สมาชิก

บางระจัน

ตอนที่ 15

สังข์ทำตามที่ตั้งใจไว้ ช่วยเหลือเชลยไทยจำนวนหนึ่งออกจากค่ายอังวะสำเร็จ แม้จะถูกไล่ต้อนเกือบตายหลายหน แต่เขาก็ไม่กลัว ฮึดสู้และพากลุ่มเชลยไทยหนีไปจนได้

ไม่กี่เพลาถัดมา ชาวค่ายระจันก็ได้เฮลั่น เมื่อสังข์หอบร่างสะบักสะบอมกลับมาถึงพร้อมกลุ่มเชลยไทย จวงโผเข้าหา ร้องไห้อย่างไม่อายด้วยความดีใจ ผัวรักรอดชีวิตและกลับสู่อ้อมอก เช่นเดียวกันกับพวกนักรบบ้านคำหยาด โดยเฉพาะทัพ ยินดีและภูมิใจในตัวเกลอรักมาก ที่เสียสละและทำเพื่อชาติขนาดนี้

สังข์เข้าไปกราบพระประธานในโบสถ์ “พวกเรา... บ้านระจันยอมพลีเลือดเนื้อทุกหยด ยินดีกอดกันตายเพื่อปกป้องแผ่นดินที่เราใช้ปลูกข้าวเลี้ยงชีวิต จะไม่ให้ใครมาข่มเหงรังแกพ่อแม่ที่เรากราบไหว้อย่างเด็ดขาด”

จวงยิ้มให้ผัวรัก “ขอคุณพระคุ้มครองพวกเราชาวระจัน ให้พ้นทุกข์ มีแผ่นดินกินอยู่ อย่ามีภัยใดๆให้เดือดร้อน”

“อย่าให้ศัตรูผู้ใดมากล้ำกราย ขอให้ทั้งบ้านเรือน ขอให้พ่อแม่พี่น้องเราอยู่ดีมีสุขตลอดไปด้วยเถิด”

ทัพเสริมด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนจะได้เฮพร้อมกับคนอื่นๆ เมื่อได้ยินเสียงฟ้าร้อง เสียงฝนตกแรกของปี

ฝ่ายพวกอังวะวุ่นวายมากกว่าทุกครั้ง เพราะเนเมียวสีหบดีมีคำสั่งให้ตามหาตัวนายกองคนใหม่มารบกับพวกบ้านระจันแทนอากาปันยี แล้วมยิหวุ่นนายกองประจำค่ายก็ตามเจอตัวคนที่เหมาะสม ได้แก่ชินอ่องหรือสุกี้ แม่กองสอดแนมชาวมอญผู้ชาญฉลาด เพราะถูกส่งตัวมาอยู่ในกรุงศรีอยุธยานับสิบปี เพื่อเตรียมการรบในครั้งนี้

ขณะที่พวกบ้านระจันยินดีกับฝนแรกแห่งปี สุกี้นายกองคนใหม่ก็วางแผนโจมตีชาวค่ายกับเนเมียวสีหบดี

“ข้าจะขอตั้งค่ายเป็นสามค่าย เอาปืนใหญ่ขึ้นหอรบแล้วขยับค่ายเดินหน้าสลับกันเพื่อป้องกันพวกมันมาลอบโจมตีอย่างค่ายอากาปันยี แล้วจะเดินค่ายเข้าหามันทีละค่าย พอประชิดระยะยิง ข้าจะเอาปืนใหญ่ยิงถล่มมันให้แหลก”

อัลบั้ม: ละครฟอร์มยักษ์ "บางระจัน"

เนเมียวสีหบดีนั่งฟังด้วยความชอบใจ แผนการรอบคอบแต่โหดเหี้ยมและเลือดเย็นของสุกี้น่าจะได้ผล

“มิเสียแรงที่เราส่งมาอยู่ในแผ่นดินโยเดียนับสิบปี ขอให้ท่านใช้ความรู้ความสามารถ เอาชนะพวกบ้านระจันทดแทนคุณแผ่นดินอังวะ ตั้งแต่นี้...ข้าขอแต่งตั้งให้ท่านมีตำแหน่งเป็นชุกคยี นายกองใหญ่ มีอำนาจสิทธิ์ขาดจะฆ่าใครก็ได้ที่มันขัดขวางแผนการทำลายค่ายระจัน แล้วเมื่อเราปราบโยเดียได้ย่อยยับ เราจะยกแผ่นดินโยเดียให้ท่านครอง”

