งเป็นที่รักเคารพบูชาแก่ราษฎรมากเสียกว่ากษัตริย์บนบัลลังก์เสียอีก”

“อย่าได้คิดเหิมเกริม...บุษกร”

บุษกรไม่ตอบแต่ยิ้มเย็น คว้าชามข้าวผสมยาพิษที่พ่อไม่ยอมกินมาป้อนช้าๆ

“ให้ข้าได้ทำหน้าที่ลูกที่ดีต่อท่านเถิด”

มหาพราหมณ์กัมพูเบือนหน้าหนีแต่ก็ไม่มีแรงพอจะขัดขืนและถูกบังคับให้กลืนอาหารผสมยาพิษเข้าไปจนได้!

อิทธิพลของบุษกรแผ่กระจายทั่วราชอาณาจักร ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องน้อยก็ต้องให้มหาพราหมณีคนสวยตัดสินจนปุณณะเริ่มใจไม่ดีจนต้องนำความกังวลนี้ไปหารือองค์สูริยะและอริยะ สองพ่อลูกไม่ติดใจสิ่งใดเพราะเห็นว่าบุษกรไม่ได้ทำสิ่งชั่วร้ายแต่ช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากเท่านั้น

“ก็เป็นเรื่องดี หากแต่ข้ารู้สึกว่าหลายอย่างผิดไปจากสิ่งที่ท่านมหาพราหมณ์กัมพูเคยทำไว้”

“ในเมื่อนางอ้างว่าเทวะเมตตา ส่งผ่านบัญชามากับนางเพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขราษฎรก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ราษฎรจะเห็นนางเป็นที่พึ่งนะท่านแม่ทัพ”

“เรื่องทุกข์ร้อนทั่วไปข้าไม่คิดติดใจ แต่หลายครั้งที่ราษฎรเกิดทะเลาะวิวาทยังต้องหันไปพึ่งนางให้เป็นผู้ตัดสินคดีความเช่นนี้ ข้าคิดว่าไม่เหมาะสม เพราะปกติผู้ตัดสินชี้ขาดถูกผิดคือท่านมิใช่รึ...องค์สูริยะ”

องค์สูริยะกับอริยะมองหน้ากันอึ้งๆ ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน ปุณณะเลยทิ้งท้ายให้คิด

“ข้ามิได้มีอคติอย่างใดต่อนาง เพียงแต่รู้สึกว่าหากปล่อยให้เป็นเยี่ยงนี้ต่อไป จันทรปุระจะปกครองยาก เพราะอำนาจมิได้อยู่ในมือท่านเสียแล้ว...”

แต่ถึงจะทักท้วงและตั้งข้อสังเกตแค่ไหน องค์สูริยะก็ไม่ได้ขัดขวางพิธีกรรมของบุษกร มหาพราหมณีคนสวยเลยยิ่งเหลิงในอำนาจ อ้างบัญชาเทวะโบยตีผู้คนอย่างโหดเหี้ยม จนเกศอาภาทนไม่ไหวต้องไปร้องทุกข์กับอริยะ

“ข้ารู้ว่าการตั้งคำถามด้วยแคลงใจต่อเทวะเป็นสิ่งไม่บังควร แต่เมื่อข้าเห็นด้วยตาข้าแล้ว หัวใจของข้าก็อดตั้งคำถามนี้มิได้ สิ่งที่นางทำถูกต้องแน่แล้วหรือว่ามันคือบัญชาจากเทวะ”

“เจ้ามิได้ลบหลู่เทวะด้วยคำถามนี้เพราะข้าเองก็เกิดคำถามนี้เช่นกัน”

“ถ้าอย่างนั้นก็หยุดนางเสียเถิด”

“นางคือตัวแทนของท่านมหาพราหมณ์กัมพู ในเมื่อท่านมหาพราหมณ์มิได้ทักท้วงอะไร ก็เป็นเรื่องยาก”

“หมายความว่าเราต้องปล่อยให้เป็นไปเยี่ยงนั้นรึ”

“ราษฎรก็ดูเหมือนยอมรับแลยินดีกับสิ่งที่นางทำ ...แล้วเราจะทำอะไรได้เกศอาภา”

ooooooo

แม้ถูกกักขังและวางยาจนออกไปไหนไม่ได้ แต่มหาพราหมณ์กัมพูก็ไม่ย่อท้อจะหาทางออกไปแจ้งองค์สูริยะถึงแผนการร้ายของลูกสาวคนเดียว บุษกรผ่านมาเห็นพอดีและจัดการประคองพ่อมานอนในห้องดังเดิม

“ข้ารู้...เจ้าลงดาลประตูไว้ แลสั่งห้ามทุกคนเข้ามาในห้องนี้”

“ท่านเอาอะไรมาพูด ข้าจะทำเยี่ยงนั้นทำไมกัน แล้วนี่ท่านจะไปไหน จะออกไปสูดอากาศข้างนอกรึ”

“ข้าจะไปเข้าเฝ้าองค์สูริยะ มีเรื่องที่ข้าต้องบอกองค์สูริยะมากมาย”

“ท่านป่วยไข้อย่างนี้จะไปได้เยี่ยงไร มีเรื่องอะไร จะบอกกล่าว ท่านก็ฝากข้าไปก็ได้ ท่านพ่ออย่าลืมสิว่าวันนี้ข้าคือมหาพราหมณีที่ทำหน้าที่แทนท่านทั้งหมดแล้ว”

