ตอนที่ 11
อนลมาเรียนดนตรีเห็นจางวางเหม่อลอยไม่เป็นอันสอน เขารู้ว่าเป็นเรื่องอุรวศี จึงเอ่ยถามว่าท่านชายสุรคมกับท่านหญิงเมราไปพูดให้ไม่สำเร็จหรืออย่างไร จางวางถอนใจไม่เพียงไม่สำเร็จกลับทะเลาะกันหนักกว่าเดิม ทำให้แสงเสียใจจนล้มป่วย ท่านหญิงต้องมาคอยดูแล
ในขณะที่อุรวศีแปลกใจว่าแม่ไปไหน...หม่อมสลวยกับบุญทันพากันมาขอร้องหม่อมต่วนขอพระอัฐิของวิสสุกรรมกลับไปทำบุญ กลับโดนด่าตวาดไล่ อรชุนและติโลตตมาร่วมดูถูกรังเกียจบุญทัน ให้แปลกไปเอาน้ำมาราดล้างเสนียดจัญไร หม่อมสลวยยอมก้มลงกราบเท้าหม่อมต่วนขอความเมตตา หม่อมต่วนสะใจเป็นที่สุด ยื่นเท้าออกไปถีบลำตัวหม่อมสลวยล้มลง บุญทันตกใจเข้าประคองภรรยาและมองหน้าหม่อมต่วนด้วยสายตาโกรธจัด แปลกยกกะละมังน้ำเข้ามา ติโลตตมาคว้าเอามาสาดใส่เสียเอง บุญทันหมุนตัวรับน้ำไม่ให้โดนหม่อมสลวย อรชุนยิ้มเยาะ
“อ้ายพวกไพร่ดื้อด้าน มันต้องสาดน้ำไล่เหมือนไล่หมูไล่หมาอย่างนี้ล่ะ”
บุญทันประคองหม่อมสลวยลุกพากลับ หม่อมต่วนพูดไล่หลัง อย่ากลับมาอีก ตำหนักนี้ไม่ต้อนรับพวกไพร่
พออุรวศีรู้ว่าแม่โดนอะไรมาบ้างก็ไม่พอใจ ถ้าตนรู้จะไม่ให้แม่ไป หม่อมสลวยรู้สึกผิด บุญทันห้ามแล้ว แต่ตนไม่เชื่อ ทำให้ลูกหญิงต้องเสื่อมเสียไปด้วย บุญทันโอบปลอบ
“อย่าเสียใจไปเลยแม่สลวย จำไว้เป็นบทเรียนก็แล้วกัน การยอมถอยใช้ได้กับคนดีเท่านั้น ไม่ใช่กับคนพาลที่เรายิ่งยอมมันยิ่งได้ใจ”
“หญิงคุยกับพี่หญิงเมและคุณสร้อยแล้ว เห็นทีพระองค์เดียวที่จะช่วยได้คือเสด็จเสนาบดีกระทรวงที่พี่ชายใหญ่รับราชการอยู่เท่านั้นค่ะ”
สร้อยเห็นด้วยว่าหม่อมต่วนน่าจะเกรงถึงงานราชการของอรชุนเป็นสำคัญ ถ้าเสด็จเอ่ยปาก เพียงแต่ตอนนี้เสด็จท่านไปราชการเมืองฝาหรั่ง ไม่ทราบว่ากลับวันไหน หม่อมสลวยหวั่นใจว่าหม่อมต่วนจะทำอะไรกับพระอัฐิลูกชายเสียก่อน
ค่ำวันนั้น จันและคนรับใช้ตำหนักหม่อมต่วน โดนผีนุ่งโจงกระเบนสีแดง ตัวดำเหมือนถ่าน มีเขี้ยวโง้งหลอก ส่งเสียงร้องวิ่งหนีกันกระเจิง...รุ่งเช้าแปลกนำความมาเล่าให้หม่อมต่วนฟังด้วยความหวาดกลัว กลับโดนหม่อมต่วนเอ็ดลั่น สั่งอย่าให้ใครเอาเรื่องโง่เง่านี้มาพูดให้ได้ยินอีกไม่อย่างนั้นจะโดนเฆี่ยนแม้จะเลิกทาสไปแล้วก็ตาม ทันใดภาพเสด็จในกรมที่ตั้งอยู่หล่นลงมาเสียงดังลั่น ทำเอาหม่อมต่วนและแปลกสะดุ้งสุดตัว แต่หม่อมต่วนโทษว่าเป็นเพราะลมพัด
แปลกอึกๆอักๆ “หม่อมอย่าโกรธบ่าวนะเจ้าคะ... แต่ก่อนไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นเลย นับตั้งแต่เอ่อ หม่อมยึดโกศพระอัฐิท่านชายวิสไว้ก็...”
“เอ็งจะโทษข้าว่าเป็นคนเรียกผีมาอย่างนั้นรึ”
“มิได้เจ้าค่ะ แต่ผีที่นังเปลี่ยนนังสดเห็นมันเหมือนรูปยมบาลในผนังโบสถ์เลยนะเจ้าคะ และเสด็จท่านก็คงไม่พอพระทัยที่เราทำแบบนี้ก็ได้นะเพคะ” แปลกมองภาพเสด็จที่ตกลงมา
หม่อมต่วนหน้าเสียชักกลัวๆขึ้นมา
ooooooo
คุณหญิงไกรคุมคนรับใช้ทำความสะอาดเรือนหลังเล็ก ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากเรือนใหญ่ ดวงแขแปลกใจจะมีแขกที่ไหนมาพัก คุณหญิงตอบยิ้มๆว่าอักษรเลขคนใหม่ ดวงแขเหยียดปากดูถูก ตำแหน่งเล็กแค่นี้น่าให้ไปพักที่อื่น แต่พอรู้ว่าคืออนลก็ดีใจเกิดความหวังจะกลับมาครองคู่กัน
ในขณะที่อนลตกใจมากเมื่อรู้ว่าตัวเองจะถูกย้ายไปที่ปากน้ำโพ เพราะยังไม่พร้อมจะมองหน้าครอบครัวพระยาไกร สุรคมบอกว่าพระยารัชปาลีเป็นคนดำเนินเรื่องเอง คงอยากให้เขาไปรับราชการหัวเมืองโดยเร็ว อนลรู้สึกเศร้าไม่อยากไปห่างจากอุรวศี สุรคมเอ่ยว่าตนยังอิจฉาเขาอยากหลบไปทำงานที่อื่นสักพัก อนลไม่อยากเชื่อว่าระดับท่านชายจะมาอิจฉาตน
“มันมีหลายเรื่องนะอนล ยุ่งเหยิงจนฉันไม่รู้จะสางตรงไหนก่อน ไปๆมาๆกลายเป็นว่าฉันทำให้พี่น้องสองคนที่เคยรักกันมาก ต้องมาผิดใจกันเพราะฉัน แล้วฉันก็ยังแก้ไขอะไรไม่ได้เลย ไม่เคยคิดเลยว่าความรักมันจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้...เป็นนายก็ดีนะไม่ต้องกลุ้มใจเรื่องนี้”
อนลถอนใจตนกลุ้มเรื่องความรักไม่แพ้กัน แถมความรักของตนเปิดเผยให้ใครรู้ไม่ได้อีก
ในตอนค่ำขณะที่แปลกจะอาบน้ำ ด้วยความกลัวให้คนรับใช้ชายสามสี่คนมายืนเฝ้า ไม่วายโดนผีชายตัวดำนุ่งโจงกระเบนแดงมีเขี้ยวโง้งปรากฏตัวให้เห็น ทำให้คนรับใช้วิ่งหนีกระเจิง แปลกตกใจกลัวจนสิ้นสติคาท่าน้ำ
รุ่งเช้าที่วัด หม่อมต่วนนุ่งขาวห่มขาวถือศีลอยู่กับกลุ่มคุณหญิงคุณนาย ต่างพูดคุยเรื่องผียมบาลที่ปรากฏตัวในวังหม่อมต่วน คงอยากมาเอาดวงพระวิญญาณท่านชาย เรื่องนี้หม่อมต่วนก็กังวลอยู่ ไม่ทันไรคนรับใช้วิ่งมารายงานว่าแปลกโดนผีหลอกจนจับไข้ หม่อมตกใจรีบกลับวัง
แปลกนอนหัวฟูตาลอยยังไม่ได้สติ อทริกาเห็นแล้วพาลกลัวผีไปด้วย ติโลตตมาเอ็ดน้องไม่เชื่อว่าผีมีจริง สั่งคนรับใช้สลับเวรยามเฝ้าทั้งคืน แต่สีหน้าคนรับใช้หวาดกลัวเป็นแถว อรุณวาสีเอาน้ำเย็นเข้าลูบ “ใจเย็นก่อนค่ะพี่หญิง พวกบ่าวกลัวกันขนาดนี้คงไม่มีใครกล้ายืนเวรยามหรอกค่ะ แม่คะ...ถ้าปล่อยไว้จะยิ่งวุ่นวายกันทั้งตำหนักนะคะ”
หม่อมต่วนไม่รู้จะทำอย่างไร ลงนั่งข้างแปลก “นังแปลกได้ยินข้าไหม สงบจิตสงบใจแล้วลุกขึ้นมาเล่าให้ข้าฟังทีซิว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง”
แปลกไข้ขึ้นจนเพ้อพูดสิ่งที่อยู่ในจิตใต้สำนึกออกมา “หม่อม หม่อม หม่อมพิณ อย่า...อย่าหม่อมพิณ บ่าวกลัวแล้ว กลัวแล้ว...”
อทริกาแปลกใจหม่อมพิณตายไปนานแล้วจะพูดขึ้นมาทำไม หม่อมต่วนร้อนใจตวาดลูกให้หยุดพูด แล้วมองแปลกที่ยังเพ้อถึงหม่อมพิณไม่ขาดปาก ยิ่งสร้างความหวาดหวั่นในใจ
สุดท้ายอรุณวาสีนำโกศพระอัฐิของวิสสุกรรมมาคืนให้อุรวศี ทุกคนดีใจระคนประหลาดใจ อรุณวาสีไม่อยากพูดถึงเรื่องผี กล่าวขอโทษแทนแม่ อุรวศีอยากปรับความเข้าใจเรื่องสุรคม แต่เธอปัดไม่สะดวกคุยรีบเดินเลี่ยงกลับไป อุรวศีอ่อนใจ...หม่อมสลวยดีใจที่ได้อัฐิลูก สร้อยสงสัยทำไมหม่อมต่วนถึงยอมคืน อุรวศีเห็นผินกับจันหัวเราะกันคิกคัก นึกสงสัยบางอย่าง
เมื่ออรุณวาสีเดินกลับมาถึงตำหนัก ขณะเดียวกันคุณหญิงที่ขายสร้อยให้ท่านป้อมนั่งรถลากมาถึง ท่านหญิงคิดว่ามาพบหม่อมแม่ แต่คุณหญิงปฏิเสธทูลว่ามาขอเฝ้าท่านหญิงกลาง
ในห้องรับแขกหม่อมต่วนกับลูกๆนั่งพร้อมหน้า ติโลตตมาโมโหมากเมื่อคุณหญิงขอสร้อยเพชรคืนพร้อมยื่นเอกสาร “นี่คือหนังสือสัญญาที่ท่านป้อมทรงทำไว้ให้หม่อมฉันระบุว่าจะจ่ายค่าเครื่องเพชรทั้งหมดภายในเจ็ดวัน แต่หม่อมฉันทราบมาว่าท่านป้อมเสด็จหนีไปแล้ว”
ท่านหญิงหน้าซีด “ไม่จริง เงินหมื่นหนึ่งถึงจะมาก แต่ก็ไม่ถึงขนาดทำให้ท่านชายต้องเสด็จหนีหรอก โกหก โกหกชัดๆ”
หม่อมต่วนรับหนังสือสัญญาจากคุณหญิงมาอ่านแล้วโมโหสุดขีด “โง่แล้วยังไม่รู้ตัวอีก ท่านป้อมมีแต่เปลือก ทุกวันนี้จะตีพิมพ์นิยายยังต้องหยิบยืมแม่อยู่เลย แล้วจะเอาเงินหมื่นที่ไหนมาจ่ายค่าเครื่องเพชร”
ติโลตตมาตกใจทำอะไรไม่ถูก ในเมื่ออทริกาเป็นคนบอกว่าท่านป้อมร่ำรวยมาก วังที่อยู่ใหญ่โตกว่าวังเราเสียอีก และยังเป็นโอรสที่เกิดจากชายาเอกไม่ใช่หม่อม จะยากจนได้อย่างไร
“โง่ทั้งพี่ทั้งน้อง ไม่ได้เลือดฉันมาเลยสักนิดเดียว เสด็จพ่อท่านป้อมเคยร่ำรวยมากก็จริง แต่เอาเงินทองทั้งหมดไปลงทุนค้าขายแล้วขาดทุนหมดสิ้น จนตรอมพระทัยสิ้นพระชนม์ วังที่อยู่ตอนนี้ก็เพราะสมเด็จเจ้าฟ้าท่านทรงพระเมตตาไถ่ถอนออกมาถึงได้มีที่อยู่ และที่ไม่รับราชการก็เพราะเรียนไม่จบต่างหากเล่า รู้ไว้ซะ”
อรุณวาสีแปลกใจ เหตุใดท่านป้อมถึงซื้อเครื่องเพชรราคาหมื่นให้พี่หญิงกลาง อทริกาโพล่งออกมาโดยไม่คิด หรือพี่แอบคบหาเป็นคู่รักกับท่านป้อม ติโลตตมาอายแทบแทรกแผ่นดินหนี เห็นสายตาทุกคู่จับจ้องมาที่ตน หม่อมต่วนลุกขึ้นชี้หน้าด่าทอ
“ฉันเคยไว้ใจเธอมาตลอด เพิ่งมารู้ประเดี๋ยวนี้เองว่าโง่เง่าขนาดไหน หากเรื่องนี้รู้ไปถึงหูลูกนังสลวย ฉันจะอยู่เป็นผู้เป็นคนได้อีกรึ ตายดับลงไปตรงนี้ยังไม่พ้นความอายที่มีลูกอย่างเธอ”
ติโลตตมากรีดร้องวิ่งหนีความอับอาย หม่อมต่วนแค้นใจกลัวอุรวศีรู้เรื่องนี้...ติโลตตมาวิ่งกลับมาที่ห้อง หยิบจดหมายที่ท่านป้อมมอบไว้ให้เปิดอ่านหลังเจ็ดวันผ่านไป
“หญิงกลางที่รัก เมื่อหญิงได้อ่านจดหมายฉบับนี้ พี่คงไปไกลแล้วพร้อมกับที่หญิงคงได้รู้เหตุผลทั้งหมด... พี่ไม่มีอะไรจะแก้ตัวและไม่กล้าขอให้หญิงอภัย แต่ที่พี่ทำลงไปก็เพราะพี่รักหญิง รักตั้งแต่แรกพบ แต่พี่รู้ว่า หญิงเป็นคนถือยศถือศักดิ์ คงไม่สนใจคนที่มีแต่ตัวอย่างพี่ พี่จึงไม่มีทางอื่นนอกจากหลอกลวงหญิงและหลอกลวงตัวเอง ด้วยหวังว่าความสุขนี้จะทอดยาวออกไปแม้สักนิดก็ยังดี แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์คงไม่ให้อภัยคนโกหกอย่างพี่ พี่ถึงต้องรับกรรมที่พี่ก่อ แต่ถึงกระนั้นพี่ก็ยังคงรักหญิงและจะรักหญิงคนเดียวตลอดไป”
ติโลตตมาอ่านจบปล่อยโฮลั่น เสียใจที่โดนหลอก และรักนี้ก็เป็นรักแรกของตน
ooooooo
อาการไข้ของแสงหนักมากจนนอนนิ่งไม่รับรู้อะไร จางวางสมเสียใจแต่ก็พยายามทำใจ อุรวศีเข้ามากระซิบบอกยายว่า ตนได้เอาอัฐิของพี่ชายไปทำบุญและบรรจุไว้ในเจดีย์เดียวกับเสด็จพ่อและเสด็จป้าแล้ว ยายไม่ต้องเป็นห่วงอีก
แม้แสงจะนอนนิ่งแต่ก็มีน้ำตาไหลออกมา หม่อมสลวยกับจางวางสมปลื้มใจแสดงว่าเทวดาไม่อยากให้แสงมีห่วงอีก และเทวดาคงคุ้มครองถึงทำให้หม่อมต่วนกลัวผีสางจนยอมคืนโกศพระอัฐิให้ อุรวศีแทรกว่าไม่ใช่เทวดาแต่ตนว่าเป็นฝีมือคนมากกว่า ถึงเวลาสะสางเสียที
บ่ายวันนั้นขณะที่อนลนั่งซ้อมจะเข้อยู่บนเรือนจางวางสม รู้สึกมีคนยืนอยู่ข้างหลังจึงหันมอง แล้วต้องตะลึงเมื่อเห็นอุรวศียืนอยู่กับจันและผิน เขารีบลุกไปถามอย่างนอบน้อมมีอะไรให้ตนรับใช้ แต่พอเห็นหน้าจันกับผินจ๋อยๆ ก็พอรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ผินกล่าวขอโทษที่ตนกับลูกโกหกไม่เป็น จันรีบทูลว่าพวกตนทำไปเพราะหวังดีแล้วก็ได้ผลจริงๆ
“ฉันถึงไม่เอาโทษอย่างไรล่ะ...เล่ามาคุณทำอะไรลงไปบ้าง” อุรวศีคาดคั้นอนล
อนลเล่าว่าได้สั่งถึกกับคล้องให้ช่วยแต่งตัวแบบยมบาลไปหลอกเวลามีคนมาอาบน้ำที่ท่าน้ำของวังหม่อมต่วน จันเป็นคนพาสาวๆมาแล้วร้องนำว่าผีที่เห็นคือยมบาลมาตามหาเจ้าของโกศ ให้พูดกันปากต่อปาก เพื่อให้คนที่ไม่กลัวผีอย่างหม่อมต่วนหันมากลัวบาปกรรมที่เคยก่อไว้บ้าง...จันเสริมว่าได้ผลเกินคาด สาแก่ใจตนมากที่ทำให้แปลกกลัวจนจับไข้หัวโกร๋น
อุรวศีมองทั้งสามคนตาเขียว ใจจริงอยากขำแต่กลัวเสียการปกครอง อนลขอรับผิดแทนผินและจัน ท่านหญิงพึมพำว่าเขา...เจ้าอุบาย...อนลยิ้มแหยๆ
“ฉันก็อยากจะโกรธคุณเหมือนกัน แต่เพราะว่าคุณทำไปเพื่อช่วยพวกเราทุกคน และทำให้เราได้พระอัฐิของพี่ชายวิสไปทำบุญ ก็ถือเสียว่าหายกันก็แล้วกัน แต่ฉันจะไม่ขอบใจหรอกนะ”
“มิเป็นไรเลยฝ่าบาท กระหม่อมเต็มใจที่จะถวายรับใช้ เอ่อ...ซึ่งอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็เป็นได้ เพราะอีกไม่นานกระหม่อมต้องย้ายไปทำราชการที่หัวเมืองแล้ว” อนลเศร้าลง
อุรวศีใจหายสบตาเขานิ่ง สักพักหลบสายตากลัวมีพิรุธ หันไปสั่งจันไปเตรียมชาและของว่างมาให้อนล... ท่านหญิงกับอนลย้ายมานั่งที่ระเบียงเรือนปั้นหยา เมื่ออยู่กันลำพังอุรวศีกล่าวขอบใจอนลอีกครั้ง สำหรับเรื่องอื่นๆที่ผ่านมา “...คุณช่วยฉันไว้มาก ถ้าไม่ได้คุณฉันมิรู้เลยว่าจะผ่านอุปสรรคทุกอย่างมาถึงวันนี้ได้หรือเปล่า”
“อย่าตรัสอย่างนั้นเลยฝ่าบาท สิ่งที่กระหม่อมทำ เทียบไม่ได้เลยกับน้ำพระทัยที่ฝ่าบาทมีให้” อนลสบตาคิดในใจถึงขั้นนี้แล้วขอพูดความในใจเป็นไงเป็นกัน
“และด้วยความสัตย์จริงที่กระหม่อมถวายรับใช้ นอกจากอยากช่วยแล้ว กระหม่อมยังอยากหาเหตุใกล้ชิดฝ่าบาทด้วย” อุรวศีตกใจไม่คิดว่าเขาจะกล้าพูดออกมา “กระหม่อมรู้ตัวว่าไม่คู่ควร แค่คิดก็ทำให้ฝ่าบาทมัวหมองแล้ว แต่กระหม่อมก็หักห้ามใจตัวเองไม่ได้ กระหม่อมไม่อาจโกหกตัวเองได้ว่ามิได้รักฝ่าบาท”
เสียงอุรวศีบอกว่าม้าห้อหมด มีแต่ขนมจีบให้ลองชิมดู อนลได้สติหน้าเหวอรู้ตัวว่าที่พูดไปเมื่อครู่อยู่ในความคิดไม่ได้กล่าวออกมา ท่านหญิงเห็นสีหน้าเขาเอ่ยถามเป็นอะไรทำไมไม่รับประทาน อนลรีบก้มหน้าจิ้มขนมจีบเข้าปากอย่างเขินตัวเอง
“ฉันขออวยพรให้คุณโชคดีและประสบความสำเร็จในหน้าที่ราชการนะ”
“ขอบพระทัย กระหม่อมก็ขอให้ฝ่าบาททรงโชคดีเช่นกัน นับแต่นี้อย่าได้มีเรื่องร้ายใดๆเกิดขึ้นอีกเลย” อนลสบตาท่านหญิงนิ่ง ต่างฝ่ายเก็บงำความรู้สึกที่มีต่อกัน
ooooooo
ค่ำวันนั้น อนลเอาใจบีบนวดนวมซึ่งมีท่าทางอ่อนแอลงตั้งแต่อนึกจากไป ส่วนพระยารัชปาลีคุยเรื่องแปลหนังสือกับเกื้อ อนลห่วงแม่ไม่อยากย้ายไปหัวเมือง ท่านเจ้าคุณได้ยินจึงบอกลูกว่าไม่ต้องห่วงเพราะตนจะลาออกจากราชการมาอยู่เป็นเพื่อน
“แต่ถ้าจะให้ดีก็อย่าลืมหาเมียให้พ่อกับแม่เขาด้วยล่ะ เขาอยากอุ้มหลานเต็มแก่แล้ว” เกื้อเย้า ทำให้อนลหน้าเศร้าลง ท่านเจ้าคุณเห็นหน้าลูกก็บอกว่า
“ดูหน้ามันเข้า พ่อไม่บังคับแกแล้วล่ะนะ เพียงแต่ตอนนี้พ่อเหลือแกคนเดียว ทั้งเรื่องงานราชการทั้งเรื่องการสืบตระกูล นอกจากแกแล้วก็ไม่มีใครอีก”
“คุณพ่อ คุณแม่ อาเกื้อ โปรดวางภาระทั้งหมดลงบนบ่าของผมเถิดครับ ผมสัญญาว่าจะตั้งใจรับราชการให้จำเริญก้าวหน้าสมกับที่ทุกคนตั้งความหวังกับผมไว้” อนลก้มกราบที่บ่าพ่อ
หลังจากนั้นอนลออกมาเดินทอดอารมณ์ ย้ำเตือนตัวเองว่าชีวิตนี้คงห่างกับอุรวศีออกไป ตนมีหน้าที่ของลูกที่ต้องทำให้ดีที่สุด แต่ตนจะไม่มีวันลืม จะมีท่านหญิงอยู่ในใจตลอดไป
ในขณะเดียวกัน อุรวศียืนมองผิน จันและรำเพยเรียนการแกะสลักผักกับสร้อยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ทำให้พลอยสุขใจไปด้วย แต่อดสะท้อนใจนึกถึงอนลไม่ได้ คิดแล้วปลง ตนมีหน้าที่ต้องดูแลทุกคนที่ตนรัก คนเราเกิดมาจะมีสักกี่คนที่ทำตามใจตัวเองได้ สุดท้ายก็ต้องเดินไปตามทางของตัวเอง โดยมีเพียงความทรงจำระหว่างเราติดตัวไปเท่านั้น
ooooooo
สามสี่วันผ่านไป อนลพานวมไปทำบุญให้อนึกที่วัดแต่พระยารัชปาลีไม่ยอมไป นวมเข้าใจจิตใจสามีบอกกับอนลว่าอย่าโกรธพ่อ ใช่ว่าเขายังโกรธเคือง เพียงแต่เสียใจจนไม่อาจได้เห็นได้ยินชื่อลูกคนนี้ด้วยซ้ำ แม้แต่เกื้อก็เสียใจไม่น้อยเพียงแต่ไม่พูดออกมา
“คุณพ่อรักลูกเท่ากัน แต่ตั้งความหวังไว้กับพ่อใหญ่มากที่สุด เรื่องคราวนี้ไม่เพียงทำร้ายหัวใจคุณพ่อ แต่ยังทำลายความหวังทั้งชีวิตอีกด้วย คุณพ่อก็บอกใครไม่ได้ ยอมที่จะเจ็บคนเดียว แต่ก็ไม่ยอมให้ใครมาสมเพชเวทนา”
ขณะเดียวกันพระยารัชปาลีนั่งมองรูปอนึกในชุดสูททรงยุโรปดูหล่อเหลา แล้วกอดรูปนั้นแนบอกน้ำตาไหลซึมออกมา...ด้านเกื้อนั่งเขียนหนังสือรำลึกถึงอนึกหลานรักด้วยความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถดึงหลานให้ออกมาจากสิ่งเลวร้าย จนหลานต้องจบชีวิตตัวเองลงแบบนี้
เวลาผ่านไปหม่อมต่วนเห็นว่าสุรคมได้เลื่อนตำแหน่งใหญ่โตขึ้นยิ่งร้อนใจ เรียกหม่อมเอื้อนมาพบที่ตำหนักเพื่อทวงถามเรื่องยกขันหมาก หม่อมเอื้อนท่าทางหวาดกลัวแต่ก็ต้องบอกตามตรงว่าสุรคมยืนกรานไม่ยอม หม่อมต่วนตวาดลั่นเป็นแม่ประสาอะไรบังคับลูกไม่ได้ อรุณวาสีเดินเข้ามาสีหน้าเด็ดเดี่ยว ประกาศว่าจะไม่เสกสมรสกับสุรคมเป็นอันขาด หม่อมต่วนโวย
“เธอบ้าไปแล้วหรือหญิงเล็ก หมั้นแล้วไม่ได้แต่งก็เท่ากับเป็นม่ายขันหมาก จะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหน”
“เรื่องนี้หากแจกแจงตามเหตุผลแล้ว จะถือว่าหญิงเป็นม่ายไม่ได้หรอกค่ะแม่ และหญิงก็คิดรอบคอบแล้ว ที่ผ่านมาหญิงกลืนไม่เข้าคายไม่ออกทุกข์ใจกับเรื่องนี้มามากแล้ว ตอนนี้หญิงทำใจได้แล้วค่ะ ขอให้ทุกอย่างจบลงเพียงเท่านี้เถิดค่ะ” พูดจบอรุณวาสีเดินเลี่ยงไป
หม่อมเอื้อนถอนใจเฮือกโล่งอก แต่หม่อมต่วนไม่ยอมเดินตามไปดุด่า สั่งให้อรุณวาสีต้องเสกสมรสกับสุรคม ท่านหญิงร้องไห้ขอร้องสั่งตนเรื่องอื่นตนยินดีทำให้ทุกอย่าง เรื่องนี้จะทำให้ตนไม่เหลือศักดิ์ศรี หม่อมต่วนตวาด ต่อให้ไม่เหลือก็ต้องแต่งเพราะตนไม่ต้องการแพ้ลูกบ่าว อยากเห็นตนอกแตกตายที่อุรวศี
ลอยหน้าเยาะเย้ยหรือ อรุณวาสีร้องไห้หนักขึ้นเพราะแม่ห่วงเรื่องศักดิ์ศรีมากกว่าความรู้สึกลูก
อทริกา ติโลตตมา และอรชุนได้ยินเสียงเอะอะพากันออกมา พอรู้เรื่องต่างก็เข้าข้างหม่อมต่วนดุว่าอรุณวาสีให้ยอมเสกสมรสกับสุรคม
“ไม่ค่ะ หญิงทนทุกข์ทรมานเพราะเรื่องนี้มามากพอแล้ว ไม่มีใครเห็นใจหญิงซักคน แต่หญิงจะไม่ยอมทุกข์ใจไปทั้งชีวิตเด็ดขาด อภัยให้หญิงด้วยนะคะ”
ติโลตตมาโกรธแทนแม่ด่าทอ “โง่ที่สุด ตัวเองเสื่อมเสียคนเดียวไม่พอ ยังทำให้พี่น้องต้องพลอยเสียหน้าไปด้วยอีก”
หม่อมต่วนตวาดกราด พอกันหมดทั้งพี่ทั้งน้อง ติโลตตมาชักสีหน้ารู้ว่าแม่พาดพิงถึงตน อรชุนพาลโกรธอรุณวาสีไปด้วยที่ไม่เห็นแก่พี่น้อง...ความโกรธครั้งนี้ทำให้หม่อมต่วนตัดสินใจกระทำรุนแรงอย่างไม่เกรงกลัวใคร ตัดรากถอนโคนเสียให้สิ้น สั่งบ่าวชายตัดต้นไม้ริมกำแพงแล้วเอากิ่งไม้ไปเผานอกรั้ว โดยอ้างว่าไม่ต้องการให้ควันคลุ้งลมเข้าไปในห้อง
ขณะนั้นที่เรือนปั้นหยา สร้อยกำลังนั่งทำงาน รำเพยทำความสะอาดเรือน ผินเดินหงุดหงิดมาบ่นว่าหม่อมต่วนคิดแกล้งตัดต้นไม้มาเผาทิ้งใกล้เรือนหวังรมควันมาที่นี่ สร้อยปลอบให้อดทน อีกไม่นานเราจะย้ายไปอยู่นครปฐม ท่านหญิงเห็นว่าท่านชายวิสสุกรรมไม่อยู่แล้วก็ไม่คิดจะอยู่ที่นี่ต่อไป ระหว่างนี้ได้ให้ท่านเจ้าคุณนครชัยศรีปลูกเรือนไว้แล้ว ผินดีใจมาก
แปลกหายป่วยเห็นบ่าวชายขนกิ่งไม้แห้งไปกองนอกรั้วก็แปลกใจ หม่อมต่วนสั่งให้คอยเป็นหูเป็นตา คอยดูความฉิบหายของพวกเรือนปั้นหยา แปลกยังไม่เข้าใจว่าหม่อมจะทำการใด
เย็นวันนั้น อุรวศีดูแลแสงอยู่ที่เรือน หม่อมสลวยกับผ่องแย่งกันเฝ้าแสงในคืนนี้ ท่านหญิงให้ทั้งสองกลับไปพัก คืนนี้ตนจะเฝ้ายายเอง...กลางดึกผินเคาะประตูห้องสร้อยซึ่งนอนกับรำเพย เพื่อบอกว่ามีควันไฟคละคลุ้งไปหมดเกรงว่าจะเป็นไฟไหม้ ไม่ทันไรสถานการณ์เลวร้ายขึ้นไฟโหมหนักจนทั้งสามหาทางออกไม่เจอ รำเพยสำลักควันล้มหมดสติไปก่อน ที่เรือนจางวางสมมีเสียงปลุกให้ทุกคนลุกไปช่วยกันดับไฟที่เรือนปั้นหยา อุรวศีกับจันตกใจมากรีบวิ่งไปดู
อุรวศีเป็นห่วงแม่จะเข้าไปช่วยแต่จันกับจางวางสมจับตัวไว้ ท่านหญิงร่ำไห้ถามจันไม่ห่วงแม่ตัวเองหรือ จันลังเล ท่านหญิงฉวยโอกาสสะบัดตัวออกวิ่งเข้าไปในบ้าน ร้องเรียกหาแม่ลั่น ได้ยินเสียงสร้อยกับผินไอโขลกสำลักควันจะเข้าไปช่วย ทันใดคานบ้านที่ติดไฟแดงฉานหล่นโครมลงมาใส่ อุรวศีกรีดร้องสุดเสียง
หม่อมต่วนยืนมองจากตำหนักด้วยสีหน้าสาแก่ใจ “หมดสิ้นเสียทีเสี้ยนหนามตำใจข้า”
แปลกวิ่งมารายงานว่าไฟไหม้เรือนปั้นหยา หม่อมสลวยกับอุรวศีติดอยู่ข้างใน หม่อมต่วนยิ้มเยือกเย็นไม่สะทกสะท้าน อรชุน ติโลตตมา อทริกาและอรุณวาสีวิ่งมาด้วยความร้อนใจ อรุณวาสีแสดงความห่วงใยอุรวศี หม่อมต่วนไม่พอใจบอกพวกเทือกเถาเหล่ากอคงกำลังช่วยกันอยู่ อทริกาแปลกใจเกิดไฟไหม้ได้อย่างไร หม่อมต่วนตอบหน้าตาเฉย
“เมื่อตอนเย็นพวกบ่าวมันเผากิ่งไม้ ใบไม้ แต่ก็ดับเรียบร้อยแล้วนะ ไม่คิดเลยว่าตกดึกไฟมันจะคุขึ้นมาอีกจนปลิวไปติดเรือนลูกนังสลวย...จริงไหมนังแปลก”
“จริงเจ้าค่ะ ไฟมันคุขึ้นมาเอง ไม่มีใครทำอะไรทั้งนั้นเจ้าค่ะ”
ติโลตตมานึกได้ว่าสมบัติเสด็จพ่อประทานให้กับเครื่องเพชรที่เสด็จป้าให้ป่านนี้คงไฟไหม้หมด หม่อมต่วนฉุกคิดขึ้นมาได้สีหน้าเป็นห่วงไม่แพ้กัน ติโลตตมาสั่งบ่าวไพร่ให้ตามตนไปดูก่อนว่ากล่องเครื่องเพชรโดนไฟไหม้ไปแล้วหรือยัง อรชุนเอ็ดอย่าโลภนักเลย เป็นห่วงว่าไฟจะลามมาถึงวังเราหรือไม่ดีกว่า ท่านหญิงผู้น้องสวน
“ถ้ามันจะไหม้ก็ไหม้ไปนานแล้วล่ะค่ะ เจ้าพี่ไม่รู้อะไรก็อยู่เฉยๆเถิด สมบัติของนังเด็กนั่นรวมๆกันแล้วก็มีค่าไม่น้อยกว่าวังนี้หรอก”
บ่าวไพร่ไม่รู้จะฟังเจ้านายองค์ไหนดี สุดท้ายแยกเป็นสองฝ่ายเพื่อไปทำตามคำสั่ง อรุณวาสีเป็นห่วงอุรวศีอยากให้คนไปช่วยดับไฟ แต่หม่อมต่วนนิ่งเฉยท่าทียิ้มเยาะในหน้า
ooooooo
รุ่งเช้าอนลกำลังจะออกไปทำงาน สุรคมนั่งรถลากมาบอกเรื่องเรือนปั้นหยาไฟไหม้ อนลตกใจมากรีบไปกับสุรคมทันที
มุมหนึ่งของตำหนัก แปลกกำลังกำชับบ่าวไพร่ทุกคนว่าวันนี้จะมีนครบาลมาสอบถามเรื่องไฟไหม้เมื่อคืน หม่อมต่วนสั่งให้ตอบตรงกันว่า เผากิ่งไม้ใบหญ้าในเขตกำแพงวังหาใช่นอกกำแพงไม่ หากใครพูดเป็นอื่นจะถือว่าผู้นั้นเป็นต้นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้และจงใจวางเพลิงฆ่าท่านหญิงอุรวศี แถมหม่อมต่วนยังสั่งให้ถางหญ้า ขุดดิน ปลูกดอกไม้หอมตลอดแนวกำแพงเดี๋ยวนี้ แปลกชื่นชมเจ้านายตัวเอง ใครจะเฉลียวฉลาดเกินหม่อมต่วนเป็นไม่มี
เมื่อสุรคมกับอนลมาถึงเห็นสภาพเรือนปั้นหยาไหม้ไฟจนหมด ซักถามตำรวจที่ตรวจหลักฐานอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น มีใครเป็นอะไรบ้าง ตำรวจทำความเคารพทูลว่า มีคนตายสามคน ศพไหม้เกรียมจนจำหน้าไม่ได้ แต่เท่าที่สอบปากคำพยาน คาดว่าคนตายคือหม่อมของเสด็จในกรม และข้าหลวงชื่อสร้อย กับหม่อมเจ้าหญิงอุรวศีพระธิดาเสด็จในกรม
ทั้งอนลและสุรคมตกใจเข่าอ่อน ตำรวจนายหนึ่งทูลเชิญสุรคมไปสอบปากคำพยานด้วยตัวเอง ท่านชายรีบตามตำรวจไป อนลยืนเศร้าหมดอาลัยตายอยากเหมือนโลกทั้งโลกพังทลาย แม้จะรู้ว่าระหว่างตนกับท่านหญิงจะเป็นไปไม่ได้ แต่การได้เฝ้ามองหรือแค่รับรู้ว่าท่านอยู่ดีมีสุข ก็เป็นสุขมากแล้วสำหรับตน แต่ตอนนี้ไม่มีท่านหญิง น้ำตาเขาไหลเอ่อเสียใจราวชีวิตดับสูญสิ้น
ตำรวจสอบปากคำหม่อมต่วน หม่อมเล่าว่าเป็นคนสั่งบ่าวไพร่ตัดกิ่งไม้ระเกะระกะมาเผาภายในกำแพงตั้งแต่เย็นวาน ไฟดับสนิทหมดจะสอบถามบ่าวคนไหนดูได้ ให้แปลกพาไป แต่ไม่วายถามถึงเจ้าคุณพิทักษ์น้องชายที่เป็นเจ้านายพวกเขา ทำนองข่มให้รู้ว่าไม่อาจทำอะไรตนได้
บ่าวพูดไปทางเดียวกันว่าเผากิ่งไม้ในกำแพงวัง แต่มันปลิวไปไหม้ได้อย่างไรพวกตนไม่ทราบ สุรคมฟังแล้วไม่เชื่อแต่พอมองไป เห็นคนกำลังปลูกดอกไม้ริมกำแพง อ้างที่เผาหญ้าเพื่อเตรียมปลูกไม้ดอกนี้ ขณะนั้นเองอทริกากับอรุณวาสีนั่งรถม้ากลับเข้ามาหลังจากไปทำเรื่องแจ้งคนตาย อทริกาพูดไม่ยั้งคิดว่าสุรคมคงยังโกรธเรื่องเก่าๆถึงไม่ยอมเข้าไปในตำหนัก ท่านชายไม่ค่อยพอใจแต่ไม่อยากถือสา หันไปมองอรุณวาสีที่ร้องไห้สะอึกสะอื้น
ไม่ทันจะสนทนาอะไร ติโลตตมาสีหน้าร้อนใจเดินมา “หญิงนิด หญิงเล็กมาก็ดีแล้ว มาช่วยกันหน่อยเร็วเข้า จนป่านนี้ยังหากล่องเครื่องประดับที่เสด็จป้าประทานให้นังเด็กนั่นไม่เจอเลย กล่องที่เสด็จพ่อประทานให้ก็ไม่มี ไม่รู้เมื่อคืนตอนญาติพวกมันมาช่วยดับไฟขโมยไปหมดเสียก็ไม่รู้ ถึงคอยกันไม่ให้ฉันกับบ่าวเข้าไป อ้างว่าไฟยังไม่ดับที่แท้ยังขโมยของไม่เสร็จมากกว่า เร็ว...มาช่วยฉันหาเร็วๆเลย”
อทริกาขอตัวอ้างเหนื่อยเพิ่งกลับมา ติโลตตมาตวาดไม่มีหัวคิด ของไม่ใช่สตางค์สองสตางค์จะให้คนอื่นขโมยไปได้อย่างไร สุรคมมองความใจดำของติโลตตมา อรุณวาสีไม่คิดจะเดินตาม สุรคมหันมาจะคุยด้วย เธอปัดว่าไม่อยากฟังอะไร น้องสาวตนเพิ่งเสียไปทั้งคน เขารู้สึกว่าเธอเสียใจจริงๆ เริ่มสงสารและเข้าใจเธอมากขึ้น
ooooooo
ภายในห้องของแสง จันทยอยยกหีบเครื่องประดับสามหีบใหญ่ กลางและเล็กเข้ามา ทั้งสามมีสภาพไหม้ไฟเล็กน้อย แสงยังนอนหลับสนิทอยู่ มีอุรวศีนั่งเสียใจ เธอรอดชีวิตจากกองไฟมาได้เพราะจางวางสมเข้าไปฉุดออกมาตอนที่คานบ้านถล่มลงมา ทำให้ทับแค่ร่างสร้อยและผิน
จันรายงานว่าตนรีบขนออกมาก่อนที่จะมีคนอื่นขโมยไป แต่โฉนดที่ดินนครปฐมไหม้ไฟหมดแล้ว ท่านหญิงหน้าเศร้าเอากุญแจที่เหน็บอยู่กับตัวออกมาไข เห็นของในหีบไม่เสียหาย น้ำตาไหลรินออกมาไม่ขาดสาย หีบใบเล็กเป็นของสร้อย ให้จันติดต่อญาติมารับไป แล้วถามถึงเรื่องศพเป็นอย่างไรบ้าง จันร้องไห้เพราะหนึ่งในสามศพคือผินแม่ของตน
“ยังไม่รู้ศพของใครเป็นใครเลยเพคะ เพราะแต่ละศพไหม้เป็นตอตะโกเหมือนกัน”
“แม่...หญิงน่าจะตายไปพร้อมแม่ จะได้ไม่ต้องเสียใจอย่างนี้” อุรวศีหันไปร้องไห้กับแสงซึ่งหลับอยู่ ว่าตนควรทำอย่างไรต่อไปดี
ทันใดประตูห้องเปิดออก จางวางสม หม่อมสลวยและผ่องเดินเข้ามา บุญทันนั่งรอหน้าประตู อุรวศีตกใจเมื่อเห็นแม่ยังมีชีวิตอยู่ ทั้งสองโผกอดกัน ผ่องยกมือท่วมหัว “คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองแท้ๆ เมื่อคืนแม่สลวยไม่ได้ไปค้างที่เรือนปั้นหยา ไม่อย่างนั้นก็คงไม่รอดไปอีกคน”
อุรวศีแปลกใจ หม่อมสลวยลำดับเหตุการณ์ให้ฟัง เมื่อคืนบุญทันชวนไปกินข้าวบอกว่าไม่ได้ทานด้วยกันนานนับเดือน แต่พวกตนก็รู้กาลเทศะเกรงคนจะนินทา เมื่อกินข้าวเสร็จตนมานอนกับผ่องที่เรือน...ผ่องเล่าต่อว่า เดชะบุญที่ตอนมา เจอพ่อก่อนถึงรู้เรื่องที่เกิดขึ้น ไม่อย่างนั้นความคงแตก จันแปลกใจความอะไรแตก จางวางสมถอนใจ
“ก็ความเรื่องแม่สลวยยังไม่ตายน่ะสิวะ คืออย่างนี้ตอนนี้พบศพอยู่สามศพ คือศพคุณสร้อย แม่ผินและก็นังรำเพย แต่ยังไม่มีใครรู้ ทุกคนเข้าใจว่าคนที่ตายคือคุณสร้อย แม่สลวยและท่านหญิง” อุรวศีคิดตามตาหมายถึงให้ตนกับแม่สวมรอย “ใช่แล้วกระหม่อม ไม่ต้องให้มันรู้ว่าท่านหญิงรอดมาได้ เดี๋ยวมันจะตามร้างตามผลาญอีก เพียงแค่ประทับอยู่ที่นี่ก็ไม่เหมาะ เพราะคนพลุกพล่านเกินไปเกรงความจะแตกได้ จะให้ประทับที่อื่น ตาก็ยังนึกไม่ออกว่าจะเป็นที่ไหนดี”
ขณะทุกคนกำลังคิดหนัก เสียงบุญทันดังขึ้นว่า “ใต้เท้ามาได้อย่างไรกันขอรับ เป็นพระเดชพระคุณเหลือเกินขอรับที่ใต้เท้ามา”
ทุกคนในห้องได้ยิน อุรวศีคิดทบทวนว่าบุญทันเรียกใครว่าใต้เท้า แล้วนึกได้ว่าต้องเป็นอนล ก็รู้สึกดีใจระคนกังวลใจกลัวความจะแตก...บุญทันตั้งใจพูดเสียงดังให้ทุกคนรู้ตัว เชิญอนลไปนั่งที่ศาลาข้างล่าง อนล
กล่าวว่าตนมาแสดงความเสียใจเท่านั้นไม่นานก็กลับ อนลแปลกใจท่าทางบุญทัน เอ่ยชมว่าเขาช่างทำใจได้เร็วดูไม่เสียใจ บุญทันนึกได้ทำทีร้องไห้หันหน้าหนี อนลถามหาจางวางสม บุญทันอึกๆอักๆ สักพักจางวางออกมารับไหว้อนลและบอกว่า ตนมีเรื่องต้องสะสางมากมาย ขอบคุณที่แวะมา อนลเสียงเศร้าถามถึงพระศพท่านหญิงจะตั้งวัดไหน
“ศพคุณสร้อยกับแม่สลวยก็คงสวดที่วัดเทพธิดารามนี่ล่ะ ส่วนพระศพท่านหญิงอยู่ในพระบรมราชานุเคราะห์น่าจะตั้งที่วัดมกุฎ แต่หากเป็นที่อื่นฉันจะให้คนไปแจ้งนะ”
อนลรับทราบกล่าวลา เมื่ออนลลงจากเรือน ทั้งจางวางและบุญทันถอนใจเฮือก ไม่ทันไรอนลกลับขึ้นมา ทั้งสองสะดุ้งพร้อมกัน อนลกลับมาเพื่อถามถึงผินกับจันหายไปไหน ปลอดภัยหรือไม่ จางวางรีบบอกว่าผินถูกไฟลวกเจ็บไม่น้อย จันพาไปรักษาตัว อนลรับทราบหน้าเศร้า ลงกลับไป สองพ่อตากับลูกเขยถอนใจอีกเฮือก
ทั้งสองเดินเข้ามาในห้องแสง บุญทันจะถอยออก อุรวศีเรียกไว้ให้เข้ามาปรึกษาหารือด้วยกัน...จันคิดว่าถ้าท่านหญิงเสกสมรสไปกับสุรคมก็คงมีคนคอยปกป้อง แต่ท่านหญิงกลับบอกว่าจะสร้างความชังให้หม่อมต่วนมากขึ้น เผลอๆจะพากันรับเคราะห์ไปด้วย บุญทันเสนอให้ท่านหญิงไปประทับที่เรือนแพของตน ด้วยเหตุและผล จางวางสมเห็นดีด้วย
ooooooo
สุรคมมาบอกข่าวการสิ้นพระชนม์ของอุรวศีกับเมรา เธอร้องไห้ไม่เชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุ อธิปโพล่งขึ้นเวลานี้ไม่ใช่เวลาเสียใจ น่าจะนึกถึงทรัพย์สินของอุรวศีก่อน เมราฉุกคิดแม้ไม่ได้อยากได้สมบัติน้องแต่ก็ไม่อยากให้ตกไปเป็นของหม่อมต่วน คนที่ชิงชังทำให้น้องตนต้องตาย
ตกค่ำจันแอบนั่งร้องไห้ที่แม่จากไป อุรวศีได้ยินเข้าปลอบ และบอกว่าการตายของผินเป็นความรับผิดชอบของตน ผินต้องมารับเคราะห์และตนยังใช้ศพผินสวมรอยเป็นแม่อีก เรื่องนี้จะเป็นความผิดในใจตนตลอดไป จันนึกได้ทูลว่าอนลจะไปร่วมงานศพด้วย ตนคงต้องคอยหลบ คิดว่าเขาจะไปงานศพท่านหญิง อุรวศีรู้ใจอนลว่าที่ไม่ไปเพราะยังทำใจไม่ได้เกรงจะร่ำไห้ในงานให้คนสงสัย ...จริงอย่างที่อุรวศีคิด อนลนั่งเสียใจเขียนกลอนรำพันถึงท่านหญิง ก้มหน้าพูดกับกระดาษว่า ประทานอภัยให้ตนด้วย ตนไม่อาจไปงานพระศพได้เพราะคงร้องไห้ทำให้คนสงสัยเอาไปนินทาได้ ทำใจได้เมื่อไหร่ตนจะไป
วันต่อมา คุณหญิงไกรกับดวงแขเดินทางมาเพื่อรับอนลไปปากน้ำโพ และเยี่ยมอาการป่วยของนวม ดวงแขประจบเอาใจด้วยการนำยาบำรุงอย่างดีมามอบให้ เห็นอนลมีท่าทีเซื่องซึมก็พยายามชวนคุยแต่เขานิ่งเฉย ท่านเจ้าคุณอ้างว่าคงคิดถึงบ้านเมื่อต้องจากไปอยู่ที่อื่น
พอเข้ามาในห้อง ดวงแขหงุดหงิดที่อนลมีท่าทีไม่สนใจตนยิ่งกว่าเดิม คุณหญิงไกรปลอบให้อดทนเพื่อให้พ้นคำนินทาว่าเป็นผู้หญิงกินผัว ตอนนี้เรารู้แล้วว่ามีคนรับใช้ชายคือคล้องและถึกตามไปดูแลอนล ไม่ใช่คนรับใช้หญิง แต่ดวงแขยังหวั่นใจกลัวเขาไปติดพันสาวอื่น ที่ไม่ใช่ตน คุณหญิงต้องยกยอว่าทั้งปากน้ำโพไม่มีใคร สวยเกินลูกสาวตน ดวงแขยิ้มปลื้มมั่นใจขึ้น
งานศพยังไม่เสร็จสิ้น อธิป เมราและสุรคมมาทวงสมบัติของอุรวศี อรชุน ติโลตตมาและอทริกาโกรธมากที่กล้ามาทวงถาม เถียงกันไปมาจนอรุณวาสีอายบ่าวไพร่ทนไม่ไหว
“เมื่อไม่เห็นแก่วิญญาณเสด็จพ่อกับหญิงหลง หญิงกำลังจะไปทำบุญที่วัด ไม่มีผู้ใหญ่ช่วยไกล่เกลี่ยข้อขัดแย้ง หญิงจะนิมนต์ท่านเจ้าอาวาสมาให้เอง ให้มันรู้กันไปว่าจะไม่เห็นแก่พระ เห็นแก่คนตายกันบ้าง ถ้าราชสกุลจะเสื่อมเสียก็คงต้องยอม แต่หน้าที่ราชการใครจะเสียหายไปด้วย อันนี้หญิงไม่รับรู้ด้วยนะคะ”
อรชุนกับอธิปชะงักกลัวการงานเสียหาย เมราได้สติเสียงอ่อนลง “พี่ขอโทษจ้ะหญิงเล็ก พี่เพียงแต่อยากจะปกป้องทรัพย์สมบัติของหญิงหลงไว้เท่านั้นเอง”
ติโลตตมากับอรชุนยังขุ่นเคือง ต่อว่าอรุณวาสีอย่าคิดสาวไส้ให้กากิน อทริกาเห็นว่าไม่เกี่ยวกับตนก็เลี่ยงหนีไป ติโลตตมาเดินปึงปังขึ้นข้างบน อธิปกับเมราถอยกลับ สุรคมทึ่งที่เห็นอรุณวาสีกล้าพูดมากขึ้น แต่เธอก็เดินน้ำตาไหลพรากเลี่ยงออกมา สุรคมตามมาชมว่าทำดีมาก ไม่อ่อนแอเหมือนก่อน ท่านหญิงสะกดกลั้นความเสียใจไว้หันมากล่าว
“หญิงทำไปเพราะหญิงหลงต่างหากล่ะคะ หญิงไม่อยากให้วิญญาณน้องต้องมีห่วง แต่หญิงก็ทำได้เท่านี้” สุรคมพูดจี้ใจ ดูเธอรักอุรวศีมาก น้ำตาเธอไหลพราก “น้องทั้งคน หญิงจะไม่รักได้ไงล่ะคะ หญิงเสียใจที่สุดที่เสียน้องไปทั้งที่ยังขัดเคืองไม่ได้ทำความเข้าใจกันเลย”
สุรคมชะงักรู้สึกผิด เพราะที่ต้องมาเสียใจแบบนี้ เป็นความผิดตนด้วยเหมือนกัน
ooooooo










