ตอนที่ 8
ตอนที่ 8 ส่งขนม
“พี่ใหญ่” เจินเมี่ยวแสดงความเคารพ ไม่ยี่หระต่อแววตาของเจินฮ่วน แล้วส่งยิ้มเบิกบานให้กับนางอวี๋ “พี่สะใภ้ ออกมาเดินเล่นหรือ”
ชาติก่อนของนางนั้น ตอนยังเล็กมีเจ้าเด็กดื้อคนหนึ่งชอบมาดึงผมเปียนาง มีครั้งหนึ่งที่นางทนไม่ได้แล้วต่อยตีกับเจ้าเด็กนั้น คิดไม่ถึงว่าเขาถึงกลับโกนผมและทนหัวโล้นอยู่เช่นนั้นถึงครึ่งภาคเรียน
ตั้งแต่นั้นนางก็รู้สึกมาตลอดว่าสิ่งมีชีวิตเพศผู้ช่างไร้ซึ่งเหตุผลเสียจริง นางจึงมักแสดงท่าทีเคารพ ทว่าแท้จริงแล้วคือมิอยากยุ่งเกี่ยวด้วย
ร่างเดิมแม้จะมีอุปนิสัยมิชอบประจบเอาใจ ทว่ากับพี่ใหญ่ของตนเองกลับมิเคยทำเรื่องน่าเกลียดอันใด ความรังเกียจของเขา น่าจะเกิดจากการมิชอบอุปนิสัยของน้องสาวคนนี้มากกว่า แม้แต่เจินเมี่ยวล้มป่วยอยู่บนเตียงก็มีเพียงนางอวี๋มาเยี่ยมเป็นบางครั้งเท่านั้น
นางอวี๋สัมผัสได้ถึงความเย็นชาของสามี จึงรู้สึกไม่สบายใจอยู่มาก นางส่งยิ้มให้เจินเมี่ยว กำลังคิดจะเอ่ยปากพูดทว่าสีหน้ากลับเปลี่ยนไปในทันใด เสียงอาเจียนพลันดังขึ้น
“พี่สะใภ้” เจินเมี่ยวกำลังจะเดินเข้าไปหา เจินฮ่วนกลับยื่นมือมากันนางอวี๋เอาไว้ ชำเลืองมองเจินเมี่ยวด้วยสายตาเย็นชาคราหนึ่ง
“พี่สะใภ้ของเจ้าไม่สบาย ข้าจะพานางกลับห้องแล้ว” กล่าวจบก็ประคองนางอวี๋จากไปด้วยความระมัดระวัง
จื่อซูล้วนรู้สึกประหม่าแทนเจ้านายตน แต่ใบหน้าอัมพาตนั้นของนางก็แสร้งทำว่ามิได้เห็นสิ่งใด เจินเมี่ยวกลับโปรยยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “จื่อซู ไปเถิด เราเองก็กลับเรือนเช่นกัน”
นางอวี๋เดินไปได้ครึ่งทาง ความรู้สึกอยากอาเจียนก็ค่อยๆ หายไป จึงเอ่ยเตือนว่า “ท่านพี่ ที่ท่านแสดงออกต่อน้องสี่นั้นออกจะ...ออกจะ...”
เจินฮ่วนชำเลืองมองนางคราหนึ่ง เอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “น้องหญิง ต่อไปเจ้าก็อยู่ให้ห่างจากน้องสี่หน่อยเถิด”
ผู้ที่ทำเรื่องเช่นนั้นออกมาได้ แม้แต่ความดีงามแห่งสตรีก็มิต้องการแล้ว ทั้งยังทำให้เขาต้องถูกหัวเราะเยาะจากสหาย ทำให้วงศ์ตระกูลต้องอับอาย คนเช่นนี้แม้เป็นน้องสาวแท้ๆ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปชิดใกล้
นางอวี๋มีอุปนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมา ตั้งแต่ครั้งนั้นที่ไปเยี่ยมไข้และสนทนากันก็ได้เปลี่ยนความคิดต่อนางไปไม่น้อย จึงเอ่ยตามตรงว่า “ข้ารู้สึกว่าน้องสี่ก็ดีไม่น้อย”
เจินฮ่วนได้ฟังก็ขมวดคิ้วทันที “สามขวบเห็นถึงชรา[1] น้องหญิง นางเป็นน้องสาวข้า ตั้งแต่เล็กเป็นเช่นไรข้ารู้ดีที่สุด”
สองคนเดินผ่านประตูเรือนเข้าไป สาวใช้ใกล้ชิดของนางอวี๋ก็เอ่ยขึ้นว่า “ต้าไหน่ไน[2] ก่อนหน้านี้คุณหนูสี่สั่งให้สาวใช้นำขนมมาให้เจ้าค่ะ บอกว่าคุณหนูสี่เป็นผู้ลงมือทำเอง”
นางอวี๋ฝึกยุทธ์มาตั้งแต่เยาว์วัย ร่างกายแข็งแรง ทว่าการตั้งครรภ์ครานี้นางกลับแพ้ท้องอย่างรุนแรง สิ่งใดก็กินไม่ลง ระยะเวลาเพียงสิบกว่าวันน้ำหนักกลับลดลงไปไม่น้อย
เพราะเป็นเช่นนี้ ไม่เพียงแต่เจินฮ่วนที่ร้อนใจ แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินสามก็ส่งอาหารมาให้นางอยู่บ่อยๆ แต่นางอวี๋กินสิ่งใดก็ล้วนอาเจียนออกมาหมด
เมื่อได้ยินอวี้เอ๋อร์พูดเช่นนี้ นางกลับไม่มีความอยากอาหารสักนิด แต่ยังเห็นแก่น้ำใจผู้อื่นจึงเอ่ยว่า “นำเข้ามาเถิด”
เมื่อเห็นอวี้เอ๋อร์ยกจานหยกขาวเข้ามา ขนมรูปทรงกลมคล้ายอัญมณีสีขาวประกายเขียวถูกจัดวางเป็นรูปดอกเหมยอยู่ในนั้น มองแล้วดูเย็นฉ่ำ น่าอร่อยจนทำให้นิ้วชี้คนสั่นเทาได้เลยทีเดียว
อาการคลื่นไส้ที่จุกอยู่ในอกของนางอวี๋หายไปเกือบครึ่ง จึงอดที่จะหยิบขึ้นมาชิมสักคำมิได้
กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาอบอวลไม่คลาย หวานแต่ไม่เลี่ยน เหนียวนุ่มอร่อย จึงกินหมดไปหนึ่งชิ้นโดยไม่รู้ตัว
นางอวี๋เริ่มมีความอยากอาหารขึ้นมาจึงหยิบกินอีกชิ้น กำลังจะหยิบชิ้นที่สามก็ได้ยินอวี้เอ๋อร์เอ่ยว่า “ต้าไหน่ไน คุณหนูสี่ให้สาวใช้กำชับมาว่า ขนมชนิดนี้มีฤทธิ์เย็น ท่านไม่ควรกินมากเกินไป”
นางอวี๋ค่อยๆ วางลง แต่กลับอดมองขนมหยกมรกตชิ้นเล็กๆ นั้นอยู่หลายครั้งมิได้ จึงเอ่ยถามว่า “คุณหนูสี่ได้บอกหรือไม่ว่าขนมชนิดนี้ชื่ออะไร ข้ามิเคยกินเลยสักครั้ง”
“บอกว่าชื่อหยกมรกตเจ้าค่ะ”
“หยกมรกตหรือ ชื่อไพเราะเสียจริง แค่ฟังก็รู้สึกสบายแล้ว ท่านพี่ ท่านลองชิมสักชิ้นเถิด”
เจินฮ่วนมองขนมที่ถูกส่งมาด้วยความประหม่า มองท่าทางสดใสอย่างยากจะได้เห็นของนางอวี๋ก็มิอาจหักใจปฏิเสธ จึงฝืนใจรับมาชิมดู แต่กลับเหนือความคาดหมายยิ่ง
ไม่มีบุรุษสักกี่คนที่ชอบขนมหวานเลี่ยน ทว่ารสชาติของขนมนี้กลับพอดียิ่ง ทั้งยังมีกลิ่นหอมของชา มิน่านางอวี๋ที่กินสิ่งใดแทบไม่ลงจึงกินได้ถึงสองชิ้น
“ท่านพี่ ข้าบอกท่านแล้วว่าน้องสี่นั้นไม่เลวเลย” นางอวี๋ระบายยิ้มออกมา
เจินฮ่วนเบ้ปาก เพราะว่าในปากยังมีขนมอยู่จึงมิได้โต้ตอบกลับ
เช้าวันรุ่งขึ้น เจินเมี่ยวก็ไปที่เรือนของฮูหยินสาม
เจินเหยียนอยู่ที่นั่นอยู่แล้ว
นางเวินเห็นหน้าก็ถามว่า “เมี่ยวเอ๋อร์ ได้ยินสาวใช้พูดว่า ขนมหยกมรกตเมื่อวานนี้เจ้าเป็นคนทำหรือ”
เจินเมี่ยวพยักหน้า “ย่อมต้องเป็นลูกทำ เพื่อแสดงความกตัญญูต่อท่านแม่เจ้าค่ะ”
“ได้ส่งไปให้ฮูหยินผู้เฒ่าหรือไม่”
“ส่งไปแล้วเจ้าค่ะ ญาติผู้น้องทั้งสองคนนั้น ลูกก็ส่งไปให้ด้วยเจ้าค่ะ” เจินเมี่ยวตอบกลับ
นางเวินจึงวางใจลงได้ เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ขนมนั้นอร่อยจริงๆ ไม่รู้ว่าเด็กเช่นเจ้าเหตุใดจึงคิดขึ้นมาได้ คราวหลังจำไว้ว่าต้องฝึกทำให้มากหน่อย”
แต่มิได้บอกให้สอนวิธีทำแก่ห้องครัวใหญ่อันใดเทือกนั้น
ตระกูลสูงศักดิ์ในยุคนี้ค่อนข้างให้ความสำคัญกับสิ่งสืบทอด รวมทั้งเคล็ดลับการทำอาหารด้วย
หากตระกูลใดมีเคล็ดลับการทำอาหารหรือเคล็ดลับการหมักสุรา ล้วนสามารถนับเป็นมรดกของตระกูลได้ เคล็ดลับเหล่านี้ล้วนนับเป็นหนึ่งในสมบัติติดตัวอันล้ำค่าเมื่อสตรีออกเรือน
จวนเจี้ยนอานปั๋วนั้นแม้มินับว่าตกต่ำ แต่เมื่อเทียบกับเหล่าบรรดาตระกูลสูงศักดิ์ทั้งหลายแล้วกลับอยู่เพียงระดับกลาง บุตรสาวสามารถแต่งออกไปกับตระกูลใหญ่ได้นั้นย่อมสามารถยกระดับฐานะของพวกนางขึ้น ทั้งยังช่วยซ่อมเสริมบารมีที่ขาดหายไปในอดีตของตระกูลได้อีกด้วย
หากมอบเคล็ดลับเหล่านี้ให้ห้องครัวใหญ่ สตรีทุกนางล้วนทำเป็น เช่นนี้ก็ไม่มีประโยชน์ใดเหลือแล้ว ทั้งหมดนี่ล้วนเป็นความคิดของนางเวินผู้ซึ่งเป็นมารดา
เจินเหยียนย่อมเข้าใจความหมายของนางเวินดี คิดจะให้เจินเมี่ยวแต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วกงด้วยชื่อเสียงเช่นนั้น เกรงว่าคงมิได้อยู่อย่างสบายแน่ แต่นางก็ไม่มีแก่ใจจะโต้แย้ง จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเสีย “ท่านแม่ หลายวันมานี้เหตุใดจึงไม่เห็นท่านพ่อเลยเล่า”
นางเวินยิ้ม “บอกว่าช่วงนี้กำลังยุ่งกับงานที่ศาลาว่าการ”
แม้นายท่านสามจะมิได้มีตำแหน่งให้สืบทอดเช่นนายท่านใหญ่และมิได้ร่ำเรียนเก่งกาจเช่นนายท่านรองที่สอบได้ตำแหน่งจิ้นซื่อจนมีตำแหน่งขุนนางซึ่งนับว่ามีเกียรติมากกว่าบรรดาผู้สูงศักดิ์ทั่วไป เขาเพียงแค่รับตำแหน่งที่ไม่มีอันใดให้ทำในศาลาว่าการหงหลูเท่านั้น
เจินเหยียนได้ฟังก็ขมวดคิ้ว เอ่ยอย่างคลุมเครือว่า “ยามนี้เป็นเดือนสี่ ผ่านวันตรุษและเทศกาลโคมไฟมาแล้ว เทศกาลตวนอู่[3] ยังมาไม่ถึง แขกบ้านแขกเมืองคนสำคัญและทูตเจริญสัมพันธ์ไมตรีก็มิได้มาเวลานี้ ท่านพ่อจะยุ่งด้วยเรื่องใดเล่าท่านแม่ต้องใส่ใจท่านพ่อให้มาก อย่าให้ทำงานจนเสียสุขภาพ”
นางเวินยื่นนิ้วชี้ออกมาจิ้มหน้าผากเจินเหยียน เอ่ยน้ำเสียงฉุนเฉียวว่า “เจ้าเด็กคนนี้ชอบห่วงนั่นห่วงนี่เสียจริง”
เอ่ยถึงตรงนี้ในใจพลันสั่นไหว สีหน้าดูลำบากใจ เพราะอยู่ต่อหน้าบุตรสาวทั้งสองจึงมิอาจแสดงความรู้สึกออกมาได้ นางพาทั้งสองคนไปน้อมทักทายฮูหยินผู้เฒ่าที่เรือนหนิงโซ่ว
ครั้นเดินเข้าประตูไปก็พบว่าบ้านใหญ่และบ้านรองล้วนไปถึงแล้ว ข้างกายฮูหยินใหญ่นั้นมีเด็กสาวไว้ผมหน้าม้าถึงหัวคิ้วสวมใส่อาภรณ์สีขาวนวลนั่งอยู่ รูปร่างแบบบาง คล้ายดอกบัวที่กลีบกำลังแย้มบานออกก็มิปาน นางคือเจินจิ้งคุณหนูสามที่มิได้ย่างกรายออกจากเรือนมานานมากแล้วผู้นั้น
เจินเมี่ยวมองไปที่เจินจิ้ง
สายตาของเจินจิ้งก็สบเข้ากับนาง ทั้งสดใส ทั้งเย็นชา แล้วละสายตาไปอย่างรวดเร็ว
ฮูหยินผู้เฒ่าสั่งคนยกเก้าอี้ให้นั่งและยังพูดถึงเรื่องขนมหยกมรกตตามคาดไว้ ทั้งยิ้มแย้มให้กับ เจินเมี่ยวอย่างยากที่จะพบเห็นสักครั้ง แล้วหันไปถามนางเวิน “ภรรยาเฮ่าเกอเป็นเช่นไรบ้างแล้ว”
หลานชายของจวนเจี้ยนอานปั๋วนั้นน้อยนัก มีเพียงเจินฮ่วน ชื่อรองเฮ่าเกอ เป็นคุณชายใหญ่ของบ้านเล็กและหันเกอคุณชายรองของบ้านใหญ่
ด้วยเหตุที่หลานชายของบ้านเล็กเป็นหลานชายคนโต แม้ว่าบุตรชายคนที่สามจะมิได้ความเท่าใด แต่ฮูหยินผู้เฒ่าก็ยังคงให้เกียรติบ้านเล็กอยู่หลายส่วน
นางเวินรีบตอบคำ “กินสิ่งใดก็ล้วนอาเจียนออกมา ส่วนอื่นๆ นับว่ายังดีเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าฟังแล้วขมวดคิ้ว อาการแพ้ท้องของภรรยาหลานชายคนโตนับว่ารุนแรงอยู่บ้าง
พลันยินเสียงพูดกลั้วหัวเราะว่า “ท่านย่า ข้ากลับได้ยินว่าเมื่อวานพี่สะใภ้กินขนมหยกมรกตไปถึงสองชิ้น เพราะไม่กล้ากินเยอะ จึงรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง”
ครานี้ ทุกสายตาจึงมองไปที่เจินเมี่ยว
------
[1] สามขวบเห็นถึงชรา เป็นสำนวนเปรียบเปรยว่าแค่เห็นอุปนิสัย พฤติกรรมของเด็กสามขวบคนนั้นๆ ก็สามารถทราบได้ทันทีว่าอนาคตของเขาจะเป็นอย่างไร
[2] ต้าไหน่ไน เป็นคำเรียกภรรยาเอกของเจ้านายซึ่งยังไม่มียศศักดิ์ใดๆ
[3] เทศกาลตวนอู่ หรือเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง ตรงกับวันที่ห้าเดือนห้าตามปฏิทินทางจันทรคติจีน เป็นเทศกาลเพื่อระลึกถึงนักกวีรักชาตินาม ชวีหยวน