สุกี้เริ่มแผนการแรกด้วยการนำปืนใหญ่ไปถล่มค่ายบ้านระจันจากทุกทิศทางในอีกไม่กี่วันต่อมา ชาวค่ายที่กำลังเริ่มทำนา หนีตายกันให้วุ่น พวกทัพและคนอื่นๆตกใจมาก แต่ยังตั้งสติได้ ช่วยพาคนแก่และเด็กหาที่หลบภัย ส่วนใจได้ยินเสียงปืนใหญ่ก็พยายามจะหนี ร้องตะโกนและแสร้งทำตาบอดน่าเวทนา จนมีชาวบ้านช่วยปลดเชือกให้

ด้านแท่น...นอนน้ำตาไหลบนเรือนพัก เสียงปืนใหญ่ดังติดกันหลายครั้ง ไม่ได้ทำให้อดีตนักรบคนสำคัญของค่ายหวาดหวั่น แต่เพราะช่วยเหลือตัวเองหรือใครไม่ได้ต่างหาก ทำให้ต้องช้ำใจเยี่ยงนี้ พ่อหมอและนักรบคนสนิทเข้ามาป้อนยา แท่นก็โมโหปัดทิ้ง ตวาดลั่นให้ไปช่วยคนอื่น อย่ามัวพยาบาลคนไม่มีทางรอดอย่างเขา พ่อหมอกับนักรบคนสนิทลังเล แต่เมื่อเห็นแววตาแข็งกร้าวของแท่น ก็ต้องเผ่นออกไปแทบไม่ทัน

ใจวิ่งหนีเสียงปืนมาจากอีกทาง ชนเข้ากับนายทองเหม็นที่เจ็บแค้นข้าศึก และเตรียมจะไปออกรบ ใจหน้าซีดเผือด เมื่อคิดได้ว่าคืนนี้เป็นคืนถึงฆาตของอีกฝ่าย พยายามรั้งไม่ให้เขาไป แต่ก็ไม่มีแรงมากพอ

“ไม่ต้องห่วงข้าไอ้ใจ ห่วงตัวเองเถิดไอ้ลูกชาย รีบพามันไปที่หลังค่าย...ให้คนหาข้าวหาน้ำให้มัน”

สั่งลูกน้องจบก็ลูบหัวใจด้วยความเอ็นดู ก่อนจะผละไปรบด้วยท่าทีห้าวหาญ ใจได้แต่มองตามด้วยความร้อนรน อยากตามไปห้ามใจแทบขาด แต่ก็ถูกนักรบคนสนิทของนายทองเหม็นรั้งตัวไว้

ooooooo

นายทองเหม็นควบควายคู่ใจถึงหน้าค่ายอังวะที่เพิ่งสร้างเสร็จอย่างไม่กลัวตาย ชุกคยีหรือสุกี้นายกองคนใหม่เหยียดยิ้มด้วยความสะใจ ก่อนจะสั่งให้เหล่าทหารยกพวกออกไปฆ่า นายทองเหม็นเห็นข้าศึกหลายสิบนายพุ่งมาก็ไม่ครั่นคร้าม กำขวานในมือแน่นและดาหน้าเข้าหาด้วยท่าทางสู้สุดใจ

“ให้กูตายเสียยังดีกว่าให้พวกมึงเยี่ยมหน้ามาเย้ย นักรบบ้านระจันยอมนอนกลางเลือด มันถึงจะเรียกว่าผู้ชายสยาม” นายทองเหม็นควงขวานในมือ ก่อนจะลูบหัวควายคู่ใจ “อ้ายเผือก เลือดเนื้อมึงกับกู จะขอหลั่งทาดิน ฝากธรณีไว้บูชาแผ่นดินที่อาศัย ขอฝากเลือดไว้กับหญ้าเขียว เราบุกมาตายเพราะตั้งใจจะรบตาย...รบมันเข้าไป!”

ขาดคำก็ควบควายคู่ใจเข้าหา ฟาดฟันพวกข้าศึกอย่างไม่ห่วงชีวิต ก่อนจะถูกล้อมและรุมแทงจากรอบด้านจนตายคาสนามรบ โดยมีศพควายคู่ใจนอนจมกองเลือดอยู่ไม่ไกลกันนั้น

กว่าพวกทัพจะทราบจากใจและออกไปช่วยนายทองเหม็น ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว ใจซึ่งหนีจากการคุมตัวของขาบมานอกค่ายจนได้ แอบดูจากพุ่มไม้ใหญ่น้ำตานองหน้า เมื่อเห็นพวกทัพแบกศพนายทองเหม็นกลับค่าย ถ้อยคำสุดท้ายก่อนจากกันยังเวียนวนในหัว อดีตพ่อค่ายจอมเมา รัก และห่วงเขาเหมือนเป็นลูกชาย นายทหารอังวะในคราบพรานหนุ่มแทบหมดแรงตรงนั้น ก่อนจะวิ่งหนีแบบไม่คิดชีวิต เมื่อได้ยินเสียงควบม้าและเสียงยิงลูกดอก!

แต่เพราะความอ่อนแรงจากการอดอาหารก่อนหน้า ทำให้เรี่ยวแรงถดถอย ใจถูกลูกดอกปักกลางหลังจนได้ และกำลังจะหมดสติ จู่ๆภาพความทรงจำในอดีตก็ผุดขึ้น ตอนที่เขาได้รู้ความลับของนายทองเหม็นเป็นครั้งแรก

“พ่อจะบอกให้ ในฐานะคนชอบพอเป็นพ่อลูกกัน... ถ้าเอ็งอยากฆ่าพ่อนะ ต้องแรมสิบห้าค่ำ คืนพระจันทร์ดับ อาคมในตัวพ่อจะหมดพลัง วันถึงฆาต...เอ็งรู้แล้วอย่าบอกใครนะไอ้ลูกชาย”

ใจขบกรามแน่นด้วยความรู้สึกผิด สติที่เหลือเพียงน้อยนิด ทำให้อดคิดถึงความน่าอดสูของตนไม่ได้ ที่นำความลับของนายทองเหม็นไปบอกชินอ่องหรือสุกี้ ศิษย์พี่ร่วมสำนักของจอกยีโบในเวลาต่อมา

“ดีมาก...ดวงไอ้คนขี่ควายมันต้องถึงฆาตตามนี้ ข้าจะเตรียมธนูหัวเงินลงอาคมล้างมันเอง”

ใจน้ำตาไหล เสียใจมากที่ตัดสินใจทำเรื่องเลวร้ายแบบนั้น ก่อนจะหมดสติเพราะพิษจากลูกดอก

งานศพของนายทองเหม็นยังไม่ทันเรียบร้อย หลวงพ่อธรรมโชติก็ต้องไปสวดมนต์สะเดาะเคราะห์ให้แท่นซึ่งอาการทรุดหนัก พวกชาวค่ายเลยเริ่มระส่ำระสาย โดยเฉพาะแฟง ซึ่งรักและนับถือแท่นมากในฐานะผู้มีพระคุณ

ชาวค่ายต่างพากันไปให้กำลังใจแท่นให้หายจากอาการเจ็บปวด โดยมีหลวงพ่อธรรมโชตินั่งสวดมนต์หน้าพระพุทธรูปที่โยงสายสิญจน์เข้าไปหาพ่อแท่นภายในเรือน เสียงสวดของหลวงพ่อทำให้แท่นได้สติ น้ำตาไหลจากทางหางตาด้วยความสะเทือนใจ ก่อนจะรวบรวมแรงเฮือก สุดท้ายเอ่ยคำสั่งเสียต่อเพื่อนนักรบจากบ้านศรีบัวทอง

“พระเสื้อเมืองทรงเมืองช่วยรักษาข้าให้หายทีเถิด ข้าจะได้ออกไปช่วยปกป้องพ่อแม่พี่น้องข้า ข้านอนฟังเสียงปืนใหญ่แล้วอยากจะจับดาบออกไปสู้กับมันจริงๆ”

อินยื่นมือไปจับเพื่อนรัก ก่อนจะให้กำลังใจว่าต้องได้กลับมารบด้วยกันอีกครั้ง

“ข้าไม่เคยกลัวพวกมัน ขอพี่แท่นรักษาตัวให้หายเร็วๆเถอะ ข้ารอจับดาบยืนข้างพี่แท่น”

“ถ้าพ่ออินยืนข้างซ้าย ข้าจะจับดาบยืนข้างขวาเอง” โชติเสนอตัวบ้าง

“เราสี่คนไม่เคยทิ้งกัน เราจะรบเพื่อพี่น้องของเรา” เมืองเสริม

“พี่น้องข้า...เราหนีร้อนจากศรีบัวทองมาบ้านระจัน เพราะหวังจะรวมกันรักษาแผ่นดินนี้ไว้ให้คนไทย เราอย่าทิ้งกัน จงสามัคคีกัน เพื่อรักษาค่ายระจันนี้ไว้ด้วยชีวิต รักษา ที่มั่นไว้จนลมหายใจสุดท้าย รักษาค่ายด้วยเลือดเนื้อของเรา”

แท่นกวาดตามองทุกคนช้าๆ ก่อนจะหมดลมหายใจ แฟงรู้เรื่องไม่นานหลังจากนั้น ร้องไห้โฮโผเข้าหาทัพ ก่อนจะคาดคั้นแบบไม่อยากเชื่อ “ไม่ ไม่...พ่อแท่นต้องอยู่ช่วยเราฆ่าไอ้พวกอังวะ พ่อแท่นต้องช่วยเรารบ พ่อแท่นต้องไม่ตาย พี่ทัพบอกฉันสิ ว่าพ่อแท่นจะอยู่ช่วยพวกเราฆ่าพวกอังวะ”

ทัพพูดไม่ออก ไม่รู้จะปลอบเช่นไร ได้แต่โอบกอดแฟงแนบอกทั้งน้ำตา เสียใจไม่ต่างกันเลย

ooooooo

การจากไปของนายทองเหม็นกับแท่น สองพ่อค่ายคนสำคัญในวันเดียวกัน ทำให้บรรยากาศในค่ายเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้และความหดหู่ แฟงกับทัพก็เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอดีตสาวแก่นจากบ้านคำหยาด โผกอดผัวด้วยความเศร้าใจ ทัพโอบกอดเมียรักแน่น ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วว่าอีกไม่นานคงถึงคราวของเขาบ้าง

แฟงมีสีหน้าตระหนก แต่แววตากลับเข้มแข็ง ไม่กลัว “ตายเพื่อไทย ไม่มีอะไรต้องเสียดาย”

ทัพจูบหน้าผากเมียด้วยความรัก “แฟง...พวกข้าศึกเอาปืนใหญ่มายิงเกือบถึงกำแพงค่ายเราแล้วนะ”

แฟงอ่านสายตาทัพออก “พี่อย่าบอกให้ฉันหนี พี่ทัพ...พี่ก็รู้ว่าฉันจะไม่หนี”

ทัพอึกๆอักๆ “พี่เห็นแก่ตัวใช่ไหมแฟง พี่ทนไม่ได้ ถ้าเห็นแฟงต้องเป็นอะไรไป...พี่รักแฟงเหลือเกิน”

“ฉันก็รักพี่ทัพจ้ะ ฉันอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีพี่ พี่ทัพจ๋า...เราต้องชนะศึก เราจะได้กลับไปอยู่บ้านคำหยาดของเรา”

ทัพปลื้มใจมาก ดึงเมียรักมากอดแนบอก นอนมองหมู่ดาวระยิบระยับบนฟ้า

“ชีวิตพี่มีความสุขเหลือเกิน ชื่นใจนักที่ได้กอดแฟงไว้ในอกทุกคืนทุกวันอย่างนี้”

“พวกเราสู้ศึกด้วยกตัญญูแผ่นดิน เสียดายนักถ้าแผ่นดินนี้ต้องตกเป็นของคนอื่น ผีปู่ผีย่าคงอยากให้พวกเรารักษาบ้านรักษาเมือง เหมือนที่พวกท่านรักษาไว้ให้ ผีค่ายผีเมืองต้องคุ้มครองรักษาพวกเราที่ทำเพื่อแผ่นดินนะจ๊ะ”

“แฟงอยู่ใกล้พี่ไว้นะ พี่จะปกป้องแฟงของพี่ พี่ต้องตายก่อน แฟงเอ๋ย...ให้ข้าศึกล้นฟ้ามานับหมื่น พี่ก็จะผลาญมันให้ย่อยยับ มิให้ล้ำมาถึงแฟง ดาบสองเล่มพี่ไม่หัก ก็อย่าหมายเลยว่าศัตรูหน้าไหนจะได้ล่วงเข้ามาใกล้แฟงของพี่”

แฟงขยับไปจูบแก้มผัวด้วยความชื่นใจ ทัพยิ้ม โอบกระชับอ้อมแขน เหมือนเป็นสัญญาจะไม่ทิ้งกันไปไหน

วันต่อมาที่ค่ายอังวะ...ใจฟื้นขึ้นมาด้วยสภาพสะลึมสะลือ แต่จอกยีโบก็ไม่สนใจ ตบหน้าศิษย์รักด้วยความโกรธจัด โดยเฉพาะที่เขาหลงรักสไบหญิงชาวโยเดีย จนทำให้อูทินลินต้องตาย และแผนการรบพังไม่เป็นท่าหลายครั้ง ใจสบตาไม่หลบ ก่อนจะสวนว่าอีกฝ่ายยิงเขาตายไปแล้วในสนามรบครั้งที่แล้ว


“ถ้าอยากให้ตาย ทำไมถึงพาข้ากลับมา”

“ข้าเลี้ยงเอ็งกับอูทินลินมา เห็นเป็นลูกคนหนึ่ง”

“สยาไม่เคยเห็นข้าเป็นลูก สยาเห็นข้าเป็นเหมือนสัตว์เลี้ยง ให้ข้าวให้น้ำ ฝึกให้ข้าแกร่ง เพื่อไว้ใช้งาน บุญคุณสยายิ่งใหญ่ท่วมหัวเด็กกำพร้าอย่างข้า ฆ่าข้าเถอะสยา...ข้าดีใจที่ได้กลับมาตายด้วยมือคนที่ป้อนข้าวป้อนน้ำ”

ใจมองมาอย่างท้าทาย จอกยีโบโมโห แต่จำต้องตัดใจ โต้กลับว่าพากลับมาเพราะเชื่อว่าข้อมูลลับในค่ายระจันหลายอย่างที่ใจรู้ จะเป็นประโยชน์ให้แก่กองทัพอังวะ

“ชุกคยีนายกองมอญเดินหน้าป้อมปืนใหญ่ใกล้ค่ายระจันแล้ว ค่ายระจันต้องแหลกสิ้นชื่อในอีกไม่กี่วันแน่นอน!”

ใจไม่ใช่คนเดียวที่ต้องอึดอัด สไบก็ลำบากใจไม่แพ้กันที่ผัวรักหนีออกจากค่าย เหมือนจะบอกว่าตัวเองเป็นไส้ศึกจริงๆ ขาบกับเฟื่องมาเยี่ยมและปลอบใจถึงเรือน แต่สไบก็คับแค้นใจไม่หาย ประกาศกร้าวตัดผัวตัดเมียกับใจแบบเด็ดขาด เฟื่องส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะเดินมาจับมือสไบแล้วพูดเสียงอ่อน

“แต่ฉันรู้...พี่ใจรักสไบด้วยใจจริง ถ้าทำเพราะหน้าที่ พี่ใจคงเผาค่ายนี้เสียตั้งนานแล้ว แต่หัวใจเขาอยู่ที่สไบ พี่ใจถึงได้รั้งรอ ไม่กล้าจะลงมือ” สไบโต้ว่าคงรักกับใจไม่ได้อีกแล้ว เฟื่องต้องโอบปลอบ “รักเถิดสไบ...หัวใจรักใช่บังคับด้วยเหตุด้วยผล รักก็คือรัก พี่ใจเองก็รู้ข้อนี้ดี”

สไบน้ำตาไหลพราก “แต่บุญคุณแผ่นดินสำคัญกว่ารัก ชาตินี้เราไม่อาจเคียงคู่กันได้ ถ้าชาติหน้ามีจริง ขอให้เราได้เกิดมาเป็นคนไทย เกิดมาร่วมแผ่นดิน ได้รักกันอีกสักครั้งเถอะ”

ท่าทางหัวใจสลายของสไบทำให้เฟื่องกับขาบสงสารมาก แต่ก็ไม่รู้จะปลอบยังไงให้ดีกว่านี้

ooooooo

ใจฟื้นตัวเต็มที่จากอาการบาดเจ็บ แต่ก็ทนทุกข์กับความสับสนในใจอย่างหนัก ไม่รู้ว่าจะเลือกข้างใคร ระหว่างคนไทยที่ช่วยเหลือเกื้อกูลเขาทุกอย่าง กับข้างบ้านเกิดอังวะ ซึ่งให้ที่ซุกหัวนอนและให้ชีวิตเขามาตั้งแต่เด็ก

จอกยีโบกับชุกคยีเองก็พอดูออก แต่ไม่อยากพูดอะไรมาก ราวกับจะวัดใจนายทหารสอดแนมที่กำลังสับสนว่าจะเลือกข้างไหน แล้วใจก็ทำให้ทุกคนแปลกใจ เมื่อเขาเห็นแผนการทำลายล้างค่ายบ้านระจันของชุกคยีในวันหนึ่ง

“ไม่ต้องใช้กำลังล้อมค่ายขนาดนั้น เข้าตีแค่เพียงด้านหน้าทางเดียว พวกระจันก็รักษาค่ายไม่ได้แล้ว”

จอกยีโบแย้งทันที เพราะใจเคยบอกว่าพวกบ้านระจันทำทางเข้าออกค่ายไว้หลายทาง

“พวกค่ายระจันทำทางเข้าออกหลายทางไว้หลอกพวกเรา ทำลายจากด้านหน้า ตรงเข้าใจกลางค่ายเป็นวิธีที่รวดเร็วและง่ายที่สุด ไม่ต้องเปลืองแรงทหาร ค่ายบ้านระจันไม่มีปืนใหญ่ พวกเราล้อมจับมันมาเป็นเชลยได้ไม่ยาก”

จอกยีโบยังไม่เห็นด้วย เพราะเห็นว่าแผนการของใจมีช่องโหว่ ให้พวกบ้านระจันหลบหนีไปทางด้านหลัง

ใจมีสีหน้าเรียบเฉย ตอนที่บอกให้ปล่อยไป ชุกคยีซึ่งนั่งฟังมานาน สวนกลับทันทีว่าไม่ต้องการเชลย

“ข้าอยู่กรุงศรีมาหลายปี รู้จักพวกมันดี คนไทยรักอิสระ พวกมันจะสู้จนตัวตาย แต่จะไม่ยอมเป็นทาสใคร เราไม่ควรเอามันไว้ ข้าจะถล่มค่ายบ้านระจันให้แหลก ฆ่ามันให้หมดทั้งค่าย แม้เด็กกินนมก็จะไม่ให้เหลือด้วยปืนใหญ่นี้!”

