ตอนที่ 79
บทที่ 79 คนเพี้ยนแซ่ซู... คุณชายซูจอมอนามัย... (9)
ซ่งชิงชุนดึงสมุดออกมา หลังจากปัดฝุ่นออก จึงตระหนักว่าน่าจะเป็นไดอารี่สมุดจดบันทึก...
สมุดเล่มนี้ดูหนาและถูกใช้งานมานาน ซ่งชิงชุนพลิกสมุดในมือไปมา คำถามมากมายประดังขึ้นในใจเธอ หรือนี่จะเป็นไดอารี่ของซูจือเนี่ยน ทำไมผู้ชายตัวโตๆ อย่างเขายังเขียนไดอารี่แบบนี้อยู่ เอาจริงๆ นะ คนไร้อารมณ์เหมือนหุ่นยนต์เช่นเขาจะเขียนอะไรลงไปในไดอารี่บ้างนะ หรือว่านี่จะเป็นสมุดบัญชี ใช่... น่าจะเป็นอย่างนั้นมากกว่า อาจจะเป็นสมุดบันทึกค่าใช้จ่ายของเขาละมั้ง...
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เธอรู้สึกสนอกสนใจขึ้นมาทันที เธอเหลียวมองไปยังประตูห้องนอนที่ปิดไว้ ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพลิกเปิดอย่างระมัดระวังประหนึ่งค้นพบกองสมบัติอย่างไรอย่างนั้น
หน้าแรกของสมุดมีคำเขียนไว้แค่เพียงสองคำ “ซูจือเนี่ยน”
เป็นลายมือที่ดูเป็นเหลี่ยมๆ อ่านง่าย เหมือนลายมือของเด็ก ซึ่งแตกต่างจากลายเซ็นที่เขาเซ็นในปัจจุบันอย่างชัดเจน บางทีเขาอาจเขียนเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ซ่งชิงชุนพลิกดูคร่าวๆ จึงทราบว่าไดอารี่เขียนไปแล้วครึ่งเล่ม และลายมือที่เขียนตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้ายนั้น เผยให้เห็นถึงพัฒนาการจากวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่
“ใครจะไปคิดว่า หุ่นยนต์อย่างตาเพี้ยนซูจะมีนิสัยชอบเขียนไดอารี่กับเขาซะด้วย อืม... บางทีคราวหน้า ฉันน่าจะเรียกเขาว่าซูมือเขียนไดอารี่ดีกว่า” ซ่งชิงชุนพึมพำอู้อี้ ก่อนจะสุ่มพลิกเปิดอ่าน
...
ยามที่ซูจือเนี่ยนได้ยินคำว่า “ซูมือเขียนไดอารี่” เขาก็ค่อยๆ ออกจากภวังค์ ในตอนนั้นเขายังไม่เข้าใจถึงความหมายของฉายานั้น ดวงตาของเขาฉายแววสงบปลอดโปร่งโดยไม่รู้ตัว อะไรกัน... เธอตั้งฉายาใหม่ให้ฉันอีกแล้วงั้นหรือ
ก่อนที่เขาจะประมวลความคิดในใจเสร็จ ก็ได้ยินเสียงนุ่มนวลของซ่งชิงชุนดังขึ้นอีกครั้ง “ผมใช้เวลาสามชาติภพติดตามหาเธอ และตอนนี้ ผมจะใช้เวลาอีกหนึ่งชาติภพเพื่อทำให้เธอมาเป็นภรรยาของผม... อีตานั่นเป็นคนเขียนประโยคนี้จริงๆ หรือนี่ ช่างไพเราะเพราะพริ้งฟังเป็นบทกวีสุดๆ ...”
พอถึงจุดนี้ ซูจือเนี่ยนตวัดกลับมาตั้งใจฟังอีกครั้ง เขาหรี่ตาลงโดยไม่รู้ตัว ขณะหมุนตัววิ่งแนบออกจากห้องทำงาน
...
ตอนเธอเรียนอยู่มัธยมหก ซ่งชิงชุนเอาการบ้านของซูจือเนี่ยนมา ‘อ้างอิง’ อยู่เสมอ เธอจำลายมือในตอนนั้นของเขาได้รางๆ ระหว่างอ่านไดอารี่อยู่นั้น เธอมั่นใจว่าข้อความในไดอารี่ ซูจือเนี่ยนเขียนไว้ตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย
ไดอารี่เขียนไปแล้วหลายหน้า ทว่าในแต่ละหน้า มีเพียงประโยคสั้นๆ และประโยคที่เธอเพิ่งอ่านออกเสียงไปนั้นยาวเพียงประโยคเดียว “ผมใช้เวลาสามชาติภพติดตามหาเธอ และตอนนี้ ผมจะใช้เวลาอีกหนึ่งชาติภพเพื่อทำให้เธอมาเป็นภรรยาของผม”
พออ่านประโยคนี้จบ ซ่งชิงชุนรู้สึกว่าหัวใจเธอเต้นรัวและแรงขึ้น “อีตานั่นเป็นคนเขียนประโยคนี้จริงๆ หรือนี่ ช่างไพเราะเพราะพริ้งฟังเป็นบทกวีสุดๆ ...”
ซ่งชิงชุนกำลังจะอ่านต่อ แต่อยู่ๆ เธอก็ทำไดอารี่หล่นลงพื้น แล้วยืนแน่นิ่งอยู่ข้างเตียง
สามสิบวินาทีต่อมา ซ่งชิงชุนยืนกะพริบตาปริบๆ สติค่อยๆ กลับคืนมา เธอขมวดคิ้วนิ่วหน้า ตาจ้องมองไปยังไดอารี่บนพื้น ฉันอ่านไดอารี่อยู่ไม่ใช่หรือ แล้วทำไมมันตกอยู่ที่พื้นได้ล่ะ
ซ่งชิงชุนคิดว่าตัวเองเหนื่อยทั้งกายทั้งใจก็เลยเบลอ จึงก้มลงหยิบไดอารี่ขึ้นมา และกล่าวต่อ “ใครจะไปคิดว่าคนอย่างเขารู้จักเขียนบทกวีแบบนี้เป็น...”
ขณะที่เธอตั้งใจจะเปิดไดอารี่เพื่ออ่านต่อ เธอเอ่ยข้อสงสัยขึ้นมาเสียงดัง “ดูเหมือนฉันน่าจะเรียกเขาว่า จอมกวีซูด้วยดีกว่า...”
ตอนที่นิ้วของซ่งชิงชุนกำลังจะพลิกหน้าปกไดอารี่อยู่นั้น ประตูห้องนอนพลันเปิดออกดังโครมพอดิบพอดี แล้วน้ำเสียงเย็นเยียบของซูจือเนี่ยนถามขึ้นอย่างดุดันว่า “คุณทำอะไรอยู่”