สมาชิก

เพชรกลางไฟ

ตอนที่ 10

เมื่อได้พบเจอกัน อนลคิดว่าอุรวศีจะกลับมาอยู่เรือนปั้นหยา ท่านหญิงรับว่าใช่หลังเสร็จพระราชพิธีศพเสด็จป้า ตอนนี้ทยอยขนของมาแล้วท่านหญิงนึกได้ถามอนลถึงเรื่องที่เขาถูกนำตัวขึ้นศาล สีหน้าอนลเศร้าลงเล่าว่า

“ศาลตัดสินให้กระหม่อมพ้นผิด เพราะพี่ชายกระหม่อมเขียนหนังสือสารภาพผิดและยืนยันว่าเรื่องทั้งหมดกระหม่อมไม่เกี่ยวข้องด้วย จากนั้นพี่ชายกระหม่อมก็อัตวินิบาตกรรม”

อุรวศีตกใจแสดงความเสียใจและเห็นใจที่เขาประสบเคราะห์กรรมหนัก อนลรับว่าทุกข์มากในวันแรก คิดว่าไม่นานพี่ชายคงมาช่วย แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มา มันเลวร้ายตรงที่ความหวังเริ่มหมดไปทีละวันๆ แต่ก็ถือว่ายังมีบุญที่ได้

อนลสบตาท่านหญิง เพราะคือกำลังใจจากท่านหญิง อุรวศีอ่านสายตาเขาออก หลบตาและเปลี่ยนเรื่องถามทำไมเขาไม่พูดความจริงว่าพี่ชายเป็นคนผิด อนลนิ่งไปสักครู่ราวเรียบเรียงคำพูด

“เลือดข้นกว่าน้ำกระหม่อม ถึงไม่เห็นด้วยกับพี่ใหญ่ แต่จะส่งเขาขึ้นตะแลงแกงด้วยตัวเอง กระหม่อมก็ใจไม่แข็งพอจะทำได้ ใครเป็นพี่น้องกันก็คงเข้าใจ ขอประทานอภัยถ้ากระหม่อมจะทูลถามว่า ฝ่าบาทเองทำได้หรือไม่ ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับเจ้าพี่ของฝ่าบาท”

“ฉันเข้าใจคุณ ฉันคงไม่ใจแข็งพอจะทำเหมือนกัน...” อนลมองด้วยสายตารักใคร่ชื่นชม อุรวศีเขินเบือนหน้าหนีเปลี่ยนเรื่อง “คุณจะเข้ารับราชการอีกไหม”

“กระหม่อมทำหนังสือขอไปแล้วแต่จะได้หรือไม่ก็แล้วแต่ท่านเสนาบดี กระหม่อมผ่านทุกข์ใหญ่หลวงมาแล้ว เรื่องอื่นๆจึงเล็กลงไปถนัดใจ ต่อให้ราชการไม่เลี้ยง กระหม่อมก็คงหาทางเลี้ยงชีพได้ไม่อดตาย

จะว่าไปเวลาที่ถูกขัง มองให้เป็นโทษก็เป็นโทษ มองให้เป็นคุณก็เป็นคุณ ทำให้กระหม่อมเข้าใจชีวิตได้มากขึ้น”

“ถูกขังน่ะหรือเป็นคุณ ข้อนี้ฉันไม่เข้าใจ”

“เมื่อก่อนกระหม่อมรู้จักทุกข์และสุขเพียงผิวเผิน เมื่อได้ดังใจก็เรียกว่าสุข ไม่ได้ดังใจก็เรียกว่าทุกข์ เมื่อถูกคุมขังวันแรกๆ กระหม่อมทุกข์เท่ากับภูเขาหลวง เหมือนอยู่ในนรกไม่มีผิด แต่มันก็ผ่านไปจนได้ วันๆ กระหม่อมเรียนรู้ที่จะอยู่กับความทุกข์ ไม่ว่าอารมณ์เท่าใดพุ่งขึ้นมา เมื่อรู้เท่าทันว่านี่คือทุกข์ มันก็ทำร้ายเราไม่ได้อีกต่อไป เหมือนตัวอะไรตัวหนึ่งบินมาเกาะ แล้วเราก็สลัดมันออกไป”

“คุณพูดมีคติน่าฟังมาก ฉันจะจำไว้ หากเมื่อใดที่เจอทุกข์มากๆ จะได้รู้วิธีสลัดออกไป ส่วนทุกข์เล็กๆ น้อยๆฉันไม่เก็บมาเป็นอารมณ์อยู่แล้ว” อุรวศีทึ่งกับความคิดของอนล

อนลรู้สึกสุขใจ แม้จะผ่านทุกข์ครั้งใหญ่มา แต่พอได้คุยกับท่านหญิงก็รู้สึกดีขึ้นมากอย่างน่าอัศจรรย์

ooooooo

ตำหนักหม่อมต่วน มีคุณหญิงท่านหนึ่งนำเครื่องเพชรชุดใหญ่มาขายให้ด้วยอับจนเงินทอง และขายให้ในราคาที่ไม่แพง ติโลตตมาเห็นเครื่องเพชรชอบใจมาก แต่หม่อมต่วนมีรึจะยอมจ่ายอะไรง่ายๆ ต่อราคาแค่แปดพัน คุณหญิงท่านนั้นไม่อาจขายให้ได้จึงนำเครื่องเพชรกลับ

ติโลตตมาเสียดายมากบอกแม่ว่าราคานั้นไม่แพงเลย หม่อมต่วนเอ็ด เธอไม่ได้เป็นคนหาเงิน อยู่เฉยๆ ตนได้กำไรจากเรื่องพวกนี้มานักต่อนัก ไม่ทันไรแปลกเข้ามารายงานว่าหม่อมเอื้อนกับสุรคมมา หม่อมต่วนยิ้มเหยียดสั่งแปลกให้ไปตามอรุณวาสี เรื่องแบบนี้ต้องพูดกันต่อหน้า

หม่อมเอื้อนนั่งหน้าตาบอกบุญไม่รับอยู่ที่ระเบียงกับสุรคม เลื่อนกล่องเครื่องเพชรและถุงใส่โฉนดที่ดินที่เป็นของรับไหว้คืนให้หม่อมต่วน สีหน้าหม่อมต่วนนิ่งแต่แววตาดุดันจนหม่อมเอื้อนหวาดกลัว ยกมือไหว้ขอโทษที่สุรคมไม่มีวาสนาจะเป็นคู่ครองท่านหญิง สุรคมมองหน้าอรุณวาสีอย่างรู้สึกผิด บอกเธอว่าของหมั้นที่ให้ไปก่อนหน้า ตนไม่ขอคืน ถือเป็นค่าทำขวัญเพราะตนเป็นฝ่ายผิด

ท่านหญิงขบกรามแน่นอยากร้องไห้ ถูกชายที่รักถอนหมั้นอย่างไม่ไยดีราวกับคนไร้ค่า หม่อมต่วนหยิบกล่องเครื่องเพชร หม่อมเอื้อนโล่งใจคิดว่ารับคืน

แต่ทันใดนั้น หม่อมต่วนปากล่องเครื่องเพชรลงพื้นตกกระจาย ทุกคนตกใจรวมทั้งแปลกที่รีบคลานไปเก็บรวบรวมเครื่องเพชรใส่กล่อง อรุณวาสีไม่คิดว่าแม่จะทำขนาดนี้ จะอ้าปากพูด

“หยุดประเดี๋ยวนี้นะหญิงเล็ก ที่แม่ให้เธอมาก็เพื่อที่จะได้รู้ไว้ว่าแม่ไม่ยอมให้มีการถอนหมั้นเป็นอันขาด ไม่ว่าเธอหรือใครจะมาขอก็ตาม”

“แต่เจ้าพี่ไม่ทรงรักหญิง ถึงหมั้นกันต่อไปก็มีแต่จะเสียใจด้วยกันทุกฝ่าย แล้วแม่จะฝืนไปทำไมคะ” อรุณวาสีเสียงสั่นน้ำตานองหน้า

สุรคมแปลกใจที่ท่านหญิงกลัวแม่มากยังกล้าช่วยพูด หม่อมต่วนเอ็ดที่ตนทำเพื่อรักษาเกียรติยังไม่เข้าใจอีก แล้วย้ำ “ส่วนท่านชายก็ขอให้ทรงตระหนักไว้ด้วยนะเพคะ ว่าการหมั้นครั้งนี้เกิดจากที่หม่อมฉันสงสาร ไม่อยากให้ได้เชื้อสายผู้หญิงคบชู้มาเป็นชายา ถึงได้ยกหญิงเล็กให้ ทั้งๆที่หญิงเล็กก็เป็นลูกที่เกิดจากหม่อมเอก แต่ท่านชายเป็นโอรสที่เกิดจากหม่อมปลายแถว”

หม่อมเอื้อนลมแทบจับ สุรคมโกรธจัดขนาดพี่ชายตนที่ว่าร้ายกาจยังไม่เคยจิกด่าขนาดนี้ หม่อมเอื้อนชวนลูกกลับ สุรคมยืนจ้องหน้าหม่อมต่วนด้วยความโมโหหมดความนับถือกันอีก

“กลับแน่จ้ะแม่ เพราะชายได้เห็นกับตาตัวเองแล้ว ว่ากิตติศัพท์หม่อมต่วนสมคำร่ำลือจริงๆ เอาเถิด เมื่อหม่อมไม่ยอมให้ถอนหมั้น ก็หมั้นกันไปอย่างนี้เรื่อยๆ แต่อย่าหวังว่าจะมีขันหมากจากฉันมาสู่ขอเลย เพราะฉันก็รังเกียจเกินกว่าจะดองกับหม่อมเหมือนกัน”

พูดจบสุรคมเดินหนีไปทันที หม่อมเอื้อนจะตามแต่แปลกเรียกไว้ให้รับกล่องเครื่องเพชรไปด้วย หม่อมเอื้อนสะบัดหน้าหนีอย่างเคืองๆ

หม่อมต่วนมองอรุณวาสีนั่งร้องไห้อย่างรำคาญในความอ่อนแอของลูกคนนี้ ก่อนจะยิ้มเย้ยสุรคม ยังอ่อนนักคิดจะงัดข้อกับตน แล้วพาลโทษว่าเป็นเพราะอุรวศียุแยง อยากจะให้ตนเสียหน้า เมื่อคิดแย่งสุรคม ตนอาจต้องใช้วิธีเดียวกับที่ทำกับหม่อมพิณ แปลกสะดุ้งมือไม้อ่อนกล่องเครื่องเพชรหล่นเพราะไม่เคยลืมเหตุการณ์ครั้งนั้น

“หม่อมเจ้าขา จนถึงตอนนี้บ่าวยังกลัวอยู่เลยเจ้าค่ะ มันเสี่ยงนะเจ้าคะ คราวหม่อมพิณเป็นแค่นางเอกละคร หายไปก็ไม่มีใครสนใจไยดี แต่ท่านหญิงหลงทรงเป็นถึง...” แปลกเดินตามพูด

“หุบปาก นังเด็กนั่นก็ไม่ต่างจากนังพิณสักเท่าใดดอก เชื้อสายเต้นกินรำกินเหมือนกัน จะมีปัญญามาทำอะไรข้าได้” หม่อมต่วนขบกรามแน่นด้วยความเกลียดชัง

ในขณะที่ด้านหลังตำหนัก ติโลตตมาแอบมาพบท่านป้อม เธอเริ่มเคลิ้มไปกับคำหวานของเขา จนยอมให้ฝ่ายชายจับไม้จับมือ ขอคำมั่นสัญญาที่จะเปิดเผยความสัมพันธ์ให้ใครๆรับรู้เสียที แต่ท่านป้อมยังอ้างไม่อยากมีปัญหากับท่านพี่ ท่านหญิงจึงอ้อนขอให้ซื้อเครื่องเพชรที่คุณหญิงนำมาขายแม่ ท่านป้อมรับปากจุมพิตมือท่านหญิง แต่ในใจไม่รู้เลยว่าจะหาเงินจากไหน

ooooooo

คำพิพากษาศาลออกมาว่าเกื้อถูกลงโทษจำคุกสิบสองปี อนลเป็นกังวลที่สุขภาพอาไม่ค่อยดี เกรงจะเป็นอะไรไปในคุก พระยารัชปาลีก็ห่วงน้องแต่พยายามทำใจถ้าเวรกรรมทำให้เป็นเช่นนั้น แล้วท่านเจ้าคุณหันมาบอกเรื่องทางกระทรวงเรียกตัวอนลกลับไปทำงานเดือนหน้า

คล้องหน้าตาตื่นเข้ามาบอกว่านวมเป็นลมล้มที่สวนหลังบ้าน ทั้งสองตกใจมากรีบไปช่วยปฐมพยาบาลจนฟื้นจะให้หมอมาดูอาการ แต่นวมห้ามไว้ขอแค่ยาหอมก็พอ นวมเล่าให้สามีกับลูกฟังว่า เมื่อครู่ฝันเห็นอนึกหน้าตาเศร้าหมอง ยืนมองไม่ยอมพูดจา ถามอะไรก็ไม่ตอบ

อนลรีบปลอบ “คุณแม่คงคิดถึงพี่ใหญ่น่ะครับก็เลยเก็บเอาไปฝัน ไม่มีอะไรมากหรอกครับ คล้อง...พรุ่งนี้ฉันจะใส่บาตรทำบุญให้พี่ใหญ่ แกไปจัดการให้ทีนะ”

พระยารัชปาลีเป็นห่วงนวมมากถึงขนาดออกปากว่า สะสางงานราชการหมดจะลาออกมาอยู่เป็นเพื่อน อนลตกใจ ท่านเจ้าคุณวิเคราะห์แล้วว่ารับราชการต่อไปก็ไม่ก้าวหน้า ออกมาอยู่เป็นเพื่อนภรรยาดีกว่า นวมรู้ว่าสามีรักงานราชการมากจะห้าม แต่เจ้าคุณปรามไม่ให้พูดอะไร ตนตัดสินใจแล้ว อนลรับรู้ถึงความรักและความห่วงใยกันของพ่อกับแม่

แต่แล้วเหมือนฟ้าที่มืดมิดกลับสว่างขึ้นอย่างไม่คาดฝัน เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชวินิจฉัยให้ลดหย่อนโทษทุกคนลง ไม่มีโทษประหาร ฉะนั้นเกื้ออยู่ในกลุ่มโทษน้อยที่สุดจึงได้รับการรอลงอาญาไว้ ทำให้ได้ออกจากคุก เขาปลาบปลื้มก้มกราบพื้นสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของรัชกาลที่ 6

ทุกคนที่บ้านรัชปาลีดีใจมาก เกื้อกราบพี่ชายและสัญญาจะจำเป็นบทเรียน เกื้อให้อนลพาไปไหว้ศพอนึกที่วัด เสียดายไม่น่าด่วนคิดสั้น อนลรู้ว่าพี่ชายเป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรี คงทนความตกต่ำและสายตาหยามเหยียดของคนอื่นไม่ได้ และที่สำคัญคือความรู้สึกผิดที่ทิ้งเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ทิ้งน้องชายเอาตัวรอด มันเป็นโทษทัณฑ์ที่หนักกว่าตายเสียอีก เกื้อเห็นจริงถ้าย้อนเวลาได้ตนก็คงทำแบบนี้อยู่ดี เพราะทนเห็นอนลรับผิดในสิ่งที่ไม่ได้ทำไม่ได้

ooooooo

วันนี้อุรวศี สร้อยและจันขนของมาไว้เรือนปั้นหยาอีก บุญทันกับหม่อมสลวยดูแลต้อนรับสร้อยอย่างดี ขณะคุยกันยิ้มแย้ม เสียงหม่อมต่วนขัดขึ้น ช่างครึกครื้นกันเหลือเกิน ทุกคนตกใจไม่คิดว่าหม่อมจะบุกมา ทุกคนยกมือไหว้หม่อมต่วนยกเว้นสร้อย หม่อมปรายตามอง

“ไม่คิดเลยนะคะว่าคุณสร้อยจะย้ายมาอยู่ที่นี่ด้วย”

“อิฉันทำตามรับสั่งของเสด็จค่ะ เสด็จทรงห่วงท่านหญิงหลง เลยให้อิฉันตามมาดูแล”

หม่อมต่วนยิ้มเยาะไม่เคยเห็นสร้อยอยู่ในสายตา หันไปมองบุญทันเหยียดๆ ก่อนจะถามว่านั่นใคร แปลกรีบรายงานว่าผัวใหม่หม่อมสลวย คงหลงกันมากถึงตัวติดกันไม่ยอมห่าง ผินกับจันไม่พอใจคำพูดของแปลก จึงเถียงแทน อุรวศีปรามคนของตัวเอง แม้จะไม่พอใจเช่นกัน

หม่อมต่วนออกตัว “ถึงไม่ใช่ตำหนัก แต่ก็เคยเป็นส่วนหนึ่งของตำหนักมาก่อน ทำไมฉันจะมาไม่ได้”

“เสด็จพ่อทรงแยกโฉนดเรือนปั้นหยาออกมาแล้ว และหม่อมเองก็เป็นคนสั่งก่อกำแพงให้เรือนนี้แยกออกจากกันกับตำหนักไม่ใช่หรือคะ แต่ถ้าหม่อมต้องการมาเยี่ยมเยียนก็เชิญค่ะ”

หม่อมต่วนหน้าตึงที่โดนย้อน หันไปเล่นงานหม่อมสลวยแทนว่าเอาผัวใหม่เข้ามาอยู่ ดวงวิญญาณเสด็จคงจะสงบสุขหรอก...หม่อมสลวยโต้กลับว่าบุญทันไม่ได้พักที่นี่ ไม่เคยค้างคืนที่นี่ หม่อมต่วนยิ้มเยาะ

“ก็ดีที่รู้ตัว ไพร่ก็ควรอยู่อย่างไพร่ มันก็ถูกแล้ว”

พ่นพิษเสร็จหม่อมต่วนก็เดินเชิดเข้าไปนั่ง คลี่พัดจีบออกพัด ปรายตามองทุกคนก่อนจะบอกว่าคนเยอะน่ารำคาญ อยากจะคุยกับอุรวศีสองคน สร้อยระแวงไม่ยอมไป หม่อมต่วนจึงให้แปลกชูจดหมายหลายฉบับที่มัดรวมกัน ขู่จะเอาจดหมายของท่านชายวิสสุกรรมไหม อุรวศีแปลกใจทำไมจดหมายไปอยู่ที่หม่อมต่วน หม่อมตวาดแว้ด

“อย่ามาทำน้ำเสียงใส่ฉันอย่างนี้นะ ฉันไม่ได้ขโมยมา จดหมายมันส่งไปที่ตำหนัก ฉันก็รับไว้ แต่ไม่ใช่เรื่องของฉันที่ต้องเอามาให้ไม่ใช่หรือ”

อุรวศีรู้ว่าหม่อมต่วนมีเรื่องต่อรอง จึงขอให้ทุกคนออกไปก่อน จันกับผินลากแปลกออกไปด้วย หม่อมต่วนเมินหน้ารำคาญต้องการเล่นงานอุรวศีลำพัง

พอทุกคนออกไป หม่อมก็โยนจดหมายลงตรงหน้า อุรวศีพยายามระงับอารมณ์หยิบจดหมายขึ้นมา หม่อมต่วนเปิดฉากต่อว่าอุรวศีคิดแย่งสุรคมกลับไป ท่านหญิงจะแย้งแต่หม่อมตวาดสวนไม่ต้องมาโกหก หาว่าเพราะมารยาสาไถยของเธอ สุรคมถึงกล้าขอถอนหมั้นอรุณวาสี อุรวศีสุดทน

“เท่านี้หรือคะที่หม่อมอยากบอก เอาเป็นว่าฉันรับรู้แล้วกันค่ะ หมดธุระแล้วใช่ไหมคะ”

หม่อมต่วนโมโหลุกพรวดเอาพัดชี้หน้า “กล้าไล่ฉันรึนังเด็กเมื่อวานซืน สำเหนียกไว้บ้างเถอะนะ ว่าไม่มีใครคุ้มกะลาหัวแล้ว ยังจะจองหองอยู่อีก”

