ตอนที่ 6
ตอนที่ 6 โจ๊กดอกท้อ
ฮูหยินผู้เฒ่าใจหายวาบแต่สีหน้ากลับยังคงนิ่งเฉยเช่นเดิม “เจ้าสี่ เจ้าจำได้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นในวันที่เจ้าตกน้ำ”
เจินเมี่ยวได้ฟังก็เม้มปาก
เคยบอกนานแล้วว่า แม้นางจะโง่งมอยู่บ้าง แต่มิได้ไร้สติปัญญาเสียทีเดียว
ตั้งแต่ทราบว่าจวนเจิ้นกั๋วกงได้เชิญแม่สื่อให้มาเจรจาเรื่องหมั้นหมาย นางก็ครุ่นคิดมาตลอด
ตามเหตุผลแล้ว ตระกูลเช่นจวนเจิ้นกั๋วกง หากจะปฏิเสธเรื่องราวเช่นนี้ ฝ่ายหญิงก็ได้แต่ยอมรับเท่านั้น
ทว่าอีกฝ่ายกลับลงมือรวดเร็วประหนึ่งมิได้เป็นผู้มีอิทธิพลเหนือกว่ากระนั้น
ใคร่ครวญถึงรอยแดงบนลำคอตนและสาวใช้ที่หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว นางยังมีอันใดไม่เข้าใจอีกหรือ
อีกฝ่ายรักถนอมแม้ขนปีก[1] ตระกูลผู้อื่นกลับเป็นเพียงคนเท้าเปล่ามิกลัวที่จะสวมรองเท้า[2] อย่างมากก็แค่ละทิ้งสาวน้อยผู้นี้เท่านั้น
ในเมื่อพูดคุยกันลงตัวแล้ว เช่นนั้นความจริงคงเป็นสิ่งที่ไม่ว่าฝ่ายใดล้วนมิอยากเอ่ยถึง
เจินเมี่ยวก้มหน้าต่ำ น้ำเสียงอ่อนระโหย “ท่านย่า วันนั้นที่ตกน้ำ หลานตกใจจนไม่ทราบสิ่งใดเป็นสิ่งใด ไหนเลยจะจำได้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น แต่มิรู้ว่าเพราะอะไรถึงฝันว่ามีคนมาบีบคออยู่เรื่อย ครั้นมาหาท่านย่าที่นี่ ในใจกลับสงบลง”
ฮูหยินผู้เฒ่าโล่งอกทันที สายตาเอ่อล้นด้วยเมตตา “เฮ้อ เจ้าคงตกใจมาก ซูเย่ว์ หยิบตำราสัทธรรมปุณฑริกสูตร[3] ที่ข้าอ่านบ่อยๆ เล่มนั้นมาที เจ้าสี่ งานแต่งของเจ้าได้ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว งานเลี้ยงข้างนอกก็มิต้องไปหรอก อยู่เรือนคัดคัมภีร์ให้มากเถิด เวลานี้ก็สายมากแล้ว รีบไปอยู่เป็นเพื่อนมารดาเจ้าเถิด หลายวันมานี้นางคงไม่สบายใจมากอยู่”
กล่าวถึงตรงนี้ก็เงียบไปครู่หนึ่ง “อีกอย่างเจ้าสามก็ป่วยกระเสาะกระแสะไม่หาย เจ้าเป็นน้องสาวก็ต้องแวะไปเยี่ยมบ้าง”
“เจ้าค่ะ” เจินเมี่ยวจึงลากลับไป
รอเจินเมี่ยวจากไป ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเรียกแม่นมหวังเข้ามา “จื่อซูว่าอย่างไรบ้าง”
แม่นมหวังนวดไหล่ให้ฮูหยินผู้เฒ่าพลางเอ่ยว่า “จื่อซูบอกว่าหลายวันมานี้คุณหนูสี่ไม่ค่อยพูดจา ส่วนใหญ่มักอ่านตำราเจ้าค่ะ”
“อืม อ่านตำราใดบ้าง สตรีไม่ควรให้ตำราเหลวไหลบางจำพวกนำพาให้เสียคน”
“ส่วนมากเป็นตำราจำพวกสอนหญิง เลี่ยหนี่ว์จ้วนเจ้าค่ะ”
“ซูเย่ว์ เจ้าคิดว่าคุณหนูสี่เป็นอย่างไรบ้าง”
แม่นมหวังรีบก้มศีรษะต่ำ “เรื่องของคุณหนู บ่าวมิกล้าพูดจาเหลวไหลเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจ “ให้เจ้าพูดเจ้าก็พูดเถิด ผู้มองอยู่ด้านนอกมักเห็นชัด บางทีข้าอายุมากแล้ว อาจมองจนตาพร่าได้”
แม่นมหวังก้มศีรษะต่ำลงไปอีก เอ่ยอย่างนบน้อมว่า “ตามสายตาคนนอกเช่นบ่าว ในอดีตคุณหนูสี่ออกจะใจร้อน ไม่รอบคอบ อาจเพราะอายุยังน้อย จิตใจยังไม่มั่นคงพอ แต่หลังจากตกน้ำแล้วกลับเปรียบดั่งหยกที่รอวันแกะสลัก[4] ”
“หยกที่รอวันแกะสลักก็ปรารถนาให้เป็นเช่นนั้น ซูเย่ว์ เรื่องที่ข้าให้เจ้าไปสอบถามเกี่ยวกับหานจิ้นซื่อ[5] เป็นอย่างไรบ้าง”
ฮูหยินผู้เฒ่าอยากทราบเรื่องหานจิ้นซื่อก็เพื่อคุณหนูสามเจินจิ้งที่ถูกถอนหมั้น
หานจิ้นซื่อชื่อเสียงโด่งดัง อายุยี่สิบก็โดดเด่นเป็นที่จับตา มาจากครอบครัวยากจน เป็นบัณฑิตชั้นสูงสดใหม่เพิ่งออกจากเตาในปีนี้เอง
เพราะคุณหนูสามถูกถอนหมั้น ซื่อจื่อจึงสนใจในตัวเขา คิดจะยกบุตรสาวของอนุภรรยาให้แต่งกับเขา
แม่นมหวังนำข่าวสารที่สืบเสาะมารายงานอย่างละเอียด “มีเพียงมารดาที่เลี้ยงดูเขามาจนโต กตัญญูเป็นอย่างมาก ทั้งเป็นคนดี ต่อจากเขานั้นมีน้องชายสองคนและน้องสาวอีกหนึ่ง...”
ฮูหยินผู้เฒ่าฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว “เช่นนั้นก็ดูต่อไปก่อนเถิด”
เพียงแต่นางก็ทราบดี การหมั้นหมายของเจินเมี่ยวได้ถูกกำหนดไว้แล้ว เจินจิ้งเป็นพี่สาว จึงมิอาจรอได้อีก แต่กลับถูกถอนหมั้น เกรงว่านี่คงเป็นคนที่ดีที่สุดแล้ว
เมื่อคิดถึงคุณหนูสามที่มิใคร่พูดจาผู้นั้น ฮูหยินผู้เฒ่าก็ถอนหายใจออกมา มิจำเป็นต้องเปลืองแรงอีกแล้ว อย่างไรก็เป็นเพียงบุตรของอนุ
เจินเมี่ยวเดินซอยเท้าตามหลังเจินเหยียนมาตลอดทาง
“เจ้าถึงกับกล้าหลับตอนไปน้อมทักทายท่านย่า! ” เจินเหยียนรั้งฝีเท้าให้ช้าลง เอ่ยด้วยน้ำเสียงกดต่ำอย่างที่สุด ฟังแล้วคล้ายกำลังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่
เจินเมี่ยวรีบร้อนวอนขอ “พี่สาวที่แสนดีอย่าได้กล่าวว่าอีกเลย มิเห็นรอยคล้ำใต้ตาน้องสาวหรือ หลายวันมานี้ข้านอนไม่หลับจริงๆ ข้าฝันร้ายอยู่บ่อยครั้ง”
เจินเหยียนจ้องมองอย่างละเอียดคราหนึ่ง ในที่สุดก็เชื่อวาจานางแล้วถอนหายใจออกมา “เจ้าต้องพัฒนาตัวเองขึ้นบ้าง อย่าทำให้ท่านแม่ต้องเป็นห่วง”
“ตอนนี้ท่านแม่ดีขึ้นบ้างหรือยัง”
“อาการหนักไม่น้อยเพราะเจ้า เจ้าว่าอย่างไรเล่า” เจินเหยียนกลอกตามองบนคราหนึ่ง
เจินเมี่ยวเดินตามหลังเจินเหยียนเข้าไปในสวนเหอเฟิงประหนึ่งภรรยาวัยเยาว์ก็มิปาน
เมื่อเห็นเจินเหยียนเดินเข้ามา นางเวินก็มีสีหน้ายินดี แต่เมื่อหันไปพบเข้ากับเจินเมี่ยวที่อยู่ด้านหลัง สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที “ผู้ใดให้เจ้ามา”
“ท่านแม่...” เจินเมี่ยวร้องเสียงหวานออกมาเสียงหนึ่ง คุกเข่าลงน้อมคารวะ
นางเวินสีหน้าบึ้งตึง “ข้าไม่มีลูกเช่นเจ้า! ”
ในความทรงจำของร่างเดิม นางเวินเป็นคนเก่งกาจ ดุดัน เข้มงวดต่อนางอย่างยิ่ง มิได้รักใคร่นางมากมายอันใด
ทว่าสำหรับเจินเมี่ยวที่เป็นคนนอกกลับดูออกจากความทรงจำที่มีว่า นางเวินเป็นเพียงคนที่มีปากดุจคมมีดหัวใจดั่งเต้าหู้เท่านั้น
เดิมนางก็มีความผิดอยู่แล้ว ทั้งยังทำให้มารดาเกิดโทสะจนกระอักโลหิต การที่จะยอมรับผิดก็มิได้ทำให้นางรู้สึกกดดันอันใด
เจินเมี่ยวจึงกอดขานางเวินแน่น ใช้ศีรษะถูไถไปมาบนขาของนาง “ท่านแม่ ลูกผิดไปแล้ว หากท่านยังโกรธเคืองก็ตีลูกสักหลายครั้งเถิด ลูกหนังหนา ไม่กลัวถูกตีเจ้าค่ะ”
นางเวินตะลึงงันไป
วาจานี้ วาจานี้มีบางอย่างที่ผิดไป
ในชั่วขณะนั้นถึงกับลืมว่าตนควรตอบสนองออกไปเช่นไร
สาวใช้ทั่วทั้งห้องต่างอึ้งงันไปเช่นกัน
คุณหนูสี่ ในอดีตหากฮูหยินเอ่ยวาจาเช่นนี้ ท่านมิใช่ผลักประตูเดินหนีไปแล้วหรือ
เจินเหยียนเห็นน้องสาวเป็นเช่นนี้ก็รู้สึกขายหน้าอย่างที่สุด นางมองบรรดาสาวใช้ด้วยสีหน้าเย็นชา “พวกเจ้าออกไปให้หมด”
บรรดาสาวใช้ล้วนเดินออกไป จื่อซูเดินตามไปด้วยใบหน้าเฉยชา ในใจกลับพร่ำบ่นอย่างบ้าคลั่ง
ครั้งที่สามแล้ว ตั้งแต่ติดตามคุณหนูท่านนี้ คำพูดที่นางได้ยินบ่อยที่สุดคือ “พวกเจ้าออกไป”
นางเวินถูกวาจาของคุณหนูรองปลุกให้ตื่นจากภวังค์ นางพลันเบี่ยงขาหลบออก “ไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ ลูกสาวเช่นเจ้าข้าไม่กล้ารับไว้หรอก ออกไป”
“ไม่ออก” เจินเมี่ยวกอดขานางไว้แน่นกว่าเดิม สีหน้าแน่วแน่
“ออกไป”
“ไม่ออก”
“ออกไป”
“ไม่ออก”
“ออกไป”
หลังจากนั้นก็เห็นเจินเมี่ยวลุกขึ้น แล้วเดินออกไปจริงๆ
บรรดาสาวใช้ที่เงี่ยหูรอฟังอยู่ด้านนอกล้วนผงะล้มกันถ้วนหน้า
เช่นนี้ก็ได้หรือ!
สีหน้านางเวินนั้นเปลี่ยนจากขาวซีดเป็นแดงก่ำ จากแดงเปลี่ยนเป็นเขียว โกรธเกรี้ยวจนตัวสั่น นางทนไม่ไหวแล้ว จึงร้องไห้ออกมาอย่างหนัก
เจินเหยียนก็โกรธเสียเจ็บร้าวใจไปหมด อยากจะออกไปคิดบัญชีกับเจินเมี่ยว แต่ก็กลัวมารดาตนจะโกรธขึ้นไปอีก จึงทำได้เพียงนั่งอยู่ข้างๆ คอยห้ามปราม
คิดไม่ถึงว่าผ่านไปครึ่งชั่วยาม เจินเมี่ยวจะย้อนกลับมาอีก ในมือยังถือถาดมาด้วย
นางเวินกำลังร้องไห้อยู่ เมื่อเห็นบุตรสาวคนที่สองเดินเข้ามาก็แทบสำลัก ครั้นเอ่ยปากพูดก็สะอึกออกมา
เจินเมี่ยวรีบเข้าไปนั่งลงข้างนางเวิน ใช้มือนวดคลึงหัวแม่มือนาง อีกมือหนึ่งก็ตบหลังของนาง “ท่านแม่ ท่านหายใจเข้าลึกๆ ”
นางเวินหายใจเข้าลึก อาการสะอึกก็หายไปจริงๆ นางเอ่ยด้วยเสียงแค้นเคือง “เจ้ามิใช่ออกไปแล้วหรือ ยังกลับมาทำอันใดอีก! ”
แต่เพราะเมื่อครู่สะอึกจนหมดแรง ท่าทางขึงขังโกรธเคืองจึงมิได้มีมากมายถึงเพียงนั้นแล้ว
เจินเมี่ยวมองข้ามสีหน้าเย็นชาของนางเวินไปเสียสิ้น ยกหม้อกระเบื้องเคลือบสีเขียวอันประณีตนั้นขึ้นมา “ท่านแม่ เมื่อเช้าลูกทำโจ๊กดอกท้อน้ำตาลแดง ช่วยบำรุงโลหิตและผิวพรรณได้เป็นอย่างดี ท่านรีบดื่มตอนร้อนๆ ดีหรือไม่”
พูดพลางเปิดฝาหม้อ เห็นเพียงข้าวเม็ดเล็กละเอียด กลีบดอกท้อที่ซ่อนอยู่ภายในกลับขับเน้นสีเขียวมรกตของหม้อเล็กนั้นให้เด่นขึ้นในกลุ่มข้าวสีขาว ดูแล้วสวยงามยิ่ง ทั้งยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ สายหนึ่งลอยออกมา
นางเวินมองคราหนึ่งจึงเบิกตาจ้องบุตรสาวคนรองของตน ในที่สุดนางก็เริ่มเคลื่อนไหว หยิบช้อนขึ้นมาคนแล้วชิมไปคำหนึ่ง คิดไม่ถึงว่ารสชาติจะดีถึงเพียงนี้
นางกินไปหลายคำติดต่อกันจึงเอ่ยว่า “ดอกท้อนี้ นำมาต้มโจ๊กได้ด้วยหรือ”
นี่ถือว่าให้อภัยนางแล้วสินะ เจินเมี่ยวถอนหายใจออกมา
นางมักเตร็ดเตร่ไปทั่วเมื่อชาติก่อน ทุกคราที่ไปยังสถานที่ใหม่ๆ ก็ต้องเที่ยวชิมอาหารเลิศรสตามตรอกซอกซอย หากพบสิ่งใดที่อร่อยเป็นพิเศษก็จะหาวิธีฝึกทำจนชำนาญ ยามนี้นับว่าได้ใช้ประโยชน์แล้ว
นางจากสวนเหอเฟิงไปพร้อมกับเจินเหยียน สองพี่น้องมุ่งหน้าไปเรือนของคุณหนูสาม
โดยทั่วไปแล้วบุตรของอนุภรรยาย่อมไม่มีสิทธิ์พักอาศัยอยู่ในเรือนเพียงลำพัง แต่จวนเจี้ยนอานปั๋วมีบุตรที่เกิดจากอนุภรรยาเพียงคนเดียว จึงได้ครอบครองเรือนเล็กๆ นั้นไว้ชั่วคราว...เรือนเซี่ยเยียน
เพิ่งจะไปถึงหน้าเรือนเซี่ยเยียน สาวใช้สวมเสื้อกั๊กยาวปี๋จย่าสีแดงเงินก็วิ่งมาชนเจินเมี่ยวเข้าอย่างจัง
------
[1] รักถนอมแม้ขนปีก ใช้เปรียบเปรยถึง คนที่กลัวจะเสียชื่อเสียง เกียรติยศ
[2] คนเท้าเปล่ามิกลัวที่จะสวมรองเท้า เป็นสำนวนสื่อว่า ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว เมื่อคนที่มีทุกอย่างกับคนที่ไม่มีอะไรเลยงัดข้อกัน คนที่ไม่มีอะไรเลยมักได้เปรียบ
[3] ตำราสัทธรรมปุณฑริกสูตร เป็นพระสูตรที่สำคัญในพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาในพุทธศาสนิกชนมหายานโดยเฉพาะประเทศเอเชียตะวันออก เป็นสัทธรรมที่พระพุทธเจ้าเทศนาในช่วงแปดปีก่อนปรินิพพาน
[4] หยกที่รอวันแกะสลัก เปรียบเปรยถึงบุคคลที่มีความสามารถแต่ยังมิได้รับการขัดเกลา
[5]จิ้นซื่อ แปลว่าบัณฑิตชั้นสูง เป็นวุฒิที่ได้รับเมื่อสอบผ่านในระบบเค่อจวี่ซึ่งเป็นระบบการสอบคัดเลือกข้าราชพลเรือนในยุคโบราณของจีน ผู้สอบผ่านจะได้รับการประเมินเพื่อบรรจุเข้าตำแหน่งต่างๆ โดยทั่วไปแล้วผู้ที่ได้รับวุฒิจิ้นซื่อในการสอบขุนนางนั้นจะได้รับการแต่งตั้งเป็นข้าราชการระดับสูงแห่งราชสำนัก ผู้ที่สอบได้คะแนนดีกว่าจะได้รับตำแหน่งที่ดีกว่า