ตอนที่ 1
ณ ลานโล่งของแหล่งขุดค้นทางโบราณคดี...อธิน นักโบราณคดีหัวหน้าคณะสำรวจกำลังก้มหน้าก้มตาดูลวดลายบนเศษสำริดด้วยกล้องขยาย ก่อนที่นักศึกษาสมาชิกกลุ่มคนหนึ่งจะมาแจ้งข่าวสำคัญ
จำหลักโบราณซึ่งถูกดินกลบเป็นส่วนใหญ่ โดยมีส่วนผิวหน้าโผล่พ้นให้เห็นเล็กน้อย สร้างความตื่นตะลึงให้แก่ทีมสำรวจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอธินที่มองแผ่นหินตรงหน้าด้วยความตื่นเต้น แต่ไม่ทันได้ตรวจอย่างละเอียด ชาวคณะก็ต้องวิ่งหลบฝนและฟ้าผ่ากันให้จ้าละหวั่น เมื่อจู่ๆบรรยากาศรอบตัวก็เปลี่ยนไป!
เสียงฟ้าคำรามทำให้ชาวคณะไม่กล้าออกจากที่ กำบัง มีเพียงอธินที่สายตาจับจ้องแผ่นหินโบราณแบบไม่ให้คลาดสายตา พลันนักโบราณคดีหนุ่มก็ต้องเบิกตาโพลง เมื่อเห็นว่ามีกลุ่มควันสีดำพวยพุ่งสู่ฟ้า...
ควันสีดำนั้นแท้จริงคือบุษกร วิญญาณหญิงสาวจากอาณาจักรจันทรปุระที่จองจำตนเองไว้ในจารึกโบราณ การขุดพบจารึกครั้งนี้ทำให้เธอถูกปลดปล่อยจากอดีตนับพันปีเพื่อชำระแค้นที่รอมานาน และเกรียง หมอผีในคราบผู้เชี่ยวชาญเรื่องของเก่าและฮวงจุ้ยก็รับรู้ได้ถึงความน่ากลัวนี้จนไม่มีแก่จิตแก่ใจจะสนใจคู่สนทนา
กสินทร์ เศรษฐีหนุ่มใหญ่ เจ้าของกิจการโรงแรมและนักสะสมของเก่านั่นเอง คู่สนทนาของเกรียง เขากำลังตื่นเต้นกับกำไลเสี้ยวหรือเศษกำไลโบราณที่เพิ่งได้มาจากชาวบ้าน
“ใช่ไหมคุณเกรียง...ของจันทรปุระจริงไหม ได้ยินแต่ชื่อเมืองนี้มานานแล้ว มันมีอยู่จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“จันทรปุระเคยมีอยู่จริง แต่ล่มสลายไปร่วมพันปีแล้ว”
“ไม่ใช่แค่ตำนานที่เล่าต่อๆกันมานะคุณเกรียง”
“ตำนานก็อยู่บนพื้นฐานของความจริงนั่นแหละคุณกสินทร์”
“ขนาดของแตกหักยังงามขนาดนี้ ผมว่าจันทรปุระนี่ต้องเป็นเมืองที่รุ่งเรืองมากแน่ๆ”
จบคำก็หยิบกำไลเสี้ยวมาชื่นชม เกรียงได้แต่มองมานิ่งๆ ทั้งที่ภายในใจเริ่มกังวลถึงการมาถึงของบางสิ่งบางอย่างจากอดีต รวมถึงใครบางคนที่เขารอมานานแสนนานด้วย
ooooooo
หลังฝนฟ้าสงบ แผ่นจารึกโบราณก็ถูกคณะสำรวจนำขึ้นจากดินมาทำความสะอาดพอให้เห็นตัวอักขระโบราณ อธินรับหน้าที่เก็บรักษาแผ่นจารึกนั้นไว้ รวมถึงสิ่งของโบราณชิ้นอื่นที่ถูกค้นพบจากแหล่งเดียวกัน เมื่อโยสิตาลูกสาวคนเดียวของอธินมาถึงในวันต่อมาเพื่อดูแลพ่อ เธอก็อดทึ่งกับข้าวของโบราณเหล่านั้นไม่ได้
อธินกวาดตามองข้าวของมากมายภายในเต็นท์ของตัวเองด้วยความภูมิใจ “มันคุ้มค่าทีเดียวล่ะ...สมมติฐานที่ว่าจันทรปุระเป็นแค่เรื่องเล่าในตำนานคงถูกหักล้างได้แล้ว เพราะเมืองนี้น่าจะมีอยู่จริง...โดยเฉพาะของสิ่งนี้”
แผ่นจารึกโบราณทำให้โยสิตา ช่างภาพสาวที่มีความสนใจเรื่องโบราณคดีเหมือนพ่ออึ้งไปอึดใจ
“แผ่นจารึกอะไรคะพ่อ”
“ยังอ่านไม่ออก...ตัวอักษรของจันทรปุระ แต่ถ้าพ่อคาดไม่ผิด หินแผ่นนี้อาจจารึกการสร้างเมือง”
“ว้าว...คุ้มเหนื่อยจริงๆค่ะพ่อ โยรู้แล้วว่าโยจะช่วยอะไรพ่อได้อีก...ถ่ายรูปไง”
“ดีมาก...เพราะทุกวันนี้ทุกคนต้องทำงานแข่งกับเวลา ยังไม่ได้เก็บบันทึกด้วยภาพเลย”
ขณะที่คณะสำรวจของอธินวุ่นวายกับการบันทึกและตรวจสอบข้าวของโบราณ กำไลเสี้ยวชิ้นหนึ่งก็ถูกกสินทร์นำมาเก็บไว้บ้าน กฤตธร นักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อ ลูกชายคนโตของเขาผ่านมาเห็นก็อดหยิบมาดูด้วยความสนใจไม่ได้
กำไลเสี้ยวที่ทำจากทองคำบริสุทธิ์ดึงดูดสายตากฤตธรอย่างประหลาด และเขาก็คงจะนั่งดูมันอีกนาน หากว่ากสินทร์ พ่อของเขาจะไม่โผล่มาคุยด้วยเสียก่อน
“คุณพ่อซื้อของเก่าอีกแล้ว”
“เห็นแล้วมันอดไม่ได้ ยิ่งของชิ้นนี้มันลึกมากนะ อายุกว่าพันปี อาจารย์เกรียงมาดูยังว่าน่าจะเป็นยุคจันทรปุระ”
กฤตธรนิ่วหน้า ไม่เคยได้ยินชื่ออาณาจักรโบราณนี้มาก่อน กสินทร์เลยอธิบายง่ายๆ
“อาณาจักรโบราณน่ะ แต่เขาว่าล่มสลายหายสาบสูญไปนานแล้ว พวกบ้าโบราณคดีกำลังพยายามค้นหาอยู่”
“นี่เข้าข่ายสมบัติของชาติเลยนะครับ”
“ขืนพ่อไม่เก็บซ่อนไว้ ของพวกนี้ก็เล็ดลอดไปอยู่กับฝรั่งอยู่ดี สู้ให้มันยังอยู่ในเมืองไทยก่อนไม่ดีกว่าเหรอ สักวันหากศึกษาหาความรู้จากมันได้ พ่ออาจจะยกทั้งหมดที่มีให้ทางการก็ได้”
จบคำก็เปลี่ยนเรื่องและชวนไปข้างนอก กฤตธรเดินตามอย่างว่าง่ายแต่ไม่วายหันไปดูกำไลเสี้ยวอีกครั้ง แสงสีทองวูบวาบบ่งบอกถึงพลังงานบางอย่างปรากฏขึ้น แต่ก็เพียงแวบเดียวจนเขาคิดว่าคงตาฝาดไป...
