สมาชิก

เงา

ตอนที่ 16

อัลบั้ม: ‘อ้วน-ฐิสา’ ตัวแทนมนุษย์เวียนว่ายในกรรม ‘เคลลี่’ ยมบาลในละครน้ำดี “เงา”

อิศราตัดสินใจไปบ้านไร่เจริญขวัญหลังจากทนายวันชัยโทร.มาถามเรื่องโอนบ้าน...การไปครั้งนี้ทำให้เขาทราบเหตุผลที่เจริญขวัญพาแม่หนีกลับมาโดยไม่บอกล่วงหน้า

อรุณนั่นเองที่ชิงชังอิศราจนทนไม่ไหวถึงกับนำหลักฐานบันทึกเสียงสนทนาของเขากับชาลินีมาเปิดให้ฟัง อิศราตกใจและเสียใจมากแต่ไม่ยอมไปไหน อยากคุยอยากอธิบายกับเจริญขวัญแต่ยังไม่มีโอกาสเพราะไม่มีใครอนุญาตให้ขึ้นบ้าน

ดวงแก้วเคืองอิศราไม่น้อย คิดไม่ถึงว่าเขาอยากได้บ้านคืนถึงขนาดล่อหลอกให้เจริญขวัญหลงรัก ส่วนอรุณไม่ต้องพูดถึง เคียดแค้นชิงชังอยากตะบันหน้าอิศราวันละหลายหน พร้อมกันนี้ก็ให้ลุงพุดกับป้าปลั่งคอยเป็นหูเป็นตาอย่าให้อิศรามีโอกาสพูดคุยกับเจริญขวัญอย่างเด็ดขาด

ส่วนที่กรุงเทพฯ นายพลบัญชายังหงุดหงิดไม่หายเรื่องชาลินี อยากรู้ว่าผลตรวจของหมอเป็นยังไง แล้ว

อิศราไปคุยกับท่านชายได้เรื่องอะไรบ้าง ปรากฏว่าทั้งชาลินีและคุณหญิงเพ็ญพูดอ้อมไปอ้อมมาเหมือนจะรอมชอมกับท่านชาย แต่นายพลยอมไม่ได้ ทะเลาะกับลูกเมียลั่นบ้านก่อนผลุนผลันไปเอาเรื่องท่านชายถึงวังในคืนนั้น

ชาลินีไปกับพ่อด้วยอย่างมีความหวัง แต่เป็นฝ่ายนิ่งฟังอย่างสงบเสงี่ยม...นายพลท่าทีวางอำนาจต่อว่าท่านชายเพราะปักใจว่าเขาปู้ยี่ปู้ยำลูกสาวของตนแล้วจริงๆ

“มนุษย์...กิเลส...ตัณหา...ไม่เลือกสถานที่ ไม่เลือกคน ไม่เลือกเวลา”

“ยอมรับล่ะสิ แล้วไง ไอ้กิเลสตัณหามันเกิดขึ้นแล้วจะรับผิดชอบยังไง”

“ฉันต้องรับผิดชอบงั้นรึ ลองถามเจ้าตัวเขาดูหรือยัง หรือถ้าจะให้ดี ถามคุณหญิงเสียด้วย”

“ไม่ต้องมาย้อนหรอก ต้องรู้นะว่าคนอย่างฉันเอาจริง จะมาทำเป็นเล่นกับลูกสาวนายพลบัญชาไม่ได้ ท่านชายต้องรับผิดชอบ ไม่งั้นก็เป็นเรื่องกัน”

“ในเมื่อร้องขอให้ฉันรับผิดชอบกันนัก ก็ได้ ฉันจะรับผิดชอบ แต่ระวังสิ่งที่ปรารถนาให้ดี เพราะสักวันมันอาจจะย้อนกลับมาเล่นงานตัวเอง”

“ลูกผู้ชาย รักษาคำพูดด้วยแล้วกัน ฉันถือว่านายรับปากแล้วนะ”

“พ่อคะ พูดรู้เรื่องแล้วก็กลับกันเถอะค่ะ” ชาลินีฉุดแขนพ่อกลับไปอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ โดยไม่รู้ว่าท่านชายคำรามในใจว่า

“ในเมื่อเธอเรียกหาความรับผิดชอบ เธอก็จะได้ตามนั้นชาลินี เพราะดวงวิญญาณดวงหนึ่งก็รอคอยความรับผิดชอบจากเธอมานานนักหนาแล้วเหมือนกัน”

ด้านอิศราที่ยังปักหลักหน้าบ้านดวงแก้ว เขานอนตากยุงทั้งคืน ปลั่งเห็นแล้วอดสงสารไม่ได้ พาไปล้างหน้าล้างตาแล้วหาข้าวให้กิน เจริญขวัญใช่ว่าไม่สนใจ เธอสงสารแต่ไม่ใจอ่อน ยอมออกมาเผชิญหน้า ซึ่งอิศราก็ยอมรับว่าความจริง เพราะคุณย่าเคยประกาศยกบ้านนั้นให้ตน แล้วอยู่ๆมันก็จะกลายเป็นของคนที่ไม่เคยเจอคุณย่า

“ขวัญเคยถามแล้ว ว่ามีอะไรให้บอกขวัญตรงๆ”

“พี่รู้...ตอนแรกพี่คิดว่าสาวน้อยบ้านไร่คงตื่นตากับบ้านหลังใหญ่แล้วก็คงเฉดหัวพี่ไป พี่ยอมรับว่าพี่เคยตั้งใจวางแผนที่จะมัดใจขวัญให้ได้เพื่อบ้าน แต่พี่คิดผิด ความจริงใจ ความสะอาดบริสุทธิ์สาวน้อยคนนั้นกลายเป็นกระจกที่สะท้อนความเห็นแก่ตัวของพี่ และในที่สุดพี่ก็ได้รู้ว่าบ้านที่แท้จริงคืออะไร ขวัญคือบ้านของพี่ ขวัญเป็นยิ่งกว่าความรัก เป็นคนที่มาเติมเต็มหัวใจที่โดดเดี่ยวเหลือเกินของพี่...พี่ขาดขวัญไม่ได้...พี่รักขวัญ”

เจริญขวัญกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ต่อสู้กับอารมณ์ที่อยากกลับไปคืนดีและความน้อยใจ ในที่สุดเธอกรีดน้ำตา ปลดมืออิศราออกจากตัวแล้วถามอย่างห่างเหินเย็นชาว่า “พูดจบแล้วใช่ไหมคะคุณอิศ”

“คุณอิศ?”