อริยะมาเยี่ยมมหาพราหมณ์กัมพูพร้อมกับคีรินหลังจากนั้น บุษกรไม่กังวลเลย ตีหน้าตายต้อนรับขับสู้รัชทายาทหนุ่มอย่างดีจนเขาเกือบตายใจ ถ้ามหาพราหมณ์กัมพูจะไม่ดิ้นรนทุรนทุรายเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่างเสียก่อน

บุษกรร้อนตัว ถลาไปแทรกและพูดแทนว่าพ่อของเธอแค่ฝากคำขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมเท่านั้น อริยะเลยพูดไม่ออกแต่ก็ไม่วายสงสัยว่ามหาพราหมณ์กัมพูต้องมีเรื่องสำคัญอยากบอกเขาแน่

ลับร่างของรัชทายาทหนุ่มแห่งจันทรปุระ บุษกรก็หันมาแหวพ่อเสียงเขียว

“ท่านยังเห็นข้าเป็นลูกสาวของท่านรึไม่ หากใช่ ...ท่านควรภูมิใจในสิ่งที่ข้าทำ...แลถึงวันที่ความสำเร็จอยู่ในมือข้า ข้าสัญญาว่าท่านจะได้อยู่ในที่ที่เหมาะสมแก่ตำแหน่ง มิต้องทนทุกข์ทรมานเยี่ยงนี้”

จบคำก็คว้าเชือกมามัดมือเท้าของพ่อไว้กับตั่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงเหี้ยม

“ท่านบังคับให้ข้าทำเยี่ยงนี้เอง ท่านทำให้ข้าไม่ไว้ใจในตัวท่านเอง...”

เพราะยับยั้งพ่อไว้ทัน บุษกรเลยหลงในอำนาจต่อไปได้ จนกระทั่งเกิดเหตุโรคระบาดทั่วจันทรปุระ ผู้คนล้มตายมากขึ้น องค์สูริยะเลยมีคำสั่งให้มหาพราหมณีคนใหม่ทำพิธีต่อเทวะ

“ชะตากรรม...มันเป็นชะตากรรมของจันทรปุระ อัปมงคลเกิดแก่วงศ์ของท่าน มิมีสิ่งใดจะทำให้เทวะพึงพอใจได้ สายเลือดบริสุทธิ์เท่านั้นจึงจะประคับประคองราชบัลลังก์เอาไว้ได้”

เกศอาภาไม่สบายใจเลย เป็นทุกข์ที่เห็นชาวเมืองล้มตายโดยช่วยอะไรไม่ได้ อริยะต้องโอบปลอบ

“เจ้าอย่ากังวลเลย ทุกอย่างต้องดีขึ้น เทวะเปี่ยมด้วยเมตตา มหาพราหมณีจะต้องพบทางแก้ปัญหาจนได้”

“ข้ามิได้คิดลบหลู่เทวะแต่ข้าอดตั้งคำถามมิได้ เทวะจะยอมทนเห็นจันทรปุระล่มสลายไปต่อหน้าต่อตาหรือไร หรือเทวะกำลังทดสอบพวกเราที่พึ่งพาแต่เทวะ มิเคยใช้สติปัญญาของพวกเรากับการแก้ปัญหาเลย”

“เจ้าคิดอะไรอยู่เกศอาภา”

“ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ นอกจากเทวะเป็นผู้สร้างแล้ว มันย่อมมีสาเหตุของมันเสมอ”

“แต่เรื่องนี้มันเป็นชะตากรรม มหาพราหมณียังบอกเยี่ยงนั้น”

เกศอาภาส่ายหน้า ย้อนถามสวามีเสียงเคร่ง “แล้วเราต้องยอมรับชะตากรรมทั้งที่เรามิต้องการเยี่ยงนั้นรึ...ข้าเชื่อว่าหากเราพบสาเหตุของปัญหา...เราต้องพบหาทางแก้ไข...”

สถานการณ์โรคระบาดเลวร้ายลงเรื่อยๆ ชาวเมืองต่างหวาดผวา ไม่เป็นอันทำมาหากินจนองค์สูริยะตัดสินใจจะอพยพ เมื่ออุษานำความไปบอก เกศอาภาก็ถึงกับอ้าปากค้าง

“อพยพเยี่ยงนั้นรึ...เจ้าได้ยินมาผิดแน่อุษา เป็นไปมิได้หรอก”

“องค์อริยะให้ทุกคนเตรียมตัวเผื่อเข้าตาจนและคับขันจนถึงที่สุด”

“จันทรปุระเป็นแผ่นดินเกิดแลจะเป็นแผ่นดินตาย ข้าเคยตั้งจิตอธิษฐานต่อหน้าเทวะว่าหากมีศัตรูรุกรานแผ่นดินนี้ ข้าจะขอสู้จนตัวตาย...แต่นี่ศัตรูของจันทรปุระ

มิมีตัวตน มิมีอาวุธ แต่เราจะต้องละทิ้งแผ่นดินเพื่อหนีเยี่ยงนั้นรึ ข้าจะมิยอมไปไหน ข้าจะมิยอมแพ้ให้แก่ศัตรูที่เรามองมิเห็น เพราะข้ายังเชื่อว่าเราต้องเอาชนะมันได้”

ooooooo

บ่วงอธิฏฐาน

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด