สมาชิก

บางระจัน

ตอนที่ 14

สังข์ส่งข่าวผ่านอ้ายเลาเสร็จก็ทำท่าจะซ่อนตัว แต่โชคไม่ดี ถูกอูทินลินซึ่งดักรอซุ่มทำร้าย สองหนุ่มสู้กันอย่างดุเดือด แล้วนายทหารสอดแนมชาวอังวะก็เป็นฝ่ายพลาดท่า ถูกสังข์ฆ่าตายในที่สุด!

เวลาเดียวกันที่หลังค่ายบ้านระจัน...ใจเผชิญหน้าทัพอย่างไม่หวั่นเกรง แม้จะถูกจับได้ว่าเป็นไส้ศึก

“ต่อให้รักสไบมากแค่ไหน ข้าก็ยังเป็นอังวะ ข้าไม่อยากฆ่าเอ็ง เอ็งเป็นคนดี เคยช่วยข้าไว้”

“มึงเอากองทัพมาย่ำยีแผ่นดินกู ปล้น ฆ่า ข่มเหงพ่อแม่พี่น้องกู คิดหรือว่าความเป็นมิตรที่มึงกับกูเคยมีจะทำให้มึงรอดวันนี้ไปได้ ไอ้ใจ...นับจากนี้กูจะลืมว่ากูเคยช่วยชีวิตมึง มึงจงลืมว่าเป็นหนี้ชีวิตกู มึงบอกว่ามึงเป็นอังวะ กูก็ขอบอกว่ากูคือไทย กูกับมึงคือศัตรูกัน มึงกับกูมาสู้กันอย่างศัตรู ถ้ากูไม่ตายก็อย่าหมายจะเอาแผ่นดินกูไป!”

ทัพกับใจผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างสูสี แต่สุดท้ายใจก็เสียที พ่ายแพ้แก่ทัพ ถูกซ้อมจนสลบ เมื่อฟื้นอีกครั้ง ก็ค้นพบว่าตัวเองถูกมัดด้วยเชือกอย่างแน่นหนาในเรือนตัวเอง แถมต้องเจอท่าทางเดือดดาลของขาบ ที่อยากจะบั่นคอไส้ศึกชาวอังวะในคราบพรานหนุ่มเหลือเกิน ทัพต้องยกมือห้ามไว้

“ฆ่ามันก็เหมือนเหยียบมดตัวหนึ่ง เก็บมันไว้ก่อน ข้าอยากรู้เรื่องในค่ายอังวะ”

“ถึงมันพูด เราจะเชื่อใจไอ้คนสองหน้านี้ได้ยังไง ฆ่ามันเลยดีกว่า”

ทัพถอนใจหนักหน่วง ก่อนจะบอกว่าใจคือคนที่สไบรัก ขาบยิ้มเยาะ

“หักหลังเราอย่างนี้ สไบคงรักมันไม่ลง”

“ให้สไบบอกมาว่าหมดรักมันวันไหน ไอ้ขาบ...เอ็งเอาหัวไอ้ใจไปได้เลย”

ทัพหันหลังจะลงเรือน แฟงกับสไบวิ่งสวนขึ้นมาพอดี ขาบเลยเล่าให้ฟังถึงวีรกรรมของใจ

“มันหลอกเราว่าตาบอด มันกำลังจะส่งข่าวกลับไปให้กองทัพของมัน”

แฟงมีสีหน้านึกไม่ถึง ทัพต้องดึงตัวออกไปพร้อมกับขาบ ทิ้งให้สไบมองผัวด้วยแววตาผิดหวัง

“พี่หลอกฉันว่าตาบอด หลอกฉันทุกอย่าง จิตใจพี่ทำด้วยอะไร ถึงย่ำยีความรักความเชื่อใจที่ฉันมีให้ถึงเพียงนี้!”

ขาบแยกกลับเรือนไปแล้ว ทัพจูงมือคนรักมาถึงหน้าเรือนตัวเอง สีหน้าลำบากใจจนแฟงสัมผัสได้

“พี่คงเสียใจมากที่พี่ใจหักหลัง หลอกพวกเรามาตลอด”

“แต่ยังมีคนที่เสียใจกว่าพี่”

“สไบ...สไบรักพี่ใจ รักอย่างหมดหัวใจ สไบคิดอยู่ทุกเมื่อ ว่าความรักจะผูกพี่ใจไว้ที่นี่”

แฟงพูดไม่มีผิดเลย สไบช้ำใจมากที่ต้องรับรู้ความจริงอันโหดร้าย ว่าผัวรักเป็นไส้ศึกจ้องจะทำลายแผ่นดิน

“ที่พี่เฝ้าถามฉันว่าจะยกโทษให้ได้ไหม ก็เพราะเหตุนี้ พี่รู้อยู่แก่ใจ รู้ทุกครั้งที่กอดฉัน ทุกครั้งที่พูดคำว่ารัก”

“พี่รักสไบจริงๆ รักตั้งแต่แรกเห็น รักทั้งๆที่ไม่ควรรัก...พี่อยากพาสไบไปอยู่ด้วยกัน พี่จะทำให้สไบสุขสบาย”

สไบน้ำตานองหน้า “พี่คิดว่าพาฉันจากบ้าน จากแผ่นดินนี้ไปอยู่อังวะ มันจะเป็นความสุขของฉันแล้วหรือ...

ฉันรักพี่ รักที่ให้ได้แม้แต่ชีวิต แต่พี่เป็นศัตรูแผ่นดิน คิดแต่จะฆ่าคนไทย แย่งแผ่นดินนี้ไป แล้วยังจะให้ฉันเห็นแก่ตัว หนีไปอยู่กับศัตรูหรือ พี่คิดว่าฉันไม่รู้ว่าพี่เป็นใคร...ฉันก็เหมือนกับพี่ทัพ หวังว่าความรักความดีจะเปลี่ยนใจพี่ได้”

ใจตาแดงก่ำ กดดันมากที่ต้องทรยศเมียรักเพื่อบ้านเกิดเมืองนอน สไบเอื้อมมือมาแตะใบหน้าผัวทั้งน้ำตา

“หวังให้แผ่นดินนี้เป็นบ้านที่เราจะอยู่ด้วยกัน...ตายด้วยกัน แต่รักของฉันที่ให้พี่ ไม่อาจทำให้ฉันทรยศแผ่นดิน หักหลังพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ฉันแลกแผ่นดินที่ฉันเกิดกับความรักของศัตรูไม่ได้”

ถ้อยคำตัดพ้อของสไบทำให้ใจพูดไม่ออก แต่ที่ทำให้แทบคลั่ง ก็เมื่อเห็นแววตาเด็ดเดี่ยวเธอ

“พี่ก็รู้ว่าฉันรักพี่แค่ไหน ชาตินี้ขอให้เราจบกันเพียงเท่านี้ แม้ชีวิตฉันจะสิ้นไปแล้ว แต่ฉันอยากบอกพี่ให้รู้ว่ารักของฉันจะยังคงอยู่ จะขอตามพี่ไปทุกชาติ ทุกภพ เกิดชาติหน้าฉันใด ขออย่าให้เราเกิดมาเป็นศัตรูกันเหมือนชาตินี้เลย”

คำประกาศกร้าวของสไบทำให้ใจใจหายวาบ เข้าใจทันทีว่าเมียรักคิดจะทำอะไร พยายามจะพุ่งตัวไปหา แต่ก็เอื้อมไม่ถึงเพราะติดเชือก ได้แต่มองตามเมียด้วยสายตาหมดอาลัยตายอยาก...สไบ...อภัยให้พี่ด้วย

อัลบั้ม: ละครฟอร์มยักษ์ "บางระจัน"

ooooooo

สไบเดินน้ำตานองหน้าออกนอกเรือนไปยังท่าน้ำ ภาพความหลังสมัยรักกับใจใหม่ๆลอยวนเวียนในหัว รวมทั้งภาพวันแต่งงานซึ่งเพิ่งผ่านพ้นเมื่อไม่กี่วันก่อน เจ็บปวดใจเหลือเกินที่ผัวรักต้องกลายเป็นคนทรยศเยี่ยงนี้

เพราะความผิดของผัว ทำให้สไบอับอายเกินกว่าจะพบหน้าใครได้ ตัดสินใจเด็ดขาดจะปลิดชีวิตตัวเองด้วยการเดินลงคลองท้ายค่าย โชคดีที่แฟง เฟื่องและจวงผ่านมาเห็นเสียก่อน ช่วยเอาไว้ได้ทัน

“ช่วยฉันทำไม ปล่อยให้ฉันตายยังดีกว่าอยู่สู้หน้าคน ผัวฉันเป็นคนทรยศ”

“ตายไม่ได้นะพี่สไบ เราต้องอยู่ อย่างน้อยก็เพื่อแผ่นดินเรา อยู่ช่วยกันไล่ไอ้พวกศัตรูให้พ้นแผ่นดินก่อน”

แฟงพยายามปลอบแกมขู่ เช่นเดียวกับจวง กล่อมให้อดทนและอย่าคิดสั้น

สไบร้องไห้โฮอย่างสุดกลั้น “ฉันจะอยู่ได้ยังไง ฉันถูกทรยศจากคนที่ฉันรักที่สุด”

“สไบ...ฟังฉัน ความรักแท้จริง หาใช่มีแต่สุข มันยังมีรสขมขื่นที่สุด ถ้าจะรัก เราต้องยอมรับรสขมนี้ด้วย และพิษร้ายของรสขมนี้จะทำให้ชีวิตเราแข็งแกร่ง ชีวิตคนเราต้องอยู่เพื่อวันข้างหน้า ไม่ใช่วันนี้...เข้มแข็งไว้” เฟื่องปลอบ

สไบสะอื้นไห้ แฟงมองมาด้วยความสงสาร ก่อนจะให้กำลังใจ “ความรักนี่แหละจะทำให้คนอ่อนแอเป็นคนกล้าขึ้นมา อย่าให้ความรักทำให้หัวใจกล้าของเราต้องยอมแพ้กับความเจ็บปวดเลยนะพี่สไบ”

ทัพได้รับข่าวการศึกจากสังข์ผ่านอ้ายเลาในคืนเดียวกัน โดยมีพวกฟักนั่งฟังอยู่ด้วย เจ็บแค้นเหลือจะกล่าวเมื่อรู้ว่าใจถูกจับได้ว่าเป็นไส้ศึกจากอังวะ เหล่าอดีตทหารจากบ้านคำหยาดบุกไปดูน้ำหน้าใจถึงเรือน ต่อว่าและเหยียดหยามด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ทัพต้องตัดบท สั่งให้ผลัดกันมาเฝ้าไม่ให้หนีไปได้

“ข้าจะสอบสวนมัน รอจนไอ้สังข์กลับมา เราจะได้มีโอกาสทำลายค่ายพวกมันให้ย่อยยับบ้าง”

“พวกเอ็งจะไม่มีทางรู้อะไรจากปากข้า” ใจโต้เสียงเรียบ

“อย่ารีบตายไอ้ใจ...ข้าขอให้เอ็งอยู่ดูคนไทย ปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองด้วยเลือด ด้วยชีวิต จงจำความรักที่พวกข้ามีต่อแผ่นดินเกิด เอาไปเล่าให้พวกเอ็งฟัง เอาไปเล่าให้ลูกหลานอังวะฟัง จะได้หลาบจำไม่คิดริอ่านมาย่ำยีกันตามใจชอบอีก แผ่นดินนี้ต้องเป็นของคนไทย ลูกหลานพวกกูเท่านั้น!”

ฝ่ายพวกอังวะตามหาอูทินลินให้วุ่น แต่ก็ไม่มีใครตามตัวพบ จอกยีโบเป็นกังวลมาก เพราะศิษย์รักหายตัวไปหลายเพลาแล้ว แต่ที่ทำให้ตาลุกวาว ก็เมื่อนายทหารคนสนิทรายงานเรื่องอองนายจากปากเชลยไทยปากกล้า ว่ายังมีชีวิตแต่ก็เหมือนตายทั้งเป็น จอกยีโบนิ่งคิดไปอึดใจ ก่อนจะสั่งให้คนพาตัวเชลยไทยมาสอบสวน แต่ทุกอย่างก็ต้องถูกระงับไว้ เมื่อเสียงกลองศึกดังขึ้น จอกยีโบเลยต้องรีบไปส่งจิกแกออกรบกับพวกบ้านระจันเสียก่อน

เสียงกลองศึกค่ายบ้านระจันดังขึ้นไม่นานหลังจาก นั้น เหล่านักรบจึงไปรวมตัวกันที่ลานค่ายอย่างรวดเร็ว ใจซึ่งถูกมัดไว้ในเรือนร้อนรนมาก ถูเชือกจนมือชุ่มเลือดไปหมด สไบผ่านมาเห็นพอดี มองมาด้วยแววตาสมเพชและผิดหวัง

“ฉันรู้ว่าพี่จะใช้เวลานี้ หลบหูหลบตาพวกเราไปส่งข่าวนอกค่าย เหมือนกับที่พี่หลอกฉันทุกครั้ง”

ใจประสานตากับเมียรัก “พี่ต้องทำ พี่จะไม่ขอความเห็นใจจากสไบ ถ้าสไบคิดว่าพี่สมควรตาย ก็ฆ่าพี่ด้วยมือของสไบเสียสิ ให้พี่ตายด้วยคมดาบของคนที่รักที่สุด วิญญาณพี่จะได้ตายตาหลับ”

สไบชักดาบของพ่อออกจากฝัก มองผัวด้วยแววตาทั้งรักทั้งแค้น แต่ใจก็ไม่สะทกสะท้าน

“ถึงยังไง ทัพกับพวกก็ไม่ปล่อยให้พี่รอด สไบก็ชังน้ำหน้าพี่ หมดรักพี่แล้ว จะอยู่หรือตาย ชีวิตพี่มันก็ไร้ค่า ไหนๆวิญญาณพี่ก็จะหลุดจากร่างด้วยมือสไบแล้ว ก็ขอให้พี่ได้พูดบางอย่าง...”

“ฉันไม่อยากฟัง ฉันไม่อยากได้ยินคำพูดปดมดเท็จจากปากคนปลิ้นปล้อน หน้าไหว้หลังหลอกอย่างพี่อีก”

“พี่รักสไบ...ต่อให้ต้องตาย ความรักของพี่ก็จะไม่เปลี่ยนไปจากสไบ”

สไบกำดาบ แววตาหนักแน่นแต่อ่อนโยนของผัวทำให้อดหวั่นไหวไม่ได้

“สไบ...ฟันคอพี่ซะ มองพี่ว่าเป็นข้าศึกคนหนึ่ง เหมือนที่สไบออกรบ แล้วฟันทหารอังวะตาย”

สไบเงื้อดาบสูง แต่ใจก็สบตาไม่หลบ “ทุกคนรักแผ่นดินเกิด ทุกคนต้องเสียสละชีวิตเพื่อบ้านเมือง พี่ก็เหมือนกัน ชีวิตพี่มีเพื่ออังวะ หลายครั้งที่สไบทำให้พี่รู้สึกอยากอยู่ที่นี่ ใช้แผ่นดินอยุธยาเป็นเรือนตาย แต่เลือดในตัวพี่คืออังวะ มันเตือนว่าพี่ต้องสละได้แม้แต่ชีวิตเพื่ออังวะ ฟันพี่ให้ตายเถอะสไบ ให้ความรักของเราจบสิ้นไปพร้อมกับลมหายใจพี่”

ขาดคำก็ขยับตัวมาใกล้ พร้อมให้เมียรักฟันให้ตายคามือ สไบเงื้อดาบในมือนิ่ง สีหน้าลังเลใจอย่างหนัก

“สไบไม่ได้ทำผิดอะไรเลย พี่ต่างหากที่ทำให้สไบเจ็บช้ำเพราะความรักของพี่ ฆ่าพี่เสียสไบ...ฆ่าพี่”

สไบมือสั่น สุดท้ายก็ทำใจไม่ได้ หมุนตัววิ่งออกไปทั้งน้ำตา ทิ้งใจให้มองตามด้วยแววตาเศร้าๆไม่ต่างกันเลย

ooooooo

ระหว่างที่สไบวิ่งไปนอนร้องไห้ที่มุมหนึ่งหลังค่ายบ้านระจัน ด้วยความช้ำใจที่ผัวรักกลายเป็นคนทรยศ ทัพไปร่ำลาแฟงถึงหน้าเรือน กุมมือเธอแน่นและยกมาจูบอย่างทะนุถนอมเพื่อขอกำลังใจ

“พี่จะเป็นกองหน้า บุกขยี้ทัพจิกแกให้ราบเป็นหน้ากลอง ให้มันสำนึกถึงหัวใจชาวบ้านระจันที่มอบให้แผ่นดิน”

“ไปเถิดพี่ทัพ พวกฉันจะเป็นกองหนุน รอฟังคำสั่งให้ออกไปช่วยพี่”

“คราวนี้เราวางแผนกันไว้อย่างดี นักรบหญิงคงไม่ต้องไปเสี่ยง”

“พวกฉันอยากออกไปช่วย ถึงจะฟันได้ไม่เท่ากับคมดาบของพวกผู้ชาย แต่หัวใจพวกฉันก็ฮึกเหิม ยินดีนัก ถ้าข้าศึกมันตายลงได้แม้สักคนด้วยคมดาบของผู้หญิงอย่างเรา”

ทัพโอบกอดแฟงด้วยความภูมิใจ “ใจเจ้างามนัก ชนะครั้งนี้กลับมา พี่จะไปขอเจ้ามาเป็นแม่ศรีเรือนตามสัญญาของเรานะแฟง” แฟงก้มหน้าด้วยความเขิน ทัพเชยคางเธอขึ้น มองมาด้วยแววตาหวานฉ่ำ “พี่ขอมัดจำให้ชื่นใจ”

จบคำก็จูบแก้มแฟงอย่างอ่อนโยน แฟงอายหน้าแดงก่ำ แต่ก็อบอุ่นใจเหลือเกินที่ได้เป็นกำลังใจให้เขา

อีกด้านที่เรือนขาบ...อดีตหัวหมู่แห่งกรุงศรีฯยิ้มให้เฟื่องอย่างอ่อนหวาน ขยับไปใกล้เพื่อขอกำลังใจ

“พี่จะเอาชัยชนะมาให้”

“เพื่อแผ่นดินที่เราใช้ปลูกข้าว เพื่อลูกหลานของเรานะจ๊ะ”

ขาบจูบแก้มเมียรัก ซึมซาบความรักที่มีต่อกันเป็นกำลังใจไปสู้รบ ด้วยความหวังเต็มหัวใจว่าต้องได้ชัยชนะ

ด้านจิกแก...มัวลำพองใจกับไพร่พลหลายร้อยและอาวุธพร้อมสรรพ เลยไม่ทันระวังว่าจะถูกวางแผนตลบหลัง แล้วก็ต้องหน้าซีดเผือด เมื่อเห็นกองกำลังชาวบ้านของพวกค่ายบ้านระจัน ซุ่มโจมตีกลางป่า

“ฆ่ามันให้หมด พวกมันมีแค่กระหยิบมือเดียว บุกฝ่าออกไปให้ได้!”