ด้านทัพกับแฟง...นั่งมองหน้ากันด้วยความกลุ้มใจ เพราะสถานการณ์ในค่ายไม่ค่อยดี ชาวบ้านและเหล่าพ่อค่ายเริ่มระส่ำระสายเพราะสูญเสียนักรบคนสำคัญอย่างนายทองเหม็นและแท่น ที่สำคัญ...ความคิดเห็นถูกแบ่งออกไปเป็นสองฝ่าย คือหลบเข้าป่าเพื่อเอาตัวรอดเหมือนทุกครั้ง หรือจะปักหลักรบและตายไปด้วยกันที่ค่ายบ้านระจันนี้

แฟงโผซบอกผัวแล้วร้องไห้ คร่ำครวญไม่หยุดถึงความเศร้าเสียใจกับการจากไปของแท่น ผู้มีพระคุณที่เคยช่วยชีวิตและพาเธอมาอยู่ที่นี่ ทัพโอบเมียรักแน่น เข้าใจความรู้สึกดี แต่ก็เป็นห่วงแม่ อยากให้เธอพาเฟี้ยมกับจันทร์หนีไปก่อน แฟงยังนิ่ง ไม่ยอมรับปาก หนักใจเหลือเกิน ไม่อยากทิ้งผัวแต่ก็ห่วงแม่ไม่ต่างกันเลย

พวกอังวะตั้งป้อมยิงปืนใหญ่เข้ามาในค่ายไม่เว้นแต่ละวันจนชาวค่ายหวาดผวา โดยเฉพาะรุ่งและพรรคพวกอีกสองสามคนกลัวมากและตัดสินใจหอบข้าวของออกจากค่าย สไบผ่านมาเห็น พยายามรั้งไว้ แต่รุ่งก็ไม่เปลี่ยนใจ

“เอ็งก็รู้แก่ใจนะสไบว่าเราไม่มีวันเอาชนะพวกอังวะได้ เอ็งจะให้พวกข้าอยู่สู้เพื่ออะไร ยศถาบรรดาศักดิ์อื่นใดข้ามิเคยอยากได้ จะอังวะหรือไทย ข้าก็เป็นแค่ไพร่ เอ็งจะให้พวกข้าอยู่รอ ให้พวกมันเข้ามาฆ่า มันคุ้มหรือ”

สไบจนด้วยเหตุผลจะค้าน เลยต้องปล่อยให้รุ่งพาพวกออกจากค่าย แต่พวกรุ่งก็ไปได้ไม่ไกล ถูกพวกอังวะลาดตระเวนล้อมจับและฆ่าตัดหัวตายทั้งหมด!

สถานการณ์ในค่ายเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ เสียงปืนใหญ่และเสียงกรีดร้องของชาวค่ายทำให้พวกพ่อค่ายต้องหารือกันอย่างเคร่งเครียด บรรดาชาวค่ายที่กลัวตาย ยืนกรานจะหนีไปตายดาบหน้า โชติไม่อาจดูดาย เสนอตัวคุ้มกัน

“ฉันยอมตาย...ฉันจะนำพ่อแม่พี่น้องขึ้นไปป่าชัยนาท แต่ฉันไม่รับปากนะ ว่าพวกเราจะรอดถึงชัยนาท”

พวกชาวบ้านที่กลัวตายถึงกับอึ้ง โวยวายกันให้วุ่น แฟงทนฟังอยู่นาน ทนไม่ไหวแหวขึ้น

“พวกไม่รักแผ่นดิน ถึงเวลาเข้าตาจนก็คิดแต่จะเอาตัวรอด นึกถึงตอนที่พวกพ่อๆออกรบเอาชนะอังวะมาตั้งหกเจ็ดครั้งสิ พ่อแท่นตายเพราะใคร พ่อทองเหม็นตายเพราะใคร ทำไมเวลานี้ถึงมาทิ้งเขาไป ทำไมไม่ช่วยกันรบ”

ทัพนิ่งเฉย ไม่คิดปรามเมียรัก พวกชาวบ้านต่างพากันโต้ว่ารบไม่เป็น แฟงโมโหสวนกลับ

“งั้นก็ไป...จะไปตายที่ไหนก็ไป ไอ้คนไม่รู้คุณข้าวแดงแกงร้อน ไม่รู้คุณคน!”

แฟงตั้งท่าจะพุ่งไปเอาเรื่อง เฟื่องกับเฟี้ยมต้องรั้งไว้คนละข้าง อดีตสาวแก่นทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ยืนร้องไห้ด้วยความคับแค้นใจ แล้วก็ต้องตะลึงตาค้าง เมื่อเห็นพวกลาดตระเวนแบกร่างไร้หัวของพวกรุ่งเข้ามา ชาวบ้านต่างพากันขวัญผวาเมื่อเห็นสภาพ โวยวายโหวกเหวกและพาลไปลงกับสไบที่มีผัวเป็นไส้ศึกอังวะ จวงเลยต้องพาสไบหลบไปก่อน ทัพทนอึดอัดใจต่อไปไม่ไหว อาสาไปขอปืนใหญ่จากทางกรุงศรีฯเอง

“ฉันเคยเป็นทหารอาตมาทของจมื่นศรีสรรักษ์ พ่อฉันเคยเป็นหัวหมู่ทะลวงฟันในสมเด็จเจ้าฟ้าอุทุมพร ฉันจะไปขอปืนใหญ่พระองค์ที่กรุงศรีอยุธยาเอง”

จันทร์กับจวงได้ยินก็หน้าเสีย พยายามรั้งไม่ให้ไป แต่ทัพก็ยืนกราน เพื่อรักษาชีวิตทุกคนในค่ายไว้ แฟงยืนร้องไห้เงียบๆ เศร้าใจแต่ไม่กล้าห้ามผัว ได้แต่มองไปทางเขาด้วยความรักและเป็นห่วงสุดหัวใจ เช่นเดียวกับพวกพ่อค่าย แม้จะรู้ว่าทัพต้องเสี่ยงแค่ไหน แต่ก็น่าจะเป็นทางออกเดียวที่พวกเขามี นายทองแสงใหญ่เป็นตัวแทนทุกคนพูดกับทัพ

“พวกข้าขอบน้ำใจเอ็งนักไอ้ทัพ ถ้าพวกเรามีบุญ เอ็งคงได้ปืนใหญ่มา”

ooooooo

สังข์กับขาบรู้ว่าเพื่อนจะฝ่ากองทัพอังวะไปขอปืนใหญ่จากกรุงศรีฯก็เป็นกังวลมาก ขาบอาสา ไปด้วย แต่ทัพปฏิเสธ อยากให้ช่วยกันกับสังข์ดูแลชาวค่ายมากกว่า ทัพมีสีหน้าหนักใจอย่างเห็นได้ชัด เพราะยังมีห่วงสำคัญคือเมียรัก แต่ก็ต้องตัดใจฝากฝังให้สองเกลอดูแลแทน

“ถ้าแฟง เฟื่อง จวง สไบจะพาพวกผู้หญิงออกจากค่ายเสียก่อน ข้าอาจจะห่วงน้อยกว่านี้”

สังข์กับขาบเห็นด้วยไม่ต่างกัน แต่ที่ไม่แน่ใจคือทัพทนไหวหรือ จะให้แฟงไกลจากตัว ทัพคิดนิดเดียว ถอนใจหนักหน่วง ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วว่าทนไม่ได้ เช่นเดียวกับขาบที่ไม่อยากห่างจากเมียรัก

“ข้าก็ทนไม่ได้ จะปล่อยเฟื่องห่างตัว เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ขอให้ได้อยู่ใกล้ๆ ได้เห็นหน้ากัน”

สังข์พยักหน้าเข้าใจดี เพราะเคยรู้สึกมาก่อน “ข้ารู้ว่าจากเป็นมันทุกข์แค่ไหน ตอนที่ข้ายอมไปอยู่ในค่ายอังวะ ให้มันทรมานข้าหนักหนาแค่ไหน ใบหน้าเดียวที่ข้านึกถึงทุกลมหายใจคือจวง”

“เอ็งไปเอาปืนใหญ่มาให้ได้เถอะไอ้ทัพ ไม่ต้องห่วงทางนี้ ข้าสองคนจะช่วยดูแลแฟง รอข่าวดีจากเอ็งกลับมา”

ขาบพูดแล้วโอบกอดให้กำลังใจเกลอรัก ทัพมองมาพร้อมรอยยิ้มมั่นใจ จะต้องนำปืนใหญ่กลับมาให้ได้

ทัพเตรียมตัวเรียบร้อยในอีกไม่กี่อึดใจต่อมา จึงไปล่ำลาเหล่าพ่อค่าย ชาวบ้านที่มาส่งและให้กำลังใจ

จันทร์กลั้นสะอื้น กอดลูกชายคนเดียวแน่น “คนดีพระคุ้มครอง ไปเถิดลูกแม่ เกิดมาชีวิตเดียว ได้ทำดีตอบแทนแผ่นดินนับว่าสมชาติเกิดแล้ว เอ็งเกิดเป็นลูกแม่ แม่เลี้ยงเอ็งมา ลมหายใจนี้มีค่าเหลือเกินแล้ว”

ทัพมองแม่ด้วยความซาบซึ้งใจ ก้มกราบแทบเท้า ขาบยื่นดาบให้ ทัพรับมาสะพาย ก่อนจะหันมองแฟง

แฟงโผไปกอด กลั้นน้ำตาอย่างเต็มความสามารถ อวยพรผัว “ขอให้พี่รอดปลอดภัย แฟงจะคอย”

ทัพพยายามไม่แสดงออกมาก จูบหน้าผากเมียรักแล้วยิ้มให้ ก่อนจะกระโดดขึ้นม้าออกจากค่ายไป แฟงมองตามผัวด้วยความอาลัย ก่อนจะรู้สึกเวียนหัว โลกหมุนติ้ว เดินไปชนรั้วค่าย โก่งคออาเจียนจนหมดไส้หมดพุง เฟื่องกับจวงรีบไปพยุง พอรู้ว่าแฟงระดูขาด ก็ยิ้มให้กันอย่างรู้กันว่าจะมีหลานตัวน้อยในไม่ช้า แฟงแทบหมดแรง แต่ก็ยิ้มไม่หุบ เมื่อรู้ว่าตัวเองตั้งท้อง กำลังจะมีลูกให้ทัพตามที่เขาร้องขอมาตลอดสักที

ส่วนสไบร้องไห้กอดดาบของพ่อคนเดียวบนเรือนพัก จวงมาเยี่ยม ปลอบให้คลายใจว่าพวกชาวบ้านคงไม่ได้ อยากประณามอีกฝ่ายแบบจริงจัง แต่คงพูดไปเพราะโมโหและกลัวตาย

สไบประกาศกร้าวจะฆ่าอังวะทุกคนต่อแต่นี้ แต่ก็ไม่วายถอนใจหนักหน่วง “ฉันไม่เข้าใจเลย ว่าทำไมคนเราถึงได้เกลียดชังกันจนฆ่าแกงกันได้ แต่เวลานี้ฉันรู้แล้วว่าทำไมคนเราต้องฆ่ากัน เราต้องฆ่ากันเพราะคนอื่น เราเกลียดคนอังวะเพราะเขาฆ่าพ่อแม่พี่น้องเรา ฉันต้องฆ่าคนอังวะเพราะพี่ใจทรยศต่อคนบ้านระจัน ทำไมเรา ต้องฆ่ากันด้วยจวง”

ขาดคำก็ร้องไห้โฮด้วยความเก็บกด จวงกอดปลอบ เปรยให้ทำใจว่าเราต้องฆ่าเพื่อความอยู่รอด

สไบกลั้นสะอื้น “พี่ใจไม่เคยคิดฆ่าฉัน แต่ฉันจะฆ่าเขาเอง ฉันจะฆ่าพี่ใจด้วยมือฉันเองจวง”

ใจทรมานไม่แพ้เมียรัก ต้องมองเห็นเพื่อนร่วมชาติวางแผนฆ่าพวกบ้านระจัน จอกยีโบมองมาด้วยสายตาหวาดระแวง ก่อนจะเตือนเสียงเข้ม ไม่ให้ศิษย์รักใจอ่อน ยอมละทิ้งหน้าที่ไปช่วยพวกบ้านระจัน

ใจส่ายหน้าเอือมระอา “สยาสอนข้ากับชุกคยีให้เชื่อมั่นแต่การฆ่า เชื่อในวิถีแห่งชัยชนะ แพ้ใครไม่ได้ แต่ข้า...ค้นพบสิ่งหนึ่งที่สยาไม่เคยสอน...การให้อภัย” จอกยีโบโกรธมาก คิดว่าศิษย์รักจะหักหลัง อองนายส่ายหน้า ขอร้อง “สยา...อย่าให้ข้าเข้าไปช่วยวางแผนอะไรอีกเลย ยิ่งข้ารู้มาก ข้ายิ่งมั่นใจ คนบ้านระจันประเสริฐนัก ข้าอยู่ที่นั่น ข้ารู้จักพวกระจันทุกคน รู้จักมันทั้งความคิด
ทั้งหัวใจ ถึงเราจะชนะ แต่เราก็จะเสียใจ”

จอกยีโบโมโหมาก แหวลั่น “อองนาย...แกเปลี่ยนไปแล้ว ข้าไม่น่าส่งแกเข้าไปอยู่กับพวกมันเลย มันกล่อมแกจนกลายเป็นพวกมัน แกจะไม่ช่วยข้าก็ได้ แต่แกห้ามทรยศต่อแผ่นดินอังวะของเรา”

จอกยีโบหมุนตัวออกไปแล้ว ทิ้งใจให้มองตามด้วยแววตาครุ่นคิด

“สไบ...ค่ายบ้านระจันคงไม่รอดน้ำมือสยากับชุกคยีในอีกไม่กี่มื้อนี้แน่ พี่ต้องพาสไบออกมาให้ได้!”

ooooooo

บางระจัน

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด