ตอนที่ 58
ตอนที่ 58 คำเชิญชวนของนายท่านผู้เฒ่า
เจินเมี่ยวได้บอกวิธีทำโจ๊กน้ำแกงไก่ให้แก่คนของห้องครัวเล็กไปนานแล้ว
กล่าวไปแล้วก็แปลกนัก ทั้งที่วัตถุดิบเหมือนกันทุกอย่าง แต่ห้องครัวเล็กกลับทำรสชาตินั้นออกมามิได้
เจินเมี่ยวไปถึงก็แค่ปรุงวัตถุดิบไม่กี่อย่างเข้าด้วยกันแล้วใส่ลงไปในโจ๊กที่ต้มจนได้ที่แล้วเท่านั้น
นายท่านผู้เฒ่าหลับตากินโจ๊กเข้าไปคำหนึ่ง เผยอารมณ์อันอิ่มเอมออกมา “เจ้าสี่ โจ๊กน้ำแกงไก่นี้ ข้าชอบที่เจ้าทำที่สุด”
เจินเมี่ยวเผยรอยยิ้มอันเจิดจ้า “ถ้าท่านปู่ชอบ ต่อไปหลานจะทำให้ท่านกินบ่อยๆ ”
นายท่านผู้เฒ่าโบกมือไปมา “มิต้อง มิต้อง ของดีๆ เช่นนี้ โดยเฉพาะอาหารเลิศรสยิ่งมิอาจกินบ่อยได้แค่ครั้งเดียวพอแล้ว ประเดี๋ยวต่อไปกินสิ่งใดก็จะรู้สึกไม่อร่อย เช่นนั้นมิใช่น่าเสียดายมากหรอกหรือ”
แม้วาจาของนายท่านผู้เฒ่าจะฟังดูแปลกไปสักหน่อย แต่หากคิดให้ถี่ถ้วนกลับพบว่ามีเหตุผลอยู่บ้าง
เมื่อได้คุยกันนานเข้า เจินเมี่ยวกลับชอบท่านปู่ผู้นี้มากจริงๆ จึงพยักหน้าเอ่ยอย่างเห็นด้วยว่า “ท่านปู่พูดถูกเจ้าค่ะ ต่อไปหากท่านปู่อยากกินเมื่อใดก็ให้สาวใช้ไปบอกหลานได้ทุกเมื่อ”
นายท่านผู้เฒ่าได้ฟังก็ดีใจอย่างมาก ถูกตาถูกใจเจินเมี่ยวยิ่งขึ้นไปอีก
หลานสาวมากมายแต่ไม่มีสักคนที่พูดคุยเรื่องกินเรื่องดื่มกับเขาได้
ภรรยาเฒ่าของเขายิ่งมิต้องเอ่ยถึง ยามบุตรชายสามคนยังเยาว์วัยนั้น ทุกคราที่เขาพูดคุยเรื่องสัพเพเหระอย่างกระตือรือร้น ภรรยาเฒ่าก็จะจับจ้องเขาไม่วางตา ด้วยกลัวว่าจะสอนสิ่งผิดเพี้ยนใดให้แก่บุตรชาย
ภายหลังเมื่อบุตรชายเติบใหญ่ขึ้น ยามเขาพูดสิ่งใดบรรดาบุตรชายก็จะใช้สายตาคล้ายกล่าวว่า ‘ท่านมิเป็นการเป็นงานเอาเสียเลย’ จ้องมองเขา อย่าคิดว่าเขาดูไม่ออก!
แม้จะมีสหายเฒ่าหลายคนพูดคุยถูกคอกับเขา ทว่าพวกเขาเหล่านั้นไหนเลยจะเอ่ยคล้อยตามเขาอย่างหลานสาว ได้ฟังแล้วทำให้เขาดีใจถึงเพียงนี้
นายท่านผู้เฒ่ากำลังทอดถอนใจอยู่พลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้น จึงมองไปรอบทิศ แล้วเอ่ยกับเจินเมี่ยวด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ “เจ้าสี่ มานั่งข้างปู่เร็ว ปู่มีเรื่องจะพูดกับเจ้าสักหน่อย”
“ท่านปู่ มีเรื่องใดหรือ”
นายท่านผู้เฒ่ากดเสียงให้ต่ำลง “เรื่องที่ข้าบอกเจ้านี้ เจ้าอย่าได้ไปบอกผู้อื่นเด็ดขาด โดยเฉพาะท่านย่าของเจ้า รู้หรือไม่”
“เจ้าค่ะ ท่านปู่วางใจเถิด หลานจะปิดปากให้สนิทดุจไห มีอันใดหรือเจ้าคะ”
“อีกสองวันจะมีการแข่งชนห่านกันที่ลานหมิงซิน ปู่จะพาอากุ้ยไปแข่ง ถึงเวลานั้นจะพาเจ้าไปเปิดหูเปิดตาด้วย” นายท่านผู้เฒ่าเผยสีหน้าดั่งว่า ‘เจ้าโชคดีอย่างยิ่ง’ ออกมา
เจินเมี่ยวแทบจะร้องไห้ออกมาตอนนั้นเลยทีเดียว
ท่านย่า ท่านอยู่ที่ใด หลานจะไปบอกความลับต่อท่าน!
“เจ้าเด็กคนนี้ เหตุใดจึงได้ดีใจจนหน้าตาบิดเบี้ยวปานนี้เล่า”
“ท่าน...ท่านปู่ ท่านไปชนห่าน แต่หลานเป็นเพียงสตรี ติดตามท่านออกไปไหนเลยจะเหมาะสม” เจินเมี่ยวพยายามดิ้นรนจากความตายนี้
นายท่านผู้เฒ่าตบบ่าเจินเมี่ยวคราหนึ่ง “มิเป็นไร ถึงเวลาปู่จะเตรียมเสื้อผ้าบุรุษไว้ให้เจ้าสักชุดก็มิเป็นอันใดแล้ว พวกเขาเองยามนำบุตรสาว หลานสาวมาก็ล้วนทำเช่นนี้ทั้งสิ้น ยามนี้มิเป็นเช่นกาลก่อนแล้ว สตรีสามารถออกไปเปิดหูเปิดตาได้ ซึ่งมีข้อดีมากมาย ภายหน้าหากย้ายไปอยู่ตระกูลสามีจะได้มิกลัวนั่นเกรงนี่ ”
“ท่านปู่ ท่านก็ทราบ ต่อไปหลานต้องเข้าวังทุกๆ สิบวัน หากเป็นวันเดียวกันจะ...”
“เจ้าเข้าวังวันใดหรือ”
“มิอาจบอกได้ เพียงตรัสว่าหลานต้องเข้าวังไปเข้าเฝ้าองค์หญิงฟางโหรวทุกๆ สิบวัน ส่วนครั้งแรกจะเป็นวันใดนั้น ยังคงต้องรอทางพระราชวังแจ้งอีกครั้ง”
นายท่านผู้เฒ่าโบกมือไปมา “เจ้าสี่วางใจเถิด คงมิใช่เร็วๆ นี้แน่ องค์หญิงมิใช่กำลังคัดเลือกพระสหายเล่าเรียนหรอกหรือ อย่างไรก็ต้องรอให้เลือกพระสหายเสร็จก่อนจึงจะเรียกเจ้าเข้าเฝ้า”
ผ่านไปเพียงไม่ถึงครึ่งวัน เรื่องที่จักรพรรดิประสงค์คัดเลือกพระสหายขององค์หญิงฟางโหรวก็แพร่สะพัดไปทั่ว เมื่อมีคนทราบเรื่องของเจ้าสี่ก็มาหาเขาถึงที่นี่ ทำให้แขนเสื้อของเขากว้างขึ้นอีกไม่น้อย ในที่สุดก็สามารถซื้อตั๊กแตนหยกที่หมายตาชิ้นนั้นได้เสียที
“เอาล่ะ เจ้าสี่ นี่ก็สายแล้ว รีบไปน้อมทักทายท่านย่าเจ้าเถิด จำไว้ว่าอย่าได้พลั้งปากบอกไปเป็นอันขาด มิเช่นนั้นเราทั้งสองคงมิได้ไปแน่”
“หลานทราบแล้ว” เจินเมี่ยวเอ่ยอย่างเหนื่อยอ่อน
เมื่อเข้าไปในเรือนหนิงโซ่ว ผู้คนที่มาน้อมทักทายล้วนอยู่พร้อมหน้าแล้ว นางเจี่ยงใช้ผ้าเช็ดขอบตาแล้วเอ่ยกับฮูหยินผู้เฒ่าว่า “แข็งแรงดีอยู่แท้ๆ กลับมาถูกงูกัดเสียได้ ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านไม่เห็นว่าใบหน้าของเหยียนเกอบวมเป่งจนดูไม่ได้เพียงใด”
เจินปิงที่นั่งอยู่ข้างนางหลี่ก้มหน้างุด มิเผยอารมณ์ใด
เจินเมี่ยวน้อมทักทายแล้วก็นั่งลงข้างเจินเหยียนที่นั่งถัดจากนางเวิน
ฮูหยินผู้เฒ่าเผยความห่วงใยออกมา “เรื่องราวใดกัน เหยียนเกอถูกงูกัดงั้นหรือ เหตุใดเจ้าจึงมิพูดให้เร็วกว่านี้ ใบหน้าบวมเป่งปานนั้น งูคงมีพิษใช่หรือไม่ แล้วคนเป็นเช่นใดบ้าง เชิญหมอมาตรวจดูแล้วหรือยัง”
นางเจี่ยงวางผ้าเช็ดหน้าลง “เชิญท่านหมออู่ที่สำนักเล่อเหรินมาแล้วเจ้าค่ะ ท่านหมอบอกว่าเคราะห์ดีที่ดูพิษออกมาได้ทันท่วงที คนจึงมิเป็นอันใดมาก”
ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า “ท่านหมออู่แห่งสำนักเล่อเหรินนั้นชำนาญในการรักษาโรคหลากหลายชนิด เมื่อบอกว่ามิเป็นอันใดก็ย่อมไม่เป็นอันใดตามที่ท่านบอกนั้นแล เหยียนเกอถูกงูกัดเข้าที่ใบหน้างั้นหรือ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นได้ แล้วผู้ใดช่วยดูดพิษให้เขาเล่า”
นางเจี่ยงเผยอารมณ์ภาคภูมิทั้งกลัดกลุ้มออกมา “เด็กคนนั้นช่างดื้อนัก บอกว่าจักต้องไปวาดภาพในป่าไผ่ให้ได้ ถึงจะสามารถวาดรายละเอียดของต้นไผ่ออกมาได้อย่างสมจริง ข้ารู้จักเขาดี ทุกคราที่อ่านตำราหรือวาดภาพ เขาจะมิสนใจสิ่งรอบข้างใดๆ เลย ถูกงูกัดเข้าที่ใบหน้านั้นมิใช่เรื่องผิดแปลกสักนิด โชคดีที่จี๋เสียงฉลาดช่วยเขาดูดพิษได้ทัน มิเช่นนั้น...ข้าคงไม่ทราบจะบอกกับพี่ชายพี่สะใภ้อย่างไรแล้ว! ”
เจินเมี่ยวและเจินปิงสบตากัน ทั้งสองต่างรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แล้วค่อยๆ เบนสายตาหลบกันไปทันที
เจินปิงก้มหน้าต่ำ ใช้มือกำผ้าเช็ดหน้าไว้
หากยามพี่เจี่ยงวาดภาพมักมีจิตใจจดจ่อแล้วเหตุใดจึงได้ปรากฏตัวขึ้นในเวลานั้นได้ ทั้งยังเพื่อช่วยพี่สี่จนถูกงูพิษกัดอีก?
จี๋เสียง...จี๋เสียงช่วยดูดพิษงูให้เขาจริงๆ หรือ
ญาติผู้พี่...คงมีใจให้พี่สี่เป็นแน่...
สาวน้อยผู้มีประสาทสัมผัสไวสรุปออกมาเช่นนี้ นางรู้สึกดั่งหัวใจถูกบางสิ่งแทงเข้าใส่อย่างรวดเร็วและลึกล้ำแต่กลับไม่มีร่องรอยใดๆ
พี่สาวน้องสาวต่างเดินออกจากประตูไปแล้ว แต่เจินเหยียนกลับรั้งอยู่แล้วเอ่ยกับน้องๆ ว่า “น้องสี่ น้องห้า น้องหก ในเมื่อน้องเจี่ยงได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ ทั้งพำนักอยู่ในจวนเดียวกัน ตามเหตุผลและน้ำใจที่พึงมีแล้วพวกเราก็ควรไปเยี่ยมสักครา เช่นนั้นไปด้วยกันตอนนี้เถิด”
“อย่าดีกว่า! ” เจินเมี่ยวและเจินปิงพูดขึ้นพร้อมกัน
“หืม? ” เจินเหยียนรู้สึกแปลกใจ
เจินเมี่ยวรีบพูดขึ้นว่า “ท่านป้าใหญ่มิใช่พูดว่ายามนี้พี่เจี่ยงหน้าบวมเป่งอย่างยิ่งหรอกหรือ สภาพเช่นนั้นของเขาเกรงว่าคงมิอยากพบผู้ใดแน่”
“ข้า ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน” เจินปิงเอ่ยด้วยความประหม่าเล็กน้อย
“พี่รอง มิสู้พวกเราพี่น้องรวมเงินกันแล้วทำของบำรุงอันใดสักอย่างส่งไปให้เขาดีกว่า” เจินเมี่ยวเอ่ย
เจินเหยียนคิดตามแล้วพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน”
เจินเมี่ยวจึงผ่อนลมหายใจออกมาได้
นางในยามนี้ไม่อยากพบกับเจี่ยงเฉินเลยจริงๆ
เรื่องเมื่อวาน คิดอย่างไรก็รู้สึกประหม่ายิ่ง คาดว่าอีกฝ่ายคงมิอยากพบนางเช่นกันจึงกลับสวนเฉินเซียงไป
วันเวลาที่เงียบสงบไร้คลื่นลมเช่นนี้ผ่านไปสองวัน เจินเมี่ยวมิได้รับราชโองการให้เข้าวัง และมิได้รับคำเชิญชวนจากนายท่านผู้เฒ่า อารมณ์จึงดีอยู่ไม่น้อย เมื่อได้รับอนุญาตจากนางเวิน นางก็นำสาวใช้สองคนออกจากจวนไปเลือกซื้อเครื่องประดับให้กับเจินเหยียน