จิกแกตะโกนสั่งเหล่าทหารเสียงลั่นสีหน้าเคร่งเครียดและหวาดหวั่นไม่น้อยเพราะเพิ่งเห็นกับตา ว่าพวกนักรบจากบ้านระจันมีฝีมือน่าครั่นคร้ามแค่ไหน แล้วก็ต้องควบม้าหนีแทบไม่ทัน เมื่อเห็นหนึ่งในนั้นพุ่งมาใกล้หมายจะบั่นคอ ทัพนั่นเองที่ตั้งใจจะจัดการสังหารนายกองคนล่าสุดของอังวะ ขุนสรรค์ซึ่งซุ่มโจมตีจากบนต้นไม้ เห็นหนึ่งในทหารอังวะเล็งปืนมาที่ทัพ เลยพยายามร้องเตือน แต่อดีตทหารกล้าก็ไม่ได้ยิน ควบม้าฝ่าดงกระสุนไปอย่างเร็ว

ขุนสรรค์เห็นท่าไม่ดี เลยช่วยยิงสกัด ทัพเลยฝ่าดงปืนไปได้และฆ่าจิกแกตายได้ในที่สุด สังข์กับพวกเชลยไทยได้ยินข่าวก็โห่ร้องด้วยความดีใจ ต่างจากเนเมียวสีหบดี เจ็บแค้นมากเมื่อเห็นศพของจิกแก

“จิกแกนี้เป็นนายทหารฝีมือดีที่ข้าไว้ใจที่สุด แต่กลับมาแพ้ ถูกฆ่าตายด้วยคมดาบไอ้พวกชาวบ้านโยเดียโง่ๆ มันหมายความว่ายังไง จะให้ข้าไปกราบทูลพระเจ้ามังระว่าไอ้พวกชาวบ้านโยเดียมันเก่งกว่านายทหารอังวะงั้นหรือ”

จอกยีโบก้มหน้ายอมรับผิดที่ช่วยอะไรไม่ได้ ก่อนจะหน้าเสีย เมื่อเห็นนายทหารแบกศพอูทินลินเข้ามา

“เราพบศพท่านอูทินลินที่ริมน้ำ ห่างจากค่ายเราไปสักร้อยเส้น”

จอกยีโบพยายามระงับความโกรธอย่างมาก ก่อนจะต้องกลั้นใจตอบเนเมียวสีหบดีว่าศพล่าสุดนี่คือใคร

“อูทินลิน...นายทหารฝีมือดีของข้า เขารู้เรื่องค่ายบ้านระจันดี แต่ถูกลอบฆ่าเสียแล้ว”

“นี่มันลอบสังหารทหารท่านถึงในค่ายเชียวหรือ จะมัวรออะไร รีบหานายทหารคุมทัพไปปราบมันอย่าให้มันผยอง จะเอาทหารไปอีกกี่ร้อยกี่พันก็เอาไป ข้าต้องได้เหยียบซากศพพวกบ้านระจันก่อนตีกรุงโยเดียแตก...เข้าใจไหม!”

ooooooo

ชัยชนะครั้งล่าสุดของชาวบ้านระจันทำให้ทัพได้ทำตามสัญญา ขอแฟงมาเป็นแม่ศรีเรือนอย่างที่ตั้งใจ เหล่าพ่อค่ายพร้อมใจกันมาร่วมงาน โดยมีพวกชาวบ้านจากบ้านคำหยาดมาเป็นพยานมากมาย แต่ที่ทำให้สองบ่าวสาวปลื้มใจที่สุด คงหนีไม่พ้นหลวงพ่อ ธรรมโชติ ที่มาร่วมอวยพรด้วย

“ขอให้เอ็งทั้งสองจงซื่อสัตย์ ครองรักมั่นคงจน แก่เฒ่า ขอให้ความรักของเอ็ง จงเป็นพลังให้สร้างแต่กรรมดีที่ไม่มีวันสูญสิ้น มีลูกมีหลาน เป็นกำลังสำคัญของแผ่นดินตลอดไป”

งานฉลองถูกจัดอย่างครึกครื้น หลังจากนั้นที่ลานหน้าเรือนทัพ บรรดาชาวค่ายล้อมวงดื่มเหล้าและกิน อาหารกัน โดยทัพกับแฟงถูกจับแยกคนละวง เอิบกับช่วง แซวบ่าวสาวใหญ่ด้วยความคะนองปาก เลยถูกทัพสวนกลับ

“ใครมันว่าเจ้าสาวข้าไม่สวย ข้าจะชกให้คว่ำ ฟันให้ขาดสองท่อน”

เสียงโห่ร้องแซวดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่บ่าวสาวหมาดๆจะถูกแบกไปส่งตัวเมื่อถึงฤกษ์ ท่ามกลางรอยยิ้มของเหล่าชาวบ้าน โดยเฉพาะพวกบ้านคำหยาด ถึงกับโห่แซวตามไล่หลังกันให้สนุกปาก...ปราบพยศนังแฟงให้ได้นะพ่อทัพ!