“จะให้เรียกอะไรล่ะคะ ในเมื่อเราไม่ได้เป็นญาติ ไม่ได้เกี่ยวพันอะไรกันทั้งนั้น เป็นเพียงแค่คนที่ผ่านมาเจอกันแล้วก็จากกัน เมื่อขวัญมอบความไว้วางใจทั้งหมดให้ใครแล้วพังทลายลง มันก็เจ็บปวดจนขวัญไม่เหลือความเชื่อใจอีก”

“พี่รู้...พี่ขอโทษ แต่ให้โอกาสพี่...”

“พอเถอะค่ะ อย่ามาผูกพัน สร้างความเจ็บปวด

ให้กันอีกเลย กลับไปเถอะค่ะ คุณอิศก็ได้ไปแล้วทุกอย่าง คงหาผู้หญิงที่มาเติมเต็มช่องว่างให้คุณอิศได้ไม่ยากหรอก”

พูดจบเธอหันหลังเดินเร็วกลับไปที่บ้าน ทิ้งอิศรายืนหน้าเศร้าแต่ยังไม่ถอดใจ หายไปคืนหนึ่งแล้วกลับมาใหม่ในชุดทะมัดทะแมงสมัครเป็นคนงานในไร่

“คนงานใหม่ขอรายงานตัวครับผม”

ดวงแก้วรับไหว้อิศราด้วยสีหน้างงๆ เจริญขวัญหงุดหงิดหน้าตึงไม่ยอมรับ อิศราเลยต้องเว้าวอนพร้อมโชว์กล้ามแขนเพื่อยืนยันความแข็งแรง

“ทำไมล่ะครับ ทำไมผมจะทำงานที่นี่ไม่ได้ ผมน่ะ แข็งแรงนะครับ”

“คุณอิศจะเล่นตลกอะไรอีกคะ”

“เปล่า พี่...เอ้อ...ผมอยากมาทำงานที่นี่จริงๆนะครับอาแก้ว รับรองว่าผมจะทำตามสั่งทุกอย่าง ค่าแรงผมไม่เอาก็ได้นะครับ ขอแค่ข้าวน้ำกินสามมื้อ”

“อะไรคะ คุณอิศกะจะอยู่ที่นี่เลยหรือไงคะ”

“ก็ผมไม่มีบ้านอยู่นี่ครับอาแก้ว”

“บ้านคุณอิศราอยู่กรุงเทพฯไงคะ”

“บ้านนั้นก็ไม่ใช่ของผมซะหน่อยครับ เจ้าของเขาหนีมา ส่วนบ้านผม...อยู่ที่นี่ต่างหาก”

เจริญขวัญสบสายตามั่นคงของอิศราแล้วเบือนหนี “บ้านของคุณอิศจะมาอยู่กับท้องไร่ลำบากลำบนได้ยังไงคะหรือว่าคุณอิศได้บ้านหลังนั้นไปแล้วยังไม่พอ”

อิศราหน้าเสีย หันมายิ้มเจื่อนกับดวงแก้ว หลังจากเจริญขวัญเดินหนีไปแล้ว

“อาแก้วครับ ผมอาจจะเป็นคนเลวไปแล้วในสายตาของทุกคน แต่ผมไม่มีวิธีอื่นที่จะพิสูจน์ตัวเองได้นอกจากเอา ชีวิตของผมมาแลกกับข้าวน้ำของอาแก้วเท่านั้น ผมไหว้ล่ะครับ”

ดวงแก้วมองความมุ่งมั่นปนเสียใจของอิศราแล้วถอนใจยาว

ooooooo

และแล้วอิศราก็ได้เริ่มงานในไร่อย่างคนงานทั่วไป ไม่มีอภิสิทธิ์ใดๆแม้แต่เรื่องอาหารการกินที่เขาต้องไปนั่งรวมกลุ่มกับคนงาน โดยมีพุดคอยกำกับดูแลและพร้อมจะกลั่นแกล้งทุกทีที่มีโอกาสตามคำสั่งของเจริญขวัญ เพราะเธอต้องการให้เขาทนไม่ไหวจนต้องกลับกรุงเทพฯไป

แต่อิศราก็ทนทายาด ไม่ว่างานหนักงานเบา ตากแดด ตัวแดงก็ไม่บ่นสักคำ มีแต่บอกให้ลุงพุดเลิกถามเสียทีว่าไหวหรือเปล่า เพราะยังไงเขาก็ไม่มีวันยอมแพ้อยู่แล้ว

ตกเย็นได้เวลาจ่ายค่าแรงรายวันคนงาน ดวงแก้วให้อิศราสองร้อยห้าสิบเท่ากับคนอื่นๆ แต่พุดกลับคัดค้านว่า

“เดี๋ยวครับคุณแก้ว...ผมว่าประเมินจากการทำงานวันนี้วันแรกยังไม่ค่อยคล่องตัวเท่าไหร่ ต้องหักค่าสอนงานของผมด้วยครับ เหลือแค่นี้พอครับ” พุดดึงเงินจากดวงแก้วมาใส่กระเป๋าตัวเองหนึ่งร้อย อิศราเลยได้รับร้อยห้าสิบ แต่แค่นี้ชายหนุ่มก็ภูมิใจที่สุดแล้ว เพราะมันคือเงินจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง

อิศราชูเงินกระโดดโลดเต้น ดวงแก้วอดแอบยิ้มไม่ได้ เจริญขวัญเกือบยิ้ม แต่ทำค้อนก่อนเดินหนีไปเพราะกลัวจะใจอ่อน

ได้เงินแค่นิดเดียวแต่เย็นนี้อิศราก็อยากฉลอง เขากางเต็นท์หน้าบ้านแล้วชวนลุงพุดมานั่งก๊งเหล้าขาวแกล้มด้วยแกงเขียวหวานของดวงแก้วหนึ่งถ้วย เจริญขวัญกับอรุณเดินมาไล่แต่อิศราดื้อไม่ไป อรุณเลยหงุดหงิดใหญ่ บ่นแล้วบ่นอีกกลัวเจริญขวัญใจอ่อน ส่วนดวงแก้วนั้นอ่อนลงไปกว่าครึ่งตั้งแต่เห็นอิศราตรากตรำทำงานแล้ว

อรุณหงุดหงิดไม่หาย ต่อว่าลุงพุดทำดีกับอิศรา ก่อนจะโดนอิศราท้าให้ร่วมวงถ้าคิดว่าตัวเองไม่ใช่เด็กอย่างที่พูด

โดนท้าทายซะขนาดนี้มีหรืออรุณจะยอมกลับไปโดยดี เขานั่งดื่มเหล้าจนเมามายไปกับอิศรา แล้วระบายความในใจที่ต่างก็มีความรักต่อเจริญขวัญ ก่อนจะด่ากันเถียงกัน แล้วก็ร้องเพลงด้วยกัน แถมยังถูกลุงพุดจับให้นอนในเต็นท์เดียวกันจนถึงเช้า

สองหนุ่มหลับปุ๋ยจนตะวันขึ้นขอบฟ้า นอนก่ายกันไปมาราวกับเพื่อนรัก จนกระทั่งนายโรจน์ช่างวาดรูปที่อาศัยวัดอยู่มาเมียงมองแล้วมุดเข้าเต็นท์พร้อมเสียงร้องกระตู้วู้ สองหนุ่มเลยแตกตื่นตกใจประสานเสียงดั่งลั่น ขนลุกขนพองสยองกับสภาพพวกตนที่นอนกอดกัน

โรจน์แวะเอาพระเครื่องมาให้ดวงแก้วกับเจริญขวัญ ยื่นให้ด้วยรอยยิ้มแสนใสซื่อ สองแม่ลูกรับมาแล้วถามว่านึกยังไงเอาพระมาแจก

“เมื่อวานมีงานที่วัดไม่เห็นพวกคุณไป ฉันเลยขอท่านเจ้าอาวาสมาให้เอาไว้คุ้มครอง แต่มีพระอย่างเดียวไม่ทำความดี ไม่สวดมนต์ ก็ช่วยไม่ได้นะ”

“ขอบคุณมาก ทานข้าวมาหรือยัง พี่พุดพาไปหาพี่ปลั่งหน่อยไป”

“ครับผม...มาๆเพื่อนเลิฟ ไปกินข้าว”

“ฮึ! ใครเป็นเพื่อนแก” โรจน์เล่นแง่แต่ก็ยอมให้พุดกอดคอเดินไป

สายหน่อย ดวงแก้วกับลูกสาวไปในไร่ พุดและคนงานลำเลียงถุงปุ๋ยลงจากรถ อิศรายืนต่อแถวรอรับ แต่พอเงยหน้าเห็นอรุณเดินมาก็มีอาการขนลุกขนพอง นึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่นอนร่วมเต็นท์ ไม่รู้ทำอะไรยังไงกันไปบ้าง อรุณเองก็สยองเหมือนกัน ไม่ค่อยกล้ามองหน้าอิศรานัก เจริญขวัญสังเกตท่าทีของสองหนุ่มด้วยความสงสัย ถามลุงพุดว่าพวกเขาเป็นอะไร

“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่จับเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกัน ฮ่าๆ กลายเป็นแมวไปซะแล้ว”

เจริญขวัญฟังแล้วยิ่งงงเข้าไปใหญ่

ooooooo

ด้านชาลินีที่กรุงเทพฯ หลังจากท่านชายแบ่งรับ แบ่งสู้จะรับผิดชอบ เธอรุกคืบด้วยการเข้ามาเจ้ากี้เจ้าการในวัง อยากตกแต่งวังใหม่ให้สวยงามกว่าเดิม

เย็นนี้เธอนำดอกไม้มาประดับตามมุมต่างๆเพื่อความสดชื่นมีชีวิตชีวา ท่านชายไม่ว่ากระไร ปล่อยเธอเดินขึ้นบันไดไปชั้นบนเพียงคนเดียว

ชาลินีย่ามใจ คิดว่าอีกไม่นานตัวเองต้องได้เป็นเจ้าของวังนี้แน่ หารู้ไม่ว่าท่านชายกำลังจะให้เธอได้พบกับความทุกข์ทุรนทุรายแสนสาหัส สมกับบาปกรรมที่เธอเคยก่อไว้

หญิงสาวเดินขึ้นไปไม่ทันสุดบันไดก็ได้ยินเสียงเด็กหัวเราะ เห็นร่างวิ่งเลี้ยวไปมุมหนึ่งไวๆ จึงก้าวตามพร้อมส่งเสียงทัก

“หนูไปหลบอยู่ตรงนั้นทำไม ออกมาซิ”

ทันใดนั้น มือน้อยๆขาวซีดโผล่ออกมา ตามด้วยเสี้ยวหน้าเด็กหญิงที่มีคราบน้ำตาเป็นสีเลือด ชาลินีตกใจสุดขีดกรีดร้องพลางถอยหนีพลาง จนไปชนร่างใครคนหนึ่ง

“ท่านชาย...ท่านชายคะ”

ท่านชายวสวัตหน้านิ่งขรึม ถามเบาๆ “เป็นอะไรไป ชาลินี”

“เด็กค่ะ เด็กนั่น” เธอชี้มือไปแต่ไม่ปรากฏร่างเด็กที่เห็นเมื่อสักครู่

“เด็กอะไร ที่นี่ไม่มีเด็ก”

“มีสิคะ ชาเห็นจริงๆ น่ากลัวมาก”

“เธอกลัวเด็กงั้นหรือ”

หญิงสาวชะงัก ตอบเสียงแผ่ว “ไม่...ไม่ใช่ อย่างนั้นค่ะ”

ท่านชายเดินเลยไปตรงมุมผนังนั้นแล้วหันมาเรียก “นี่ล่ะมั้งเด็กของเธอ มาดูสิ”

ชาลินีข่มใจเดินไปดูด้วยท่าทีขลาดๆ พอเลี้ยวมุมก็เห็นตุ๊กตารูปปั้นตั้งอยู่ เธอถอนใจไม่อยากต่อความยาว บอกว่าตนอาจจะตาฝาดไป

ท่านชายยิ้มมุมปากเหยียดหยัน แต่ชาลินีไม่เห็น ยังหันไปมองรูปปั้นอย่างระแวง คลางแคลง และหวาดกลัว

ooooooo

คุณหญิงเพ็ญกับนายพลบัญชาอารมณ์ไม่ดีด้วยเรื่องงามหน้าของลูกสาวคนเดียวที่ยังคงรบกวนจิตใจอยู่ทุกวัน...เช้านี้ทั้งคู่นั่งกินอาหารคนละมุมโต๊ะ ต่างคนต่างกินโดยไม่คุยกัน บรรยากาศเงียบเชียบและอึดอัด จนกระทั่งชาลินีกรีดกรายลงมาในชุดนอน

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณพ่อคุณแม่”

นายพลปรายตามองขุ่นเคืองเย็นชา คุณหญิงหน้าตึงแทบไม่มองลูกสาว

“แล้วไง เรื่องแกกับท่านชายนั่น”

ถูกพ่อจู่โจมด้วยเรื่องเดิม ชาลินีถึงกับอึ้งไปนิด คลี่ยิ้มตอบสั้นๆว่า “ก็เรื่อยๆค่ะ”

“ฉันเอาแกใส่พานไปถวายให้ขนาดนี้ ต้องให้ทำพิธีไปสู่ขอผู้ชายให้ด้วยหรือไง ไหนว่าจะรับผิดชอบ ไหนล่ะ”

“ก็...กำลังคุยๆกันอยู่ค่ะ”

นายพลไม่พอใจกระแทกช้อนแล้วถอนใจแรงขึ้นเสียงใส่ภรรยา “คนเป็นแม่จัดการลูกสาวตัวเองซะบ้างนะ”

“ชีวิตเขา ดิฉันจะไปบงการอะไรเขาได้คะ”

คำตอบของคุณหญิงยิ่งทำให้นายพลหน้าตึงลุกพรวดออกไป ชาลินีสีหน้าไม่ดีชำเลืองมองแม่ แต่แล้วแม่ก็เดินหนีไปอีกคน...

ด้านอิศราที่บ้านไร่ วันนี้เขาสร้างวีรกรรมช่วยเหลือเด็กคนหนึ่งตกบ่อน้ำให้รอดตาย เจริญขวัญขอบคุณเขา แล้วเลยมีโอกาสพูดคุยกันมากขึ้น อิศรายืนยันไม่ไปไหน ถึงเธอจะไล่เขาก็ไม่ไป

“พี่อิศยังต้องการอะไรอีก”

“ท่านชายเคยถามพี่ว่าพี่ได้ทำอะไรให้สมกับ

คุณค่าของขวัญหรือยัง ถ้าการที่พี่ทำงานในไร่ ยอมทำทุกอย่างที่ขวัญบัญชา ไม่ว่าจะกี่เดือนกี่ปีพี่ก็จะทำเพื่อขอให้ขวัญกลับมาไว้ใจพี่อีกครั้ง...จำได้ไหมว่านี่คืออะไร ใบโอนกรรมสิทธิ์ที่ขวัญเซ็นทิ้งไว้เพื่อยกบ้านคุณย่าให้พี่ แต่พี่ไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น นอกจากขอให้ขวัญยกโทษให้พี่”

อิศราโยนกระดาษใบโอนกรรมสิทธิ์ทิ้งอย่างไม่ไยดี แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าเจริญขวัญ

“พี่อิศลุกขึ้นเถอะค่ะ”

“ไม่ จนกว่าขวัญจะบอกว่ายกโทษให้พี่”

เจริญขวัญยินยอมกล่าวคำว่ายกโทษ อิศราพอใจแต่ยังไม่ยอมลุกขึ้น ต่อรองอีกข้อว่าเธอต้องยอมรับรักของเขาก่อน

“อะไรกันคะ ขอตั้งหลายอย่าง ลุกขึ้นเถอะค่ะ”

“บอกก่อนว่าขวัญยังรักพี่”

“เอ๊ะ เมื่อกี้ไม่ได้ถามคำนี้นี่นา”

“ก็เหมือนกันแหละ ขวัญบอกก่อนว่ายอมรับรักของพี่ เพราะขวัญก็รักพี่เหมือนกัน ไม่งั้นพี่ไม่ยอมลุกด้วย ขวัญก็รู้ว่าพี่ทำจริง ว่าไงจ๊ะ”

เจริญขวัญหน้าแดง พยักหน้าช้าๆ อิศราดีใจลุกขึ้นกระโดดไชโยโห่ร้องบอกดินฟ้าว่าเจริญขวัญ

รับรักตนแล้ว...อรุณอยู่อีกทางแต่ได้ยินถนัด หน้าเศร้าอย่างหมดข้อกังขา อวยพรเพื่อนรักให้โชคดีแล้วเดินหันหลังจากมา

อิศราสวมกอดเจริญขวัญด้วยความดีใจสุดๆ

สัญญาว่าต่อไปนี้เขาไม่มีวันทำให้เธอเสียใจอีกแล้ว สาวน้อยยิ้มอย่างมีความสุข แต่แล้วครู่หนึ่งก็รู้สึกหัวใจเต้นแรงเหมือนโรคประจำตัวกำเริบแต่เก็บซ่อนอาการไว้

“ขวัญรู้ไหม นี่แหละที่พี่ต้องการ บ้านของพี่คือขวัญคนเดียวเท่านั้น พี่รักขวัญนะจ๊ะ”

เจริญขวัญน้ำตาคลอ สุขปนกังวลกับอาการของตัวเอง...อิศราไม่รู้อะไร มัวแต่ดีใจแล้วโทร.ไปเล่าให้ท่านชายฟังก่อนจะร้องขอความช่วยเหลือให้มาเจรจากับดวงแก้ว

ท่านชายมุ่งหน้าไปไร่เจริญขวัญพร้อมกับภุมมะ สิริอยู่วังเผชิญหน้ากับชาลินีที่คลาดกับท่านชายแค่นิดเดียว พอเธอรู้ว่าท่านไปไหนก็รีบเร่งติดตามด้วยความร้อนใจ

ooooooo
เจริญขวัญต้อนรับท่านชายด้วยความดีใจ บอกเขาว่าอิศราไปทำงานในไร่กับแม่ดวงแก้ว

“คุณทำให้อิศราเปลี่ยนไปมาก เรื่องของคุณกับอิศราคงจะเป็นไปด้วยดีสินะ”

สาวน้อยนิ่งเขิน ท่านชายเข้าใจ ยิ้มเศร้าก่อนพูดต่อไป

“บางครั้งมนุษย์ก็ควรหาความสุขในทางที่ถูกที่ควรให้เต็มที่ ตักตวงความสุขความทรงจำที่ดีไว้ในขณะยังมีเวลา”

“แล้วท่านชายล่ะคะ ความสุขของท่านชายคืออะไร”

“ฉันเหรอ ฉันมีแต่งาน มีแต่ความรับผิดชอบที่ไม่มีวันหยุด”

“ท่านชายมีเพื่อนมากไหมคะ”

“คงไม่มีใครอยากได้เพื่อนอย่างฉันนักหรอก”

“พี่อิศไม่ใช่เพื่อนหรือคะ”

“เขาคิดอย่างนั้น แต่เขาอาจจะไม่ตั้งใจมากกว่า”

“แต่ท่านชายก็ยังอุตส่าห์มาถึงที่นี่ตามที่พี่อิศขอร้อง”

“ฉันไม่ได้มาเพื่อเขาอย่างเดียว แต่เพื่อเธอด้วย”

“ขอบคุณค่ะ” เธอสบตาอ่อนโยนอมเศร้าของเขาอย่างสะดุดใจ “ทำไมขวัญรู้สึกว่าท่านชายเหงาเหลือเกิน”

“ใช่...แต่ฉันเลือกไม่ได้”

“งั้นจะรับขวัญเป็นเพื่อนได้ไหมคะ”

“วันหนึ่งเธออาจเสียใจที่พูดแบบนี้”

“ไม่ค่ะ ไม่ว่าวันนี้หรือวันหนึ่งข้างหน้า ขวัญก็อยากให้ท่านชายรู้ว่า...ท่านชายก็ยังมีเพื่อนอยู่อีกคนหนึ่ง”

“ขอบใจมาก”

เจริญขวัญยิ้มนิดๆ ยื่นมือเรียวบางไปให้เขาจับเพื่อสัญญาว่าเป็นเพื่อนกัน

“ไว้สักวันเถอะ ฉันจะยื่นมือให้เธอจับ”

“ขวัญจะคอยค่ะ”

สองคนมองหน้า ส่งยิ้มอบอุ่นให้กันและกัน พลันสายตาเจริญขวัญเหลือบไปเห็นชาลินีเดินตรงมา

“อ้าว คุณชาลินีมาด้วยเหรอคะ”

ท่านชายหันมองชาลินีหน้าเคร่งขรึมปนดุ ไม่พอใจที่เธอตามมา แต่เธอไม่ใส่ใจ ปั้นยิ้มเล่าว่า

“ชาไปหาท่านชายที่วัง ทราบว่ามาที่นี่เลยถือโอกาสตามมาค่ะ จะมาดูนายอิศซะหน่อยว่ากลายเป็นหนุ่มชาวไร่ไปแล้วหรือยัง”

เสียงรถกระบะแล่นเข้ามา อิศรายืนท้ายรถส่งเสียงทักทายท่านชายมาแต่ไกล พอรถจอดสนิทก็กระโดดลงมาหาด้วยความดีใจ ต่างจากดวงแก้วที่หน้าซีดไม่ค่อยกล้ามองหน้าท่านชายนัก

อิศราพาท่านชายขึ้นไปคุยกับดวงแก้วบนระเบียงบ้านโดยปราศจากเจริญขวัญ

“ผมโทร.เรียนเชิญท่านชายมาก็เพื่อขอให้ท่านเป็นพยานคำพูดของผม”

“ปกติมันไม่ใช่หน้าที่ของฉัน แต่ครั้งนี้ฉันมาในฐานะเพื่อน” ท่านชายกล่าวเสียงเรียบ อิศรายิ้มยินดีแล้วพูดอย่างจริงจัง

“อาดวงแก้วครับ ผมอาจจะเป็นคนไม่ดีมามากมาย แต่ขวัญเป็นคนดี ดีเสียจนผมบอกตัวเองว่าผมต้องพยายามทำตัวเป็นคนดีเพื่อขวัญ”

“แต่คุณก็รู้ว่ายายขวัญไม่แข็งแรง แกต้องผ่าตัด ซึ่งมันก็มีความเสี่ยง”

“นั่นแหละครับ ผมถึงไม่อยากจะรออะไรอีกแล้ว ผมอยากดูแลขวัญไปจนชั่วชีวิต อาแก้วครับ ขวัญและผม เรารักกัน ผมอยากจะขอหมั้นน้องขวัญไว้ก่อน อีกสักอาทิตย์ผมจะจัดผู้ใหญ่มาขอตามประเพณี ระหว่างผ่าตัด

ผมจะได้คอยดูแลขวัญได้อย่างเต็มที่ พอขวัญหาย ก็ค่อยจัดงานแต่งงานกัน”

“ถ้าคุณรักยายขวัญจริง อาก็ยินดียกให้ แต่ถ้าคุณเห็นว่ายายขวัญเป็นเพียงผลพลอยได้ของตึกนั่น อาขอแลกทุกอย่างกับยายขวัญ”

“ไม่ครับ ผมจะไม่ยอมแลกขวัญกับอะไรทั้งนั้น”

“ขอให้คุณรักษาคำมั่นนี้ไว้ตลอดไปนะคะ”

อิศราพนมมือไหว้ดวงแก้ว และหันมองท่านชายอย่างตื้นตันใจ

“เรียบร้อยแล้วนะอิศรา”

“ท่านชาย ผมกราบขอบพระคุณครับ”

อิศราไหว้อย่างนอบน้อมเคารพ ท่านชายก้มศีรษะรับเล็กน้อยก่อนมองมาทางดวงแก้วที่ยังไม่กล้าสบตาเขาอย่างสนิทใจ

ooooooo

ชาลินีถือโอกาสแขวะเจริญขวัญขณะอยู่ด้วยกันลำพังสองต่อสอง

“เธอนี่เก่งนะที่ปราบนายอิศเสียอยู่หมัด ก็ดีนะ เรือล่มในหนองทองจะไปไหน ทีนี้ก็คงต้องมาลุ้นกันล่ะว่าระหว่างเธอกับนายอิศ และฉันกับท่านชาย ใครจะได้แต่งก่อนแต่งหลัง”

“จริงเหรอคะ”

“ทำไมเธอถึงคิดว่าจะไม่จริง”

“คุณชาลินีมั่นใจเหรอคะ ว่ารู้จักท่านชายดีแล้ว”

“แน่นอน...ฉันกับท่านชายรักกันจะตาย ว่าแต่ทำไมเธอถามแบบนี้ เธอก็จับ...จับหัวใจนายอิศไว้ได้ทั้งคนแล้วนี่ ยังไม่พออีกเหรอ”

เจริญขวัญชะงักงัน ไม่มั่นใจแต่สำเหนียกความริษยาเลยอึ้งไป อิศราเดินนำท่านชายเข้ามาถามสองสาวว่าคุยอะไรกัน ชาลินีบอกว่าตนกำลังแสดงความยินดีกับเขาและเจริญขวัญ อิศราเลยยิ้มแต้เดินมายืนใกล้

คนรัก บอกให้รู้ว่าแม่ของเธอตอบตกลงแล้ว และเราจะหมั้นกันให้เร็วที่สุด

เจริญขวัญยิ้มขัดเขิน ชาลินีลอบมองท่านชายที่นิ่งขรึมแล้วอดถามประชดไม่ได้ ขณะเดินตามกันออกมาหน้าบ้าน

“ท่านชายผิดหวังมากหรือคะ”

“ฉันไม่เคยหวังอะไรจากใครมานานแล้ว”

“แล้วไปค่ะ ชาคิดว่าท่านชายจะเสียดายเจริญขวัญ”

“เจริญขวัญเป็นคนดี ย่อมเป็นที่รักของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย”

“ใช่สิคะ ส่วนชาน่ะมันไม่ใช่คนดี แต่ถ้ารักใครแล้วชาต้องได้”

“คิดดูเสียใหม่ คิดดูให้ดี ฉันจะให้โอกาสเธอครั้งสุดท้าย...สำหรับฉันความรักคือความตาย”

“และชาก็ขอยืนยันว่าชายอมตายเพื่อความรัก”

ชาลินีมุ่งมาด ท่านชายเหนื่อยหน่ายเบือนหน้าหนี กล่าวตัดบทก่อนเดินจากไป

“ได้...ถ้าเธอปรารถนาเช่นนั้น”

ชาลินีคิดในใจยังไงก็ไม่ยอมแพ้ ดึงดันเดินหน้า แม้ต้องเจออุปสรรคก็ต้องก้าวผ่านให้ได้ ส่วนท่านชายที่แยกตัวมา เขาเจอนายโรจน์ภายในไร่ โรจน์มีอาการหวาดกลัวลุกลี้ลุกลนวิ่งหนีท่านชายไปต่อหน้าต่อตาลุงพุด ทั้งที่เขายังไม่ได้ทำอะไรให้สักนิด เมื่อพุดมาเล่าให้ดวงแก้วฟัง ทำให้ดวงแก้วสงสัยในตัวท่านชายยิ่งขึ้นไปอีก...

ก่อนกลับออกจากไร่ อิศราได้พูดคุยส่วนตัวกับชาลินี “นี่เธอแอบตามท่านชายมาเอง ฉันนึกว่าท่านชายบอกเธอ”

“แล้วทำไมฉันจะมาไม่ได้ จะได้มาแสดงความยินดีในความสำเร็จของเธอที่จับแม่นั่นได้ด้วยไง”

“ฉันอาจจะเคยคิดแบบนั้น แต่ตอนนี้ฉันรักขวัญจริงๆ”

“น้ำเน่า!”

“เธอต่างหากที่ต้องดูตัวเอง เที่ยวไล่ตามจับท่านชายอยู่แบบนี้ ถึงขนาดโกหกกับคุณอาว่าท่านชายปล้ำ เธอบ้าไปแล้ว มันไม่ถูกเลย”

“จะถูกหรือผิด ฉันก็จะได้ในสิ่งที่ฉันต้องการ เธอก็มุดหัวอยู่ในท้องร่องบ้านไร่ไปเถอะ ก็เหมาะกับเธอดีนี่”

“เธอใช้คำโกหกเพื่อจับท่านชาย แต่เธอจะไม่มีวันได้ความรักจากท่านชายเลยนะชา”

ชาลินีเม้มปากแน่น หยิบแว่นกันแดดมาใส่แล้วเดินจากไปอย่างไม่แคร์

ooooooo

วันถัดมา ชาลินีเร่งรัดท่านชายให้จัดงานแถลงข่าวที่วังด้วยเรื่องการคบหาของเราสองคน โดยเธอหว่านล้อมเขาว่า

“ท่านชายขา...คือคุณพ่อคุณแม่เร่งรัดชาทุกวันว่าเรื่องระหว่างเราจะเป็นยังไงต่อไป...ที่ท่านชายบอกว่าจะรับผิดชอบ”

ท่านชายซ่อนยิ้มอย่างรู้ทัน “อืม...แล้วเธอจะทำยังไง”

“ชาเลยคิดว่าถ้าเราแค่แถลงข่าวกับนักข่าวไม่กี่ฉบับ พวกข่าวสังคม ว่าท่านชายกับชาคบหากันอยู่ เท่านี้ คุณพ่อคุณแม่ก็คงสบายใจแล้ว นะคะ อาทิตย์หน้าชาขอนัดนักข่าวมาที่วังนะคะ ท่านชายก็ควรต้องอยู่ด้วยเพื่อเป็นการยืนยัน”

“ได้...ฉันจะอยู่งานตามที่เธอต้องการ”

ชาลินีดีใจและตื้นตัน ตั้งท่าจะบอกรักแต่ท่านชายลุกหนีตัดคำรักของเธอโดยฉับพลัน...

เมื่อนายพลบัญชาทราบเรื่องจากลูกสาวก็หงุดหงิดไม่พอใจ ถามว่าทำไมต้องมีการแถลงข่าว ทำไมไม่ให้เขามาสู่ขอให้เป็นเรื่องเป็นราว

“ท่านชายยังไม่พร้อมค่ะ ตอนนี้เราแค่อยากประกาศให้สังคมรู้ว่าเราหมั้นหมายกันด้วยใจก่อน”

“เรื่องมากจริงๆ” นายพลกระแทกเสียง คุณหญิงเพ็ญนั่งดื่มไวน์สีหน้าเฉยชา เอ่ยออกมาอย่างมีนัย

“เขาไม่พร้อมจะหมั้น ไม่พร้อมแต่ง แค่ทำตามน้ำไปเรื่อยๆมากกว่ามั้ง”

“หนูอยากให้พ่อแม่สบายใจ ทำทุกอย่างให้เป็นเรื่องเป็นราว เรื่องพิธีเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วหนูจะแจ้งวัน

อีกทีนะคะ” ชาลินีตัดบทแล้วลุกพรวดไปอย่างมีอารมณ์

“ดูมัน ตกลงมันเห็นพ่อแม่เป็นหัวหลักหัวตอหรือไง เฮ้อ คนเป็นแม่เอาแต่ดื่มเหล้า ลูกสาวพึ่งพาไม่ได้”

“อย่าโทษแต่ฉันเลย ถ้าคุณรู้อย่างที่ฉันรู้”

“รู้อะไร”

คุณหญิงพูดไม่ออก กระแทกแก้วไวน์แล้วเดินหายไปอีกคน ทิ้งนายพลนั่งหน้าตูม บ่นอุบที่ลูกเมียไม่ได้ดั่งใจ

ooooooo

ดวงแก้วค้างคาใจจนไม่อาจเก็บความสงสัยเอาไว้กับตัว เธอไปตามหานายโรจน์ที่วัดแล้วซักถามว่าทำไมต้องกลัวท่านชายวสวัต ท่านหน้าเหมือนผู้ชายในรูปที่เขาเคยวาดภาพไว้ใช่ไหม

โรจน์ชะงักก่อนละล่ำละลักเหมือนคนเพ้อเจ้อ “คุณรู้เรื่องด้วยเหรอ เคยไปเที่ยวนรกมาเหมือนกันใช่ไหม มันน่ากลัวมาก มันร้อนมากใช่ไหม”

ดวงแก้วตกใจแต่เลี่ยงไม่ตอบ ถามต่อไปว่าภาพเขียนผู้ชายคนนั้นเป็นใคร

“ท่านยมไง...ท่านยมบาลไง” พูดไปแล้วโรจน์รีบเอามือปิดปากตัวเอง ขณะที่ดวงแก้วตัวเกร็งตะลึง มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าตนไม่ได้คิดไปเอง “ท่านคงไม่อยากให้ใครรู้ เราพูดไม่ได้นะ แต่เราต้องช่วยกันนะ ต้องช่วยบอกให้คนทำความดี กตัญญู มีศีลมีธรรม คนจะได้ไม่ต้องตกนรก เราต้องช่วยกันนะ”

ดวงแก้วได้ยินทุกคำของโรจน์ แต่ไม่ได้ตอบรับ มัวแต่ตกตะลึงและกังวลไปถึงลูกสาวด้วยอีกคน

เมื่อกลับมาถึงบ้าน ดวงแก้วบอกเล่าเรื่องท่านชายคือยมบาลให้เจริญขวัญรับรู้ สาวน้อยตกใจ หารือแม่ว่าเราควรบอกอิศราด้วยหรือไม่

“อย่าเลยลูก ไม่ใช่หน้าที่ของเรา ขวัญกลัวไหมลูก”

“ไม่เลยค่ะแม่ ถ้านี่เป็นเรื่องจริง ขวัญว่าท่านน่าสงสาร ขวัญอาจจะไม่ควรพูดคำนี้เพราะเราเป็นเพียงแค่มนุษย์ แต่แค่คิดว่าท่านต้องทำงานหนักแค่ไหน บอกใครไม่ได้ มิน่า ท่านถึงได้ดูเศร้าเหลือเกิน”

“ท่านคงเห็นความชั่วบาปของคนบนโลกนี่มากจนเหนื่อยหน่าย ขนาดเราเห็นคนไม่ดี คนอกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ เรายังเอือมยังโกรธ แต่นี่สิ่งที่ท่านต้องรับรู้ แต่ก็ไม่ใช่หน้าที่ของท่านที่จะไปเปลี่ยนวิบากกรรมของใคร ท่านก็คงเศร้าหดหู่มากเหมือนกันนะลูก”

เจริญขวัญคล้อยตามคำของแม่ทุกประการ รู้สึกสงสารท่านชายยิ่งขึ้นกว่าเดิม

ooooooo

ก่อนหน้านี้เจริญขวัญมีอาการหัวใจเต้นผิดปกติบ่อยครั้ง แต่เธอไม่ได้บอกให้ใครฟังแม้แต่แม่ จนกระทั่งวันนี้เธออาการกำเริบขึ้นมาอีกถึงขนาดประคองตัวไม่อยู่ ทรุดลงหมดสติต่อหน้าต่อตาดวงแก้วและอิศรา

อิศรารีบติดต่อหมอไพโรจน์แล้วพาเธอเข้ารับการรักษาโดยเร็ว และตามหมอโรคหัวใจมาด้วย แต่จะผ่าตัดเลยหรือไม่ต้องดูอาการก่อน ต้องมีการเตรียมร่างกายให้พร้อม

หลังจากส่งเจริญขวัญเข้าห้องไอซียูเรียบร้อยแล้ว อิศราโทร.บอกชาลินีและวานเธอบอกต่อท่านชายด้วย แต่มีหรือคนอิจฉาริษยาเจริญขวัญมาตลอดจะทำตาม...

เจริญขวัญรู้สึกตัวพูดคุยกับแม่และอิศราได้แล้ว เธอขอโทษที่ไม่ได้บอกว่าก่อนหน้านี้อาการไม่ค่อยดี...ทั้งดวงแก้วและอิศราต้องการให้เธอผ่าตัดถ้าหมอเห็นสมควร ซึ่งต่อมาหมอไพโรจน์ก็ชี้แจงให้ฟังว่า

“ผมอยากให้รีบผ่าตัดในขณะที่หัวใจยังมีกำลังชดเชย ยิ่งทิ้งไว้กล้ามเนื้อหัวใจก็ยิ่งชำรุด หลอดเลือดอาจจะถูกอุดตัน หรือหัวใจวายเฉียบพลันก็ได้”

“แต่เรายังทันใช่ไหมครับ หมอช่วยได้นะครับ”

“หมอเชื่อว่าเราจะรักษาเจริญขวัญได้ ต้องเข้มแข็งให้กำลังใจคนไข้นะครับ”

สองคนพยักหน้า พอหมอผละไป ดวงแก้วบอกอิศราว่าตนจะกลับไปบ้านเก็บของใช้ส่วนตัวกับของลูกแล้วจะรีบกลับมานอนเฝ้า แต่ระหว่างนี้ขอให้เขาเฝ้าเจริญขวัญอย่าให้คลาดสายตา อย่าให้ท่านชายวสวัตมาเจอหรือแตะต้องตัวเธอได้

“ทำไมล่ะครับ”

“คุณอิศแค่สัญญากับอาก็พอ ถ้าท่านมาคุณต้องเฝ้าอย่าให้คลาดสายตาเลยนะคะ สัญญานะคะ” ดวงแก้วเน้นย้ำ อิศราพยักหน้ารับทั้งที่ไม่เข้าใจ

ขณะที่ดวงแก้วจะออกจากโรงพยาบาล เจอชาลินีสวนเข้ามา เธอระแวงว่าท่านชายอาจมาด้วย จึงซักถามหลายคำเพราะในใจกลัวเขาจะมาเอาลูกสาวไป แต่

ชาลินีกลับคิดเป็นอย่างอื่น คุยอวดกันท่าว่าตนกำลังจะแต่งงานกับท่านชาย

“อะไรนะคะ คุณจะแต่งงานกับท่านชาย”

“ใช่...ดีไม่ดีจะแต่งก่อนที่นายอิศจะแต่งกับเจริญขวัญด้วย”

“ไม่ได้นะคะ คุณแต่งงานกับท่านไม่ได้”

“ทำไมจะไม่ได้”

“คุณชาลินี ไม่ได้สังเกตท่านบ้างเหรอคะ ท่านชายเหมือนผู้ชายคนอื่นหรือเปล่า”

“พูดอะไรของเธอ อ้อ นึกว่าเป็นแต่ลูก แม่ก็ด้วยงั้นสิ”

“อะไรนะคะ”

“คิดจะเก็บท่านชายไว้ให้ลูกสาวตัวเองเหรอ ก็ลูกสาวจับนายอิศได้แล้วไง”

“คุณชาลินี เข้าใจผิดแล้วค่ะ”

ดวงแก้วขยับเข้าใกล้ พูดด้วยเสียงสะท้านหวาดกลัวเป็นห่วงชาลินี “คุณจะแต่งงานกับท่านไม่ได้เป็นอันขาด เพราะว่าท่านเป็น”

“ฉันเป็นอะไร” เสียงนุ่มทุ้มของท่านชายดังแทรกขึ้นมา ดวงแก้วใจหายวาบค่อยๆหันไปแต่ไม่กล้าสบตาเขา และไม่กล้าพูดในสิ่งที่มั่นใจ ชาลินีมองสงสัย โอ้อวดดวงแก้วอีกว่าตนรู้จักท่านชายดี

“ใช่ ทุกคนได้รู้จักฉันแน่ ไม่ช้าก็เร็ว และไม่มีใครหนีพ้นด้วย” พูดแล้วท่านชายปรายตามองดวงแก้วก่อนเดินต่อไป ชาลินีรีบก้าวตาม ทิ้งดวงแก้วยืนอึ้งใจคอไม่ดี น้ำตาคลอ เข่าอ่อนแทบหมดแรง

ooooooo

เงา

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด