ตอนที่ 7
ตอนที่ 7 เมื่อมีเหตุ ย่อมมีผล
หงเหมยเป็นสาวใช้คนสนิทของคุณหนูสาม
สีหน้าเจินเหยียนเคร่งขรึมลงไปอีก “วุ่นวายลนลานปานนี้ เป็นอันใดกันหรือ”
หงเหมยอึกๆ อักๆ ไม่พูดจา เหลียนเยี่ยสาวใช้คนสนิทของเจินเหยียนเอ่ยเสียงเย็นขึ้นว่า “คุณหนูถามเจ้า ปิดๆ บังๆ เช่นนี้ใช้ได้ที่ใดกัน”
หงเหมยแทบจะร้องไห้ออกมาแล้ว “คุณหนูรอง คุณหนูสาม นาง...นางแขวนคอฆ่าตัวตายเจ้าค่ะ! ”
เจินเหยียนกับเจินเมี่ยวหน้าเปลี่ยนสีไปโดยพลัน
“คุณหนูสามเป็นอย่างไรบ้างแล้ว” เจินเหยียนเอ่ยถามน้ำเสียงดุดัน
“ช่วย...ช่วยไว้ได้แล้ว...”
หงเหมยยังกล่าวมิทันจบ สีหน้าของเจินเหยียนก็กลับมานิ่งสงบเช่นเดิมแล้ว นางขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เก็บงำท่าทางลนลานนั้นของเจ้าเสีย แล้วไปรายงานต่อฮูหยินผู้เฒ่าเงียบๆ ”
“เจ้าค่ะ! ” ภายใต้ความสงบเยือกเย็นของเจินเหยียน หงเหมยจึงค่อยๆ ฟื้นคืนสู่ท่าทีอย่างสาวใช้ขั้นรองในที่สุด
“จำไว้ เรื่องที่พบข้ากับคุณหนูสี่วันนี้ มิอนุญาตให้เอ่ยกับผู้อื่นแม้เพียงคำ คนรู้มากเพียงใด ก็ไม่มีข้อดีอันใดต่อพวกเจ้า! ” เจินเหยียนเอ่ยเสียงขรึม คว้ามือเจินเมี่ยวเดินจากไป
ทะลุภูเขาจำลองเลียบสระน้ำ เดินฝ่าป่าไผ่อันรกชัฏไป สองพี่น้องนั่งลงในศาลาริมน้ำคนละฝั่ง ต่างเงียบงันไร้วาจา
ผ่านไปครู่หนึ่ง เจินเหยียนจึงเอ่ยว่า “น้องสี่ เจ้าทำผิดต่อน้องสาม”
“อืม” เจินเมี่ยวพยักหน้า
น้ำเสียงที่เอ่ยของเจินเหยียนพลันเปลี่ยนไป นางแค่นยิ้มพูดว่า “แต่การคิดสั้นของน้องสามกลับลากพวกเราขึ้นไปเผาบนกองเพลิงด้วย”
สาวน้อยที่มีชาติตระกูลสูงศักดิ์ อยู่ดีกินดีแต่กลับคิดสั้น ไม่รู้ว่าจะทำให้คนทั้งหลายคาดเดาเรื่องราวไปมากเท่าใด ทั้งยังพลอยทำให้ชื่อเสียงของพี่สาวน้องสาวในตระกูลต้องมัวหมองไปด้วย
แรกเริ่มเจินเมี่ยวตกน้ำ ต่อมาเจินจิ้งปลิดชีพตน หากแพร่ออกไปเกรงว่าสตรีในจวนเจี้ยนอานปั๋วคงไม่เหลือชื่อเสียงดีงามแม้เพียงครึ่งให้กล่าวถึงแล้ว
โดยเฉพาะเจินเหยียนและเจินเมี่ยวที่หมั้นหมายแล้ว ไม่แน่ว่าอาจย่ำแย่ถึงขั้นถูกถอนหมั้นก็เป็นได้
อาจกล่าวได้ว่าคุณหนูสามนั้นใช้การตายของตนลากดึงเอาพวกนางสองคนไปด้วย เท่านี้ก็เห็นแล้วว่าอาฆาตแค้นมากเพียงใด
“น้องสี่ เจ้าคิดว่าอย่างไร”
เจินเมี่ยวเงียบอยู่นาน แล้วเอ่ยอย่างจริงจังว่า “เมื่อมีเหตุ ย่อมมีผล”
ไม่ว่าในใจของคุณหนูสามจะกอดเจตนาร้ายไว้เช่นไร สตรีที่อ่อนแอผู้หนึ่ง หากทำได้เพียงใช้ความตายของตนมาแก้แค้นผู้อื่น นั่นก็น่าอนาถใจเกินพอแล้ว
กล่าวตามจริงก็เป็นเจินเมี่ยวที่ติดค้างนางก่อน
เจินเหยียนถอนหายใจยาวออกมา “น้องสี่ หลังจากที่เจ้าตกน้ำก็เข้าใจอะไรมากขึ้นแล้ว เรื่องในวันนี้ ฮูหยินผู้เฒ่ากับฮูหยินซื่อจื่อจะต้องพยายามปิดบังอย่างถึงที่สุด ไม่ว่าเจ้าหรือน้องสาม ในปีสองปีนี้จะต้องออกเรือนแน่ ภายหน้าแม้มีพู่กันก็มิอาจเขียนอักษร ‘เจิน’ ได้แล้ว ”
หากเป็นในอดีต วาจานี้นางคงคร้านจะพูด ทั้งสองแม้จะเป็นพี่น้องกันแท้ๆ แต่คล้ายมีสิ่งใดกั้นขวางไว้มาแต่เยาว์วัย บัดนี้กลับพูดคุยกันได้อย่างง่ายดาย
“ช่างเถิด เรื่องนี้เจ้าอย่าได้เอามาใส่ใจเลย พรุ่งนี้ไปน้อมทักทายท่านย่า ก็อย่าได้แสดงพิรุธออกมาเล่า”
สองพี่น้องพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ก็แยกย้ายจากกันไป
ภายในสวนหมิงหวา ต้นอู๋ถงเขียวขจี ใบไม้แผ่กิ่งก้านงามสง่า ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังเปิดหน้าต่างเตรียมตรวจบัญชี เมื่อยินเสียงสาวใช้มารายงานก็สั่งให้หงเหมยเข้ามา
เมื่อเห็นสีหน้าแตกตื่นลนลานของหงเหมย แม้แต่มวยผมก็ยังหลุดลุ่ยอยู่บ้าง สีหน้าจึงนิ่งขรึมลงโดยไม่รู้ตัว “เรื่องใดกัน แตกตื่นลนลานเช่นนี้เหมาะสมแล้วหรือ! ”
หงเหมยคุกเข่าลงพื้นดังพลั่ก “ฮูหยินใหญ่เจ้าคะ คุณหนูสาม แขวนคอปลิดชีพตนเจ้าค่ะ! ”
“อะไรนะ! ” สมุดบัญชีในมือฮูหยินใหญ่ร่วงหล่น นางผุดลุกขึ้น
หงเหมยรีบร้อนกล่าวเสริม “คุณหนูสามถูกช่วยไว้ได้แล้วเจ้าค่ะ พวกบ่าวมิกล้าปิดบัง จึงมาขอให้ฮูหยินผู้เฒ่าช่วยออกหน้าเจ้าค่ะ”
ได้ยินว่าคุณหนูสามไม่เป็นอันใดแล้ว ฮูหยินใหญ่ก็คลายใจลงเล็กน้อย แต่สายตากลับปรากฏแววเย็นเยียบพาดผ่านไป “เรื่องนี้ ยังมีผู้ใดทราบอีก”
“มีบ่าวกับลี่ว์เอ้อ และแม่นมจางที่ทราบเจ้าค่ะ พอช่วยคุณหนูได้ แม่นมจางก็ให้ลี่ว์เอ้อเฝ้าประตูไว้ ให้บ่าวมาเรียนฮูหยินเจ้าค่ะ”
“เอาล่ะ เจ้ากลับไปเฝ้าคุณหนูสามเถิด จำไว้ว่าอย่าได้แพร่งพรายเรื่องนี้แม้เพียงน้อยนิด แม้จะเป็นหลานอี๋เหนียง[1] ก็มิได้”
หงเหมยจิตใจไม่อยู่กับเนื้อตัว แต่กลับมิกล้านั่งนิ่ง รีบลาจากไปทันที
“สร้างแต่เรื่องวุ่นวาย! ” ฮูหยินใหญ่แค่นเสียงเย็นคราหนึ่ง ผุดลุกขึ้นเดินไปที่เรือนหนิงโซ่ว
......
เจินเมี่ยวกลับมาถึงสวนเฉินเซียงแล้ว เมื่อคิดเรื่องที่คุณหนูสามฆ่าตัวตายก็ยิ่งกลัดกลุ้มใจ พลันนึกถึงคำสั่งสอนของฮูหยินผู้เฒ่า จึงปูกระดาษฝนหมึก เริ่มฝึกเขียนอักษรทันที
ร่างเดิมชอบฝึกเขียนอักษรจานฮวาเสี่ยวไข่[2] จึงนับว่ามีพื้นฐานที่ดีอยู่หลายส่วน
แม้เจินเมี่ยวจะได้รับความสามารถของร่างเดิมมา แต่ระยะเวลาสั้นๆ กลับมิได้เขียนคล่องมือนัก ยิ่งเขียนยิ่งหงุดหงิด จึงโยนพู่กันทิ้งไปเสียเลย
“คุณหนูสี่” จื่อซูเก็บพู่กันขึ้นมาอย่างไร้สุ้มเสียงแล้วส่งให้นาง
เจินเมี่ยวถลึงตาใส่จื่อซู
จื่อซูกลับหน้าไม่เปลี่ยนสี ยังคงยื่นพู่กันอยู่เช่นนั้น
เจินเมี่ยวส่ายศีรษะไปมา เอ่ยตามความจริงว่า “ข้าเขียนไม่ได้ ข้ามิอาจสงบใจลงได้”
นางมิใช่หน่วยรบพิเศษแสนทมิฬ เมื่อรู้แก่ใจว่าความตายของคนผู้หนึ่งเกี่ยวพันกับตน แล้วจะยังสามารถฝึกเขียนอักษรอย่างใจเย็นดุจน้ำนิ่งได้
“คุณหนูมิสู้อ่านคัมภีร์เสียหน่อยก่อนเถิด”
เจินเมี่ยวลุกขึ้นยืน “จื่อซู ข้าจำต้องไปดูสักหน่อย”
“คุณหนู ท่านควรเชื่อฟังคุณหนูรอง”
เจินเมี่ยวจ้องมองปลายรองเท้าตน “ข้ารู้ว่าพี่รองพูดถูก แต่ข้ายังคงอยากจะไปดูสักหน่อย”
ไปดูแล้วจะเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้หรือ จื่อซูคิดอยู่ในใจเช่นนี้ ทว่าไม่ทราบเหตุใด วาจาที่ควรเอ่ยเตือนนี้กลับมิได้พูดออกไป
เจินเมี่ยวหยิบเศษเงินให้จื่อซู “จื่อซู ให้สาวใช้วิ่งไปห้องครัวใหญ่ เอาแป้งเก๋อ[3] แป้งถั่วขาวกับชาผงมา ”
นอกจากเรือนหนิงโซ่วของฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว อาหารในแต่ละวันของทุกเรือนล้วนถูกส่งมาจากห้องครัวใหญ่ทั้งสิ้น หากอยากกินอาหารหรือต้องการวัตถุดิบอื่นๆ ก็ต้องตกรางวัลพิเศษให้
ในส่วนเรือนของเจินเมี่ยวนั้นไม่มีห้องครัวเล็กแต่ทำเตาเล็กๆ ที่ห้องปีกด้านข้างไว้ต้มชาหรืออุ่นอาหารเล็กน้อย เรือนอื่นๆ ก็เป็นเช่นนี้
เจินเมี่ยวจำได้ว่า คุณหนูสามเจินจิ้งชอบกินของหวานมาก
มีครั้งหนึ่งในวังพระราชทานขนมดอกกุ้ยให้เป็นรางวัล ฮูหยินผู้เฒ่าจึงแบ่งให้หลานๆ ร่างเดิมนี้ก็รังแก แย่งเอาจากเจินจิ้งซึ่งเป็นบุตรของอนุภรรยามา
นั่นเป็นเพียงครั้งเดียว ที่คุณหนูสามผู้ยินยอมทุกครากลับทำท่าว่าให้ตายก็ไม่ยอมปล่อยมือ เด็กสาวทั้งสองจึงลงมือตบตีกัน
ทั้งสองล้วนถูกตีด้วยไม้ตีมือ จึงไม่ชอบหน้ากันมาตั้งแต่เด็ก
เจินเมี่ยวทบทวนความทรงจำในครั้งก่อน แล้วนำแป้งถั่วขาวและชาผงที่สาวใช้นำมานวดให้เข้ากัน
นางคิดว่าจะทำขนมที่เรียกว่าขนมหยกมรกต
ขนมชนิดนี้แวววาว โปร่งแสง ดูแล้วดั่งหยกก็มิปาน เมื่ออยู่ในปากจะเย็นๆ ลื่นๆ นุ่มนิ่ม หวานแต่ไม่เลี่ยน
ตอนที่เรียนอยู่ มีคุณยายคนหนึ่งเข็นรถคันเล็กมาขายขนมที่รสชาติพิเศษไม่เหมือนใคร ตนต้องไปนั่งเฝ้าทุกวัน คอยวิ่งไปซื้อน้ำมาให้คุณยายดื่ม ใช้วิธีหน้าหนาเข้าสู้ ผ่านไปครึ่งปีจึงได้เคล็ดลับการทำขนมนั้นมาไว้ในมือสำเร็จ
นางทำอยู่กระทั่งถึงเวลาอาหารค่ำจึงทำขนมหยกมรกตเสร็จ รอจนกินข้าวเย็นอิ่ม ขนมก็เย็นพร้อมรับประทานพอดี
ขนมที่ดูแล้วคล้ายหยกใสๆ โปร่งแสงกระนั้น จื่อซูผู้ไม่เคยเปลี่ยนสีหน้าก็ยังต้องเผยอารมณ์ออกมา นางลอบมองเจินเมี่ยวอยู่หลายครั้ง
ได้ยินมานานแล้วว่าคุณหนูสี่เป็นผู้ชอบเอาชนะในทุกการเรียนรู้ พิณ หมากรุก พู่กันและการวาดภาพ ทุกอย่างล้วนทำได้ดีที่สุดทั้งสิ้น คิดไม่ถึงว่าการทำอาหารก็ดีที่สุดเช่นกัน
เจินเมี่ยวแบ่งขนมออกเป็นสิบส่วน แล้วสั่งให้สาวใช้นำไปส่งที่เรือนนายท่านผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่า บ้านใหญ่ บ้านรอง บ้านเล็กก็แบ่งให้ไม่ขาดตกสักคน
ส่วนตนเองก็นำอีกชุดหนึ่งไปที่เรือนเซี่ยเยียน
“คุณหนูสี่” หงเหมยเห็นเจินเมี่ยวก็ตกใจอย่างมาก
“ข้ามาเยี่ยมพี่สาม”
หงเหมยแสดงสีหน้าแปลกใจ แต่ก็มิกล้าถาม ทำความเคารพพลางเอ่ยว่า “บ่าวจะไปเรียนเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
ผ่านไปชั่วครู่ก็กลับมา บอกกล่าวด้วยหน้าแดงระเรื่อว่า “คุณหนูสี่ คุณหนูของเราหลับไปแล้วเจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวก็เข้าใจในทันทีว่าเจินจิ้งไม่อยากพบนาง
ยุคสมัยนี้ผู้คนล้วนกินข้าวแต่หัววัน ตอนนี้เพิ่งจะยามโหย่ว[4] แต่ฟ้ากลับยังสว่างโร่
“พี่สาม หายป่วยแล้วหรือยัง”
หลายวันมานี้คุณหนูสามล้วนบอกว่าป่วย ฮูหยินผู้เฒ่าจึงมิให้นางไปน้อมทักทาย
เมื่อเจินเมี่ยวถามเช่นนี้ หงเหมยก็ทราบแก่ใจดีว่านางถามสิ่งใด จึงรีบตอบไปว่า “ทำให้คุณหนูสี่ต้องเป็นกังวลแล้ว คุณหนูของเราไม่เป็นอันใดแล้ว พรุ่งนี้ก็จะไปน้อมทักทายฮูหยินผู้เฒ่าเช่นเดิมเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดี รบกวนพี่หงเหมยนำสิ่งนี้ให้พี่สามด้วยเถิด ข้าทำเองกับมือ” เจินเมี่ยวยกสำรับที่บรรจุขนมหยกมรกตส่งให้หงเหมยแล้วหมุนกายจากไป
เมื่อผ่านสวนดอกไม้ ก็เหลือบไปเห็นคุณชายใหญ่เจินฮ่วนพาอวี๋ซื่อออกมาเดินเล่น
ครั้นเห็นเจินเมี่ยว ดวงตาของเจินฮ่วนก็ฉายแววรังเกียจ เอ่ยเสียงเย็นว่า “เหตุใดน้องสี่จึงออกจากเรือนได้เล่า”
------
[1]อี๋เหนียง เป็นคำเรียกอนุภรรยา หรือบุตรเรียกอนุภรรยาของบิดาตน
[2]อักษรจานฮวาเสี่ยวไข่ เป็นรูปแบบอักษรของจีน นับเป็นอักษรรูปแบบหนึ่งของอักษรจีนแบบไข่ซู ที่ตั้งชื่อว่าอักษรจานฮวาเสียวไข่เพราะรูปแบบตัวอักษรอ่อนช้อยงดงาม เป็นที่ชื่นชอบของสตรีในยุคโบราณ เล่ากันว่าอักษรชนิดนี้ถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยฮูหยินเว่ยในสมัยราชวงศ์จิ้น
[3]เก๋อ พืชพันธุ์ไม้เลื้อยชนิดหนึ่ง ตามกิ่งก้านของมันจะเป็นผลสีเหลือง ใบใหญ่ แยกออกเป็นสามใบ ดอกสีแดงม่วง รากใหญ่ ใช้นำมาบดเป็นแป้งได้และใช้ในการปรุงยาสมุนไพร สามารถขับเหงื่อ แก้กระหายน้ำ
[4]ยามโหย่ว ช่วงเวลา 17.00 – 18.59 น.