“การไม่ทนให้หม่อมด่าเอาเปล่าๆ เรียกว่าจองหองหรือคะ ขอโทษค่ะเพราะฉันเรียกว่าเป็นการปกป้องเกียรติของตัวเอง” อุรวศีใช้สรรพนามแทนตัวว่าฉันแสดงว่าโกรธ ท่าทางนิ่งสงบ

หม่อมต่วนจ้องกลับราวอยากฆ่าให้ตาย “ปากดี ฉันจะจำคำพูดของหล่อนไว้ แล้วหล่อนก็จำคำพูดของฉันไว้ด้วย หญิงเล็กต้องได้เสกสมรสกับชายสุรคมเท่านั้น ฉันไม่มีวันยอมให้หล่อนมาหักหน้าเป็นอันขาด หากหล่อนยังไม่เลิกยุ่งเกี่ยวกับชายสุรคม ก็ขอให้รู้ไว้เลยว่าเรือนปั้นหยาของหล่อนต้องร้อนเป็นไฟ หน้าไหนก็อยู่ไม่ได้ทั้งนั้น”

อุรวศีมองหม่อมต่วนที่สะบัดหน้าออกไปถอนใจรู้ว่าเรื่องนี้ไม่จบง่ายๆแน่...

ท่านหญิงถือจดหมายเดินมาหาหม่อมสลวย บุญทันจับมือหม่อมสลวยอยู่รีบปล่อยแล้วผละออกมายืนสำรวม ท่านหญิงยิ้มให้ที่เขารู้กาลเทศะ ยื่นจดหมายให้แม่ดู พี่ชายวิสสุกรรมเขียนมาบอกว่าเรียนจบแล้ว กำลังลงเรือกลับมาพร้อมพี่ชายใหญ่

อุรวศีจะไปตรวจสอบกับกรมท่าเรือว่าจะมาถึงวันไหน หม่อมสลวยดีใจมากที่ลูกจะมีพี่ชายดูแล แต่ใจจริง ท่านหญิงก็ไม่อยากให้พี่ชายกลับมาเจอเรื่องร้อนใจที่นี่ คงต้องจัดการบางอย่างให้เด็ดขาดเสียที

วันต่อมา อุรวศีมาพบเมราที่วัง เพื่อให้นัดสุรคมกับหม่อมต่วนมาคุยต่อหน้าให้เมราเป็นพยาน อุรวศีเห็นเมรามีอาการคลื่นไส้วิงเวียนก็ตกใจคิดว่าไม่สบาย แต่เมรากลับยิ้มบอกว่าตนท้อง อุรวศีดีใจมากซักถามยกใหญ่ เมราเศร้าลงอยากให้อธิปดีใจแบบนี้บ้าง แต่ก็หักใจได้

“ช่างเถิด คนไม่ได้รักกันได้เท่านี้ก็ดีแล้ว พี่ต้องการเงินทองความสุขสบาย เจ้าพี่ก็คงหลงรูปพี่และก็คงต้องการชายาที่ศักดิ์สมกันไว้ออกหน้าออกตา อันที่จริงพี่ก็ไม่ควรต้องการอะไรอีก ถ้าเพียงแต่...” ไม่ทันพูดจบก็มีเสียงกรีดร้องวางอำนาจดังขึ้น

หม่อมเล็กๆของอธิปทะเลาะด่าทอกันหยาบคาย ไม่ยอมลงให้กัน เมราต้องเข้าปรามถ้าไม่หยุดทะเลาะกัน จะให้บ่าวจับโยนออกไป ทั้งสองยังเกรงใจเมราซึ่งเป็นชายาเอก อุรวศีสงสารพี่สาวที่กำลังท้อง แปลกใจทำไมอธิปจะมีหม่อมเล็กถึงไม่ดูศักดิ์ตระกูลบ้าง

เมราเล่าว่าตนเคยถามกลับโดนตอกกลับว่า แม่ตนก็เป็นแค่ลูกคนขายบุหรี่หมากพลู ไม่เห็นสูงส่งตรงไหน ตนไม่อยากเล่าให้แม่ฟังเกรงจะเสียใจ อุรวศีโกรธแทนพี่ ถ้าอธิปอยู่ใกล้ๆคงมีเรื่องกันไปแล้ว

บ่าวเข้ามากราบทูลว่าหม่อมเอื้อนกับสุรคมมาถึงแล้ว สองท่านหญิงมาที่ห้องรับแขก อุรวศียืนยันหนักแน่นกับสุรคมว่าไม่ได้มีใจเสน่หาเขาเลย ขอให้เรื่องระหว่างตนกับเขาจบลงแค่นี้ เมราท้วงว่าพูดแรงไป อุรวศีขอประทานอภัย แต่ไม่อยากให้มีการตีความกันผิดอีก

หม่อมเอื้อนแทรก “เพราะท่านหญิงเล็กมีใจให้ชายสุรคมใช่ไหมเพคะ ท่านหญิงเกรงว่าจะอับอาย ที่พี่น้องต้องมาผิดใจกันเพราะผู้ชายคนเดียว”

ทุกคนตกใจกับคำพูดของหม่อมเอื้อน แต่หม่อมเชื่อว่าตัวเองมองไม่ผิด เพราะถ้าไม่พอใจกันถูกถอนหมั้น ก็น่าจะดีใจ ไม่ใช่นิ่งเฉยจนเรื่องราวลุกลาม อุรวศีอึกอักๆ บอกใช่หรือไม่ใช่ตนไม่รู้ แต่ตนไม่ปรารถนาจะเป็นทองแผ่นเดียวกับสุรคมจริงๆ

สุรคมนิ่งฟังอยู่นาน ถอนใจคิดสงสารอุรวศี สัญญาจะไม่ทำให้ต้องอึดอัดใจอีก จนกว่าตนจะปลดเปลื้องพันธะที่ตนเป็นผู้ก่อและจนกว่าเธอจะเห็นใจตน อุรวศีหุบยิ้มแทบไม่ทัน คิดว่าเขาเข้าใจกลับกลายเป็นเห็นตนเป็นแม่พระเสียสละให้พี่ไปเสียอย่างนั้น

จันหัวเราะคิกเมื่ออุรวศีเล่าให้ฟังตอนนั่งรถม้า กลับ จันเองก็แปลกใจทำไมท่านหญิงไม่นึกชอบท่านชายบ้างทั้งที่รูปงามชาติตระกูลก็ดี ท่านหญิงยอมรับ ว่าตนคงเป็นคนประหลาดพิกล ทันใดรถม้ากระตุกเอียง คนขับรถม้ากราบทูลว่าเพลาล้อหัก ขอเวลาซ่อมแซมสักพัก จันมองไปรอบๆเป็นย่านร้านค้า จะให้ท่านหญิงเดินปะปนกับคนทั่วไปได้อย่างไร