ooooooo
โยสิตาช่วยพ่อถ่ายภาพและจดบันทึกรายละเอียดข้าวของโบราณอย่างขะมักเขม้น และระหว่างที่เธอตรวจดูภาพแผ่นจารึกโบราณ เธอก็ได้เห็นภาพหญิงสาวปริศนาคนหนึ่ง!
แต่ก็เพียงอึดใจเดียว ภาพผู้หญิงปริศนาแต่งตัวด้วยชุดโบราณก็หายไป ทิ้งไว้เพียงความสงสัยจนโยสิตาต้องไปถามข้อมูลจากพ่อ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับยุคจันทรปุระซึ่งเขาสันนิษฐานว่าเป็นที่มาของแผ่นจารึกนี้
“ยังบอกอะไรไม่ได้เพราะเราได้หลักฐานน้อยมาก ไม่ปรากฏศาสนสถานหรือเทวสถานให้เทียบเคียงเลย”
“หมายความว่าถ้าศิลาจารึกแผ่นนั้นเป็นการบันทึกการสร้างเมือง ก็จะไขปริศนาได้ทั้งหมดใช่ไหมคะ”
“ใช่...แต่ปัญหาคือตัวอักษรพวกนั้นพ่อแน่ใจว่าไม่เคยเห็น จะมีนักวิชาการสักกี่คนอ่านมันออก พ่อก็ไม่รู้”
“แล้วทำไมเมืองนี้ถึงได้ล่มสลายล่ะคะ”
“มีแต่ตำนานที่คนเล่าต่อกันมาน่ะลูกว่ามันล่มสลายเพราะคำสาป!”
คืนเดียวกันที่บ้านกสินทร์...สมาชิกครอบครัวประกอบด้วยกฤตธร ลูกชายคนโตและกวินทร์ ลูกชายคนเล็กอยู่กันพร้อมหน้า โดยมีเมธาวีแฟนสาวของกวินทร์มาร่วมวงด้วยเหมือนเคย
บรรยากาศอบอวลไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ กสินทร์กับกฤตธรมีความสุขมากและพยายามลุ้นให้กวินทร์แต่งงานกับเมธาวี แต่คู่รักก็บ่ายเบี่ยง ไม่ใช่เพราะไม่รักกันแต่อยากรอให้กฤตธรแต่งก่อน
“โอย...งั้นพวกนายคงต้องรออย่างไม่มีกำหนดแล้วล่ะ พี่ยังหาเจ้าสาวไม่เจอเลย”
ทุกคนต่างลงความเห็นว่ากฤตธรเลือกมากและหวงความโสด แต่เจ้าตัวกลับคิดว่ายังไม่เจอใครที่อยากร่วมชีวิตด้วยมากกว่า เมธาวีซึ่งแอบชอบเขามาตลอดและยอมคบกับกวินทร์เพื่อใกล้ชิดเขา อดมองมาด้วยแววตาเสน่หาไม่ได้ พร้อมกับคิดเข้าข้างตัวเองเหมือนทุกครั้งว่าเขาอาจมีใจกับเธอก็ได้...
หลังจากช่วยพ่อทำงานจนเหนื่อยอ่อน โยสิตาก็ผล็อยหลับอย่างง่ายดายในคืนเดียวกัน ก่อนจะสะดุ้งตื่นเพราะความฝันแปลกประหลาดที่มีเสียงร้องโหยหวนของคนจำนวนมาก ร้องไห้ระงมเหมือนคนได้รับทุกขเวทนา
เสียงกรีดร้องและภาพบึงบัวกลายเป็นสีแดงฉานทำให้โยสิตาตกใจตื่น เธอเหลือบมองไปทางอธินก็เห็นว่าเขายังหลับสนิทเหมือนไม่ได้ยินเสียงใดๆ แต่เสียงดังประหลาดนั้นก็ลอยเข้าโสตประสาทของเธออีกครั้ง และครั้งนี้ช่างภาพสาวก็ตัดสินใจมุ่งหน้าสู่บึงบัวไม่ไกลจากลานสำรวจเพื่อพิสูจน์ความจริง!
ooooooo
ผลการพิสูจน์ความจริงของโยสิตาไม่ได้เรื่อง อะไรมากนัก นอกจากกลุ่มควันสีดำที่พุ่งตรงมาหาเธอ อย่างมาดร้าย พร้อมกับเสียงตวาดลั่นของหญิงสาว ปริศนาที่ไล่ให้เธอกับคณะสำรวจออกไปจากลานและบึงบัวแห่งนี้
เมื่อตื่นเช้าวันถัดมา โยสิตาก็ไม่รอช้าเล่าทุกอย่างให้พ่อฟังโดยละเอียด อธินรับฟังด้วยสีหน้านิ่งสงบ ก่อนจะสรุปว่าลูกสาวคนเดียวคงคิดมากจนเก็บไปฝัน
“ฝันก็ส่วนฝันสิคะพ่อ นี่มันจริงนะคะ เห็นกับตา ได้ยินกับหู เขาไล่ให้พวกเราออกจากที่ของเขา”
“ไม่มีอะไรหรอก ก่อนลงมือขุดค้นพวกเราก็ บวงสรวงบอกกล่าวเทวดาอารักษ์ เจ้าที่เจ้าทางที่นี่แล้ว พวกเรามีเจตนาดีจะช่วยรักษาสมบัติของชาติ ไม่ได้คิดร้ายอะไร”
“โยจะพยายามคิดให้ได้อย่างนั้นแล้วกันนะคะพ่อ”
“อีกไม่กี่วันก็ต้องปิดไซต์งานที่นี่เพราะหมดงบประมาณของปีนี้ เราคงต้องเร่งมือให้มากขึ้น พ่อห่วงอย่างเดียว พอเรากลับ...ที่นี่ต้องยับเยินเพราะพวกหัวขโมยแน่”
“โยช่วยอะไรพ่อได้อีก พ่อก็บอกมาได้เลยค่ะ...”
