ตอนที่ 7
อัลบั้ม: หนึ่งในทรวง พร้อมลงจอ! ช่อง 3 ดัน ญาญ่า จิ้น เจมส์จิ
จากการที่พินิจหายออกไปจากบ้าน นวลโทร.ตามบ้านเพื่อนก็ไม่มีจึงโทษว่าต้องเป็นหทัยรัตน์แน่ที่พาเขาออกไป นวลคว้าโทรศัพท์จะโทร.ไปโวย พรรณีจับมือแม่ไว้ห้ามไม่ให้ทำเพื่อนตนเดือดร้อนอีก นวลโกรธผลักพรรณีล้มลง ทันใดพินิจเดินเข้ามา สองแม่ลูกมองตะลึง
พินิจไม่สนใจว่าแม่กับน้องทะเลาะอะไรกัน ได้แต่บอกว่าเขาอยากอยู่คนเดียว นวลชะงักไม่กล้าตามลูกชายแต่หันมาใช้พรรณีให้เค้นถามพินิจว่าไปไหนมาและเป็นอะไรหรือเปล่า...พรรณีจำต้องตามถามพินิจจนได้ความว่า เขาไปขอหทัยรัตน์แต่งงานแต่เธอปฏิเสธแถมบอกว่าไม่เคยรักและไม่มีวันจะรัก พินิจหมดความหวังในชีวิต พรรณีเห็นพี่ชายแล้วเศร้าใจไปด้วย
พอนวลรู้เรื่องก็โวยวายด่าจิกเรียกหทัยรัตน์ว่านังเด็กกำพร้า พรรณีทนไม่ไหวบอกนวลให้เลิกเรียกเพื่อนตนแบบนั้น นวลโกรธ “นี่เรากล้าขึ้นเสียงกับแม่เหรอยัยณี นังเด็กนั่นมันมีดีอะไร เราถึงกล้าตวาดแม่เพื่อปกป้องมัน”
“ปุ้มเขาไม่ได้มีอะไรดีหรอกค่ะ แต่ณีทนไม่ได้อีกแล้ว ปุ้มไม่ได้เป็นอย่างที่คุณแม่คิดและสิ่งที่คุณแม่ต่อว่าปุ้มในวันนี้ มันไม่จริงแม้แต่นิดเดียว” พรรณีหลุดปาก
นวลถามวันไหน พรรณีเล่าถึงอดีตวันที่หทัยรัตน์กับสุดามาเที่ยวบ้าน ตนเปลี่ยนใจไม่ออกไปตลาดกับพินิจและสุดา จะกลับมาช่วยหทัยรัตน์ทำครัว จึงได้ยินที่นวลด่าว่าหทัยรัตน์หาว่าจะมาเกาะพินิจเพราะตัวเองไม่มีฐานะทางสังคม ไม่คู่ควรกับพินิจ เป็นได้แค่นางบำเรอก้นครัวตนไม่เคยบอกเรื่องนี้กับพินิจ ทั้งที่คนที่ทำให้พินิจต้องเสียใจก็คือแม่เอง
“หยุดนะแม่ณี! แม่ไม่ได้ทำ คนที่ทำคือเพื่อนตัวดีของเราต่างหาก มันใช้มารยาหลอกล่อพินิจ พอแม่จับได้ก็แกล้งทำให้พี่เราต้องเสียใจ หวังจะให้แม่ไปงอนง้อขอโทษ ฝันไปเถอะ...ดูสิเนี่ยมันคงจะเล่นตัวกระบิดกระบวนมารยา จนตานิจหลงหัวปักหัวปําถึงกับไปขอมันแต่งงาน”
“คุณแม่! ปุ้มเขาไม่ได้ทำอะไรเลยนะคะและที่พี่นิจไปขอปุ้มแต่งงานก็เพราะคุณแม่บังคับให้เขาต้องแต่งงานกับคนที่เขาไม่รัก และยัยส่องแสงก็มาเป่าหูยุพี่นิจ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับปุ้ม”
นวลไม่ยอมรับความจริงกลับหาว่าถ้าหทัยรัตน์ไม่เหยียบเข้ามาในชีวิต พรรณีจะกล้าลุกขึ้นมาเถียงตนแบบนี้หรือ พรรณีอ่อนใจที่แม่ไม่ยอมเข้าใจ นวลสวน “พวกแกก็ไม่เข้าใจฉันเหมือนกัน ที่ฉันสะสมสมบัติไว้มากมายเพื่อใคร เพื่อพวกแกทั้งนั้น ฉันถึงไม่ยอมให้อ้ายอีหน้าไหน เข้ามาผลาญสิ่งที่ฉันสร้างไว้ นังเด็กนั่นต้องชดใช้กับสิ่งที่มันทำกับตานิจ...และอีนังปากแดงลูกคุณนายสีสุกอีกคนที่จะต้องรับผิดชอบ ธุระตัวเองก็ไม่ใช่ สาระแนไม่เข้าเรื่อง”
พรรณีส่ายหน้า แม่คิดแบบนั้นไม่ถูกแต่พูดไม่ออก
ooooooo
คืนนั้นหทัยรัตน์ไม่สบายใจที่โกหกพินิจไปว่าตนมีคนรักแล้ว และหนึ่งกับพินิจกลับเข้าใจไปว่าหทัยรัตน์จะแต่งงานกับประสาทพร หนึ่งขัดเคืองใจเป็นที่สุด
รุ่งเช้า หนึ่งมาหาหทัยรัตน์ที่เดือนประดับ เธอเดินหน้าบึ้งออกมาน้ำเสียงขุ่น “คุณป้าบอกว่าคุณมีเรื่องสำคัญมากจะคุยกับดิฉัน กรุณารีบคุยด้วยค่ะ เพราะดิฉันมีงานอีกมากมายต้องทำ”
หนึ่งถามทันที ทำไมไม่แต่งงานกับพินิจ หทัยรัตน์เอือมระอาย้อนถามนี่หรือธุระสำคัญ ตนคิดว่าไม่จำเป็นต้องตอบ เพราะมันไม่ใช่ธุระของเขา หนึ่งโวย
“ทำไมจะไม่ใช่ธุระของฉัน ในเมื่อคนที่เธอปฏิเสธคือเพื่อนฉันและคนที่เธอบอกเขาว่ารักและจะแต่งงานด้วยคือญาติของฉัน เพราะฉะนั้นเธอต้องตอบฉัน”
หทัยรัตน์คับแค้นใจ “ก็ได้ค่ะดิฉันจะตอบ ดิฉันไม่รับปากแต่งงานกับคุณพินิจเพราะ ฉันไม่ได้รักเขา...ฉันจะไม่แต่งงานกับคนที่ฉันไม่รักและจะไม่แต่งงานกับคนที่ฉันเกลียด ส่วนเรื่องคุณชายประสาทพร ฉันไม่ขอตอบ เพราะพูดไปคุณก็คงไม่เชื่อฉันไม่อยากเสียพลังงานขยับปาก”
“เธอต้องการเอาชนะฉันใช่ไหม เธอตั้งใจพูดเรื่องแต่งงานกับคุณชายเพราะต้องการประชดฉัน...ครั้งก่อนที่ฉันพูดเรื่องแต่งงาน ฉันก็แค่พูดเพราะความรับผิดชอบ ฉันเป็นลูกผู้ชายกล้าทำก็กล้ารับ แต่นับจากนี้มันจะไม่ใช่แค่นั้นฉันจะทำให้เธอแต่งงานกับคนที่เธอเกลียดให้ได้”
“ชีวิตฉันไม่ใช่ของเล่นหรือเกมที่ใช้สำหรับแข่งขัน”
“ไม่ใช่สำหรับเธอ แต่มันใช่สำหรับฉัน และเกมนี้ฉันจะต้องเป็นผู้ชนะ” หนึ่งปรายตามองเห็นหทัยรัตน์กำหมัดแน่น “จะต่อยหรือจะตบฉันดี แต่ถ้าทำแล้วระวังตัวไว้ด้วย เธอก็รู้ว่าฉันไม่ตอบโต้ด้วยความรุนแรง แต่ฉันจะตอบโต้ด้วยวิธีอื่นและเธอคงจำได้ว่ามันคืออะไร” หนึ่งแกล้งมองริมฝีปากหทัยรัตน์และขยับเข้าใกล้
หทัยรัตน์ถอยกรูด มองเข่นเขี้ยวด้วยความแค้นก่อนจะสะบัดหน้าเดินหนีไป หนึ่งมองตามยิ้มๆ รู้สึกมีความสุขโดยไม่รู้ตัว
วันเดียวกัน นวลบุกมาด่าส่องแสงถึงบ้านพิเศษกุล สีสุกเถียงไม่ทันและเพิ่งรู้ว่าส่องแสงไปยุให้พินิจขอหทัยรัตน์แต่งงาน ส่องแสงเผลอสวนกลับไปว่า
“ฉันก็แค่สงสาร ที่ให้คำแนะนำเพราะต้องการให้ลูกชายคุณสมหวัง ถ้านังปุ้มมันยอมแต่งด้วย ลูกชายคุณก็มีความสุข ฉันก็จะหมดคู่แข่งแย่งพี่หนึ่งไปอีกคนไม่เห็นมีอะไรเสียหาย”
“นี่แกวางแผนให้ลูกชายฉันไปแต่งงานกับนังเด็กไม่มีสมบัติ เพื่อกำจัดคู่แข่งแล้วยังมีหน้ามาบอกว่าไม่มีอะไรเสียหาย...นังนี่มันเรียนน้อยใช่ไหมเนี่ย ดูท่าทางความรู้คงไม่มาก สติปัญญานี่แทบจะไม่มีถึงคิดได้แค่นี้”
ส่องแสงกรี๊ด...ด่ากลับว่านวลเป็นแค่เจ้าของตลาดเก็บค่าเช่าแผง ยังมีหน้ามาพูดเรื่องการศึกษา นวลสวนถึงตนเป็นแค่เจ้าของตลาดก็ส่งลูกเรียนสูงทุกคน ชี้หน้า “ไม่เหมือนแม่เธอ คงเห็นลูกสาวหน้าตาพอไปวัดไปวาได้ เลยจับแต่งหน้าทาปาก ฝังหัวให้วันๆ คิดแต่เรื่องหาผัว”
สีสุกที่คอยปรามส่องแสงให้หยุด สะดุ้งหันมาด่ากลับว่านวลเป็นแม่ค้าปากตลาด นวลย้อนถึงจะปากตลาดแต่ก็เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ส่องแสงเต้นผาง สีสุกเถียงไม่ออกต้องรั้งลูกให้ใจเย็นๆ นวลคว้ากระเป๋าเดินเชิดกลับไป
ooooooo
หทัยรัตน์ต้องผิดหวังอีกครั้ง เมื่อสุดาบอกว่าไปสอนหนังสือกรกนกไม่ได้แล้วเพราะทางโรงเรียนของตนมอบหมายงานพิเศษให้ทำตลอดปิดเทอม หทัยรัตน์หนักใจ สุดารู้ทันรีบบอกว่าเรื่องนั้นไม่ต้องห่วงให้แม่โอกับแม่พิมพ์คอยดูแลให้ สัทธาเดินเข้ามาถามเรื่องนั้นเรื่องอะไร
สองสาวชะงักสบตากัน ไม่อยากให้สัทธารู้เรื่องที่นวลมาอาละวาดที่เพชรลดา สุดาจึงบอกไปว่า เรื่องที่หทัยรัตน์พยายามเลี่ยงไม่เจอกับหนึ่ง ปัญหาเดิมๆ สัทธานึกได้ถามหทัยรัตน์
“พูดถึงเรื่องหนึ่งก็ดีแล้ว พี่มีเรื่องจะถาม มีอยู่ครั้งนึงพี่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟัง แต่เห็นทะเลาะกันอยู่ในห้องรับแขก แล้วหนึ่งก็พูดเรื่องแต่งงาน พูดทำนองว่า ทำอะไรเสียหาย ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่ แล้วเรื่องแต่งงานพูดจริงหรือพูดเล่น”
สุดาตกใจเรื่องแต่งงานจะมาพูดเล่นกันได้อย่างไร ถามน้องมันเกิดอะไรขึ้นทำไมไม่บอกตน หทัยรัตน์หน้าเสียรีบแก้ตัวว่าไม่เคยคิดเรื่องแต่งงานสักนิด แว่บเดียวก็ไม่เคย อ้างหนึ่งแกล้งพูดยั่วโมโหตนเท่านั้น สุดาไม่อยากเชื่อใครจะเอาเรื่องนี้มาพูดเล่น
“มีค่ะ หนึ่งเดียวบนโลก นี่แหละคือนายอนวัช ทำได้ทุกอย่างเพื่อเอาชนะ เพราะฉะนั้น คำว่าแต่งงานที่หลุดออกมาจากปากคนนี้ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย” แววตาหทัยรัตน์เคียดแค้น
ooooooo
วันต่อมา สัทธาขอดูแหวนที่จะเอาไปหมั้นหมายพรรณี ทิพย์ยิ้มอย่างเอ็นดูเพราะรู้ว่าสาวที่ลูกชายเลือกเป็นใคร...ขณะเดียวกัน พินิจถูกนวลบังคับให้แต่งงานกับจำปีเพราะเห็นว่าเป็นพี่ควรแต่งงานก่อนจำปา แต่พินิจไม่ยินดีด้วย นวลพาลหาว่าเป็นเพราะหทัยรัตน์ทำให้ลูกชายแข็งข้อ
เย็นวันนั้น นวลมาต่อว่าหทัยรัตน์ถึงบ้านเดือน–ประดับ ให้เลิกใช้มารยาหลอกล่อพินิจมาหาและฝากบอกสัทธาให้ออกไปจากชีวิตพรรณีด้วย หทัยรัตน์โต้ว่าตนออกมานานแล้ว นวลสวนไม่จริง วันก่อนพินิจยังฝ่าฝืนคำสั่งมาขอเธอแต่งงาน ตนไม่มีวันยอม
“ดิฉันก็ไม่อยากเป็นลูกสะใภ้ของคุณ ดิฉันไม่ได้อยากแต่งงานกับลูกชายคุณ เขาเป็นคนมาขอฉันเอง”
“ถ้าเธอไม่ใช้มารยาเขาก็คงไม่มา เธอนั่นแหละที่อยากจะแต่งงานกับเขา คงจะอยากรวยทางลัดล่ะสิ เลิกฝันลมๆแล้งๆได้แล้ว มันไม่มีทางเป็นจริง”
“ไม่ต้องห่วงค่ะดิฉันอยู่บนโลกความเป็นจริงเสมอ ดิฉันถึงได้ปฏิเสธคุณพินิจและแนะนำให้เขาทำตามคำสั่งของคุณนาย เพราะดิฉันรู้ตัวว่า ไม่ได้รักเขาและไม่เคยรักเขาเลย...ถึงฉันจะเป็นผู้หญิงที่ไม่มีสมบัติอะไร แต่สิ่งที่ดิฉันมีคือศักดิ์ศรี ฉันจะไม่ไปยุ่งกับลูกชายคุณ คุณช่วยบอกลูกชายคุณด้วยว่าอย่ามายุ่งกับดิฉัน” หทัยรัตน์พูดจบเดินออกไป
นวลยืนอึ้งแต่ไม่ยอมเชื่อ คว้ากระเป๋ากระฟัดกระเฟียดกลับไป...หทัยรัตน์เดินออกจากห้องรับแขกต้องตะลึงเมื่อเห็นสัทธายืนอยู่ เขาต่อว่าทันที ทำไมไม่เล่าเรื่องนี้ให้ตนฟัง ตนได้ยินทั้งหมดแล้ว เพิ่งรู้ว่าแม่ของพรรณีเป็นคนแบบนี้ คิดแบบนี้ ทำไมต้องให้เขามาดูถูก สัทธาเสียใจ
“...คำพูดแต่ละคำมันช่างต่างจากสิ่งที่ณีบอกกับพี่ ทำไมทุกคนต้องปิดบังและโกหกพี่”
“เอ่อ...ปุ้มไม่อยากให้พี่ปุ๊ทราบ เพราะไม่อยากให้พี่ปุ๊กับพรรณีผิดใจกันค่ะ”
สัทธาบอกน้องว่าตนโตแล้วแยกแยะได้ หทัยรัตน์ขอร้องอย่าโกรธพรรณี สัทธาบอกว่า ตนไม่โกรธที่แม่เธอเป็นแบบนี้ แต่โกรธที่เธอไม่พูดความจริง โกหกตนมาตลอด...สัทธาโทร.หาพรรณีทันที เผอิญเธอเป็นคนรับสายเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงเครียด
“โทรศัพท์ใช้งานได้แล้วเหรอ...ตกลงว่ามันไม่เสียแล้ว หรือมันไม่เคยเสียเลย”
“พี่ปุ๊! ฟังณีอธิบายก่อนนะคะ” พรรณีตกใจเสียงสั่น
“ที่ผ่านมา พี่ไว้ใจเชื่อใจและเชื่อทุกอย่างที่ณีพูด แต่ตอนนี้พี่ไม่รู้ว่าพี่จะเชื่ออะไรได้อีก เมื่อวานแม่ณีมาต่อว่าปุ้มที่บ้าน พี่ได้ยินทุกอย่างได้รู้ว่าเขาเป็นยังไงและรู้ว่าเขาไม่ยอมรับพี่ ทำไมณีไม่บอกพี่ตรงๆ...ตอนนี้พี่เข้าใจแล้ว ทำไมณีต้องโกหกพี่ว่าโทรศัพท์เสียและไม่ให้พี่โทรศัพท์ไปหาที่บ้าน ทำไมไม่มางานวันเกิดคุณพ่อ ทำไมไม่ไปเที่ยวหัวหิน และทำไมไม่เคยเชิญพี่เข้าบ้าน ตอนนี้พี่เข้าใจหมดแล้ว” พูดจบสัทธาวางสาย ไม่สนใจฟังคำขอโทษของคนรัก
พรรณีรีบโทร.กลับมา แหววรับและเรียนว่าสัทธาฝากบอกว่าไม่มีอะไรคุยแล้ว พรรณีน้ำตาไหลพรากทรุดลงสะอื้นฮัก พินิจได้ยินเสียงเข้ามาปลอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น
ooooooo
เช้าวันใหม่ สัทธาหน้าหมองหม่นมาที่สโมสร ถามหนึ่งนึกอย่างไรถึงฉุดกระชากตนมา หนึ่งบอกว่าไม่อยากหดหู่อยู่บ้าน ออกมาดูโลกภายนอกเปิดตาดูความจริงเผื่อจะทำให้เข้าใจอะไรมากขึ้น สัทธาขมวดคิ้วสงสัยหนึ่งรู้อะไร แล้วต้องชะงักเมื่อเห็นพรรณีนั่งอยู่
สัทธาโวยว่าหนึ่งรวมหัวกับพรรณีหลอกตน หนึ่งรีบแย้งไม่ได้หลอกแค่อยากบอกความจริง สัทธาหาว่าหนึ่งกวน หนึ่งดึงเขาให้มาตั้งใจฟังพรรณีอธิบาย
“พี่ปุ๊คะ ณีขอโทษที่ไม่เคยบอกเรื่องคุณแม่กับพี่ปุ๊ ณีกลัวว่าถ้าพี่ปุ๊รู้จะเกลียดณี...และมันก็เป็นจริง วันนี้พี่ปุ๊รู้ พี่ปุ๊ก็เกลียดณีแล้วจริงๆ” พรรณีน้ำตาร่วงเผาะๆ
“ปุ๊ ฉันขอพูดในฐานะที่ฉันเป็นคนออกหน้าพาณีออกจากบ้านเพื่อมาเจอแก ฉันบอกได้เลยว่าณียอมทำทุกอย่างเพื่อจะหลบคุณน้ามาเจอแก บางครั้งมันทั้งเสี่ยงและยากลำบาก แต่ณีก็พร้อมจะผ่านมาทุกอุปสรรคเพื่อมาเจอนาย...ด้วยเหตุผลแค่นี้ มันยังไม่พออีกเหรอที่จะทำให้นายรู้ว่า ณีรักนายมากแค่ไหน”
สัทธายืนนิ่งมองพรรณีร้องไห้น้ำตานองหน้า เขาหันหลังเดินไป หนึ่งร้องเรียก ทันใดสัทธาก็เดินกลับมาพร้อมกระดาษทิชชูส่งให้พรรณีและกล่าว “ร้องไห้กลางสโมสรแบบนี้ไม่อายเขาหรือ ถ้าอยากจะร้องต่อ ตามพี่ไปข้างนอกจะได้ไม่ต้องมีใครเห็น”
หนึ่งพยักพเยิดให้พรรณีตามสัทธาออกไป เขายิ้มโล่งใจที่ทุกอย่างลงเอยด้วยดี...สัทธาลดทิฐิความโกรธลงหมด ขอพรรณีว่า สัญญาได้ไหมต่อไปจะไม่ปิดบังหรือโกหกอีก
“ณีสัญญาค่ะ เพราะจริงๆณีก็ไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้ พี่ปุ๊ยกโทษให้ณีแล้วใช่ไหมคะ”
“พี่เองก็ต้องขอโทษที่หุนหันพลันแล่น เอาแต่อารมณ์มากไป พี่ขอให้ณียกโทษให้พี่ด้วย เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะ” สัทธายิ้มอย่างอบอุ่น พรรณีรับคำยิ้มอย่างมีความสุข
เย็นวันนั้น พรรณีกลับมาขอบคุณพินิจที่โทร.ไปขอให้หนึ่งช่วยพูดกับสัทธา ตอนนี้ตนมีความสุขมาก พินิจยินดีด้วยแล้วสลดลงที่ตัวเองไม่โชคดีแบบนั้น...กลางดึก พินิจหมดสตินอนแน่นิ่งอยู่กลางห้อง นวลมาเจอตกใจรีบไปโทร.ตามหมอ พรรณีพยุงพินิจ เขาเพ้อหาแต่หทัยรัตน์
ประสงค์ตรวจอาการพินิจ ปรับยาแล้วบอกว่าโรคนี้ขึ้นอยู่กับจิตใจต้องพักผ่อน ออกกำลัง อย่าเครียด ต้องทำจิตใจให้สบาย ถ้าจิตใจอ่อนแอร่างกายก็จะกลับมาแข็งแรงยาก พินิจได้ยินคำพูดของหมอทุกคำ
รุ่งเช้า พรรณียกข้าวต้มมาให้พินิจในห้อง ต้องตกใจเมื่อพบว่าเขาหายไป ทิ้งไว้เพียงจดหมายฉบับหนึ่งมีใจความว่า
พี่ตัดสินใจออกจากบ้าน เพราะพี่ไม่อยากให้ทั้งแม่และน้องต้องทุกข์ใจกับพี่อีก พี่ได้ยินที่หมอพูดถึงอาการของพี่ พี่รู้เลยว่าไม่สามารถกลับมาเป็นปกติได้อีกแล้ว เพราะจิตใจของพี่ไม่มีทางฟื้นฟูกลับมาดีดังเดิมได้ นับตั้งแต่วินาทีที่ได้คำตอบจากหทัยรัตน์ หัวใจของพี่ได้หมดเรี่ยวแรงพร้อมจะหยุดทำงานได้ทุกเมื่อ ไม่ว่ายาขนานไหนก็ไม่สามารถทำให้พี่แข็งแรงได้ สิ่งเดียวที่ทำให้อยากมีชีวิตอยู่คือหทัยรัตน์ ฝากบอกคุณแม่ด้วยว่าพี่ขอโทษ
พรรณีร้องไห้นำจดหมายมาปรึกษาหนึ่ง เธอบอกว่าได้สอบถามรถรับจ้างปากซอยจนรู้ว่าพินิจให้หารถไปส่งศรีราชา ที่นั่นมีบ้านพักตากอากาศของครอบครัวและพ่อก็เสียที่นั่น หนึ่งถามว่านวลรู้เรื่องหรือยัง พรรณีบอกว่ายังเพราะไม่อยากให้ท่านโทษหทัยรัตน์อีก แต่หนึ่งกลับคิดว่าหทัยรัตน์ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้
“ณีเขียนแผนที่ทางไปบ้านพักที่ศรีราชาไว้ให้พี่ แล้วไปรอที่นั่น บอกให้พินิจแข็งใจไว้อย่าเพิ่งเป็นอะไร พี่จะพาหทัยรัตน์ไปหาเขาเอง” สายตาหนึ่งมุ่งมั่นต้องทำได้...
พรรณีกลับมาบอกนวลให้แยกไปตามหาพินิจที่บ้านพักต่างอากาศบางปู ตนจะไปตามหาที่อื่นแต่ไม่บอกว่าจะไปศรีราชา นวลร้อนใจไม่ทันซักถามอะไรมาก รีบเก็บกระเป๋าไป
ในขณะที่หนึ่งกลับมาหาหทัยรัตน์ที่บ้าน พบว่าเธอกลับไปแล้ว แม่พิมพ์บอกว่าเธอนัดเพื่อนดูหนังที่เฉลิมเขตต์ แต่หนังจบกี่โมงตนไม่ทราบ...หนึ่งรีบไปที่โรงหนัง เห็นหทัยรัตน์กับผ่องฉวีเดินหัวร่อต่อกระซิกออกมาจากโรงก็ปรี่เข้าทักทายทำทีว่ามาธุระแถวนี้แต่แววตาดูเจ้าเล่ห์
หทัยรัตน์หน้าตึงบอกผ่องฉวีว่าตนต้องรีบกลับ ผ่องฉวีให้รอประสงค์มารับแล้วจะไปส่ง หนึ่งได้ที “ถ้าคุณหทัยรัตน์รีบ กลับพร้อมกันได้ครับ ผมต้องไปทำธุระที่เดือนประดับพอดี”
ผ่องฉวีดีใจผลักดันเพื่อนให้ไปกับหนึ่ง เผอิญชุลีนั่งอยู่แถวนั้น เห็นหนึ่งเดินกับหทัยรัตน์ก็แปลกใจ...หทัยรัตน์ หยุดเดินบอกหนึ่งเลิกทำดีได้แล้ว เพราะพ้นสายตาเพื่อนตนแล้ว หนึ่งไม่สนใจดึงเธอไปที่รถ ชุลียิ่งตาโพลง เย็นย่ำจะพากันไปไหน
หทัยรัตน์นั่งตัวตรงชิดประตู พอเห็นว่าหนึ่งขับรถออกนอกเส้นทางก็ถามจะไปไหน เขาบอกว่าไปทำธุระสำคัญ เธอให้จอดรถจะลง หนึ่งเสียงกร้าว คิดว่าออกคำสั่งกับตนได้หรือตนต่างหากที่จะเป็นคนออกคำสั่งให้เธอทำทุกอย่างที่ตนต้องการและวันนี้เธอต้องไปกับตน
ด้านพรรณีมาถึงบ้านพักที่ศรีราชาเห็นพินิจไข้ขึ้นสูงก็พยายามปลอบใจว่าหนึ่งกำลังพาหทัยรัตน์มาที่นี่ เขาน้ำตาไหลด้วยความดีใจถามย้ำอย่าหลอกตน พรรณีน้ำตาซึมสงสารพี่ชาย พินิจตัวร้อนจัดจนพรรณีเป็นห่วงขอให้เขาไปหาหมอ แต่พินิจไม่ยอมไปกลัวหทัยรัตน์มาจะไม่เจอ...ในขณะที่หทัยรัตน์กับหนึ่งเถียงกันอยู่ในรถ เธอถามเขาต้องการอะไรถึงบังคับเธอมา
“ฉันไม่ต้องการอะไร นอกจากต้องการเอาชนะผู้หญิงอวดดีจองหองและใจร้ายอย่างเธอ”
“ฉันบอกได้เลย คุณไม่มีวันจะได้สิ่งที่คุณต้องการ” หทัยรัตน์เสียงเข้ม
ooooooo
ทางบ้านเดือนประดับ ทุกคนเป็นห่วงที่หทัยรัตน์ ยังไม่กลับมา สุดาโทร.ถามไปทางบ้านเพชรลดาก็ได้ความว่าหทัยรัตน์ออกจากที่นั่นตั้งแต่เที่ยง ทำให้แม่พิมพ์พลอยเป็นห่วงเธอไปด้วย
พอสุดารู้ว่าหทัยรัตน์ไปดูหนังกับผ่องฉวี ก็โทร.ไปถามไถ่ เธอบอกว่าแยกกันประมาณห้าโมงและหนึ่งเป็นคนไปส่งกลับบ้าน สุดาอึ้งรีบโทร.กลับไปถามแม่พิมพ์อีกว่าหนึ่งกลับมาหรือยัง สัทธาทนไม่ไหวดึงโทรศัพท์มาถามเองว่า
“แม่พิมพ์...นี่คุณปุ๊นะ...ไอ้หนึ่งมันบอกแม่พิมพ์หรือเปล่าว่ามันพาปุ้มไปไหน”
“เอ่อ...ไม่ได้บอกเลยค่ะ คุณหนึ่งเข้ามาที่เพชรลดาตอนกลางวัน ถามหาคุณครูพอรู้ว่าคุณครูไปดูหนังกับเพื่อน คุณหนึ่งก็รีบออกไปแล้วยังไม่กลับมาเลยค่ะ...นี่แสดงว่าคุณหนึ่งกับคุณครูอยู่ด้วยกัน และยังไม่กลับบ้านทั้งคู่เหรอคะ” แม่พิมพ์ตกใจ
สัทธาเครียด จากข้อมูลที่ได้บ่งบอกว่าหนึ่งเป็นคนพาหทัยรัตน์ไป...วิทย์ทราบเรื่องเป็นกังวลเกรงจะเกิดอุบัติเหตุ
ด้านหทัยรัตน์เห็นรถแล่นผ่านป้ายบอกทางว่าชลบุรีก็ตกใจ หนึ่งแกล้งแขวะให้นั่งนิ่งต่อไปให้หนวกหู อีกไม่นานเธอก็จะรู้ว่าทำไมต้องพามาที่นี่...
ฟ้าเริ่มมืดครึ้ม จู่ๆฝนเทกระหน่ำลงมา หนึ่งบ่นทำไม่ต้องตก แต่ถึงจะตกหนักแค่ไหน ตนก็ต้องไปถึงจุดหมายให้ได้ หทัยรัตน์หน้าเครียดยังไม่ยอมพูดจาใดๆ ทันใดเสียงยางรถระเบิด รถส่ายไปมา หนึ่งพยายามบังคับพวงมาลัยเข้าจอดข้างทาง หญิงสาวตกใจแต่ไม่ถามนั่งนิ่งทั้งที่ในใจเริ่มกลัว
หนึ่งตัดสินใจลงจากรถมาดูทั้งที่ฝนยังตกหนัก หทัยรัตน์ปรายตามองแอบเป็นห่วง หนึ่งเปิดท้ายรถเห็นว่าไม่มียางอะไหล่ก็ทำหน้าเซ็งสุดๆ กลับขึ้นรถตัวเปียกปอน บอกหทัยรัตน์ว่ายางรถแตก ไม่มียางอะไหล่ คงต้องเข็นรถไป หญิงสาวหันขวับมาถามใครเข็น
“คุณไม่ต้องเข็นหรอก ผมเข็นเอง แต่คุณต้องจับพวงมาลัยให้ผม”
“ไม่...ฉันจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น ฉันบอกแล้วว่าสิ่งเดียวที่ฉันจะทำคือกลับบ้าน”
หนึ่งสวนตอนนี้มันกลับไม่ได้ ถ้าไม่ช่วยกันก็กลับบ้านไม่ได้อยู่ดี หทัยรัตน์โวย ถ้าเขาไม่ลักพาตัวตนมา คงกลับบ้านไปนานแล้ว หนึ่งเอ็ดพูดไม่รู้เรื่องไหนๆก็ไหนๆแล้วก็ต้องมาช่วยกัน
“คุณนั่นแหละพูดไม่รู้เรื่อง ฉันบอกคุณตั้งแต่ตอนเย็นแล้วว่าฉันไม่ไปไหนกับคุณทั้งนั้น และตอนนี้ฉันก็จะไม่ช่วยคุณด้วย”
หนึ่งโวยกลับถ้าเธอไม่ช่วยจับพวงมาลัยให้ก็ลงไปเข็นรถ หญิงสาวไม่ยอมทำอะไรทั้งนั้น หนึ่งหมั่นไส้เดินลงจากรถมาเปิดประตูข้างหทัยรัตน์แล้วจะดึงเธอจะให้ลงไปเข็นรถแทน เธอโวยวายว่าเขาเป็นผู้ชายมาเอาเปรียบ หนึ่งสวนก็ให้เลือกแล้ว เห็นเธอนั่งนิ่งจึงยื้อยุด...หทัยรัตน์จำต้องยอมร้องบอกว่าจะเป็นคนจับพวงมาลัยเอง หนึ่งจึงดันเธอขยับไปที่คนขับ
หนึ่งอธิบายวิธีจับพวงมาลัยให้เธอมองข้างหน้า ถ้าจะชนอะไรก็ให้เหยียบเบรกพร้อมชี้ว่าอันไหน ให้มองกระจกมองหลังและกระจกข้าง มีอะไรฉุกเฉินตนจะเคาะกระจกเตือน หญิงสาวถามต้องไปอีกไกลไหม เขาตอบว่าไกลพอสมควร ข้างหน้าอาจมีบ้านคนที่จะขอความช่วยเหลือได้ หทัยรัตน์พึมพำ...สมน้ำหน้า นี่แหละน้า ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว
หนึ่งได้ยินหันมองเคืองๆแต่ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงให้เสียเวลา...พอหนึ่งลงมาตากฝนเข็นรถ หทัยรัตน์แกล้งเหยียบเบรกไว้ทำให้เขาเข็นไม่ไป หนึ่งเคาะกระจกโวย เธอทำทีตกใจว่าลืม...เหยียบเบรกไว้ หนึ่งเดินมาข้างประตูต่อว่าแกล้งกันหรือ เธอกลั้นหัวเราะบอก
“ฉันไม่ได้แกล้งสักหน่อย ฝนตกหนักคุณต้องยืนตัวเปียกตากฝน ใครจะแกล้งได้ลงคอ”
หนึ่งเข่นเขี้ยวรู้ว่าโดนแกล้ง กลับมาเข็นรถเคลื่อนไปอย่างเชื่องช้าและยากลำบาก...ไปได้สักระยะ หนึ่งรู้สึกว่าข้างหน้าไม่มีแสงไฟของบ้านคน จึงเข็นรถจอดข้างทางแล้วบอกหทัยรัตน์ว่า ตนจะเดินย้อนกลับไปตามคนมาช่วย หญิงสาวขอรอในรถ เขาแกล้งขู่
“ตามใจ แต่อยู่คนเดียวก็ระวังตัวให้ดี ได้ข่าวว่าถนนเส้นนี้เกิดอุบัติเหตุบ่อยๆ ส่วนมากก็จะตายคาที่ อ้อ...นอกจากจะเกิดอุบัติเหตุแล้วยังมีการดักปล้นกันอยู่เรื่อยๆและโจรพวกนี้ถ้ามันเจอสาวๆ มันจะทำอะไรก็คิดเอาเองนะ...ขอให้โชคดี” หนึ่งเปิดท้ายรถหยิบผ้าใบมากางกันฝน
หทัยรัตน์มองสองข้างทางเริ่มหวาดหวั่น ตัดสินใจเปิดประตูวิ่งตาม “รอฉันด้วย...”
หนึ่งหัวเราะเยาะ “เปลี่ยนใจแล้วเหรอ...”
“ก็เห็นอยู่แล้วยังมาถามอีก”
“โธ่...คิดว่าจะแน่” หนึ่งเปรยเบาๆ
หทัยรัตน์ตาขวาง หนึ่งยิ้มกริ่มเอาผ้าใบกางอ้อมตัวหทัยรัตน์ ทำให้เธอต้องใกล้ชิดกับเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ หญิงสาวทนไม่ไหวบอกเขาว่าจะจับผ้าใบด้านนี้เอง แต่พอหนึ่งปล่อยมือ ลมพัดวูบมาปลายผ้าหล่นเขารีบคว้าทำให้โอบเอาตัวหทัยรัตน์มาซบอก เธอช้อนตามองเขาอึ้งๆ
“ทำเป็นหวงเนื้อหวงตัว แล้วเป็นไง...จะซบอีกนานไหม” หนึ่งแกล้งพูดกวนยิ้มๆ
หทัยรัตน์ชะงักรีบดันตัวออก เผอิญผมพันกับกระดุมเสื้อเขาร้องโอ๊ย...หนึ่งเอ็ดให้อยู่เฉยๆแล้วให้เธอจับผ้าใบไว้ เขาค่อยๆแกะผมเธออย่างอ่อนโยน เธอดึงตัวออกทำหน้านิ่งๆทั้งที่ในใจเสียฟอร์มสุดๆ หนึ่ง
กระแนะกระแหน
“ต่อจากนี้ไปก็เดินเฉยๆ อย่ามาทำจองหองจนเกินงามและไม่ต้องหาเรื่องใส่ตัว...ทำตัวให้ดีๆว่านอน สอนง่าย จะได้กลับบ้านไวๆ”
หทัยรัตน์กัดฟันกรอด สะบัดหน้าจำยอมเดินตัวเกร็งไม่อยากโดนตัวเขา หนึ่งแอบยิ้มสะใจ แต่ในใจรู้สึกมีความสุขมากจนไม่อยากให้ถึงปลายทาง
ooooooo
กลางดึก ส่องแสงโทร.มาที่บ้านเพชรลดา แม่พิมพ์รับสายด้วยความดีใจคิดว่าเป็นหนึ่ง แต่แล้วกลับโดนส่องแสงถามด้วยน้ำเสียงกระด้างว่าหนึ่งกลับมาหรือยัง บอกหรือไม่ว่าไปไหน พอแม่พิมพ์ตอบว่ายังไม่กลับไม่ทราบว่าไปไหน ก็โดนกระแทกหูใส่อย่างไม่มีมารยาท
หทัยรัตน์เดินกอดอกด้วยความหนาวภายใต้ผ้าใบที่หนึ่งกางคลุม หนึ่งปรายตามองอย่างเห็นใจ ปลอบใจว่าข้างหน้ามีแสงไฟแล้ว ทนอีกหน่อยเดี๋ยวก็ถึง เธอพยักหน้าอย่างมีความหวัง ไม่ทันไรเบื้องหน้ามีแอ่งน้ำ ด้วยความมืดทำให้ไม่เห็น หทัยรัตน์ลื่นจะล้ม หนึ่งตกใจโอบเอวเธอไว้ถามอย่างห่วงใย...เป็นอะไรหรือเปล่า
หทัยรัตน์ใจเต้นรัวเมื่ออยู่ในอ้อมกอดของหนึ่ง รีบผละออกบอก “ฉันไม่เป็นอะไร...”
แต่พอก้าวเดินก็เจ็บแปลบที่ข้อเท้าร้องโอ๊ย...หนึ่งจะเข้าประคอง เธอขยับหนีแต่ก็ก้าวเดินไม่ได้ด้วยความเจ็บแปลบ หนึ่งจะก้มดู “ไหนดูซิ ข้อเท้าแพลงรึเปล่า”
“ไม่ต้อง! ฉันทนได้” หทัยรัตน์กัดฟันก้าวเดินสีหน้าเหยเก
หนึ่งส่ายหน้ารู้ว่าเธอฝืนจึงเข้าพยุง เธอสะบัดตัวหนีบอกไม่ต้องตนเดินเองได้ หนึ่งมองดูเธอพยายามก้าวเดิน ทนไม่ไหวเอ็ดเสียงเข้ม “นี่เหรอเดินเองได้...ทำเป็นอวดเก่ง”
“นี่คุณจะทำอะไรน่ะ!”
“ก็ช่วยให้คุณเดินสะดวกขึ้นไง” หนึ่งโอบรอบเอวหทัยรัตน์และดึงมือเธอเกาะไหล่เขาเธอโวยให้ปล่อย หนึ่งดุ “นี่...อย่าโวยวายนักได้ไหม ผมก็ไม่ได้อยากจะทำนักหรอก แต่มันต้องทำเพราะถ้าคุณเดินไม่ได้ ผมก็ไปหาคนมาช่วยเปลี่ยนยางรถไม่ได้ เข้าใจหรือยัง”
หทัยรัตน์สะบัดหน้าหนี หนึ่งมองเธอระยะประชิด ยิ่งทำให้หลงเสน่ห์เธอมากขึ้น...
ในบ้านเดือนประดับ ทุกคนใจจดใจจ่อรอหทัยรัตน์โทร.กลับมา พลันเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น สุดาปรี่เข้าไปรับสาย กล่าวสวัสดีไม่ทันจบ ส่องแสงก็แว้ดสวนเข้ามาถามหทัยรัตน์ยังไม่กลับมาใช่ไหม สุดาถามมีธุระอะไร ส่องแสงใส่อารมณ์สุดฤทธิ์
“ที่จริงมันก็ไม่ใช่ธุระของฉันหรอก เพียงแต่ฉันทนอับอายขายขี้หน้าไม่ไหวเลยต้องบอกให้เธอเตรียมตัวรับความฉาวโฉ่ของญาติเธอไว้ให้ดี...แม่นางฟ้านางสวรรค์ที่ใครๆก็ชื่นชมนักหนาว่าเป็นคนดี ที่แท้ก็เที่ยวตะลอนๆกับผู้ชายค่ำๆมืดๆ” สีสุกกับชุลียืนเชียร์ส่องแสงอยู่ข้างๆ
“พี่ส่องพูดถึงอะไรคะ”
“ฉันจะบอกให้นะ ฉันเห็นนังปุ้มมันนั่งรถไปกับพี่หนึ่ง ดูเหมือนจะออกไปชลบุรีตั้งแต่ตอนหัวค่ำ ตอนนี้ก็ยังไม่กลับมาทั้งสองคน”
“พี่ส่องเห็นพี่หนึ่งไปกับปุ้มจริงๆเหรอคะ” ทิพย์ สิทธิ์และสัทธาขยับเข้าฟังอย่างสนใจ
ส่องแสงยิ้มร้ายปั้นเรื่องว่าตนไม่ได้เห็นคนเดียว เพื่อนๆที่อยู่ด้วยกันเห็นหมด คงไม่ต้องบอกว่าพวกเขาคิดอย่างไร ที่เห็นหญิงชายไปต่างจังหวัดสองต่อสอง ตนเคยบอกแล้วว่าสักวันเดือนประดับจะต้องเหม็นโฉ่เพราะนังเด็กนั่น ผิดคำที่ไหน ไม่นานคงจะลือกันทั้งตลาดและคงจะงามหน้าเข้าไปอีกถ้าสักวันเกิดท้องไม่มีพ่อ...พูดจบส่องแสงวางสาย ชุลีกับสีสุกตบมือเฮ
ด้านสุดาวางสายอึ้งๆ ทิพย์ถามลูกสาวใครโทร.มา สุดาเล่าตามที่ส่องแสงพูดว่าเห็นหนึ่งพาหทัยรัตน์ขับรถไปทางชลบุรี ทุกคนตกใจทิพย์แทบลมจับ
ooooooo
หนึ่งประคองหทัยรัตน์มาถึงบ้านหลังหนึ่งเป็นบ้านไม้ขนาดกลาง เขาถามเธอยังไหวไหมหรือจะให้อุ้ม หญิงสาวปฏิเสธเสียงเข้มว่าเดินเองได้ หนึ่งแอบยิ้ม
ป้าขมิ้นออกมาต้อนรับพอรู้เรื่องก็บอกว่าที่นี่เป็นบ้านกำนันไสว แต่ไม่อยู่ออกไปงานลูกบ้าน ตนจะตามหนุ่มๆมาช่วยให้ หนึ่งรีบขอบคุณ ไม่ทันไรหทัยรัตน์จามออกมา หนึ่งจึงตามไปขอยืมเสื้อผ้าป้าขมิ้นเพื่อให้เธอเปลี่ยน
บนบ้าน หทัยรัตน์นั่งนวดข้อเท้าตัวเอง หนึ่งเดินเข้ามาบอกให้เธอถอดเสื้อผ้าออก เธอเงยหน้ามองตาเขียว “จะบ้าเหรอ คุณจะทำอะไร ฉันไม่ยอมนะจะบอกให้ ถ้าคุณเข้ามาแม้แต่ก้าวเดียว ฉันจะ...ฆ่าคุณจริงๆด้วย” หทัยรัตน์คว้ามีดเชี่ยนหมากในตะกร้าข้างๆ
หนึ่งหัวเราะท่าทางของหทัยรัตน์ “นี่เธอจะบ้าเหรอ เธอคิดว่าฉันจะทำอะไรเธอ นี่...ฉันไปยืมเสื้อผ้าป้ามาให้เธอเปลี่ยน อยู่ชุดนี้ทั้งคืนมีหวังเธอต้องเป็นปอดบวมแน่ๆ ฉันไม่ได้คิดจะทำอะไรอย่างนั้นหรอกน่า”
หทัยรัตน์จ๋อยบ่นเบาๆ...ใครจะไปรู้ หนึ่งส่งเสื้อผ้าให้แกล้งขู่ ถ้าตนคิดทำจริงๆ แค่มีดทื่อๆเล่มเดียวหยุดตนไม่ได้แน่ แล้วย้ำให้รีบเปลี่ยนเสื้อ ตนจะเอาชุดเปียกไปผิงไฟให้ หญิงสาวสวน ให้เปลี่ยนก็ออกไปเสียที ยืนอยู่แบบนี้ตนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าได้อย่างไร...หนึ่งชะงักแต่วางฟอร์มกวนพูดลอยๆก่อนออกไปว่า “อย่างกับน่ามองตายแหละ...”
หน้าบ้านมีเตาไฟจุดอยู่ หนึ่งจัดแจงแขวนเสื้อผ้าหทัยรัตน์เหนือเตาไฟอย่างเรียบร้อย หทัยรัตน์เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จมองออกมาทางหน้าต่าง เผอิญเห็นหนึ่งถอดเสื้อตัวเขาออกเพื่ออังไฟ เธอสะดุ้งอุทานออกมา หนึ่งหันมอง เธอรีบหลบกลับเข้าไป หนึ่งอมยิ้มขำๆ
หนึ่งกลับขึ้นบ้านเดินไปเดินมา ไม่ทันไรป้าขมิ้นกลับมาบอกว่าเดี๋ยวลุงกำนันเสร็จงานจะมาช่วย แล้วถามเขากินอะไรมาหรือยัง หนึ่งตอบตามตรงว่ายังไม่ได้ทานตั้งแต่เที่ยง ป้าขมิ้นจะไปทำข้าวต้มให้ หนึ่งอาสาลงมือทำเอง ป้าขมิ้นทึ่งจุดเตาไฟไว้ให้ หนึ่งขอความช่วยเหลืออีกอย่างคือขอยานวด
ภายในห้อง หทัยรัตน์นั่งซุกตัวอยู่มุมห้อง หนึ่งถือขวดยาเข้ามาบอกให้เธอมานั่งที่สว่างๆ
“ทำไมฉันต้องไปนั่งตรงนั้น”
“มาเถอะน่า นั่งตรงนี้สว่างหน่อย”
“ฉันจะไม่ทำจนกว่าคุณจะบอกก่อนว่าทำไม” หทัยรัตน์หวาดระแวง
“ฉันจะทายาให้ ขาเธอแพลงอยู่ไม่ใช่เหรอ”
หญิงสาวให้ส่งยามาจะทำเอง หนึ่งไม่สนใจเดินมา นั่งคุกเข่าข้างหน้า ดึงขาเธอไปทายาและนวดเบาๆ เธอพยายามยื้อกลับก็โดนเอ็ด จึงบ่นอุบ
“คนอะไรไม่รู้ชอบบังคับ...พวกบ้าอำนาจ”
“รู้ไว้ก็ดีแล้วจะได้ไม่ขัดใจฉัน...เจ็บหรือเปล่า” เห็นหทัยรัตน์นิ่งเฉยหนึ่งจึงแกล้งบีบแรง
“โอ๊ย! นี่คุณจะหักขาฉันหรือไง”
“ก็ฉันทดสอบดูว่าเธอยังมีความรู้สึกอยู่หรือเปล่า เห็นถามก็ไม่ตอบ ตอนนี้เป็นไงบ้าง ฉันนวดแรงไปรึเปล่า ยังเจ็บอยู่ไหม”
หทัยรัตน์นิ่ง หนึ่งทำท่าจะบีบ เธอรีบตอบว่า...ไม่เจ็บ หนึ่งยิ้มสมใจ เขานวดคลึงอย่างนุ่มนวลจนหทัยรัตน์รู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย จึงดึงขาออกและบอกเขาว่า ไม่เจ็บแล้ว หนึ่งย้อนถามว่าแน่ใจหรือ เธอพยักหน้าหลบตา พอหนึ่งเก็บขวดยา หทัยรัตน์ก็พูดเบาๆว่าขอบคุณ...เขาชะงักเงยหน้ามอง
“เมื่อกี้เธอพูดอะไรนะ...ฉันฟังไม่ถนัด”
“ฉันรู้ว่าคุณได้ยินและได้ยินถนัดชัดดี ไม่จำเป็นต้องพูดซ้ำ ฉันเหนื่อยฉันจะนอนพักอยู่ตรงนี้ รอเวลากลับบ้าน” พูดจบหทัยรัตน์หาที่เอนตัวหลับตา
หนึ่งมองตามรู้สึกครึ้มอกครึ้มใจบอกให้เธอนอนพักก่อน ตนจะไปทำข้าวต้มให้กิน หญิงสาวลืมตาขมวดคิ้ว เขาจะทำข้าวต้มจริงหรือ...
ooooooo
เวลาผ่านไปจนดึกดื่น วิทย์ร้อนใจโทรศัพท์มาที่เดือนประดับ สัทธารับสาย เขารีบถามว่าหทัยรัตน์กลับมาหรือยัง พอสัทธาตอบว่ายัง เขาก็ถามอีกว่ามีข่าวอะไรคืบหน้าบ้างไหม
“เอ่อ...มีครับ มีคนเห็นหนึ่งขับรถออกไปทางชลบุรีกับปุ้มตอนหัวค่ำครับ”
วิทย์ตกใจ “อย่างนั้นก็แสดงว่าตอนนี้ไอ้หนึ่งมันอยู่กับหนูปุ้มจริงๆน่ะสิ ปุ๊...ลุงฝากขอโทษคุณพ่อคุณแม่ด้วยนะ ที่ไอ้ลูกชายตัวแสบของลุงก่อเรื่องแบบนี้ ลุงจะถาม เพื่อนที่ทางหลวงให้ตรวจสอบรายชื่อรถที่ประสบอุบัติเหตุวันนี้ดูว่ามีรถหนึ่งหรือเปล่า รู้ข่าวแล้วลุงจะรีบบอก”
สัทธารับคำ ทิพย์เดินมาตำหนิว่าไม่น่าบอกวิทย์ จะทำให้เป็นห่วงเปล่าๆ แต่สัทธาเห็นว่าวิทย์ควรรู้ เพราะคราวนี้หนึ่งทำผิดจริงๆ มีเขาคนเดียวที่จะจัดการกับหนึ่งได้ สัทธาไม่ค่อยพอใจ ท่าทางหนึ่งสับหมู ต้มข้าวต้ม หั่นต้นหอม ขึ้นฉ่าย
อย่างทะมัดทะแมง หทัยรัตน์ได้กลิ่นหอมของข้าวต้มโชยมาทำให้ท้องร้องจ๊อกๆ...แต่พอหนึ่งยกชามข้าวต้มมาวางก็ทำไม่สนใจไม่ลุกขึ้น เขาวางถาดลงข้างๆแล้วกล่าว
“ฉันทำข้าวต้มมาให้กินซะ เมื่อกี้ป้าบอกว่ามีคนมาช่วยแล้ว เดี๋ยวฉันจะไปดูเปลี่ยนยางที่รถ ถ้าเรียบร้อยแล้วจะรีบมารับ” เห็นหทัยรัตน์นอนหลับตาผมปรกหน้า จึงเอื้อมมือไปปาดผมออก แล้วมองหน้าเธอที่ดูสวยน่า
ทะนุถนอม หทัยรัตน์ขยิบตาแอบใจสั่น หนึ่งเห็นอมยิ้ม “ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้หลับและได้ยินฉันพูดทุกอย่าง...ถ้ายังไม่ลืมตา ฉันจะ...” หนึ่งก้มหน้ามาใกล้
หทัยรัตน์ลืมตาทันใด ลุกพรวดขึ้นทันทีบอกตนตื่นแล้ว หนึ่งหัวเราะบอกให้กินข้าวต้มเสีย เดี๋ยวตนกลับมารับ หญิงสาวเขินอายเหลือบมองหนึ่งเดินออกไป แล้วหันมองชามข้าวต้มด้วยความรู้สึกสับสนในใจ
ooooooo
จากที่ฝนเทกระหน่ำลงมาทำให้โทรศัพท์ใช้ การไม่ได้ พินิจไข้ขึ้นสูงและเพ้อเรียกหาแต่หทัยรัตน์ จนพรรณีหวั่นใจ บอกชมคนขับรถให้โทร.ตามหมอ แต่พอโทร.ไม่ได้ จึงตัดสินใจให้ชมขับรถพาพินิจ ส่งโรงพยาบาล ตัวเธอจะรอหนึ่งกับหทัยรัตน์มาถึง ก่อนแล้วจะตามไป
ฝนซาลง กำนันไสวหายางอะไหล่มาใส่รถของหนึ่งให้พอวิ่งได้ไปหาร้านเปลี่ยนยางอีกที หทัยรัตน์เปลี่ยนมาใส่ชุดของตัวเองรอหนึ่งมารับ ป้าขมิ้นติง
“หนูใส่เสื้อผ้าป้าไปก่อนก็ได้นะ ชุดหนูมันยังไม่แห้งไม่ใช่เหรอ”
“ค่ะ...แต่มันก็พอใส่ได้ค่ะ ส่วนชามข้าวต้มปุ้มล้างคว่ำไว้ในครัวนะคะ ขอบคุณคุณป้ามากค่ะ” หทัยรัตน์ยกมือไหว้นอบน้อม
“ไม่เป็นไรหรอก ต้องไปขอบคุณผัวหนู เขาเป็นคนทำข้าวต้มไม่ใช่ป้าหรอก เออ! ผัวหนูตายยากจริงๆ พูดถึงก็มาพอดี”
หทัยรัตน์สะดุ้งรีบบอกว่าหนึ่งไม่ใช่สามี ป้าขมิ้นร้องอ้าว...ไม่ใช่แล้วมาด้วยกันค่ำมืดแบบนี้ได้อย่างไรหรือเป็นพี่น้องกัน หทัยรัตน์ส่ายหน้า ป้าขมิ้นตบอกผางใส่เป็นชุด
“ตายแล้ว! ไม่ได้เป็นผัวเมียกัน ไม่ได้เป็นพี่น้องกัน แล้วมาด้วยกันได้ยังไง นี่ถ้าเป็นลูกเป็นหลานป้า ป้าไม่ยอมหรอกนะ เป็นขี้ปากชาวบ้านทั้งหมู่บ้าน เป็นสาวเป็นนางทำแบบนี้ไม่ได้ แล้วที่บ้านปล่อยออกมาได้ยังไงเขาไม่ห่วงกันเหรอ”
หทัยรัตน์หน้าเสียอยากร้องไห้...ด้านวิทย์เครียดจัดโทรศัพท์มาที่เดือนประดับ สุดารับสาย เขารีบถามว่าสิทธิ์กับทิพย์ยังรออยู่หรือเปล่า พอสุดาบอกว่าทั้งสองเข้านอนแล้วจึงฝากบอก
“ลุงสอบถามจำนวนรถที่ประสบอุบัติเหตุในวันนี้แล้ว ไม่มีรถของหนึ่งรวมอยู่ด้วย สบายใจได้ว่าทั้งสองคนไม่ได้ประสบอุบัติเหตุที่ไหน...นี่ก็ดึกมากแล้วแป้นไปนอนเถอะ ไม่ต้องกังวล ลุงฝากบอกพ่อกับแม่ด้วยว่า
วันพรุ่งนี้ลุงจะไปหาที่เดือนประดับแต่เช้า เรื่องอะไรที่เกิดขึ้นในวันนี้ ลุงจะจัดการเอง” วิทย์น้ำเสียงเข้ม
สุดารับคำแล้ววางสายแต่ก็อดกังวลไม่ได้
ooooooo
พรรณีเดินไปมาอย่างกระวนกระวายบนบ้านพัก...หนึ่งขับรถเข้ามาจอด หทัยรัตน์ถามที่นี่บ้านใคร ไม่ทันที่หนึ่งจะตอบ พรรณีก็วิ่งเข้ามา หทัยรัตน์ยิ่ง
แปลกใจ หนึ่งหันมากล่าว
“ฉันทำเพื่อพินิจ...”
พรรณีพาหทัยรัตน์ขึ้นบ้าน เอาผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า หมอน ผ้าห่มมาวางให้ บอกให้อาบน้ำพักผ่อนให้สบาย ต้องการอะไรอีกให้บอก หทัยรัตน์โพล่งขึ้นว่า
“ฉันต้องการกลับบ้าน...ฉันไม่ต้องการมาที่นี่ ขอโทษนะพรรณีที่ฉันต้องพูดตรงๆ แต่ฉันต้องการกลับบ้านจริงๆ ฉันไม่ได้บอกใครที่เดือนประดับเลย ป่านนี้ไม่รู้ว่าคุณลุงคุณป้า พี่ปุ๊พี่แป้นจะเป็นห่วงฉันแค่ไหน”
“ฉันเข้าใจปุ้ม แต่ฉันขอโทษที่ทำตามไม่ได้ เพราะต้องรอให้คนขับรถฉันกลับมาก่อนถึงจะพาเธอกลับบ้านได้ ซึ่งอาจจะเป็นพรุ่งนี้เช้า โทรศัพท์ที่นี่ก็เสีย ฉันเองก็จนปัญญา คืนนี้คงต้องรบกวนให้เธอค้างที่นี่...เธอคงไม่โกรธนะปุ้ม” พรรณีเสียงเศร้า
หนึ่งเดินมาหยุดฟัง หทัยรัตน์รู้สึกจุกน้อยใจในโชคชะตา “ฉันจะไปโกรธใครได้นอกจากโกรธตัวเอง ที่ทำตัวเป็นผู้หญิงเหลวไหล ค่ำมืดดึกดื่นก็ยังไม่กลับบ้าน ถ้าคนอื่นรู้ว่าฉันมากับผู้ชายคนนึงเพื่อมาหาผู้ชายอีกคน เขาจะคิดว่าฉันเป็นผู้หญิงยังไง”
“ปุ้มอย่าคิดมากเลยนะ”
“ฉันไม่อยากคิดมาก ถ้าฉันไม่ใช่เด็กในการปกครองของคุณลุง คุณป้า ท่านทั้งสองเลี้ยงดูฉันมาอย่างดี แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นกับฉันกำลังทำให้ท่านต้องเสื่อมเสีย แล้วแบบนี้เธอจะไม่ให้ฉันคิดมากได้ยังไง ที่ผ่านมาฉันพยายามทำตัวอยู่ในกรอบปฏิบัติอันดี แต่วันนี้ทุกคนทำเหมือนฉันไม่มีชีวิต ไม่มีจิตใจ จะจูงไปไหนจะสั่งให้ทำอะไรก็ได้ ไม่มีใครคิดถึงใจฉันเลย แล้วสุดท้ายเมื่อทุกคนได้ในสิ่งที่ต้องการทุกคนพอใจ แต่คนที่ต้องเสียใจ คนที่โดนดูถูกก็คือฉันคนเดียวเท่านั้น”
หนึ่งได้ยินเสียงหทัยรัตน์ร้องไห้ออกมาก็สำนึกผิด...พรรณีเองก็เศร้าใจ...
ในขณะที่ทางโรงพยาบาล หมอและพยาบาลวิ่งวุ่นเข้าออกห้องฉุกเฉิน สักพักก็ออกมาบอกชมคนขับรถว่าอาการพินิจหนักมาก ให้ติดต่อญาติผู้ป่วยทันที
ระหว่างนั้นหทัยรัตน์นั่งเศร้าเสียใจอยู่ในห้องนอน หนึ่งมาเคาะประตูเรียก เธอสวนกลับมาว่าต้องการพักผ่อน กรุณาอย่ามายุ่งกับตน หนึ่งจึงกล่าวด้วยน้ำเสียง อ่อนโยนว่า
“ถ้างั้นก็พักผ่อนให้สบายนะ ฉันเปลี่ยนยางรถได้เมื่อไหร่ ฉันจะรีบไปส่งที่บ้าน แต่ขอฉันแวะเยี่ยมพินิจที่โรงพยาบาล...ส่วนเธอจะขึ้นไปเยี่ยมหรือไม่ก็ตามแต่ใจ”
“ขอบคุณค่ะ ที่ยังอุตส่าห์ให้ดิฉันมีสิทธิ์ในการกำหนดชีวิตของฉันเอง”
หนึ่งยิ่งรู้สึกผิด ขยับปากจะกล่าวขอโทษแต่ด้วยทิฐิทำให้พูดออกไปว่า...ราตรีสวัสดิ์ แล้วเดินไป หทัยรัตน์แปลกใจที่ทำไมเขายอมแต่โดยดี
ooooooo