และแล้วท่านหญิงเข้ามากราบพระประธานในโบสถ์ภายในวัดที่อยู่ไม่ห่าง ทรงรำพึงถึงปัญหาของตัวเอง ว่าจะหาทางออกอย่างไรดี หรือจะบวชชี จะได้ไม่มีใครตามมายุ่งอีก...คิดแล้วก็หลุดขำตัวเอง คิดเข้าไปได้อย่างไร พลันรู้สึกว่ามีคนเข้ามาในโบสถ์ จึงปั้นหน้าเครียด ก้มกราบแล้วลุกจะเดินออก ทันใดต้องชะงักเมื่อเห็นหน้าคนที่เดินเข้ามาคืออนล ต่างฝ่ายต่างนึกไม่ถึง

ทั้งสองออกมาเดินคุยกันในบริเวณวัด อนลดีใจที่แวะมาเอายาเขียวจากท่านเจ้าอาวาสเพื่อไปให้แม่ และแวะไหว้พระจึงได้พบท่านหญิง อุรวศีเองก็ดีใจและ แสดงความยินดีเรื่องอาของเขาที่พ้นโทษ ไม่ลืมที่จะถามเขากลับเข้ารับราชการแล้วใช่ไหม เป็นอย่างไรบ้าง

“เหมือนเดิมกระหม่อม วันทั้งวันคนที่พูดคุยกับกระหม่อมนอกจากท่านชายสุรคมแล้ว ก็มีเพื่อนอีกสองคน แต่ก็ดีตรงที่กระหม่อมได้รู้ว่าใครเป็นมิตรแท้บ้าง”

“คุณคงลำบากมาก ข้าราชการต้องเข้ากับคนได้ทุกคน ไม่เกี่ยงว่าไพร่หรือผู้ดี จึงจะจำเริญในหน้าที่ราชการ แต่หากโดนเพื่อนข้าราชการตั้งแง่เสียแล้ว ก็ต้องถือว่าไม่ง่ายเลย”

“ฝ่าบาทตรัสเหมือนคุณพ่อของกระหม่อม คุณพ่อ เห็นว่าหากรับราชการในพระนครต่อไปคงยากจะก้าวหน้า เลยคิดจะให้กระหม่อมออกหัวเมือง ที่นั่นไม่มีใครสนใจเรื่องพี่ชายกระหม่อม มีโอกาสที่จะใช้สติปัญญาความสามารถมากกว่า”

อุรวศีใจหายพอรู้ว่าอนลจะออกหัวเมืองซึ่งอาจไม่ได้เจอกันอีก อนลเองก็ไม่อยากจาก จึงบอกว่ายังไม่ได้ให้คำตอบพ่อ ท่านหญิงแปลกใจในเมื่อมันเป็นโอกาสเจริญก้าวหน้า เขามองตาราวให้ท่านหญิงรู้เหตุผล ท่านหญิงเดาออกหลบสายตาเขินๆ

อนลตัดสินใจจะพูดความในใจ ก็พอดีเสียงจัน ดังขัดขึ้น เขาจึงรีบกล่าวคำอำลาไม่อยากให้จันเห็น จันเข้ามาทูลว่าล้อรถซ่อมเสร็จแล้ว อุรวศีเหลียวมองไปทางที่อนลเดินจากไปด้วยความไม่สบายใจ ถ้าเขาออกหัวเมืองจริงๆ

ooooooo

มีข้าราชการท่านหนึ่งมาคุยงานที่บ้านพระยาไกร พอเห็นดวงแขก็มีท่าทางตกใจรีบร้อนกลับไป ดวงแขแปลกใจทำราวกับเห็นผีทั้งที่แต่ก่อนคอยชะเง้อมองตนแทบทุกวัน คุณหญิงไกรถอนใจเฮือกใหญ่บอกลูกว่าก็เรื่องที่ลูกเป็นหม้ายผัวตายวันแต่ง คนร่ำลือจนผู้ชายกลัวตามๆกัน

ดวงแขหัวเสียมันไม่ใช่ความผิดตน อนึกโง่ยิงตัวตายเอง พระยาไกรสวนจะไม่ให้คนคิดได้อย่างไร ในเมื่อ หมั้นกับอนลแล้วอนลก็ไปติดคุก พอเปลี่ยนมาแต่งงานกับอนึก อนึกก็มาฆ่าตัวตาย แล้วจะไม่ให้คนอื่นเขาคิดได้อย่างไร

ดวงแขโวยวายแทรกว่าพ่อหาว่าตนเป็นผู้หญิงกินผัวอย่างนั้นหรือ คุณหญิงไกรพยายามปลอบลูก พระยาไกรเองก็สงสารลูกแต่ทุกอย่างเกิดขึ้นส่วนหนึ่งเพราะลูกทำตัวเอง

คุณหญิงไกรดึงดวงแขมาปลอบในห้องนอน บอกลูกว่าตนมีวิธีช่วย วันนี้มีจดหมายจากพระยารัชปาลี แจ้งให้ท่านเจ้าคุณไกรช่วยให้อนลออกมารับราชการหัวเมือง ถ้าดวงแขได้ลงเอยกับอนลก็จะลบข่าวลือต่างๆ ได้เอง ตนจะปล่อยข่าวว่าดวงแขกับอนลรักกันมาก่อนแต่มีเรื่องเข้าใจผิด จึงไปแต่งงานกับอนึก สุดท้ายก็กลับมา คู่กันจนได้ ดวงแขยิ้มวาดฝันไปตามแผนแม่

ด้านอุรวศีกับหม่อมสลวยกำลังดีใจที่ชายวิสสุกรรม จะกลับมารับราชการใหญ่โต หม่อมต่วนคงไม่กล้าทำร้ายท่านหญิงอีก แต่จางวางสมเครียดหาโอกาสเตือนหม่อมสลวยอย่าเพิ่งวางใจ

“ท่านชายวิสทรงเฉลียวฉลาด เรียนหนังสือเก่ง ตรงข้ามกับท่านชายใหญ่ ที่พระชันษาแก่กว่าถึงสิบกว่าปี แต่ก็ต้องมาเรียนด้วยกัน แล้วหม่อมใหญ่จะพอใจได้อย่างไร”

“พ่อหมายความว่าหม่อมใหญ่จะอิจฉาที่ชายวิสเกินหน้าเกินตาท่านชายใหญ่หรือจ๊ะ”

“ถูกแล้ว แม่สลวยจำได้ไหมว่าท่านชายใหญ่รับราชการอยู่นานก็ไม่ก้าวหน้า ทั้งๆที่เป็นโอรสองค์โตของเสด็จท่านซึ่งเป็นถึงเสนาบดีของกระทรวงแท้ๆ จนเสด็จท่านต้องส่งไปเรียนต่อเมืองฝรั่งพร้อมท่านชายวิส แล้วนี่จะกลับมารับราชการอยู่กระทรวงเดียวกันอีก หนีการแข่งขันกันไม่พ้นหรอก หม่อมใหญ่จะไม่ระแวงได้อย่างไร”

หม่อมสลวยคิดตามที่พ่อพูดแล้วเครียดเป็นห่วงลูกชายขึ้นมาทันที...ไม่ทันข้ามวัน จันวิ่งมาบอกผินว่าไก่ที่เลี้ยงไว้หลังเรือนตายหมด ไม่ทันไรรำเพยวิ่งมาอีกทาง บอกว่าแปลงผักที่ปลูกไว้พังเสียหายเหมือนมีคนเอามีดมาฟัน สร้อยกับผินตกใจรู้ทันทีว่าเป็นฝีมือหม่อมต่วนแน่

ขณะเดียวกัน แปลกนั่งคุกเข่ารายงาน หม่อมต่วนยิ้มอย่างพอใจยื่นเงินรางวัลให้แปลก ก่อนจะเข่นเขี้ยว “นังน้องสาวมันกล้าเหิมเกริมกับข้าคนเดียวไม่พออ้ายตัวพี่ชายยังกลับมาแข่งบุญวาสนากับลูกชายข้าอีก สมควรแล้วที่พวกมันต้องโดนแบบนี้...มันผู้ใดที่คิดจะขวางทางชายใหญ่ของข้า ข้าจะกำจัดมันให้สิ้น”

บ่ายวันหนึ่ง ติโลตตมากำลังเลือกเครื่องเพชรที่บ้านคุณหญิงคนที่นำเครื่องเพชรไปขายให้หม่อมต่วน โดยท่านป้อมเป็นคนจะซื้อให้ ท่านป้อมยิ้มแย้มแต่ในใจนึกถึงวันที่ไปขอกู้เงินจากหม่อมต่วนเพิ่ม แต่หม่อมยื่นคำขาดมาว่า เงินเก่ายังคืนไม่หมดก็ไม่อาจให้ยืมใหม่ได้

เมื่อติโลตตมาได้เครื่องเพชรสมใจ ท่านป้อมให้เธอไปรอที่รถ แล้วหันมาขอบคุณคุณหญิงที่เชื่อใจยอมให้เอาเครื่องเพชรไปก่อนแล้วผ่อนชำระค่าของพร้อมดอกเบี้ยทีหลัง

ooooooo

อนลกลับจากทำงานเห็นนวมนั่งซึมเศร้าก็เข้าไปชวนคุย แต่นวมกลับเล่าว่าเมื่อกลางวันฝันถึงอนึกอีก เขาคงไม่มีความสุข อนลจึงชวนแม่ไปทำบุญที่วัดให้หายเหงา แต่นวมกลับบอกว่าถ้ากลัวแม่เหงาก็มีหลานให้แม่เลี้ยงสักคน อนลหน้าเจื่อนลง

“แม่เคยคิดว่าแก่ๆจะเลี้ยงลูกของพ่อใหญ่กับพ่อนล เป็นคุณย่าใจดีของหลานๆ แต่พ่อใหญ่ก็มาด่วนจากไป ส่วนพ่อนล...เกิดเรื่องนี้ขึ้นคงยากที่จะหาลูกผู้ดีมีตระกูลที่ไหนยอมมาแต่งงานด้วยแล้ว”

อนลเข้ากอดซบหน้าลงกับตักแม่ “ถ้าไม่ใช่ผู้หญิงที่ผมรัก ผมจะไม่แต่งงานกับผู้หญิงคนไหนทั้งนั้นล่ะครับ ผมขออยู่กับคุณแม่ไปจนแก่ดีกว่า”

นวมลูบหัวลูกอย่างรักใคร่เอ็นดู อนลพูดไม่ใช่เพราะเอาใจ แต่นึกถึงอุรวศี ไม่อยากแต่งงานกับใคร ถ้าไม่ใช่ท่านหญิง

ด้านอุรวศีจัดห้องรอรับพี่ชาย สร้อยอยากรู้ว่าท่านชายวิสสุกรรมหน้าเหมือนใคร ท่านหญิงบอกว่าเหมือนแม่มากกว่า สร้อยเย้าแบบนี้ต้องรูปงาม อาจมีเมียแหม่มกลับมาด้วย ผินตบอกตกใจเพราะพ่อแม่ทุกคนกลัวเรื่องนี้มาก แต่อุรวศีกลับไม่กลัว ถ้าพี่ชายรักใครตนก็รักด้วย ยิ่งถ้ามีหลานตนจะเลี้ยงให้ สร้อยยิ้มเย้าว่าไม่คิดเลี้ยงลูกตัวเองหรือ ท่านหญิงเขินหันไปทำงานไม่คุยอีก

วันต่อมา ที่ท่าเรือมีผู้คนมากมาย หม่อมต่วนกับลูกๆ ยืนรอรับท่านชายอรชุน อุรวศี หม่อมสลวย ผ่อง ผินและ จันยืนห่างออกมา รอรับท่านชายวิสสุกรรม ต่างคนต่างชะเง้อมอง สักพักเห็นอรชุนในชุดสูทแบบยุโรปถือกระเป๋าเดินทางมาแต่ไม่เห็นวิสสุกรรม อรชุนเข้าไปกราบหม่อมต่วน ทักทายน้องๆ...อุรวศีร้อนใจมองหาพี่ชายตัวเองไม่เห็น ตัดสินใจเข้าไปถามอรชุน

อรชุนสีหน้าไม่สบายใจ พูดสั้นๆว่า “ชายวิสป่วยตั้งแต่ออกพ้นอินเดีย ติดเชื้อไข้ท้องร่วงจากเมืองท่าถึงสิงคโปร์อาการทรุดหนักลง หมอประจำเรือแก้ไขไม่ทัน”

ทุกคนตกใจมาก หม่อมต่วนยิ้มสะใจที่คู่แข่งลูกชายตายไปเสียได้ อุรวศีถามย้ำไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน หม่อมต่วนสวน “ชายวิสสิ้นชีพิตักษัยยังไงล่ะ พูดขนาดนี้ยังฟังไม่เข้าใจอีกรึ”

หม่อมสลวยกอดผ่องร้องไห้ อรชุนตัดบทเหนื่อยมากอยากกลับไปพัก มีอะไรไว้คุยทีหลัง แต่อุรวศีจับมือขอถามอีก ติโลตตมาผลักออกตวาดใส่ ไม่ได้ยินหรือว่าพี่ชายอยากพัก หม่อมต่วนยิ้มเยาะก่อนจะเดินตามอรชุนไป อทริกาเห็นใจกล่าวคำเสียใจกับอุรวศี

อรุณวาสีสงสารน้อง “พี่รู้ว่ามีเรื่องที่เธออยากถามอีกมาก แต่คุยกันตอนนี้ก็คงไม่รู้เรื่อง รอให้พี่ชายใหญ่พักจนหายเหนื่อยแล้วค่อยพูดจากันอีกทีดีกว่านะ”

อุรวศียืนน้ำตาไหลรินมองแม่ร้องไห้แทบขาดใจ ขบกรามแน่นปาดน้ำตา ตนต้องเข้มแข็ง และจัดการเรื่องนี้ให้ได้ จะไม่อ่อนแอเด็ดขาด

กลับถึงเรือน แสงปล่อยโฮเมื่อรู้เรื่อง จางวางสมน้ำตาไหลไม่คาดคิดว่าหลานชายเพียงคนเดียวจะประสบชะตากรรมเช่นนี้ ผ่องปลอบแม่ทั้งที่ตัวเองก็น้ำตาไหลไม่หยุด มีเพียงอุรวศีที่นั่งนิ่งครุ่นคิด จางวางสมเห็นเอ่ยถามท่านหญิงทำไมไม่ตรัสอะไรสักคำ

“หญิงคิดถึงเรื่องของพี่ชายวิสน่ะจ้ะตา แต่ที่ไม่ร้องไห้เพราะหญิงไม่อยากจมทุกข์จนคิดอ่านอะไรไม่ออก ตอนนี้ที่อยากรู้มากที่สุดก็คือพี่ชายใหญ่เชิญพระอัฐิกลับมาด้วยหรือเปล่า แล้วข้าวของส่วนพระองค์ของพี่ชายวิสยังอยู่หรือทิ้งไปหมดแล้ว”

บุญทันชื่นชมความมีสติของท่านหญิง ถ้าเป็นตนคงเอาแต่ร้องไห้...จันวิ่งเข้ามานั่งพับเพียบ รายงานว่า แอบไปสอบถามบ่าวที่ตำหนัก ท่านชายใหญ่เชิญโกศพระอัฐิกลับมา ส่วนของใช้ส่วนพระองค์ทรงเอากลับมา หม่อมต่วนเอาไปไว้ที่ห้องเก็บของ หม่อมสลวยสะอื้นอยากไปเอาพระอัฐิกลับมาทำบุญอุทิศส่วนกุศล แล้วเก็บพระอัฐิไว้ที่เจดีย์รวมกับเสด็จพ่อและเสด็จป้า จันรายงานต่ออีกว่า ขณะนี้สร้อยกำลังเจรจาขอคืนให้ อุรวศีหวั่นใจ

“ถ้าหม่อมใหญ่จะให้ ก็คงให้ตั้งแต่ตอนอยู่ท่าเรือแล้วล่ะ ถึงขนาดนี้คงไม่ยอมให้ง่ายๆ”

“แต่คุณสร้อยบอกว่าหม่อมใหญ่ให้เกียรติเธอมาตลอดนะเพคะ ถ้าเธอไปเองอย่างไรหม่อมใหญ่ก็ต้องเกรงใจ”

ในขณะเดียวกัน สร้อยยืนอยู่หน้าตำหนัก มีแปลกขวางไม่ให้เข้าไปข้างใน ลอยหน้าลอยตาว่าท่านชายบอกไปหมดทุกอย่างแล้วน่าจะเข้าใจ สร้อยอ่อนใจที่จะเสวนากับแปลก จึงสะบัดหน้ากลับไป หม่อมต่วนแอบมองทุกอย่าง ยิ้มสะใจ อย่าหวังว่าจะได้อะไรคืนไป

สร้อยกลับมาเล่าให้อุรวศีฟังด้วยความขุ่นเคือง ท่านหญิงรู้ว่าหม่อมต่วนตั้งใจกลั่นแกล้ง จันจะไปขโมยพระอัฐิ ท่านหญิงห้ามไว้เรื่องจะบานปลาย ต้องหาทางที่มันละมุนละม่อมกว่านี้

ooooooo

อุรวศีนำเรื่องมาปรึกษาเมราที่วังอธิป พอดีหม่อมเอื้อนอยู่ด้วยอยากช่วยจะให้สุรคมไปเจรจาให้ อุรวศีเตือนว่าสุรคมเพิ่งมีเรื่องกับหม่อมต่วน หากทำเช่นนั้นเท่ากับเอาน้ำมันสาดเข้ากองไฟ หม่อมเอื้อนโอ้อวด

“ตอนนี้ไม่เหมือนก่อนแล้วเพคะ เพราะเพิ่งมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าลงมา เลื่อนตำแหน่งให้ชายสุรคม ตำแหน่งราชการไม่ถือว่าเล็กแล้ว หม่อมต่วนคงไม่กล้าหรอกเพคะ”

อุรวศีตั้งท่าจะค้าน พอดีอธิปเดินเข้ามาโดยมีใยควงแขน อธิปไม่พอใจเพราะตนไม่ได้เลื่อนตำแหน่งด้วย เหน็บว่าตำแหน่งสุรคมยังเล็กอยู่ดี เที่ยวโอ้อวด คนเขาจะหัวเราะเยาะเอาได้ แต่พอเห็นอุรวศีก็ชะงัก ใยไม่สนใจใครเอ่ยปากขอเครื่องประดับที่เมราไม่ค่อยใช้มายืมใส่จะเก็บไว้เฉยๆทำไม อธิปดึงมือใยออกสบตายิ้มกรุ้มกริ่มให้อุรวศีก่อนจะหันไปเอ็ดใย

“หยุดแหกปากได้แล้วนะนังใย ฉันกำลังคุยกับหญิงหลงอยู่ไม่เห็นรึ ไม่มีสมบัติผู้ดี กำพืดต่ำนี่มันขุนไม่ขึ้นจริงๆ เห็นทีต้องส่งกลับไปอยู่ก้นครัวเหมือนเดิมท่าจะดี”

ใยหน้าเสียกลัวไม่กล้าพูดอะไรอีก อธิปหันมาคุยกับอุรวศี แต่ท่านหญิงไม่ชอบนิสัยเขาจึงไหว้ลาเมราและหม่อมเอื้อนขอตัวกลับ อธิปรีบบอกว่าถ้าอยากมาเมื่อไหร่มาได้ทุกเมื่อ หรือจะมาค้างก็ยินดีให้คนจัดห้องไว้ให้ ถือเสียว่าวังนี้เป็นวังของเธอ อุรวศีเดินหนี เมราแอบยิ้มสะใจ อธิปมองตามหลังอุรวศีตาละห้อย โทษเป็นเพราะใยไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง

จันยืนรออยู่ที่รถม้า หม่อมเอื้อนเดินตามอุรวศีมาถึงเลียบเคียงถาม เมื่อวันก่อนพบท่านเจ้าคุณนครชัยศรี ท่านบอกว่าเอาค่าเช่าที่นครปฐมมาถวายท่านหญิง อุรวศียิ้มๆทำนองได้รับแล้ว หม่อมมีท่าทีปลื้มออกนอกหน้าอยากรู้ว่ามากแค่ไหน ท่านหญิงตัดบทขอตัวกลับ...ระหว่างอยู่บนรถม้า จันถามเป็นอย่างไรบ้าง

“พรุ่งนี้พี่หญิงเมจะไปช่วยพูดให้ แต่นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่ฉันจะมาที่นี่...ที่นี่มีแต่เรื่องร้อนอกร้อนใจ แค่เข้าใกล้ก็ไม่เป็นสุขแล้ว สงสารพี่หญิงเมเหลือเกิน” อุรวศีเศร้าลง

ค่ำวันนั้น หม่อมต่วนคุยกับแปลกยิ้มแย้มสะใจที่อุรวศีวิ่งวุ่นอยากได้พระอัฐิพี่ชาย ย้ำกับอรชุนว่าห้ามไม่ให้คืนอัฐิกับท่านหญิง

“แม่ไม่ต้องสั่งชายหรอก ชายเบื่อเรื่องนี้จะแย่อยู่แล้ว แต่แรกนึกว่าเผาเสร็จจะจบเรื่อง ก็กลับมีพวกข้าราชการจากสยามไปที่สิงคโปร์พอดี ชายก็เลยต้องเอากระดูกกลับมา ไม่อย่างนั้นคนก็เอาไปนินทาอีก ทั้งๆที่ใจชายไม่ได้อยากเอากลับมาเลย”

“เอากลับมาก็มีข้อดีเหมือนกัน อย่างน้อยแม่ก็เห็นพวกมันทุรนทุราย สาแก่ใจนัก ลูกตายพี่ตาย แม้แต่ จะทำบุญก็ทำให้ไม่ได้ ต้องทนเห็นวิญญาณไม่ไปสู่สุคติ” หม่อมต่วนสาแก่ใจ

พอรุ่งเช้า เมรามากับสุรคมมาที่ตำหนักเพื่อขออัฐิวิสสุกรรม หม่อมต่วนไม่มีความเกรงใจส่งเสียงดังแถมไม่ใช้คำราชาศัพท์กับทั้งสองพระองค์ “เห็นว่าต้องเอาโกศพระอัฐิไปบรรจุที่วัดประจำราชสกุล ก็เลยจะเป็นธุระจัดการให้ แล้วมาทวงเช้าทวงเย็นอย่างนี้หมายความว่า อย่างไร”

เมรารู้ฤทธิ์หม่อมต่วนดีจึงไม่ตกใจอะไร เพียงบอกว่าถ้าคิดเช่นนั้นก็น่าจะให้หม่อมสลวยกับอุรวศีมีส่วนร่วมด้วย หม่อมต่วนปัดว่าทำเมื่อไหร่จะแจ้ง สุรคมทวงถามว่าเมื่อไหร่ อรชุนรำคาญตวาดด้วยความหงุดหงิดว่าสุรคมมาเกี่ยวอะไรด้วย ญาติก็ไม่ใช่ สุรคมสวนกลับ

“จะคนนอกหรือคนในก็ทนเห็นความอยุติธรรมอย่างนี้ไม่ได้ทั้งนั้น คนตายไปแล้วแทนที่ญาติพี่น้องจะได้กระดูกไปทำบุญตามประเพณี ก็กลับหาเรื่องโยกโย้แกล้งได้กระทั่งคนตาย ถามจริงเถิด ตอนไปวัดไม่ละอายบ้างรึ”

หม่อมต่วนกับอรชุนโกรธลุกพรวดพร้อมกัน หม่อมต่วนชี้หน้า “สามหาวเกินไปแล้ว กล้าดีอย่างไร มาพูดจาอย่างนี้ต่อหน้าฉัน เลือดดีๆของเสด็จพ่อไม่คิดจะเอามาบ้างเลยรึ มิน่าถึงหลงใหลนังลูกบ่าวนัก ธาตุเดียวกันนี่เอง”

สุรคมหน้าชาลุกยืนโต้อย่างไม่กลัวเกรง “ดูเหมือน หม่อมจะชอบข่มคนที่สายเลือดเสียเหลือเกินนะครับ แล้วสายเลือดผู้ดีของหม่อมมิได้บอกหม่อมหรือครับ ว่าต้องใช้ราชาศัพท์กับผมที่เป็นเจ้า การพูดจาอย่างนี้มิทราบเลือดฝ่ายไหนของหม่อมอบรมมา”

หม่อมต่วนโกรธจนตัวสั่น อรชุนโมโหมากไล่สุรคมออกไปจากวังไม่ให้กลับมาเหยียบอีก สุรคมค้อมศีรษะบอกตนยินดีและดีใจเหลือเกินที่คิดถูกไม่ได้เกี่ยวดองเป็นเขยวังนี้ เมราลุกขึ้นกล่าวกับทั้งสองก่อนจะไปพร้อมสุรคม

“หญิงต้องกลับก่อนนะคะพี่ชายใหญ่ หม่อม แต่ต้องบอกก่อนว่าคงกลับมาอีกจนกว่าจะได้โกศพระอัฐิกลับไป แต่คราวหน้าอาจจะต้องรบกวนให้พระญาติองค์อื่นเสด็จมาด้วย”

พอสุรคมกับเมราเดินออกมา เจออรุณวาสียืนร้องไห้เพราะได้ยินคำพูดของสุรคมที่ตอกย้ำว่าตนไร้ค่า สุรคมรู้สึกผิดที่พูดออกไปด้วยโมโหอยากเอาชนะหม่อมต่วนเท่านั้น ไม่ได้จะทำร้ายจิตใจเธอ อรุณวาสีร้องไห้เดินหนีขึ้นห้อง อทริกาเห็นน้องร้องไห้ไม่คิดปลอบ กลับขอยืมเครื่องประดับแต่งออกมาพบกับพุ่มแถวย่านร้านค้า เพราะพุ่มขอยืมเงินอ้างว่าเอาไปรักษาแม่ที่ป่วย ท่านหญิงหลงเชื่อ ชื่นชอบในตัวพุ่มที่เป็นหญิงแต่มีท่าทีเป็นชาย ให้เงินโดยไม่หวังได้คืน

ในขณะที่ติโลตตมาแอบมาพบท่านป้อมหลัง ตำหนัก ท่านจะเดินทางไปต่างประเทศอีกนานกว่าจะกลับ อยากเห็นหน้าเธอสักครั้ง มอบจดหมายให้ฉบับหนึ่งกำชับว่ารอเจ็ดวันค่อยเปิดอ่าน ท่านหญิงแปลกใจทำไมต้องลับลมคมใน ท่านป้อมขอกอดเธอสักครั้ง ท่านหญิงอิดออดแต่พอได้ฟังคำหวานของเขาก็โอนอ่อน ท่านป้อมแอบน้ำตาซึมราวกับจะไม่ได้กลับมาหาเธออีก

ooooooo

เพชรกลางไฟ

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด