ตอนที่ 7
คะนองนำขบวนเกียรติยศมารับอนัญทิพย์ที่เมืองท่าคอย แต่สำเภางามให้รั้งรออยู่ในป่าเจ็ดวันเพื่อให้พิธีแต่งตั้งพระมหาเทวีเจ้าผ่านพ้นไปก่อน
ระหว่างทางอนัญทิพย์จับได้ว่าคะนองและพวกมีแผนร้ายกับตน แต่นางก็ได้พบบัวไหลบ่าวผู้จงรักภักดีโดยบังเอิญ บัวไหลเล่าเรื่องท้าววงษากับขุนเวียง ทหารคนสนิทของเจ้าหลวงปิตุลาที่มาตั้งรกรากอยู่ในหมู่บ้าน ขุนนางทั้งสองพร้อมกลับมาเมืองทิพย์เพื่อช่วยเหลือเจ้าอนัญทิพย์
ก่อนจะเข้าในเมือง อนัญทิพย์ได้นำขุนเวียงกับท้าววงษาและบัวไหลไปสาบานกับกู่เจ้าหลวงปิตุลาว่าจะจงรักภักดีต่อนางจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เฟืองรู้เห็นว่าอนัญทิพย์กลับมาก็รีบบอกตองนวล
ทุกคนไม่คาดคิดว่าอนัญทิพย์จะรอดชีวิตจากการลอยแพ เสกขรดีใจมากจะรีบไปรับญาติผู้น้องที่หน้าคุ้ม สำเภางามไม่ชอบใจแต่จำยอมติดตามไปด้วย เพราะกลัวอนัญทิพย์จะข่มเหงรังแกเสกขร
อนัญทิพย์เปิดศึกกับตองนวลที่มาหาเรื่อง สองฝ่ายพูดจาแขวะกันไปมา แต่สุดท้ายตองนวลก็ทานอำนาจของอนัญทิพย์ไม่ได้ ส่วนเสกขรที่อยากพบเจ้าทิพย์ พอมาเจอกันตรงหน้าคุ้มเจ้าหลวงเห็นท้าววงษากับขุนเวียงอยู่ด้วยจึงทักถามดีๆ แต่อนัญทิพย์กลับพูดจาหาเรื่องเสกขรจนสำเภางามทนไม่ไหวระเบิดอารมณ์ด่ากราดทุกคน
เรื่องราวทำท่าจะบานปลายถ้าแสงตาทหารรับใช้ของเจ้าหลวงไม่เข้ามาแทรก แสงตาทำตามคำสั่งเมืองคุ้มมาบอกอนัญทิพย์ให้เข้าเฝ้าแต่เพียงผู้เดียว เสกขรหน้าเจื่อนบอกสำเภางามว่าตนจะกลับคุ้ม อนัญทิพย์ได้ใจเชิดหน้ายิ้มหยันก่อนเดินผ่านไปอย่างผู้ชนะ
ภายในคุ้มหลวง เมืองคุ้มโอบกอดแสดงความรักต่ออนัญทิพย์ แต่นางกลับผลักไสอ้างว่าตนมาเหนื่อยๆยังไม่ได้อาบน้ำ
เมืองคุ้มไม่ฟังเพราะทั้งรักและคิดถึง พออนัญทิพย์ ปัดป้องก็โอดครวญว่าจะทรมานตนให้ตายหรือ ตนรอวันนี้มานาน วันที่เราจะได้อยู่ด้วยกันไปจนวันตาย
“เจ้าพี่รับสั่งกับข้าก่อนว่าจะรักข้าคนเดียว คำสัญญาที่เคยให้ไว้กับข้าหามีอันใดเปลี่ยนแปลงไม่”
“โธ่ เจ้าทิพย์น้องพี่ พี่เคยพูดกับเจ้าคำใด คำนั้นก็ยังเหมือนเดิม รักก็คือรัก ต่อให้ผีหลวง เทวดาฟ้าดิน ก็ไม่สามารถดึงหัวใจพี่ไปหาหญิงอื่นได้”
อนัญทิพย์ดีใจน้ำตาไหลพราก โผเข้าซบอกเมืองคุ้ม พร่ำพูดคำรักครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างมีความสุข
ฝ่ายสำเภางามพาเสกขรกลับคุ้มแล้วก็บ่นอย่างแค้นเคืองอนัญทิพย์ที่ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณของเสกขร
“พระนางหน่อเจ้ารักมัน แล้วมันรักพระนางหน่อเจ้า บ้างหรือไม่ ข้าล่ะเจ็บใจนัก”
“เจ้าทิพย์มีสิทธิ์ที่จะโกรธข้า...เจ้าป้าก็รู้”
“หากพระนางหน่อเจ้าทรงหมายถึงเรื่องที่เจ้าหลวงบุรพคามแย่งชิงบัลลังก์จากพ่อมัน ยามนี้ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไปแล้ว...ยังจะแค้นเคืองอยู่ไย”
“หามีอันใดเปลี่ยนแปลงยากเท่าแรงอาฆาตดอกเจ้าป้า ตราบใดที่ยังไม่มีเมตตาต่อกัน”
“ผู้อื่นใช้ความเมตตาได้เจ้าค่ะ แต่สำหรับอีทิพย์ ปัญญาหยาบเกินกว่าจะรู้แจ้ง”
เสกขรเบือนหน้าหนี ระบายลมหายใจไม่อยากเถียงต่อ
ooooooo
ภายในห้องบรรทมคุ้มหลวง อนัญทิพย์กับเมืองคุ้มนอนกอดกันบนเตียงด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข อนัญทิพย์วาดฝันถึงงานแต่งตั้งตัวเองเป็นพระนางหน่อเจ้า
“ข้ารู้จากเจ้าคะนองว่าเจ้าพี่เตรียมการพระราชพิธีราชาภิเษกและแต่งตั้งพระมหาเทวีเจ้า ข้าอยากกลับคุ้มให้ข้าไทขัดเนื้อถูตัว วันงานพิธีข้าจะได้งามสมกับเป็นพระมหาเทวีเจ้าของเจ้าพี่”
เมืองคุ้มได้ฟังถึงกับหน้าถอดสี บอกนางว่าไว้เช้าเราค่อยคุยกันเรื่องนี้ อนัญทิพย์ผุดลุกขึ้นอย่างผิดสังเกต ถามด้วยน้ำเสียงคาดคั้น
“หมายความว่ากระไร เหตุใดต้องคุยกันวันพรุ่ง ในเมื่อห้องนี้มีเพียงข้ากับเจ้าพี่สองคนเท่านั้น”
เมืองคุ้มลุกขึ้นกอดนางอย่างเอาใจ “เชื่อพี่เถิด วันพรุ่งเราค่อยคุยกัน”
อนัญทิพย์สะบัดหนี กล่าวน้ำเสียงสั่นเครือ “เจ้าพี่มีความลับกับข้า...ใช่หรือไม่”
“เจ้าทิพย์...”
“ปล่อย ปล่อยนะ เจ้าพี่ผิดสัญญา ข้าเกลียดเจ้าพี่ อย่ามาถูกตัวข้านะ” อนัญทิพย์ผลักไสพลางร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความเสียใจ
กลางดึกสำเภางามใช้ริมบึงไปสืบข่าวจนรู้ว่าอนัญทิพย์ อยู่ในห้องบรรทมของเจ้าหลวงตลอดเวลา เสกขรออกมาได้ยินยิ่งน้อยใจแต่ไม่แสดงออก บอกเจ้าป้าว่าช่างเถิด
“ข้าไม่อยากได้มันมาร่วมวงศ์วานเชื้อเครือกับข้า เลือดแม่ค้านั่งตลาด อย่างใดเสียก็คงเสมอเลือดเจ้ามิได้ดอก”
“ความรักไม่เกี่ยวกับเลือดเจ้าเลือดไพร่ดอกเจ้าป้า อยู่ที่หัวใจ เมื่อเจ้าหลวงมีใจให้เจ้าทิพย์ ทุกอย่างก็คงต้องลงเอยเยี่ยงนี้”
เสกขรสะกดความน้อยใจเดินกลับเข้าห้อง...ฝ่ายอนัญทิพย์ที่ออกจากคุ้มหลวงทั้งน้ำตาก็มุ่งหน้ากลับคุ้มเล็กของตน บัวไหลเห็นสภาพเจ้านายน้ำตานองหน้าก็ผงะด้วยความตกใจ นึกรู้ว่าต้องมีเรื่องให้เสียอกเสียใจเป็นแน่
“เจ้าพี่หลอกข้า...เจ้าพี่ทรยศข้า”
เพียงได้ยินคำพูดนั้นของอนัญทิพย์...บัวไหลก็สงสารนางจับใจ
ooooooo
เจ้าฟ้าเมืองมีดมากราบทูลยกตองนวลเป็นสนมของเมืองคุ้มจนสำเร็จ แต่ตองนวลมักใหญ่ใฝ่สูงอยากเป็นพระมหาเทวีเจ้า และที่สำคัญนางจะปล่อยให้อนัญทิพย์ได้รับตำแหน่งนี้ไปไม่ได้
แต่เจ้าฟ้าเมืองมีดกลับเชื่อว่าอนัญทิพย์ไม่ได้เป็นพระมหาเทวีเจ้า เพราะเจ้าหลวงเมืองคุ้มไม่กล้าขัดคำสั่งเจ้าสำเภางามผู้เป็นมารดา ถึงเมืองคุ้มจะรักอนัญทิพย์มาก แต่รักได้ก็เกลียดได้...
อนัญทิพย์น้อยใจมากเมื่อรู้ว่าตนไม่ได้เป็นพระนางหน่อเจ้าหลวง ซ้ำยังมีปากเสียงกับสำเภางามใหญ่โต ท้าววงษากับขุนเวียงเตือนสติไม่ให้ตอบโต้สำเภางามเพราะเวลานี้อำนาจของนางคับแผ่นดินเมืองทิพย์ แต่อนัญทิพย์ก็อาฆาตและขอให้ดวงวิญญาณของเจ้าหลวงปิตุลาช่วยตนด้วย
นอกจากทะเลาะกับสำเภางามแล้วอนัญทิพย์ยังมาระรานเสกขรกับริมบึงแล้วลามไปถึงบุรพคามที่สติฟั่นเฟือน เสกขรสงสารพี่ชายจึงขอร้องอนัญทิพย์ให้กลับไปแต่ไม่เป็นผล จนริมบึงทนไม่ไหวตบตีกับบัวไหลที่ปกป้องนายของตน
ออกจากคุ้มบุรพคามมาแล้ว อนัญทิพย์ยังหาเรื่องเสกขรไม่เลิกรา
“คิดว่ามีอำนาจมากนักรึ...คุ้มครองตัวเองให้ได้ก่อนเถิดเสกขร”
“ข้าไม่มีอำนาจดอก แต่ข้ามีคนที่ข้ารักมากมายและพวกเขาก็พร้อมจะปกป้องข้า ว่าแต่เจ้าเถิด ในเมืองทิพย์นี่มีคนที่รักเจ้าบ้างหรือไม่”
“มีสิ อย่างน้อยก็เจ้าหลวงเมืองคุ้ม เหนือหัวของเจ้า”
“ข้าหวังว่าเจ้าจะรักษาคนที่เจ้ารักไว้ได้ตลอดไป”
เสกขรตอบโต้นิ่มๆแล้วก้าวไปนั่งเสลี่ยง พอเสลี่ยงถูกยกขึ้นก็เห็นตองนวลกับเฟืองเดินมา สองคนไหว้พระนางหน่อเจ้าก่อนได้รับการทักตอบว่า
“ข้าดีใจด้วยนะที่เจ้าหลวงจะแต่งตั้งเจ้าเป็นสนมร่มทอง มีร่มทองประดับเกียรติตั้งห้าคัน เหตุใดจึงไม่นั่งเสลี่ยงลอยไปลอยมาเยี่ยงเจ้านางบางคนล่ะ”
อนัญทิพย์รู้ว่าถูกแขวะ เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันสบถคำอาฆาตเสกขรว่าชาตินี้ตนไม่มีวันญาติดีด้วยแน่...พอเสกขรจากไปตองนวลก็สำแดงเดชเย้ยหยันอนัญทิพย์ซึ่งหน้า
“อุ๊ย...มีร่มสีทองตั้งห้าคัน ข้าดีใจกับเจ้าด้วย วันก่อนได้นั่งแพชมไพรและสายน้ำ วันนี้ได้ยกขึ้นเป็นสนมร่มทองนั่งเสลี่ยงชูคอ”
“มีร่มเท่าเจ้านางเลยเจ้าค่ะ หาได้ต่างกันไม่” พูดแล้วเฟืองหัวเราะหยัน
อนัญทิพย์กำสองมือแน่นแค้นเคือง กระชากเสียงถามตองนวลว่าเจ้าหลวงแต่งตั้งนางเป็นสนมงั้นหรือ ตองนวลมองอีกฝ่ายหัวจดเท้าแล้วพยักหน้า
“ข้าอาจได้เป็นพระมหาเทวีเจ้าก็ได้ ไยจึงหมิ่นแคลนวาสนาข้าล่ะเจ้าทิพย์”
“อีเฟืองมันคงเอาของแสลงให้เจ้ากินกระมัง ถึงได้ฝันลมๆแล้งๆ หมายจะได้เป็นพระมหาเทวีเจ้า เจ้าหลวงคงไม่แต่งตั้งเจ้านางจากหัวเมืองมานั่งเคียงบนบัลลังก์ตั่งทองดอก หัดดูเงาตัวเองบ้าง”
“ก็มิใช่อีเจ้านางจากหัวเมืองผู้นี้ดอกรึ ที่ทำให้อีลูกแม่ค้านั่งตลาดต้องถูกลอยแพไป”
“อีตองนวล!”
อนัญทิพย์ตบตองนวลจนหน้าหัน ตองนวลไม่ยอมโดนตบข้างเดียวแน่ เงื้อมือจะเอาคืนแต่คะนองส่งเสียงห้ามเสียก่อน
“หยุดนะ หากข้ารู้ว่าเจ้ากลับมาเมืองทิพย์แล้วทำตัวเยี่ยงนี้ ข้าจะไม่ยอมรับกลับเข้ามาเลย”
“อีตองนวลมันหมิ่นข้าก่อน”
“วันพรุ่งจะมีพระราชพิธีสำคัญ อย่าทะเลาะกันให้เสียฤกษ์ หาไม่ข้าจะใช้อำนาจอุปราชหอหน้าจับกุมเจ้านางทั้งสองคน”
อนัญทิพย์จ้องหน้าคะนองอย่างแค้นเคืองแล้วเดินไปนั่งเสลี่ยง ตองนวลยังเจ็บใจไม่หายโวยวายไล่หลัง
“คอยดูนะอีทิพย์ กูจะฟ้องเจ้าหลวง ครานี้แหละร่มทองของมึงจะไม่เหลือแม้แต่คันเดียว”
คะนองได้ยินแล้วส่ายหน้าเบื่อหน่ายระคนหนักใจแทนเจ้าหลวง
ooooooo
ด้วยความร้อนรุ่มอยากรู้ความจริง อนัญทิพย์รีบมาที่หอคำ เจอโหรากำลังตรวจดวงชะตาให้เมืองคุ้มอยู่พอดี
“พิธีจักต้องประกอบก่อนเพลงพระเจ้าข้า หาไม่ชะตาเมืองจักต้องตกต่ำพระเจ้าข้า”
“จะแต่งตั้งพระมหาเทวีเจ้านี่ต้องหาฤกษ์ยามกันเจียวหรือเจ้าคะ”
“ท่านโหราให้ฤกษ์น่ะเจ้าทิพย์ บ้านเมืองจักได้สงบสุข”
“ไก่มันไม่รู้ฤกษ์ยาม ไม่รู้เพลา แต่มันก็ขันได้ทุกเช้าตรู่ เห็นจะไม่จำเป็นกระมังท่านโหรา”
“แต่ไก่มันขันตามธรรมชาติของมัน หาใช่การประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์พระเจ้าข้า”
“ความคิดท่านโหราหาผิดไม่ เพียงแต่ข้าสงสัยว่าไอ้ฤกษ์พระมหาเทวีเจ้านี่มันสำคัญนักหนารึ หากผิดฤกษ์พานาทีจักเป็นอย่างใด”
โหราอึกอักไม่กล้าพูด อนัญทิพย์คาดคั้นทั้งสายตาและคำพูดจนเมืองคุ้มจำเป็นต้องปราม
“เจ้าทิพย์...ท่านโหรากลัวน้องจะแย่แล้ว”
อนัญทิพย์ไม่ฟัง จะเอาคำตอบให้ได้ โหราพูดอ้อมแอ้มว่าชะตาเมือง...
“ชะตาเมืองข้าหาใส่ใจไม่ ข้าใส่ใจชะตาคน โดยเฉพาะพระชะตาของพระมหาเทวีเจ้า ตอบสิ หากไม่ทันฤกษ์แล้วดวงพระชะตาของพระมหาเทวีเจ้าจักเป็นอย่างใด”
“ข้าก็อยากรู้”
สิ้นคำของเจ้าหลวง โหราเลี่ยงไม่ได้ตอบว่า “อาจถึงฆาตได้พระเจ้าข้า”
อนัญทิพย์หัวเราะในลำคอ สีหน้าพอใจยิ่ง “รู้ฤกษ์แล้วก็อย่าทำให้ล่าช้าล่ะเจ้าคะเจ้าพี่ ข้ากลัวว่าพระชะตาของพระมหาเทวีเจ้าจักต้องถึงคราวเคราะห์
...แสงตา ท่านโหราออกไปก่อน ข้ามีการสำคัญจักกราบทูลเจ้าหลวง”
สองคนถวายบังคมเจ้าหลวงแล้วกลับออกไป เวลานั้นสำเภางามมาถึงหน้าหอคำ เห็นบัวไหลก็รู้ทันทีว่าอนัญทิพย์อยู่ข้างใน
“เจ้าสำเภางามเจ้าคะ อย่าเสด็จเข้าไปข้างในเลยเจ้าค่ะ”
“อีทิพย์มันสร้างหอคำขึ้นมาแต่เมื่อใด ถึงกล้าห้ามข้า อีบัวไหล” พูดแล้วเดินเข้าไปเลย ทิ้งให้บัวไหลว้าวุ่นใจเป็นห่วงนายของตน
อนัญทิพย์กำลังออดอ้อนเมืองคุ้ม นั่งแนบชิดบีบน้ำตาอยู่บนบัลลังก์ตั่งทอง
“เจ้าพี่แต่งตั้งเจ้าเสกขรเทวีขึ้นเป็นมหาเทวีเจ้า ข้ายังไม่น้อยใจ คิดแต่ว่าวาสนาข้าน้อยนัก เมื่อจารีตบ้านเมืองเป็นเช่นนี้ผู้ใดจักฝืนได้เล่า”
“ขอบใจเจ้าทิพย์น้องพี่ ที่แจ้งใจในกฎมณเฑียรบาล แล้วไยเจ้าต้องร้องไห้ด้วย”
“แต่เจ้าพี่ตั้งอีตองนวลขึ้นเป็นสนมร่มทองเสมอข้า ข้าทนไม่ได้”
“ทนไม่ได้ก็ไม่ต้องทน” สำเภางามก้าวเข้ามาชี้หน้าอนัญทิพย์ ด่าเสียงดังลั่น “อุบาทว์จะกินเมือง อีทิพย์มีสิทธิ์อันใดจึงไปนั่งบนบัลลังก์ตั่งทอง...นั่นมันพระที่นั่งของเจ้าหลวงเท่านั้น ขี้กลากจะกินหัวมึง”
อนัญทิพย์หน้าเจื่อน ค่อยๆก้าวลงจากตั่ง เมืองคุ้มออกรับแทนนางทันที
“เจ้าแม่...หามีผู้ใดเห็นไม่ ทั้งหอคำก็มีแต่พวกเราสามคน”
“คนไม่เห็น แต่ผีเห็น อยากให้เมืองทิพย์ต้องคำสาปของผีหลวงรึ เมืองคุ้ม...หากเจ้าเห็นอีกาลกิณีดีกว่าผีหลวงเมืองทิพย์แล้วล่ะก็ หาควรเป็นเจ้าหลวงไม่”
สำเภางามจ้องอนัญทิพย์เหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ “รังเกียจตองนวลนักรึ เกรงวาสนามันจะเสมอเจ้า ถ้าเช่นนั้นวันพรุ่งเจ้าหลวงจงแต่งตั้งแก้วอากาศกับเก็ตถวาเป็นสนมด้วย”
เมืองคุ้มอ้าปากจะค้าน แต่สำเภางามชิงพูดเสียก่อนว่า
“ถ้าเกรงใจผู้หญิงคนนี้ล่ะก็ เป็นสนมร่มทองสามคันก็พอ นึกว่าแม่ขอนะเมืองคุ้ม ถ้ายังมีความกตัญญูอยู่บ้าง อย่าขัดใจแม่”
สำเภางามทิ้งท้ายไว้หนักแน่นแล้วกลับออกมาโดยไม่สนใจเสียงร่ำไห้ของอนัญทิพย์เลยแม้แต่น้อย เมืองคุ้มกอดปลอบประโลมแต่นางยิ่งปล่อยโฮ
“ออกไป...ข้าอยากตาย ฮือๆ ไม่มีผู้ใดรักข้า ข้าก็ไม่ควรมีชีวิตอยู่ ลาก่อนเจ้าพี่...ลาก่อน”
อนัญทิพย์วิ่งออกไปทั้งน้ำตานองหน้า เจอสำเภางาม หน้าหอคำก็แว้ดใส่อย่างไม่กลัวเกรง
“คิดเหรอว่าจะพรากข้ากับเจ้าพี่ได้ ข้าถูกเนรเทศไป ลูกเจ้ายังตามไปช่วยข้า แล้วคิดดูสิว่าข้าเป็นอันใดไป เจ้าหลวงเมืองคุ้มจักอยู่ได้อย่างใด แล้วเมื่อนั้นเมืองทิพย์จักอยู่ได้อย่างใด เกิดเป็นแม่คนจักทำอันใดก็คิดเสียบ้าง...อีบัวไหล เอาคันฉ่องใส่พานไปถวายเจ้าสำเภางามด้วย จักได้ส่องดูว่าพระเกศามีกี่สีแล้ว”
“อีทิพย์! มันจะมากไปแล้วนะ”
สำเภางามขยับกายจะตบหน้าอนัญทิพย์ แต่เมืองคุ้มออกมาเห็นพอดี ตรงเข้าแทรกกลางแล้วง้องอน อนัญทิพย์ได้ทีสวมกอดทรุดตัวกอดขาไว้
“เจ้าพี่...ข้าขอลาแล้ว ลาจากเจ้าพี่ ชาติหน้ามีจริงข้าขอได้เกิดมาเป็นคู่ครองของเจ้าพี่อีก ลาก่อนเจ้าค่ะ”
“ไม่นะเจ้าทิพย์” เมืองคุ้มนั่งลงกอดนางไว้ อนัญทิพย์ซบหน้ากับไหล่แล้วลอบยิ้มมุมปากเยาะหยันสำเภางาม
สำเภางามฮึดฮัดทนดูไม่ได้ เดินลิ่วไปจากตรงนั้น บัวไหลยิ้มสะใจแทนนายตน มองสองคนแสดงความรักต่อกันอย่างอิ่มเอมใจ
ooooooo
สำเภางามมาที่คุ้มเสกขรด้วยสีหน้าขึ้งเคียด เจ้าของคุ้มเห็นแล้วรับรู้อารมณ์ได้แต่ไม่แน่ใจว่าโกรธผู้ใดมา จนกระทั่งเอ่ยถามถึงได้ความกระจ่างว่า
“อีทิพย์น่ะสิ มันผยองทำผิดจารีตคลองเมือง ขึ้นไปนั่งบนตั่งทองในหอคำ”
“หา! ไยเจ้าทิพย์ทำเยี่ยงนั้น”
“เหิมเกริม ทำเผยอวางตัวเสมอเจ้าหลวง มันหาควรไม่”
“แล้วเจ้าป้าว่าอย่างใด”
“ก็เถียงกับมัน ด่ามัน แต่อีทิพย์มันเถียงคำไม่ตกฟาก เลือดแม่ค้าจากแม่มันเข้มข้นกว่าเลือดเจ้าของพ่อ”
“เจ้าป้าใจเย็นๆสิเจ้าคะ”
“มันเย็นไม่ไหวเจ้าค่ะ ข้าขอโทษพระนางเจ้าด้วยที่แสดงกิริยามิควร”
“ช่างเถิดเจ้าป้า เจ้าทิพย์คงไม่มีเจตนา”
“มีเจ้าค่ะ มันนั่งเคียงข้างเจ้าหลวง ออเซาะผัวกีดกันไม่ให้มีสนมอื่น ร้ายนัก”
ริมบึงฟังอยู่ด้วย สบตาเสกขรและสำเภางามด้วยความเห็นใจ เมื่อตามสำเภางามออกมาข้างนอกนางจึงรับคำสั่งแข็งขัน
“พระนางเจ้าเสกสมรสแล้วเจ้าก็ไปรับใช้ที่คุ้มหลวงหลังหอคำด้วย ให้อีเพ็งดูแลข้าคนเดียวก็พอ”
“เจ้าค่ะ”
“หน้าที่ของเจ้าคือปกป้องดูแลพระนางเจ้า ยอมตายเพื่อพระนางเจ้า หากอีทิพย์มันทำร้ายพระนางเจ้าแม้เพียงวาจา ก็อย่าละมันไว้”
“ข้าเจ้าให้สัญญาเจ้าค่ะ”
ooooooo
เก็ตถวากับแก้วอากาศได้ยกเป็นสนมของเจ้าหลวงเมืองคุ้มมีร่มทองสามคัน ทำให้เจ้านางทั้งสองดีใจมาก แต่ตองนวลกลับไม่พอใจเพราะไม่อยากให้ใครมาแข่งวาสนากับตน
เมื่อวันพระราชพิธีมาถึง เจ้าฟ้าเมืองท่าคอย มณีหยาด และน้อยอินทามาร่วมงานด้วย...พวกในเวียงวังเตรียมแต่งตัวเพื่อร่วมงานใหญ่ เสร็จแล้วต่างก็มุ่งหน้าไปยังหอคำ แต่ระหว่างทางขบวนเสลี่ยงของเสกขรและสำเภางามเจอกับของอนัญทิพย์ พลเสลี่ยงของเจ้าทิพย์ทำท่าจะหยุด แต่นางเร่งให้เดินตัดหน้าขบวนของพระนางหน่อเจ้า
พลเสลี่ยงละล้าละลังไม่กล้าเดิน อนัญทิพย์หรือเจ้าทิพย์จึงตวาดเสียงแข็ง
“ข้าบอกให้เดินไป ไปสิ หากไม่เดิน กลับไปถึงคุ้มข้าจะสั่งโบยทุกคน”
เสกขรเชิดหน้ารักษาท่าที ไม่สั่งขบวนเดิน ริมบึงมองหน้านายตนรอให้ตัดสินใจ แต่สำเภางามใจร้อนรอไม่ไหว สั่งพลเสลี่ยงของตนแซงขบวนพระนางหน่อเจ้าไป พลางยกมือไหว้เป็นเชิงขอโทษเสกขร แล้วให้เสลี่ยงหยุดตรงหน้าขบวนของอนัญทิพย์
“เดินไป” เสียงเจ้าทิพย์สั่งพลเสลี่ยงของตนดังลั่น
“ตาบอดหรือเจ้าทิพย์ ไม่เห็นรึว่าขบวนเสลี่ยงของพระนางหน่อเจ้าหลวงเสด็จผ่านมา...แล้วอีกไม่นาน พระนางเจ้าก็จะเป็นพระมหาเทวีเจ้า มีอำนาจสั่งตัดหัวเจ้าได้”
น้ำเสียงและสีหน้าสำเภางามจริงจังเอาเรื่อง แต่อนัญทิพย์กลับหัวเราะหยัน ปรายตาไปทางเสกขร
“มีอำนาจก็ต้องใช้อำนาจ ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ”
เสกขรโกรธแต่รักษาท่าที สองมือที่ประสานกันอยู่กำแน่น อนัญทิพย์ปากกล้าแขวะกัด
“หากไม่กลัวผู้คนจะติฉินเอาว่า สั่งตัดหัวเพราะกลัวผัวจะรักหญิงอื่นมากกว่าตน ตายเป็นผีแล้วก็ไม่วายคนนินทา”
“อีทิพย์! หลีกไป”
สำเภางามกรีดเสียง ท่าทีเหลืออด อนัญทิพย์สวนกลับทันควันว่าไม่หลีก พร้อมสั่งพลเสลี่ยงให้เดินไป แต่ทุกคนกล้าๆกลัวๆ
“อีกก้าวเดียว ข้าจะสั่งจำตรุทุกคน”
พลเสลี่ยงของอนัญทิพย์หยุดนิ่ง ริมบึงรู้หน้าที่รีบสั่งพลเสลี่ยงของเสกขรออกเดิน อนัญทิพย์หน้าเสีย สำเภางามยิ้มเย้ยอย่างผู้ชนะ เสกขรเอ่ยนิ่มๆแต่เจ็บลึกถึงก้นบึ้งหัวใจของอนัญทิพย์
“ให้ข้าไปก่อนเถิดเจ้าทิพย์ อย่าให้ข้าต้องตัดหัวเจ้าเลย คนอย่างข้าไม่เคยคิดหึงหวงแย่งชิงผู้ชายจากผู้ใด”
“ให้มันจริงเถิด หากรับสั่งตรงกับใจก็ให้ข้าไปก่อนสิ หรือกลัวว่าข้าจะไปเข้าเฝ้าเจ้าพี่ก่อนเจ้า”
“ที่ข้าต้องไปก่อนก็เพราะข้าไม่อยากให้ผู้ใดติฉินเจ้าได้ว่าเกิดมาเป็นธิดาเจ้าหลวง แต่หารู้จารีตเวียงวังไม่... เมื่อครั้งพ่อเจ้าเป็นเจ้าหลวง เจ้าเอาวันคืนไปทำอันใด ไยจึงไม่เรียนรู้จารีตเวียงวังไว้บ้าง”
อนัญทิพย์อึ้งงัน กำหมัดตัวสั่นเร่าๆด้วยความ แค้นเคือง สำเภางามหัวเราะสาแก่ใจ ตอกย้ำอีกครั้งหลังจากเสลี่ยงของเสกขรเคลื่อนไปแล้ว
“หากจารีตเวียงวังเพียงนี้ยังไม่รู้ ก็อย่าหมายได้ยกเป็นพระมหาเทวีเจ้าเล้ย...แผ่นดินกลบหน้าก็ยังไม่วายคนนินทา”
อนัญทิพย์ทั้งโกรธและเสียหน้าจนแทบจะกรีดเสียงออกมา...
ooooooo