ภาพกำไลเสี้ยวโบราณทำจากทองคำดึงดูดความสนใจของกฤตธรอย่างประหลาด และเมื่อเขามีโอกาสได้เห็นมันอีกครั้งในวันต่อมา ก็เกิดภาพหลอนเหมือนกำไลจะต่อเติมตัวเองจนเต็มวง และปรากฏตำแหน่งฝังพลอยสีน้ำผึ้งตรงกลาง นักธุรกิจหนุ่มตะลึงกับสิ่งที่เห็น แต่พลันภาพทั้งหมดก็หายไป พร้อมการปรากฏตัวของเกรียง
“เริ่มสนใจศิลปวัตถุเหมือนคุณพ่อแล้วเหรอครับคุณกฤต”
“ก็ไม่เชิงหรอกครับคุณอา ผมแค่รู้สึกว่าดูๆไป...ของชิ้นนี้ก็สวยดี”
กฤตธรหันไปดูกำไลอีกครั้ง แล้วก็ต้องอึ้งมากเพราะมันกลายเป็นกำไลเสี้ยววงเดิม เกรียงรับรู้ได้ถึงความพิเศษของอีกฝ่าย และรับรู้ได้ในทันทีว่าเขาคือใครบางคนจากอดีตกลับชาติมาเกิด แต่หมอผีหนุ่มก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป นอกจากพูดเป็นนัยๆว่ากำไลวงนี้อาจมีพลอยสีน้ำผึ้งหรือบุษราคัมฝังอยู่ตรงกลางก็ได้
ขณะที่ความจริงเรื่องกำไลเสี้ยวยังเป็นความลับอยู่กับเกรียง กำไลเสี้ยวอีกวงก็ถูกค้นพบในลานโล่งของแหล่งขุดค้นทางโบราณคดีที่คณะของอธินกำลังสำรวจ โยสิตาเป็นคนขุดเจอและเป็นเพียงคนเดียวที่ดึงมันขึ้นมาจากดินได้
อธินคาใจเรื่องปฏิกิริยาพิเศษระหว่างลูกสาวกับกำไลเสี้ยวมาก แต่ไม่ทันถาม โยสิตาก็โพล่งขึ้นก่อนตามความทรงจำเมื่อวันก่อนที่ได้เห็นหญิงสาวแต่งชุดโบราณพร้อมกับกำไลรัดต้นแขนแบบเดียวกันนี้ อธินทึ่งมากกับข้อสันนิษฐานของลูกสาว แต่เมื่อพยายามซักว่ารู้มาจากไหน เธอก็ตอบแค่ว่าไม่รู้
“ของชิ้นนี้...เจ้าของต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอนเพราะเป็นทองคำทั้งชิ้น”
“เสียดายนะคะที่หายไปครึ่งวง อยากรู้จังเลยว่าอีกครึ่งวงไปอยู่ที่ไหน...”
ooooooo
วันเวลาผ่านไปอีกหลายวัน กฤตธรทำงานหนักเหมือนเคย จนไม่มีแม้แต่เวลาจะจีบสาวๆอย่างที่พ่อกับน้องชายตามลุ้นตลอด เช่นเดียวกับอธินและโยสิตาที่หมกมุ่นกับการขุดค้นของเก่าจนถึงกำหนดกลับ
“แล้วเราจะได้กลับมาที่นี่อีกเมื่อไหร่คะพ่อ”
“ยังไม่รู้เลย อาจจะเป็นปีหน้า พ่อต้องทำงบประมาณเสนอขึ้นไปก่อน”
“ปีหน้าเลยเหรอคะ โยว่ากว่าเราจะได้กลับมา ที่นี่คงถูกพวกหัวขโมยลุยจนพรุนหมดแน่ๆ”
“มันก็ไม่แน่หรอกลูก ถ้าเราถอดความหมายบนแผ่นศิลาจารึกนั้นได้ ทางการอาจจะเห็นความสำคัญของที่นี่ว่าเป็นที่ตั้งของจันทรปุระที่ล่มสลาย อาจจะอนุมัติงบมาให้เร็วขึ้นก็ได้”
“ขอให้เป็นจริงอย่างนั้นเถอะนะคะ”
แผ่นจารึกโบราณและกำไลเสี้ยวถูกลงทะเบียนและเก็บลงกล่องเพื่อนำกลับกรุงเทพฯอย่างดี ทุกอย่างแลดูเรียบร้อย ไม่มีอะไรผิดสังเกตจนกระทั่งกลางดึกในคืนสุดท้ายของคณะสำรวจ จู่ๆท้องฟ้าโปร่งก็เปลี่ยนเป็นเมฆหมอกหนา ก่อเกิดควันสีดำเคลื่อนตัวเข้าบดบังดวงจันทร์จนมิด!
โยสิตาเฝ้ามองเหตุการณ์ประหลาดด้วยความสงสัย พลันก็ได้เบิกตาโพลงด้วยความตกใจสุดขีด เมื่อจู่ๆกล่องบรรจุแผ่นจารึกโบราณก็ถูกเปิดออก พร้อมๆกับควันสีดำที่แปรเปลี่ยนเป็นรูปร่างคล้ายคนคนหนึ่ง
“ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง...เกศอาภา ในที่สุดเราก็ได้เจอกัน”
เสียงของหญิงสาวปริศนาดังขึ้นในโสตประสาท ตามด้วยเสียงหัวเราะแหลมแสบแก้วหู โยสิตาตกตะลึงกับภาพและเสียงนั้นมาก และเมื่อกลุ่มควันสีดำนี้พุ่งเข้าใส่ เธอก็ล้มลงหมดสติทันที!
กว่าอธินและทีมงานคนอื่นจะตามมาพบ โยสิตาก็หมดสติไปหลายนาที และเมื่อฟื้นเธอก็พยายามทบทวนความทรงจำ และก็ได้เบิกตาโพลงเมื่อได้ยินเสียงผู้หญิงปริศนาคนนั้นอีกครั้ง
“ข้ารอเวลานี้มานานเท่าไหร่ เจ้ารู้ไหมเกศอาภา... ถึงเวลาที่ข้าจะได้สะสางเรื่องเก่าๆกับเจ้าแล้วนังตัวดี”
โยสิตารับเครื่องดื่มร้อนๆจากทีมงาน แล้วพยายามเพ่งหาที่มาของเสียงปริศนานั้น แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา โดยไม่รู้เลยว่าผีบุษกร หญิงสาวคู่แค้นจากอดีตกำลังจ้องมองมาอย่างอาฆาตจากอีกมุม!
คณะสำรวจของอธินกลับกรุงเทพฯในเช้าวันต่อมา โยสิตากวาดตามองรอบๆลานโล่งที่เธอมาฝังตัวกับพ่อหลายวันด้วยแววตาอาลัย ก่อนจะตัดสินใจขึ้นรถกลับ โดยไม่ทันคิดเลยว่าการทวงแค้นจากอดีตกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว...
ooooooo
อธินเตรียมตัวไปร่วมงานแถลงข่าวเรื่องสิ่งของและหลักฐานชิ้นสำคัญที่แสดงถึงการมีอยู่ของอาณาจักรโบราณอย่างจันทรปุระในเช้าของหลายวันต่อมา โดยมีโยสิตาช่วยแต่งตัวอย่างกระตือรือร้น นักโบราณคดีหนุ่มได้แต่มองมาด้วยความตื้นตันและเอ็นดู ปลื้มใจที่ลูกสาวเอาใจใส่ แต่ก็อยากให้เธอดูแลตัวเองบ้าง
“เก็บเงินไว้ซื้อของให้ตัวเองบ้างเถอะ เป็นสาวขนาดนี้ แต่งตัวมอซออยู่ได้”
โยสิตายิ้มบางๆแต่ไม่ยอมรับปากจะแปลงโฉมตัวเองให้ดีกว่านี้เพราะไม่เห็นความจำเป็น อธินเลยได้แต่มองมาด้วยความเหนื่อยหน่ายใจและคร้านจะบ่น คงต้องปล่อยไปตามบุญกรรมและฟ้าลิขิต
หลังส่งพ่อไปงานแถลงข่าว โยสิตาก็เตรียมตัวไปทำงานข้างนอกเหมือนเคย แต่คงเพราะโชคชะตากำหนดไว้ เส้นทางไปทำงานของเธอเลยตื่นเต้นกว่าที่เคยเมื่อได้พบกับใครคนหนึ่ง
กฤตธรนั่นเอง ชายหนุ่มรูปหล่อที่ดันคุยงานผ่านมือถือเพลินจนลืมกระเป๋าเอกสารไว้บนหลังคารถ โยสิตาขับผ่านมาเห็นเลยพยายามจะบอกด้วยการบีบแตรส่งสัญญาณ แต่เขากลับเข้าใจผิดคิดว่าเธอบีบแตรไล่ กว่าจะรู้ถึงความหวังดีของเธอ กระเป๋าของเขาก็หล่นพื้นถนนเสียแล้ว และเธอก็เป็นคนเก็บมาคืน
“ฉันก็ไม่รู้นะว่าก่อนหน้านี้อะไรร่วงจากหลังคารถคุณบ้าง คุณไปตามหาเองแล้วกัน ทีหลังอย่าขี้ลืมขนาดนี้นะ”
จบคำก็หมุนตัวจะขึ้นรถ กฤตธรซึ่งเพิ่งรวมสติได้รีบรั้งไว้
“เดี๋ยวสิครับคุณ ผมยังไม่ได้ตอบแทนคุณเลย”
“คุณก็ขอบคุณฉันแล้วไง”
“ผมอยากตอบแทนเป็นอย่างอื่นด้วย”
หนุ่มนักธุรกิจตั้งท่าจะหยิบนามบัตร แต่เธอดันเข้าใจว่าเขาจะตอบแทนด้วยเงินเลยโกรธใหญ่
“นี่คุณ...อย่าดูถูกน้ำใจคนอื่น คุณคงแลกทุกอย่างมาด้วยเงินจนเคยตัวสินะ เก็บเงินคุณไว้เตรียมจ่ายค่าปรับแล้วกัน คุณจอดรถในที่ห้ามจอดนี่ รู้ตัวหรือเปล่า”
คราวนี้โยสิตาไม่รอช้า ขึ้นรถและขับออกไปทันที ทิ้งกฤตธรให้มองตามอึ้งๆ ก่อนจะยิ้มกว้างอย่างถูกใจ จนเมื่อมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรมาทัก เขาถึงได้หลุดจากภวังค์
“คุณครับ...มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ”
“มีครับ...ผมยังไม่รู้เลยว่าเธอเป็นใคร”
ooooooo
เรื่องของชายหนุ่มหน้าตาหล่อลืมกระเป๋าไว้บนหลังคารถเลือนหายไปจากความทรงจำของโยสิตาแล้ว เพราะเธอกำลังพิจารณารับงานพิเศษจากปารมีหรือผักบุ้ง พนักงานต้อนรับในโรงแรม เพื่อนสนิทคนเดียวของเธอ
งานส่วนมากก็เป็นงานถ่ายภาพจิปาถะ ทั้งงานกิจกรรมต่างๆและงานรับปริญญา โยสิตารับทุกงานไม่เกี่ยงว่าต้องลำบากลำบนแค่ไหนเพราะอยากแบ่งเบาภาระของพ่อ ปารมีเข้าใจและเห็นใจเพื่อนมากและวันนี้เธอก็มีงานใหญ่มานำเสนอ นั่นก็คืองานถ่ายรูปพรีเวดดิ้งสนนราคาค่าจ้างหลักหมื่น
“เจ้าบ่าวไม่เท่าไหร่ แต่เจ้าสาวอยากได้รูปสิบสองชุด เธอคงอยากอวดแขกไปตลอดปี”
“ไม่มีปัญหา ขอให้ได้แต่งกันจริงเถอะ ไม่เหมือนคราวก่อน ทะเลาะกันกลางคัน ฉันเลยอดได้ค่าแรงไปด้วย”
“คนสมัยนี้รักกันง่าย เลิกกันง่าย ฉาบฉวยพอๆกับเลือกซื้อของในตลาด”
“นั่นสินะ เหมือนรักเผื่อเลือกยังไงก็ไม่รู้ จะมีคู่รักสักกี่คนอยู่กันจนแก่เฒ่าจนตายจากกันไปข้าง”
“ประมาณว่ารักนิรันดร์น่ะเหรอ ฉันว่ามีแต่ในนิยายกับละครจิ้นฟินเท่านั้นแหละ”
ด้านอธิน...ยังอยู่ในงานแถลงข่าวเพื่อให้ข้อมูลเรื่องหลักฐานชิ้นสำคัญอย่างแผ่นจารึกโบราณที่คาดว่าน่าจะมีอายุมากกว่าพันปี และน่าจะเป็นเครื่องช่วยยืนยันถึงการมีอยู่ของอาณาจักรจันทรปุระ
“ผมเชื่อว่านี่คือบันทึกสำคัญของการสร้างเมือง เรากำลังพยายามเทียบเคียงภาษาเขียนในยุคใกล้เคียงกันอยู่ หวังว่าอีกไม่นานอาณาจักรจันทรปุระคงไม่ได้เป็นแค่ตำนาน แต่จะเป็นแหล่งเรียนรู้สำคัญทางด้านอารยธรรมและประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ของประเทศต่อไปครับ”
ภาพข่าวและถ้อยคำแถลงการณ์ของอธิน ทำให้เกรียงซึ่งนั่งดูผ่านจอทีวีที่บ้านมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น
“วิบากกรรมมาบรรจบกันแล้วอย่างไม่มีทางหนีพ้น!”
ไม่ใช่แค่เกรียงที่กังวลใจกับการค้นพบแผ่นจารึกโบราณของอธิน แม้แต่กสินทร์ก็อดตื่นเต้นไปด้วยไม่ได้ แต่ไม่ใช่ความเครียดเพราะลางสังหรณ์บางอย่างเหมือนเกรียง แต่เป็นความเครียดเพราะความสนใจ กระเหี้ยน กระหือรืออยากจะได้แผ่นจารึกโบราณนั่นมาครอบครองตามประสาพวกบ้าสมบัติเก่าต่างหาก!
ooooooo
งานแถลงข่าวจบลงด้วยดี พร้อมความปลาบปลื้มของทีมสำรวจโดยเฉพาะอธิน เพราะผลการตอบรับดีมากจนไม่แน่ว่าทุนวิจัยปีหน้าอาจได้มาไม่ยากอย่างที่นึกกังวล และนักโบราณคดีหนุ่มก็ได้อารมณ์ดีกว่าเดิมเมื่อกลับบ้านแล้วพบว่าโยสิตาลูกสาวสุดที่รักทำเมนูโปรดไว้คอยท่า
“ถอดฝีมือแม่เขามาทุกอย่าง”
“ไม่เสียแรงที่แม่สั่งเสียไว้ใช่ไหมคะว่าให้โยดูแลพ่อให้ดีที่สุด”
“เอาเวลาไปดูแลตัวเองให้มากหน่อยก็ได้ พ่อไม่ว่าอะไรหรอก”
“เอ...พูดอย่างนี้แปลว่าจะมีใครมาดูแลพ่อแทนโยแล้วละมังคะ”
“พ่อพูดถึงเรานั่นแหละ ชีวิตมันไม่มีอะไรแน่นอนนะลูก พรุ่งนี้มะรืนนี้ พ่ออาจจะไม่ได้อยู่กับโยแล้วก็ได้”
“ไม่เอาค่ะ ไม่พูดอย่างนี้ ยังไงพ่อก็ต้องอยู่กับโยอีกนาน แล้วโยก็จะทำกับข้าวให้พ่อกินอย่างนี้ทุกวัน”
“ไม่คิดจะไปทำให้ใครกินบ้างเลยรึไง”
“ไม่ค่ะ เพราะในโลกนี้ไม่มีผู้ชายคนไหนดีเท่าผู้ชายคนนี้แล้วค่ะ”
พ่อลูกรับประทานมื้อเย็นกันอย่างเอร็ดอร่อยเปี่ยมไปด้วยความหวังว่าจะมีช่วงเวลาแบบนี้ด้วยกันไปนานๆ โดยไม่รู้เลยว่าจะมีเรื่องเหลือเชื่อเกิดขึ้นในไม่ช้า...
หลังแวะเอางานไปให้โยสิตา ปารมีหรือผักบุ้งก็กลับไปเข้าเวรที่โรงแรม และด้วยตำแหน่งประชาสัมพันธ์ก็ทำให้เธอมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าส่วนใหญ่ ยิ่งเป็นลูกค้าประจำ เธอยิ่งใส่ใจและรู้ใจเป็นพิเศษ แต่โชคไม่ดี อาการร่าเริงเกินเหตุของเธอกลับขวางหูขวางตาของใครบางคน
กวินทร์นั่นเอง เขาเกือบได้กินมื้อเย็นกับเมธาวีแฟนสาวอย่างสบายอารมณ์แล้ว ถ้าจะไม่ชะงักเพราะเสียงหัวเราะลั่นของพนักงานสาวคนหนึ่ง ปารมีหน้าเสียที่โดนกวินทร์ หนึ่งในผู้บริหารและลูกชายคนเล็กของกสินทร์เจ้าของโรงแรมตำหนิเรื่องเสียงหัวเราะ แต่ก็ยังใจเย็นอธิบายถึงที่มาของความเป็นกันเองว่าทำให้แขกกลับมาพักที่นี่เสมอ
กวินทร์หน้าแตกยับที่ตำหนิโดยไม่ใคร่ครวญให้ดี แต่ไม่ยอมเสียหน้าสั่งพนักงานสาวปรับปรุงกิริยามารยาทให้สำรวมกว่านี้ ก่อนจะผละไปกับเมธาวี ปารมีได้แต่มองตามเซ็งๆ มั่นใจว่าตนไม่ได้ทำผิดร้ายแรงแต่ถ้าเจ้านายไม่นึกเอ็นดูแบบนี้ เห็นทีอนาคตการงานของเธอคงรุ่งยากเสียแล้ว
เวลาเดียวกันที่บ้านกสินทร์...เจ้าของบ้านกำลังพิจารณาเพชรน้ำดีอย่างตั้งอกตั้งใจ กฤตธรผ่านมาเห็นก็อดแซวไม่ได้เพราะไม่เห็นพ่อสนใจอัญมณีเลอค่าชนิดนี้มาก่อน กสินทร์เลยชวนให้เลือกด้วยกันเผื่อจะเก็บไว้ให้สาวแต่ลูกชายคนโตก็ไม่สนใจและถามถึงบุษราคัมแทน
พ่อค้าอัญมณีส่ายหน้าพร้อมกับบอกว่าพลอยสีน้ำผึ้งหรือบุษราคัมหายาก กสินทร์เองก็ยังแปลกใจ
“แกจะเก็บพลอยไปทำไม เก็บเพชรไม่ดีกว่าหรือนายกฤต”
“ไม่รู้สิครับคุณพ่อ ทำไมผมถึงนึกอยากได้พลอยสีน้ำผึ้งนักก็ไม่รู้...”
ooooooo
โยสิตาเริ่มงานถ่ายภาพพรีเวดดิ้งเช้าวันต่อมาอย่างสดชื่น คู่บ่าวสาวดูจะรักกันดีและหวานชื่นจนเธอแทบไร้กังวลว่าจะเลิกกันกลางคันเหมือนคู่อื่นๆ แต่ไม่กี่อึดใจต่อมาสองบ่าวสาวก็ทำท่าจะตีกันเพราะเรื่องกิน ช่างภาพสาวเห็นท่าไม่ดีเลยช่วยไกล่เกลี่ยจนทั้งคู่กลับมาดีกันอีกครั้ง
กว่าจะจบการถ่ายพรีเวดดิ้งวันแรก โยสิตาก็เกือบหมดแรง ทั้งจัดท่าทางและช่วยไกล่เกลี่ยไม่ให้คู่บ่าวสาวตีกันแล้วเธอจะชวดค่าแรงอีก ปารมีแวะมากินมื้อกลางวันด้วยและอดไม่ได้จะบ่นถึงเรื่องที่โดนตำหนิเมื่อวันก่อน
“คอยดูนะ...ถ้าเหลืออดเหลือทน ฉันจะหัวเราะดังกว่าเดิม ถูกไล่ออกก็ได้ค่าชดเชย ลาออกนี่ไม่ได้อะไรเลย”
“ถ้ามันแย่ยังงั้นจริงๆ แกมาทำงานกะฉันก็ได้ ไม่สบายใจก็ไม่รู้จะทนไปทำไมนะแก”
“ดูก่อน ฉันยังพอรับไหว สงสัยชาติที่แล้วฉันกับเจ้านายคงทำเวรทำกรรมร่วมกันมา ชาตินี้ถึงต้องตามมาชดใช้”
สองสาวนั่งกินข้าวปรับทุกข์เรื่องจิปาถะอีกพักใหญ่จึงแยกย้าย แต่ไม่ทันได้ไปไหนไกล โยสิตาก็ต้องชะงักเมื่อได้เจอชายหนุ่มรูปหล่อที่เธอเคยช่วยเก็บกระเป๋าโดยบังเอิญ กฤตธรดีใจมากได้เจอหญิงสาวผู้มีพระคุณอีกแต่ก็ต้องผงะเมื่อถูกเธอเข้าใจผิดอีกครั้งว่าเขาคือเจ้านายหน้าเลือดที่เอาเปรียบและตำหนิปารมีเพื่อนรักของเธอ
“ผมยังติดค้างคุณอยู่นะครับ ยังไม่ได้ตอบแทนน้ำใจคุณเลย”
“บอกแล้วว่าไม่จำเป็นค่ะ แต่ถ้าจะกรุณาแค่ช่วยปฏิบัติต่อเพื่อนดิฉันให้ดีขึ้นหน่อยก็พอ...ในฐานะเจ้านายลูกน้อง เพื่อนดิฉันตั้งใจทำงานอย่างทุ่มเท ทำกำไรให้โรงแรมของคุณตั้งเท่าไหร่ คุณเคยคิดข้อนี้ไหม ดิฉันว่าแค่ข้อกล่าวหาว่าหัวเราะเสียงดังเกินไป มันเป็นเหตุผลที่ดูไร้สาระไปหน่อยค่ะ”
กฤตธรงงมาก ปารมีต้องสะกิดให้เพื่อนหยุดพูด แต่โยสิตากลับเข้าใจว่าเพื่อนกำลังกลัว
“แกควรบอกเขาในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ถึงแกจะเป็นลูกจ้างก็ไม่ได้หมายความว่าแกไม่มีสิทธิ์พูดปกป้องตัวเอง คนเรามันมีข้อบกพร่องกันทั้งนั้น ไม่มีใครสมบูรณ์แบบแต่คุณควรมองข้อดีของคนอื่นให้มากกว่าข้อเสียในตัวเขา”
ปารมีทำหน้าเมื่อย ก่อนจะตัดสินใจโพล่งออกไปว่ากฤตธรไม่ใช่เจ้านายที่ตำหนิตน โยสิตาถึงกับหน้าแตกยับ อับอายขายขี้หน้าอย่างยิ่งที่เข้าใจเขาผิดยกใหญ่ แม้กฤตธรจะไม่ถือสาแต่โยสิตาก็ยังประสาทเสียจนต้องไประบายกับพ่อด้วยความอึดอัดและกระวนกระวายใจ
น้ำเสียงหัวเราะและรอยยิ้มกว้างของเขาไม่ได้ทำให้โยสิตาเขินแต่อับอายอย่างบอกไม่ถูกที่เข้าใจผิดเขาเป็นตุเป็นตะ อธินรับฟังด้วยสีหน้าขำๆเพราะไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ โยสิตาเลยได้แต่ถอนใจยาวพลางนึกภาวนาในใจ...ขออย่าได้เจอหน้ากันอีกเลยในชาตินี้
ooooooo
โยสิตาพยายามปัดเรื่องกฤตธรออกไปแล้วหันมาใส่ใจกับการตรวจภาพพรีเวดดิ้ง แต่จู่ๆก็ต้องขนลุกซู่ เมื่อมีเสียงหญิงสาวปริศนาลอยมาเข้าหู
“เกศอาภา...เกศอาภา”
ช่างภาพสาวสะดุ้งจากภวังค์ ก่อนจะพบว่าภาพบนจอคอมพิวเตอร์เปลี่ยนจากภาพบ่าวสาวเป็นภาพถ่ายที่ไซต์งานขุดค้นทางโบราณคดีเมื่อหลายวันก่อน โยสิตาพยายามจะหยุดและเปลี่ยนภาพบนจอแต่ก็ทำไม่ได้ ภาพวัตถุโบราณถูกเปลี่ยนไปเรื่อยๆราวกับมีคนควบคุมอยู่เบื้องหลัง
และเมื่อบนจอปรากฏภาพแผ่นจารึกโบราณ ภาพก็หยุดเคลื่อนไหว พร้อมกับมีเสียงเรียกของหญิงสาวปริศนา โยสิตากลัวมาก ถลาไปเรียกพ่อมาดู แต่ไม่ทันขยับ ภาพจารึกโบราณก็กลายเป็นภาพหญิงสาวแต่งชุดโบราณที่เธอเคยเห็นในความฝันมาก่อน แต่ครั้งนี้เธอคนนั้นไม่ได้มองมานิ่งๆเหมือนในฝัน แต่แผลงฤทธิ์บิดคอหลอกเธอด้วย
โยสิตาวิ่งไม่คิดชีวิตไปตามพ่อมาดูภาพหญิงสาวปริศนา แต่ก็ต้องลืมทุกอย่างเมื่อได้ยินข่าวร้ายจากพ่อว่าแผ่นจารึกโบราณหลักฐานสำคัญที่เพิ่งค้นพบหายไปแล้ว!
สองพ่อลูกมาถึงกรมศิลปากรในไม่กี่อึดใจต่อมา อธินกวาดตามองรอบห้องทำงานตนเองด้วยความรู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก ยิ่งเมื่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแจ้งเบาะแสว่าได้ยินเสียงประหลาดก่อนที่แผ่นจารึกจะหายไป ยิ่งสับสน เจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับแจ้งเหตุก็งุนงงไม่แพ้กันและคิดว่าอาจไม่ใช่การลักขโมยของโจรธรรมดา
“มันน่าแปลกใจตรงนี้ครับอาจารย์ ไม่มีร่องรอยการงัดแงะเข้ามาเลย ทั้งที่ประตูหน้าต่างทุกบานก็ปกติ”
อธินถอนใจยาวก่อนจะตัดสินใจเด็ดขาด “อย่าเพิ่งให้ใครเข้าออก ห้องนี้อย่าพยายามแตะต้องข้าวของทุกชิ้นด้วย เราอาจต้องแจ้งความ ตำรวจอาจช่วยเราได้ แล้วของอย่างอื่นล่ะมันเอาอะไรไปอีกบ้าง”
“ไม่เลยครับอาจารย์ ของมีค่าอย่างเศษทอง มันไม่แตะต้องเลยครับ”
การหายไปของแผ่นจารึกโบราณนำความแปลกใจมาให้แก่อธินและโยสิตาเป็นอย่างมาก โดยไม่รู้เลยว่าเกรียงซึ่งนั่งสมาธิอยู่บ้านก็รับรู้ได้ถึงเหตุการณ์นี้และคิดว่าเวลาแห่งการชำระแค้นได้มาถึงแล้ว...
กว่าสองพ่อลูกจะกลับถึงบ้านก็หลายชั่วโมงต่อมา อธินทรุดตัวนั่งอย่างหมดแรง หงุดหงิดใจยิ่งนักที่ได้รู้ว่าสมบัติชิ้นสำคัญของชาติถูกขโมยไปอย่างไร้ร่องรอย โยสิตาคิดว่าเรื่องนี้อาจเป็นงานโจรกรรมระดับชาติและคนบงการก็อาจเป็นชาวต่างชาติที่อยากครอบครองสมบัติโบราณ
“หินแผ่นเดียวมีค่าขนาดนั้นเชียวเหรอคะพ่อ”
“พ่อว่าคนคนนี้มันต้องรู้ดีว่าหินแผ่นนั้นคือหัวใจสำคัญของจันทรปุระ”
“ถ้าจะสืบจริงๆ มันก็ไม่ยากใช่ไหมคะพ่อ”
“ตำนานจันทรปุระรู้จักกันแค่ในวงแคบเท่านั้น”
“แปลว่าเรายังพอมีหวัง”
“เว้นแต่งานนี้จะไม่ได้มาจากเมืองไทย ถ้าหลุดไปนอกประเทศ เรื่องจะตามกลับคืนคงไม่ใช่เรื่องง่าย...”
ooooooo
การหายไปของแผ่นจารึกยังหาเบาะแสและร่องรอยไม่ได้ เกรียงพยายามนั่งทางในเพื่อตามหา แต่ก็ต้องคว้าน้ำเหลว จนกระทั่งกลางดึกของคืนเดียวกันนั่นเอง ผีบุษกรหญิงสาวจากอดีตเมื่อพันกว่าปีก่อนก็ปรากฏตัวตรงหน้า!
ปารมีมาช่วยเพื่อนรักตามหาเบาะแสเรื่องแผ่นจารึกด้วย เพราะกสินทร์เจ้านายใหญ่ของเธอเป็นนักสะสมของเก่าตัวยง จึงกลายเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยสำคัญ อธินก็ไม่อยู่เฉยเอาภาพจากกล้องวงจรปิดของกรมศิลปากรมาดู แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะนอกจากกลุ่มควันสีดำแล้ว เขาก็ไม่เห็นเบาะแสอะไรอีกเลย
กสินทร์ไม่รู้ตัวว่ากลายเป็นผู้ต้องสงสัยของอธินและโยสิตา มัววุ่นวายกับการจัดระเบียบของสะสมเก่าแก่ในบ้าน และมอบหมายให้ลูกชายทั้งสองช่วยหาช่างภาพมาถ่ายข้าวของทั้งหมด กวินทร์เสนอให้ใช้ช่างภาพที่ถ่ายรูปแผ่นพับแนะนำโรงแรม กสินทร์เห็นดีด้วย กฤตธรเลยถือโอกาสนี้แซวพ่อขำๆ
“เขาว่ากันว่าคนชอบสะสมของเก่านี่เป็นคนโบราณมาเกิดเหรอครับคุณพ่อ”
“พ่อก็ได้ยินอาจารย์เกรียงแกพูดอยู่เหมือนกัน แต่พ่อไม่ได้ถามแกซะทีว่าพ่อน่ะยุคไหนมาเกิด”
“อาจารย์เกรียงนี่นอกจากเป็นที่ปรึกษาเรื่องฮวงจุ้ยให้คุณพ่อแล้ว แกยังศึกษาเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอครับ”
“แกเป็นประเภทมีสัมผัสที่หกมากกว่า...”
กฤตธรไม่ได้ติดใจเรื่องเกรียงนักและออกจากบ้านไปปั่นจักรยานในสวนสาธารณะแต่เช้า เลยได้เจอกับโยสิตาที่มาเป็นช่างภาพถ่ายรูปพรีเวดดิ้งอีกครั้งกับบ่าวสาวคู่เดิม ความสดใสร่าเริงและความใจเย็นของเธอทำให้นักธุรกิจหนุ่มหล่อประทับใจมากและตัดสินใจชวนเธอมาถ่ายภาพให้พ่อ
โยสิตาไม่เข้าใจว่าเขาจะตามตื๊อถึงไหน และเมื่อเธอเดินหนี เขาก็ยิ่งตามติด
“ผมไม่เข้าใจ ทำไมคุณต้องปฏิเสธความช่วยเหลือจากคนอื่น”
“ฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคุณต้องตามตอแยฉันด้วย”
“ไม่ได้ตอแย แต่จะคุยเรื่องธุรกิจต่างหาก”
เหตุผลเรื่องงานทำให้โยสิตายอมลดท่าทีขึงขังและคุยด้วย แต่ทันทีที่สองหนุ่มสาวนั่งในร้านกาแฟไม่ไกลจากสวนสาธารณะ ท้องฟ้าสดใสก็เปลี่ยนเป็นสีดำทะมึน!
สองหนุ่มสาวต้องวิ่งหนีห่าฝนกันให้วุ่น เสียงฟ้าคำรามทำให้ต้องหาที่หลบแทบไม่ทัน และทันใดนั้นก็เกิดสายฟ้าฟาดลงกิ่งไม้ใหญ่ กฤตธรตกใจมาก รีบโถมตัวไปผลักร่างของโยสิตาได้ทันเวลาพอดี
ฟ้าฝนและลมยังพัดกระโชกจนกฤตธรต้องพาโยสิตา ไปหลบในตัวอาคารไม่ไกลกันนั้น และอดไม่ได้จะแซวเธอว่าอาจเคยสัญญาหรือสาบานกับใครไว้ ฟ้าเลยผ่ารุนแรงจนเกือบเอาชีวิตเธอไปแล้ว
“ฉันไม่นึกตลกไปกับคุณหรอกนะ”
“ไหนๆคุณก็แคล้วคลาดมาได้เพราะผม ไม่คิดจะขอบคุณกันบ้างหรือ”
โยสิตาขอบคุณแบบเสียไม่ได้ กฤตธรไม่ถือสา ยิ้มกว้าง
“ทีนี้เราก็หายกันแล้วนะ ผมได้ตอบแทนคุณแล้ว เรามาคุยธุรกิจกัน ผมจะจ้างคุณถ่ายรูป”
“รูปแต่งงานอีกแล้วหรือ”
“ทำไมทำท่าเหมือนจะลงแดง”
“ก็สองเดือนมานี่ ฉันถ่ายรูปพรีเวดดิ้งห้างานนะคุณ”
“โอ้...งั้นคุณก็รวยทีเดียว”
โยสิตาส่ายหน้าเซ็งๆ “งานหนึ่งฟรีเพราะเพื่อนกัน อีกสามงานถ่ายยังไม่ทันเสร็จ เจ้าบ่าวเจ้าสาวทะเลาะกันเลิกกันกลางคัน แล้วฉันจะเก็บเงินที่ใครล่ะ เพิ่งมีงานนี้แหละราบรื่นหน่อย ขอโทษนะคุณไปหาช่างภาพคนอื่นเถอะ ฉันอาจเป็นตัวซวยของคุณก็ได้ ถ้าหาไม่ได้จริงๆฉันจะแนะนำคนอื่นให้”
“ไม่ล่ะ ผมอยากได้คุณมากกว่า”
“ยังไงฉันก็ขอปฏิเสธ ขอฉันถ่ายอย่างอื่นบ้างได้ไหม ที่ไม่ใช่รูปแต่งงานน่ะ”
“เชื่อแล้วว่าฝันร้าย”
“ฝนหยุดแล้ว ฉันจะไปล่ะ”
ช่างภาพสาวทำท่าจะไปจริงๆ กฤตธรเลยต้องโพล่งความจริงออกไป
“งานที่จะจ้างคุณไม่ใช่รูปแต่งงาน”
“อ้าว...แล้วไม่บอกแต่แรก”
“แต่คุณจะได้ถ่ายรูปศิลปวัตถุและโบราณวัตถุที่คุณพ่อผมสะสมมาทั้งชีวิต!”
ooooooo
โอกาสดีๆจะได้สำรวจคลังสมบัติเก่าของกสินทร์หาไม่ได้ง่ายๆ โยสิตาเลยตัดสินใจจะรับงานของเขา กฤตธรดีใจมากแต่ก็ไม่วายสงสัยเพราะเหมือนว่าเธอจะตอบรับง่ายเกินไป
โยสิตาเห็นท่าเขาเลยแกล้งถามถึงงานนี้ว่าต้องถ่ายภาพอะไรบ้าง
“ก็ไม่มีอะไรมาก คุณพ่อผมท่านเกิดความคิดจะทำพิพิธภัณฑ์ส่วนตัว ทำให้ถูกต้องเป็นกิจจะลักษณะ ของน่ะแยกเป็นหมวดหมู่ไว้แล้ว เหลือแต่หาช่างภาพฝีมือดีถ่ายรูปเก็บลงข้อมูลประกอบเท่านั้นเอง”
“ฉันรับงานนี้ค่ะ”
“ไม่กลับไปนอนคิดสักสองวัน แล้วค่อยตัดสินใจหรือ”
“ไม่ค่ะ...คอนเฟิร์มตอนนี้เลยว่ารับค่ะ”
กฤตธรยอมรับว่าแปลกใจมาก แต่ในเมื่อเธอยอมรับงาน เขาก็อยากพาเธอไปดูสถานที่จริงสักครั้ง โยสิตาใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นที่จะได้ช่วยพ่อสืบหาเบาะแสของแผ่นจารึกโบราณเลยรับปากจะไปดูสถานที่ด้วยในวันรุ่งขึ้น
เมื่อตกลงและนัดแนะกันเรียบร้อย กฤตธรก็ใส่เบอร์มือถือเขาไว้ในเครื่องของเธอ โยสิตาทึ่งมากเพราะไม่คิดว่าเขาจะรุกหนักและเป็นกันเองขนาดนี้ ผีบุษกรซึ่งเป็นคนแผลงฤทธิ์ทำฟ้าผ่าแอบมองสองหนุ่มสาวอยู่นานแล้ว และรับรู้ได้ด้วยญาณพิเศษว่าชายหนุ่มหน้าหล่อนามว่ากฤตธรคนนั้นก็คืออดีตคนรักของเธอเมื่อพันกว่าปีก่อนนั่นเอง!
โยสิตากลับไปบอกข่าวดีกับพ่อ อธินเป็นห่วงไม่อยากให้ลูกสาวไปเสี่ยงแต่เธอก็ยืนยันจะทำ เช่นเดียวกับกฤตธรที่แจ้งเรื่องช่างภาพสาวคนใหม่ พร้อมออกตัวแรงถึงความเป็นมืออาชีพของเธอว่าต้องถ่ายภาพออกมาดีแน่ กสินทร์กับกวินทร์เลยได้แต่มองหน้ากันงงๆแต่ไม่กล้าขัดใจเพราะกฤตธรดูเชื่อมั่นมาก
ปารมีเป็นคนต่อมาที่ได้รับรู้ข่าวดีของโยสิตา แม้จะดีใจกับเพื่อนรักแต่ก็อดกังวลไม่ได้ เพราะหากความแตก ว่าโยสิตาเป็นลูกสาวคนเดียวของอธินนักโบราณคดีที่กำลังตามหาแผ่นจารึกโบราณ เรื่องก็อาจจะยุ่งยากกว่าเดิม แต่ช่างภาพสาวเพื่อนรักของเธอกลับไม่เครียดและขอร้องให้เพื่อนช่วยเก็บทุกอย่างเป็นความลับด้วย
ผีบุษกรรับรู้ได้ด้วยญาณพิเศษว่าโยสิตามีแผนจะเข้าใกล้กฤตธรเพื่อสืบหาแผ่นจารึกที่หายไป เลยแอบไปปรากฏตัวให้เห็นในกลางดึกของคืนเดียวกันพร้อมประกาศกร้าว
“เจ้าไม่มีวันได้สมหวังหรอก ไม่ว่าชาตินี้ชาติไหน... เกศอาภา!”
และหลังจากก่อความแตกตื่นให้แก่โยสิตาแล้ว ผีร้ายก็บุกถึงบ้านกฤตธรเพื่อได้มองหน้าเขาอีกครั้ง
“ท่านพี่...ท่านพี่กลับมาหาน้องแล้ว ท่านพี่เห็นใจน้องแล้วใช่ไหม น้องรอคอยท่านพี่มาแสนนาน...นานเหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ แต่ต่อให้นานแค่ไหน หัวใจของน้องก็ยังภักดีต่อท่านพี่คนเดียว”
ภาพหญิงสาวแต่งตัวด้วยชุดโบราณปรากฏขึ้นในความฝัน เสียงร้องเรียกและน้ำตาของเธอทำให้กฤตธรสะดุ้งตื่นกลางดึก ภาพหญิงสาวปริศนาคนนั้นหายไปแล้วเหลือไว้เพียงรอยยิ้มล้อเลียนของกวินทร์ที่แอบเข้ามาเพราะได้ยินเสียงเอะอะของพี่ชาย พร้อมกับแซวว่าเพิ่งเคยเห็นพี่ชายหมดฟอร์มและหน้าซีดเหมือนไก่ต้มเป็นครั้งแรก...
ooooooo










