ตอนที่ 50
บทที่ 50 ต่อให้คุกเข่าก็ต้องแสดงต่อไป
เพราะซือเซี่ยพูดออกมาแล้ว ในที่สุดการฝึกซ้อมจึงได้ดำเนินต่อไป
แม้ว่าคนอื่นๆ จะไม่ยินยอม แต่เพราะบารมีของซือเซี่ย จึงทำได้เพียงข่มอารมณ์เริ่มการฝึกแต่โดยดี
เยี่ยหวันหวั่นยักไหล่อย่างไม่สนใจ แสดงก็แสดงสิ ดูสิว่านายจะทนได้ถึงตอนไหน
บทของซือเซี่ยไม่เยอะนัก ระหว่างการซ้อมจึงนั่งหลับอยู่ข้างหน้าต่าง จนกระทั่งสุดท้ายถึงส่วนของเขาแล้วจึงถูกปลุกขึ้นมาอย่างระมัดระวัง
“คือว่า...ซือเซี่ย ถึงบทของนายแล้ว...”
ฉากต่อไปคือคนแคระทั้งเจ็ดนำเจ้าหญิงสโนว์ไวท์วางในโลงแก้ว เจ้าชายแคว้นข้างเคียงรีบเร่งขี่ม้ามา ใช้จุมพิตที่อันเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักทำให้เจ้าหญิงสโนว์ไวท์กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
ซือเซี่ยขมวดคิ้วลืมตาขึ้นมอง จากนั้นก็สบตากับสายตาสงสารเห็นใจราวกับกำลังไว้อาลัยของทุกคน
นี่มันสายตาอะไรกันเนี่ย?
เยี่ยหวันหวั่นกระโดดไปยังโต๊ะตัวหนึ่งที่เตรียมการไว้ก่อนหน้านี้ ขยับขาทั้งสอง หยิบกระเป๋าเครื่องสำอางแบบพกพาออกมา “รอเดี๋ยวนะ ฉันขอเติมหน้าหน่อย”
เติมอายแชโดว์ ปัดแก้มให้เข้มขึ้น แล้วเติมลิปสติกสีม่วงอีกสักหน่อย ผลลัพธ์ที่ได้สุดยอดระดับ MAX ไปเลย!
“โอเค ฉันพร้อมแล้ว” เมื่อทาลิปสติกเสร็จแล้ว เยี่ยหวันหวั่นแหงนหน้านอนลง
ภายใต้สายตาที่ฆ่าคนตายได้ของผู้หญิงทุกคน ซือเซี่ยลูบผมที่ยุ่งเล็กน้อยจากการนอนหลับ ปลดกระดุมคอเสื้อออกอย่างรำคาญใจ เดินเข้าไปตรงหน้าหญิงสาวทีละก้าวๆ
จ้องมองผมทรงแอฟโฟรสีเขียวของหญิงสาว การแต่งหน้าสไตล์เฮฟวี่เมทัล (Heavy Metal) ที่เหมือนกับผี รอยสักหัวกระโหลกอินดี้พร้อยไปทั้งตัว รวมทั้งลิปสติกสีม่วงจนเกือบดำบนริมฝีปากคู่นั้น กระเพาะของชายหนุ่มเกิดการปั่นป่วนอย่างรุนแรง
ซือเซี่ยกอดความคิดที่ว่าตายเร็วก็ได้เกิดใหม่เร็ว สูดหายใจเข้าลึก แล้วก้มตัวลงไปช้าๆ...
ฉลากที่ตัวเองจับขึ้นมาเอง ต่อให้คุกเข่าก็ต้องเล่นต่อไป!
“กรี๊ด อย่านะ!” มีผู้หญิงบางคนตกใจเสียจนหลับตาไม่มอง ราวกับนี่ไม่ใช่ภาพฝันในนิทานวัยเด็ก แต่เป็นหนังสยองขวัญอะไรสักอย่าง
“เฮ้ย คงไม่ได้จะจูบจริงหรอกนะ! พวกเราเป็นแค่เด็กมัธยมปลาย เล่นใหญ่มากไปไม่ได้ ฉากจูบแค่อาศัยมุมฉากก็พอแล้ว!”
“เพ้อเจ้อ ก็ต้องอาศัยมุมฉากอยู่แล้วสิ! แต่ว่าปัญหาคือต่อให้อาศัยมุมก็ทนไม่ได้ต่างหากเล่า”
...
อาศัยมุมฉาก? เขาเข้าใกล้เธอในระยะสามก้าวก็นับว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์แล้ว...
แทบจะในขณะที่ซือเซี่ยเพิ่งก้มตัวลงมาเข้าใกล้อีกนิด เขากลับยืดตัวกลับขึ้นไปทันที แล้วไออย่างรุนแรง สาวๆ ที่ห้อมล้อมอยู่เห็นดังนั้น ส่งน้ำส่งผ้าขนหนูให้เขาอย่างสงสารจับใจ
เฉิงเสวี่ยถลึงตามองเยี่ยหวันหวั่นอย่างแรง เห็นท่าทางของซือเซี่ย เธอสงสารเสียจนจะร้องไห้อยู่แล้ว “ซือเซี่ย อย่าทำให้ตัวเองต้องลำบากอีกเลยดีไหม?”
เยี่ยหวันหวั่นปีนลุกขึ้นมาด้วยสีหน้าใสซื่อ “เอ๊? เป็นอะไรไป?”
ซือเซี่ยดื่มน้ำเข้าไปทั้งขวดถึงได้สงบลง เอ่ยขึ้นอย่างยากลำบากว่า “เธอ...เปลี่ยนสีปากหน่อย...”
เยี่ยหวันหวั่นกะพริบตาปริบๆ “กินแอปเปิ้ลพิษเข้าไปโดนวางยาพิษ ปากก็ต้องเป็นสีม่วง ถูกต้องแล้วนี่!”
ระหว่างคิ้วของชายหนุ่มแฝงด้วยความใกล้จะถึงจุดแตกหักเต็มที “หุบปาก ให้เปลี่ยนเธอก็เปลี่ยนสิ!”
“ก็ได้ เปลี่ยนก็เปลี่ยน~” เยี่ยหวันหวั่นเบ้ปาก ทำท่าเหมือนต่อว่าว่าเอาใจยากจริง สุดท้ายก็หยิบเครื่องสำอางออกมา ลบลิปสติกสีม่วงออก เปลี่ยนเป็นลิปสติกสีแดงสดที่ค่อนข้างปกติ
“แบบนี้ได้แล้วใช่ไหม?”
ซือเซี่ยหลับตา “ลองอีกที”
“อื้อ” เยี่ยหวันหวั่นทำได้เพียงนอนลงไปใหม่อีกครั้ง
ซือเซี่ยเดินเข้าไปหาเยี่ยหวันหวั่นใหม่อีกครั้ง ก้มหัวลงอีกครั้ง เข้าใกล้ช้าๆ...
จ้องใบหน้าที่แต่งหน้าฉูดฉาดหน้าเตอะ รวมถึงปากสีเลือด ครั้งนี้ ซือเซี่ยพุ่งออกนอกห้องเรียนไปเลย
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดซือเซี่ยก็กลับมาในอาการเซื่องซึม มองดูเหมือนคนทั้งคนได้ถูกกระชากวิญญาณออกไปแล้ว
เยี่ยหวันหวั่นเห็นดังนั้น ก็รู้สึกไร้คำพูด ตาหมอนี่สุดยอดจริงๆ ดื้อหัวชนฝาเพื่อรักษาหน้าลูกผู้ชาย คุ้มเหรอ?
ไปหาอาจารย์เพื่อคัดค้านแล้วขอเปลี่ยนคนซะก็จบเรื่องแล้ว เธอก็ไม่ต้องลงแรงมากขนาดนี้ด้วย!