ตอนที่ 64
บทที่ 64 กระชากหน้ากาก
โม่เสวียนมองไปทางเยี่ยหวันหวั่นด้วยสายตาลึกล้ำ “ในเมื่อคุณชายเก้าหลับแล้ว ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
เยี่ยหวันหวั่นไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติของโม่เสวียน จึงพยักหน้าตอบรับ “ค่ะ”
หลังจากโม่เสวียนไปแล้ว เยี่ยหวันหวั่นก็นอนเป็นเพื่อนซือเยี่ยหานต่อไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมง เมื่อมั่นใจแล้วว่าเขาหลับสนิทจริงๆ จึงค่อยกลับไปห้องตัวเอง
วันถัดมา
ใต้ซุ้มดอกไม้ด้านในลานนั่งเล่น ซือเยี่ยหานกำลังนั่งจัดการงาน มีเยี่ยหวันหวั่นฟุบหัวทำการบ้านอยู่ข้างๆ ทั้งสองต่างจัดการเรื่องของตัวเอง ดูเป็นบรรยากาศที่อบอุ่นและกลมเกลียวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
น่าจะเป็นเพราะได้นอนเต็มอิ่ม ซือเยี่ยหานจึงอารมณ์ดีตลอดทั้งวัน แม้คนใช้จะไม่ทันระวังทำน้ำกระเด็นใส่เอกสารของเขาก็ยังไม่โกรธ เขาเพียงขมวดคิ้วย่น โบกมือไล่ให้ออกไป แล้วสั่งให้สวี่อี้ไปปริ้นมาใหม่อีกฉบับ
ส่วนคนใช้ที่เกิดเรื่องคนนั้นก็เดินโซเซออกไปเหมือนฝันไป
สวี่อี้นำเอกสารที่ปริ้นออกมาใหม่วางไว้ด้านหน้าของซือเยี่ยหานอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็กลับไปยืนรออยู่ด้านข้างเงียบๆ
สองวันมานี้ ความรู้สึกของสวี่อี้ค่อนข้างสับสนซับซ้อน เยี่ยหวันหวั่นทำตัวดีว่าง่ายจนทำให้เขาสงสัยว่าเธอโดนทำของใส่หรือเปล่า
ไม่เพียงเท่านี้ แม้แต่คุณหญิงย่าก็พอใจเธอมาก เรื่องทั้งหมดที่เขาเป็นกังวลในตอนแรก ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
บางทีอาจเป็นเพราะเขาคิดมากไปเองจริงๆ?
เวลานี้เอง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา
จิตใต้สำนึกบอกให้สวี่อี้มองไปที่โต๊ะ เห็นว่าเป็นโทรศัพท์มือถือของเยี่ยหวันหวั่น หน้าจอแสดงสายเรียกเข้า...ชื่อของเฉินเมิ่งฉี
เมื่อมองเห็นชื่อนี้ ในใจของสวี่อี้พลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา...
เยี่ยหวันหวั่นทำการบ้านวิชาอื่นๆ เสร็จอย่างรวดเร็ว ขณะที่กำลังลังเลว่าควรลองท้าทายทำวิชาคณิตศาสตร์ดีหรือไม่นั้น ก็ถูกสายเรียกเข้าขัดจังหวะพอดี
เมื่อมองเห็นชื่อบนหน้าจอสายเรียกเข้า แววตาของเยี่ยหวันหวั่นพลันวาบไหว
เฉินเมิ่งฉี...
หากเธอจำไม่ผิดล่ะก็ เฉินเมิ่งฉีในชาติก่อนก็โทรมาหาเธอเวลานี้ เพื่อแจ้งข่าวอุบัติเหตุทางรถยนต์ของกู้เยว่เจ๋อ
เฉินเมิ่งฉีในเวลานี้ไม่รู้ว่าเธอมาอยู่ที่บ้านใหญ่ ก็ยังโทรมาหาเธอ...
แต่ก็พอเข้าใจได้ ต่อให้เธอเปลี่ยนแปลงเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่บ้านใหญ่ได้ แต่เรื่องที่กู้เยว่เจ๋อประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์นี้เป็นเรื่องที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
โอกาสในการยุแยงที่ดีขนาดนี้ เฉินเมิ่งฉีย่อมไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือ ดังนั้นจึงโทรมาหาเธอเหมือนกับชาติที่แล้ว
“ที่รักคะ ฉันขอตัวไปรับสายหน่อยนะ!” เยี่ยหวันหวั่นบอกกับซือเยี่ยหาน ก่อนจะเดินไปอยู่ใต้ร่มเงาไม้ที่อยู่ห่างออกไป
ซือเยี่ยหานมองตามเงาหลังของเยี่ยหวันหวั่น แววตาพลันหม่นลง
จังหวะที่เยี่ยหวันหวั่นเพิ่งจะเดินออกไปไม่กี่วินาที โทรศัพท์ของสวี่อี้ก็ดังขึ้นเช่นกัน
ไม่รู้ว่าคนปลายสายนั้นพูดเรื่องอะไร ใบหน้าของสวี่อี้ซีดขาวลงไปทันที ราวกับวันสิ้นโลกได้มาเยือน
สักพักหนึ่ง สวี่อี้ก็วางสายแล้วมองไปทางซือเยี่ยหานใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยถ้อยคำที่อยากจะเอ่ยแต่ก็ไม่กล้าเอ่ย
ผ่านไปครู่หนึ่ง ถึงได้เอ่ยพูดตะกุกตะกัก “ผม..เพิ่ง...เพิ่งได้รับรายงานว่ากู้เยว่เจ๋อประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ครับ เหมือนว่าจะสาหัสมาก ตอนนี้ทางโรงพยาบาลกำลังช่วยชีวิต...”
พูดมาถึงตรงนี้ สวี่อี้ไม่กล้าพูดอะไรต่อไปอีก
เรื่องที่เขาเป็นกังวลมานาน ในที่สุดก็เกิดขึ้นแล้ว อีกทั้งสถานการณ์ยังแย่ยิ่งกว่าที่เขาจินตนาการไว้!
เมื่อครู่โทรศัพท์ที่เยี่ยหวันหวั่นไปรับสายเป็นไปได้แปดสิบเปอร์เซ็นต์ ว่าเฉินเมิ่งฉีต้องบอกเรื่องนี้กับเธอเป็นแน่
กู้เยว่เจ๋อบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ เยี่ยหวันหวั่นจะไม่ไปเยี่ยมเขาได้อย่างไร?
กลัวแต่ว่าเมื่อได้ยินข่าวนี้แล้ว ไม่ว่าจะเสแสร้งอย่างไรก็ต้องถูกกระชากหน้ากากให้เผยความจริงออกมาทั้งหมดแล้ว!