เวลาเดียวกันที่ค่ายอังวะ...สังข์ปลอมตัวมาสืบกลศึกอีกครั้ง จึงได้รู้ว่าอากาปันยีคือนายกองคนใหม่

“พวกบ้านระจันฝีมือเก่งกล้า ใจมันห้าว ยอมตายแต่ไม่ยอมถอย ข้าขอสร้างค่ายขึ้นใกล้ๆพวกมัน การตั้งค่ายสู้ ก็เพื่อยึดที่มั่นไว้ให้นานที่สุด หากไม่ชนะ ข้าพเจ้าจะไม่ถอย”

“ข้าให้เจ้าทำทุกอย่าง ขอให้ปราบไอ้พวกบ้านระจันนี้ให้ได้ ถ้าพวกมันแข็งแกร่งกว่านี้ มันจะเป็นกำลังสำคัญช่วยทัพกรุงโยเดียตีกระหนาบหลังค่ายใหญ่ของข้าที่ปากน้ำประสบ จงรีบไปรื้อทำลายค่ายมันล้างอายให้ข้าโดยเร็ว”

สังข์มีสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อได้ยินแผนการของอากาปันยี ฉวยโอกาสตอนผลัดเวรลอบออกจากค่ายเพื่อไปส่งข่าวเหมือนเคย ด้วยความหวังสุดใจว่าพวกบ้านระจันจะได้รับชัยชนะอีกครั้ง

ด้านทัพ...ขยับตัวไปใกล้เจ้าสาวหมาดๆด้วยความเสน่หา ก่อนจะช่วยดึงดอกไม้ที่ผมเธอออก แฟงก้มหน้าด้วยความเขิน ทัพชอบใจมาก และยิ่งสนุกเมื่อคาดคั้นให้เธอบอกรัก แฟงทำท่าจะถอยหนีด้วยความอาย แต่ทัพไม่ยอมดึงมากอดแน่น ซุกไซ้จมูกคลอเคลียไปทั่วแก้มนวลด้วยความรักล้นใจ

แฟงไม่ยอมบอกรัก เลยถูกทัพจูบไซ้ไปทั่ว ก่อนจะกระเง้ากระงอดเหมือนเด็กๆที่เธอไม่ยอมบอกรัก แฟงส่ายหน้าอ่อนใจ และขอตัวนอนดื้อๆ ทัพเลยได้โอกาสดันเธอลงบนที่นอน

“พี่ก็ง่วงเหมือนกัน”

แฟงดิ้นจะหนี แต่ก็ถูกรวบตัวไว้ ก่อนจะถูกจูบที่แก้มอีกครั้ง สาวแก่นถึงกับสะท้าน

ทัพยิ้มหวาน กระซิบเสียงกระเส่าที่ข้างหู “แม่ยอดหญิงของพี่ทัพ พี่จะรักแฟงให้มากกว่าที่แฟงรักพี่ จะทะนุถนอมดอกไม้ไพรดอกนี้ให้มีแต่ความหอมหวาน จะไม่ทอดทิ้งให้แฟงช้ำใจแม้เพียงน้ำตาหยดเดียว”

“พี่สัญญากับฉันแล้วนะ ฉันก็จะรักพี่ให้มากกว่าชีวิตฉัน...รักพี่ทุกลมหายใจ”

ทัพสัญญาหนักแน่น ก่อนจะจูบเจ้าสาวคนสวยอย่างดูดดื่ม ชื่นใจมากที่ได้มีวันได้อยู่ด้วยกันแบบนี้

สองผัวเมียหมาดๆผ่านพ้นค่ำคืนแสนหวานไปได้ด้วยดี ก่อนจะออกมาช่วยกันทำนาและทำงานต่างๆในค่ายอย่างมีความสุข หยอกล้อและเอาใจใส่กันและกันเป็นอย่างดี ตามประสาคู่แต่งงานข้าวใหม่ปลามัน ต่างจากคู่ใจกับสไบ หมางเมินต่อกันอย่างเห็นได้ชัด ต่างฝ่ายต่างต้องทนเก็บกดความอึดอัดใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

ขาบพาเฟื่องมาเยี่ยมสไบถึงเรือนในเช้าวันเดียวกัน สภาพทรุดโทรมและสะบักสะบอมของใจทำให้เฟื่องถึงกับพูดไม่ออก แม้จะโกรธที่อีกฝ่ายเป็นไส้ศึกทำลายแผ่นดิน แต่ก็ไม่ใจไม้ไส้ระกำพอจะให้เขาอดตาย

“กินข้าวซะบ้างเถอะ อดข้าวอดน้ำไปจะตายเสียเปล่า”

ใจเบือนหน้าหนี ปฏิเสธเสียงเข้มจะไม่กินอะไร ขาบหมั่นไส้เลยแขวะเข้าให้

“กูไม่เชื่อขี้ปากมึงหรอก อยากจะให้ตายไปเสีย ติดว่าทัพมันคิดว่าเอ็งอาจจะเห็นแก่สไบ”

สไบไม่มีท่าทางยินดียินร้าย ใจถึงกับใจหายวาบเมื่อเห็นความเย็นชาในแววตาของเมียรัก เฟื่องทนไม่ไหว กล่อมให้กลับตัวกลับใจเสียตั้งแต่ตอนนี้ คนบ้านระจันใจกว้างพอจะยอมรับคนที่ยินดีกลับตัว แต่ใจก็ไม่ยอม แถมท้าให้ฆ่าทิ้งอีกต่างหาก สองผัวเมียจากบ้านคำหยาดถึงกับพูดไม่ออก ต่างจากสไบที่เอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรกของวัน

“ไม่ต้องร้องขอหรอก คนคด...จะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน”

ooooooo

ทัพกอดจูบอ้ายเลาด้วยความปลื้มใจที่ช่วยนำกลศึกจากสังข์กลับมาค่ายหลายครั้ง ทำให้ชาวบ้าน ระจันมีชัยเหนือพวกอังวะตลอด และครั้งต่อไปก็จะเป็นคำขอร้องครั้งสุดท้าย

“ข้าขอให้เอ็งช่วยครั้งนี้อีกครั้งเดียวจริงๆอ้ายเลา จงทำให้สำเร็จ พาไอ้สังข์กลับค่ายเราให้ได้”

อ้ายเลาห้อออกไปแล้ว ฟักซึ่งมาดูแลคอกม้าเป็นเพื่อนทัพ ได้แต่มองตาม อดกังวลไม่ได้ “ขอให้อ้ายเลามันช่วยพี่สังข์กลับมาได้ด้วยเถอะ ข้าเป็นห่วงพี่สังข์จริงๆ แอบสืบข่าวในค่ายมันนานขนาดนั้น มันอันตรายเหลือเกิน”

ฟักยกมือไหว้ฟ้าดิน พึมพำขอให้สังข์ปลอดภัยตามประสา โดยมีทัพมองมาด้วยความหนักใจไม่แพ้กัน

แต่ที่สองหนุ่มนึกไม่ถึง คือสังข์ตัดสินใจยังไม่กลับค่ายบ้านระจัน เพราะมีอีกภารกิจสำคัญ

“ขอบน้ำใจเอ็งจริงๆนะอ้ายเลา กลับไปบอกไอ้ทัพว่าข้ายังกลับไม่ได้ ข้าขออยู่ช่วยเชลยไทยที่นี่ก่อน ข้าทิ้งพ่อแม่พี่น้องไทยของข้าไว้ในค่ายไม่ได้ดอก”

สังข์ลูบหัวอ้ายเลาเบาๆด้วยความรักและเอ็นดู เขียนแผนกลศึกล่าสุดให้ ก่อนจะยื่นหญ้าให้กิน

“กินแล้วรีบห้อกลับไปนะอ้ายเลา ข้าต้องรีบกลับเข้าไปในค่ายมัน พวกมันวางเวรยามแข็งขันเหลือเกิน”

อ้ายเลากลับถึงค่ายคืนเดียวกันนั้นเอง ทัพรีบนำข้อความจากสังข์ไปบอกพวกพ่อค่าย

“ไอ้สังข์มันว่าแผนของอังวะคือสร้างค่ายที่บ้านขุนโลก ประชิดบ้านระจันไว้ พวกมันเตรียมเสบียง อาวุธสู้ศึกเต็มที่ พวกมันจะไม่ถอยกลับค่ายวิเศษไชยชาญ จนกว่าจะปราบค่ายบ้านระจันของเราลงได้”

เหล่าพ่อค่ายมองหน้ากันอย่างหนักใจ เพราะหากพวกอังวะตั้งค่ายประชิด ศึกแต่ละครั้งคงยืดเยื้อ แถมไพร่พลก็มีไม่มากพอจะปะทะแบบซึ่งๆหน้า ไหนจะเด็กและคนแก่ในค่ายที่อาจไม่ปลอดภัย นายจันหนวดเขี้ยวทนฟังอยู่นาน เสนอให้ตัดหน้าโจมตีเสียก่อน ไม่ให้พวกข้าศึกตั้งค่ายสำเร็จ ขุนสรรค์เห็นด้วย

“ข้าก็คิดอย่างนั้น ลงมือเสียคืนพรุ่งนี้ อย่าให้มันตั้งตัว อย่าให้มันตั้งค่ายสำเร็จ!”

ทัพก้มหน้ารับคำสั่ง ก่อนจะกลับมาเตรียมตัวที่เรือน และพร้อมออกรบในคืนวันต่อมา แฟงยืนมองผัวพนมมือไหว้ประเจียดมงคลของหลวงพ่อธรรมโชติด้วยสีหน้าเป็นกังวล แม้จะมั่นใจในฝีมือเขา แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้

“การใหญ่ของมันจะต้องล่มด้วยสองมือ ด้วยหัวใจนักสู้ของพี่ทัพ และเหล่านักรบบ้านระจันของเรา”

ทัพตั้งจิตอธิษฐาน ยกมือท่วมหัว ก่อนจะหันมารับดาบคู่จากเมียรัก แฟงโผกอดผัวแน่น

“ไปเถิดพี่ทัพ คนกล้าของแฟง ไปรบ...หลั่งเลือดเพื่อแผ่นดินของเรา พวกเราจะต้องมีแผ่นดินไว้ให้ลูกหลานได้อยู่ได้กิน เมียจะคอยฟังเสียงโห่ร้อง จะหุงหาข้าวปลา จะรอซับเหงื่อให้ผัวรักอยู่ที่ค่ายนี้”

ทัพโอบตอบเมียรัก “แฟง...จงปลื้มใจเถิด ผัวเจ้าไปศึกเยี่ยงแม่ทัพ ไปล้างศึกเอาชนะมาให้เมีย ค่ายบ้านระจันจะโห่รับพี่เมื่อเสร็จศึก แฟงจะต้องมีหน้า เพราะผัวรักได้ชัยชนะกลับมา”

ระหว่างที่ทัพกับแฟงยิ้มให้กันด้วยความหวังเต็มเปี่ยมจะคว้าชัยชนะเหนือพวกอังวะ ขาบบุกไปเยี่ยมใจถึงเรือน ดึงหัวไส้ศึกในคราบพรานหนุ่มที่หน้าตาทรุดโทรมเพราะอดน้ำและอาหารขึ้น และพูดใส่หน้าเสียงหยัน

“คืนนี้กูอยากพามึงออกไปรบด้วย ให้มึงได้เห็นว่าวันนี้พวกกูจะทำลายค่ายของมึงให้ราบได้ยังไง”

ขาบผละจากไปแล้ว ทิ้งใจให้มองตามด้วยแววตาวาวโรจน์ เจ็บแค้นมากที่ช่วยกองทัพตัวเองไม่ได้เลย

เหล่านักรบบ้านระจันรวมตัวกันที่ลานค่าย และออกไปซุ่มตัวตามจุดต่างๆตามแผน ฟักรับหน้าที่สำคัญ ควบม้าไปท้าทายพวกอังวะถึงหน้าค่าย อากาปันยีหลงกล สั่งเปิดประตูค่ายเพื่อไล่จับชาวระจันมาบั่นคอ แต่กองทัพอังวะก็ต้องแตกร่นไม่เป็นท่า เมื่อเจอกองทัพแบบกองโจรของชาวค่ายบ้านระจัน และที่ทำให้นายกองคนใหม่แทบกระอัก ก็เมื่อเห็นว่าค่ายที่เพิ่งสร้าง กำลังถูกไฟไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านในพริบตา!

อากาปันยีร้องโวยวายให้เหล่าทหารดับไฟ ก่อนจะควบม้าหนีแบบไม่คิดชีวิต เมื่อถูกพวกบ้านระจันไล่ต้อนเข้าไปในค่าย และถูกนายจันหนวดเขี้ยวฟันฉับตัดหัวขาดตายกลางสนามรบ

เนเมียวสีหบดีมองห่อผ้าบรรจุหัวอากาปันยีด้วยแววตาโกรธจัด ตวาดลั่นใส่เหล่านายกองที่เหลือ ว่าอาจมีสายสืบในค่ายอังวะเป็นแน่ พวกชาวบ้านระจันถึงได้หยามน้ำหน้าเอาชนะได้ครั้งแล้วครั้งเล่า

จอกยีโบเครียดหนัก “ข้าพเจ้าขอรับผิด หากวางแผนรบครั้งนี้ไม่สำเร็จ ข้าพเจ้ายินดีให้ท่านตัดหัว”

“ข้าจะไม่ยอมให้พวกระจันมันหยามข้าได้อีก รบคราวนี้ข้าอนุญาตให้นำกองปืนใหญ่ไปยิงถล่มมันได้เลย พังค่ายมันให้พินาศ เนื้อคนกับดาบจะต้านลูกระเบิดปืนใหญ่ได้ก็ให้มันรู้ไป แต่ถ้ายังไม่ชนะ ก็จงตัดหัวของท่านมาให้ข้า!”

ooooooo

บางระจัน

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด