ตอนที่ 57
ตอนที่ 57 หนุ่มน้อยผู้สูญเสียศักดิ์ศรี
ใบหน้าเจินเมี่ยวเขียวคล้ำไปหมด เมื่อเห็นสิ่งสกปรกนั้นกระเด็นเปื้อนตะกร้าใส่อาหาร นางเอ่ยด้วยความแค้นเคืองว่า “พี่เจี่ยง! ”
เจี่ยงเฉินรู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่ง เอ่ยด้วยเสียงอ่อนแรงว่า “น้อง น้องสี่ ขออภัยแล้ว”
เขาทอดถอนใจอยู่ในอก วันนี้ช่างน่าอับอายเสียจริง
นี่คงเป็นความโชคร้ายอย่างที่สุดของเขากระมัง?
เมื่อมองใบหน้าอันโกธรขึงของเจินเมี่ยวแล้ว ในใจเจี่ยงเฉินพลันเกิดความคิดประหลาดผ่านเข้ามาวูบหนึ่ง จึงอดหัวเราะออกมามิได้
เจินเมี่ยวถลึงตาใส่เขาคราหนึ่ง แย่แล้ว หรือพิษงูนั้นมีผลต่อสติปัญญาด้วย?
เจี่ยงเฉินรู้สึกว่าตนเสียกิริยาเกินไปจึงรีบเก็บรอยยิ้มนั้นทันที แล้วเอ่ยถามว่า “น้องสี่ ผ่านมาครึ่งชั่วยามแล้ว เหตุใดสาวใช้ของเจ้ายังมิเรียกคนมาอีกเล่า”
ความมืดโรยตัวไปทั่วท้องฟ้า หากเรื่องที่คนทั้งสองอยู่ด้วยกันในป่าไผ่แพร่ออกไป เกรงว่าคงส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของนางแน่
“น้องสี่ เช่นนั้นเจ้ากลับไปก่อนเถิด”
ก่อนหน้านี้เขาไม่ยอมให้นางไปเพราะร่างกายมึนชาไม่อาจขยับเคลื่อนไหวได้และคิดว่าอีกไม่นานก็คงมีคนมารับพวกเขาเอง ทว่าคนกลับไม่มาเสียที ฟ้ามืดลงทุกขณะแล้ว แม้เขาต้องพบเจออันตรายเพราะการอยู่ที่นี่เพียงลำพังก็มิอาจรั้งให้น้องสี่อยู่ต่อไปได้ เขามิอาจทำร้ายนาง
“ท่านไม่กลัวงูแล้วหรือ” เจินเมี่ยวถาม
“ข้ากลัวงูเมื่อใดกัน” หนุ่มน้อยเขินอายจนโกธรเกรี้ยวออกมา
เจินเมี่ยวรีบพยักหน้าโดยเร็ว “อืม เป็นข้าที่เข้าใจผิดเอง เมื่อครู่พี่เจี่ยงเพิ่งทุ่มเทกำลังช่วยข้าไว้ จะกลัวงูได้อย่างไรเล่า เพียงแต่ในป่าไผ่แห่งนี้งูเยอะมาก บางจำพวกก็มีพิษ พี่เจี่ยง...”
เมื่อมองท้องฟ้าแล้วจึงหักใจเอ่ยว่า “เช่นนั้นให้ข้าลากท่านออกไปก่อนค่อยไปดีหรือไม่”
มิใช่นางใจดำ น้ำใจของเจี่ยงเฉินที่ช่วยเหลือนางนั้นนางขอน้อมรับด้วยใจ ทว่าหากอยู่ด้วยกันต่อไปจนมีคนมาพบเข้า เช่นนั้นไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจถูกพูดจาในทางที่ดีได้
นางซึ่งเป็นสตรีที่มีคู่หมายแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง เจี่ยงเฉินเองก็อยากเข้าไปร่ำเรียนในสำนักศึกษาหลวงกั๋วจื่อเจี้ยน หากมีประวัติด่างพร้อยคงส่งผลกระทบต่ออนาคตของเขาเป็นแน่
ลากออกไป?
ได้ยินสามคำนี้แล้ว เจี่ยงเฉินก็มีสีหน้าย่ำแย่ขึ้นมาทันที แม้ความหวาดกลัวที่มีต่องูนั้นจะฝังลึกอยู่ในใจก็ได้แต่กัดฟันเอ่ยออกไปหนึ่งคำว่า “ได้”
“เช่นนั้นก็ล่วงเกินแล้ว” เจินเมี่ยวย่อตัวลงยื่นมือไปจับที่ท่อนแขนเจี่ยงเฉิน กำลังจะออกแรงดึงก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินสวบสาบดังขึ้น
เสียงนั้นเบาแต่หนักแน่นยิ่งดั่งค้อนพันจินทุ่มกระแทกเข้าที่หัวใจก็มิปาน
เจี่ยงเฉินและเจินเมี่ยวหน้าเปลี่ยนสีไปโดยพลัน
ภายในสถานการณ์เช่นนี้ เจินเมี่ยวได้แต่พุ่งเข้าไปหลบอยู่ด้านหลังเจี่ยงเฉินอย่างรวดเร็วดุจลูกธนู แล้วหมอบร่างลงให้ต่ำที่สุด
ที่แห่งนี้มีต้นไผ่ขึ้นหนาแน่น หญ้าเขียวรกชัฏ ฟ้าก็มืดแล้ว นางสวมชุดสีเขียวทั้งร่างจึงมั่นใจว่าการหลบอยู่เช่นนี้คงมิถูกคนพบเห็นแน่ นอกเสียจากเจี่ยงเฉินจะเผลอแสดงอาการใดออกไป
เจี่ยงเฉินตกใจอยู่เพียงชั่วครู่เท่านั้น เขาฝืนขยับตัวแล้วยืดร่างตนขึ้นบดบังเจินเมี่ยวไว้ให้มิดชิดยิ่งขึ้น
เสียงฝีเท้าค่อยๆ ดังใกล้เข้ามาแล้ว ภายใต้ท้องฟ้าอันสลัวนี้ได้ปรากฏเงาสีม่วงขึ้น
เมื่อเห็นชัดว่ามีเพียงเจี่ยงเฉิน จื่อซูพลันใจหายวาบ หางตาเหลือบไปเห็นตะกร้าใส่อาหารสีดำบนพื้นที่ถูกพงหญ้าบังไว้เกือบครึ่งจึงเอ่ยเสียงเย็นว่า “คุณชายเจี่ยง คุณหนูข้าเล่า”
ครั้นได้ยินเสียงของจื่อซู เจินเมี่ยวก็ถอนหายใจโล่งอก นางรีบผุดลุกขึ้นเผยร่างตนออกมาทันที “จื่อซู ข้าอยู่นี่”
เมื่อเห็นเจินเมี่ยวที่ร่างเต็มไปด้วยใบไผ่และเศษหญ้าโบกมือให้นาง จื่อซูก็รู้สึกว่าขีดจำกัดที่ต่ำที่สุดของตนได้เปลี่ยนแปลงไปอีกแล้ว นางสำรวจอย่างรวดเร็วพบว่าไม่มีอันใดไม่เหมาะสมจึงวางใจลง แล้วค่อยๆ ย่อคารวะต่อเจี่ยงเฉินพลางเอ่ยว่า “คุณชายเจี่ยง เช่นนั้นบ่าวขอตัวคุณหนูกลับเรือนก่อนแล้ว อีกประเดี๋ยวจะมีคนมารับท่านกลับเรือนเจ้าค่ะ”
“ขอบคุณแม่นางจื่อซูยิ่ง” แม้ใบหน้าของเจี่ยงเฉินจะยังบวมอยู่ แต่ก็นับว่ากลับมามีรูปโฉมเช่นวันวานแล้ว
เจินเมี่ยวย่อกายให้แก่เจี่ยงเฉินเล็กน้อย “พี่เจี่ยง ข้าขอตัวก่อน” เมื่อก้าวเดินได้ไม่กี่ก้าวก็หันหน้าไปหาชิงเกอแล้วพูดว่า “ชิงเกอ ไปพาคุณชายเจี่ยงออกมา”
“เจ้าค่ะ คุณหนู” ชิงเกอลืมเจินเมี่ยวไว้ที่นี่จึงรู้สึกผิดอยู่เล็กน้อย เมื่อเห็นคุณหนูเอ่ยปากใช้นางก็รับปากด้วยความเบิกบานใจอย่างที่สุด
ชิงเกอเดินเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงหน้าเจี่ยงเฉิน นางย่อกายคารวะเลียนอย่างจื่อซู “คุณชายเจี่ยง บ่าวจะพาท่านออกไปเองเจ้าค่ะ”
เจี่ยงเฉินมองร่างของชิงเกอแล้วเอ่ยในใจว่า เพียงเห็นสาวใช้ผู้นี้ก็รู้แล้วว่ามีพลังกำลังมาก การประคองเขาออกไปคงมิใช่ปัญหา ครานี้คงมิต้องถูกลากออกไปแล้ว จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มอบอุ่นว่า “รบกวนแล้ว”
เมื่อเข้าใจว่าได้รับความเห็นชอบจากเจี่ยงเฉินแล้ว ชิงเกอก็โค้งตัวลง ยื่นมือออกไปช้อนเขาขึ้นมาแล้วอุ้มออกไปด้านนอก
เพียงครู่เดียวโลหิตก็พุ่งออกมา เจี่ยงเฉินอับอายจนแทบจะหมดสติไปอีกครา ทว่าเขามิกล้าส่งเสียง แค่นี้ก็อับอายมากพอแล้ว หรือต้องให้อับอายไปมากกว่านี้อีก ยังดีที่น้องสี่เดินอยู่ด้านหน้าจึงมิเห็นสภาพเช่นนี้ของเขา
คิดไม่ถึงว่าชิงเกอจะมีพลังมหาศาลปานนี้ ทั้งที่อุ้มบุรุษผู้หนึ่งอยู่แท้ๆ แต่กลับก้าวเดินดุจบินได้ประหนึ่งมิได้อุ้มสิ่งใดไว้ อึดใจก็ตามทันเจินเมี่ยวจึงเอ่ยถามนางว่า “คุณหนู บ่าวนำคุณชายเจี่ยงออกมาแล้ว วางไว้ที่ใดเจ้าคะ”
เจินเมี่ยวรู้สึกมิกล้ามองใบหน้าเจี่ยงเฉินแล้ว จึงยกมือขึ้นชี้ “วางไว้ข้างภูเขาจำลองเถิด” หลังจากนั้นก็รีบเดินนำจื่อซูจากไปอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปครู่หนึ่งจี๋เสียงบ่าวรับใช้ก็รีบตามออกมา เมื่อเห็นเจี่ยงเฉินที่นั่งพิงภูเขาจำลองอยู่ก็ตกใจอย่างยิ่ง “คุณชาย ท่านเป็นอันใดไปขอรับ” ว่าพลางยกแขนเสื้อเขาขึ้นสำรวจ “ผู้ใด ผู้ใดลงมือต่อท่าน? บ่าวจะไปเอาคืนให้เองขอรับ! ”
อารมณ์ของเจี่ยงเฉินดิ่งต่ำจนมิอยากจะเอ่ยสิ่งใดอีกแล้ว จึงพูดด้วยความอ่อนแรงว่า “ประคองข้ากลับเรือน”
ผู้กล้าช่วยหญิงงามอันใดนั้น ต่อไปเราจะไม่ทำมันอีกแล้ว!
ศักดิ์ศรีที่หนุ่มน้อยมีมาตั้งแต่อดีตกลับต้องถูกทำลายไปไม่เหลือชิ้นดี เขาจึงได้แต่ค่อนขอดอยู่ในใจ
เมื่อเจินเมี่ยวกลับถึงสวนเฉินเซียง บรรดาสาวใช้ก็รีบส่งผ้าเช็ดหน้าให้นาง คอยปรนนิบัตินางล้างมือ อาหารหลายอย่างค่อยๆ ถูกลำเลียงขึ้นมาบนโต๊ะ
“พวกเจ้าออกไปเถิด ข้าปรนนิบัติคุณหนูคนเดียวก็พอแล้ว” จื่อซูรอกระทั่งสาวใช้ทุกคนออกไปหมดค่อยเปลี่ยนสีหน้าตน “คุณหนู โปรดอย่าถือโทษหากบ่าวจะเอ่ยตามตรง วันนี้ท่านสะเพร่าเกินไปแล้ว ค่ำมืดปานนั้นแต่ท่านยังอยู่ในป่าไผ่ด้วยกันกับคุณชายเจี่ยงอีก หากถูกคนพบเข้าจะทำเช่นใด”
หากวันนี้คุณหนูไม่ฟังคำตักเตือน นางก็จำเป็นต้องเอ่ยวาจาอันขัดหูสักคราแม้จะเสี่ยงต่อการถูกรังเกียจก็ตาม
เจินเมี่ยวกินข้าวไปหลายคำอย่างเร่งรีบเพื่อรองท้อง แล้วค่อยเช็ดที่มุมปากก่อนพยักหน้าเอ่ยว่า “ใช่ สะเพร่าเกินไปจริงๆ ”
จื่อซูอึ้งงันไป คำตักเตือนที่มีอยู่เต็มท้องนี้มิอาจพูดออกไปได้แล้ว ครู่ใหญ่จึงเอ่ยออกมาว่า “คุณหนูทราบก็ดีแล้ว”
เห็นเจินเมี่ยวไม่มีท่าทีแก้ตัวแม้แต่น้อย จื่อซูจึงคีบผัดรากบัวให้นางด้วยความรู้สึกอ่อนแรงอย่างยิ่ง “ในเมื่อคุณหนูเข้าใจทุกอย่างดีแล้ว บ่าวคงมิพูดให้มากความ ต่อไปหากออกจากเรือนให้นำสาวใช้ไปด้วยสักหลายคน พวกนางเพิ่งเข้ามาอยู่ใหม่ แค่คนสองคนเกรงว่าจะดูแลคุณหนูได้ไม่ครบถ้วน”
เจินเมี่ยวตบมือคราหนึ่ง “จื่อซู ข้ากำลังคิดเช่นนั้นอยู่ทีเดียว”
จื่อซู “...”
นางซึ่งอยู่ในฐานะหญิงรับใช้ใหญ่พลันเกิดความรู้สึกดั่งเป็นยอดวีรบุรุษที่ไร้ประโยชน์ขึ้นมาทันที เมื่อปรนนิบัติเจินเมี่ยวเสร็จแล้วจึงกลับห้องไปนอนด้วยความกลัดกลุ้ม
เจินเมี่ยวรู้สึกว่าไม่มีวันใดที่จะวุ่นวายเท่ากับวันนี้มาก่อน นางยังคงฝึกฝนร่างกายดั่งเช่นที่ผ่านมา เสร็จแล้วก็รีบอาบน้ำพักผ่อนทันที
เช้าตรู่วันถัดมา ยังไม่ถึงเวลาไปน้อมทักทายด้วยซ้ำก็มีสาวใช้ที่ไม่เคยเห็นหน้าผู้หนึ่งมาขอพบ “คุณหนูสี่ บ่าวชื่ออาต้วน ได้รับคำสั่งจากนายท่านผู้เฒ่าให้นำจิ่นเหยียนมาส่งคืนเจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวดีใจอย่างยิ่ง นางส่งสายตาให้จื่อซูคราหนึ่ง
จื่อซูก็เข้าใจในทันทีจึงยัดซองเงินที่มีเงินอยู่ห้าอีแปะให้อาต้วนไป
อาต้วนได้รับเงินรางวัลก็คลี่ยิ้มแสนหวานพลางเอ่ยว่า “คุณหนูสี่ นายท่านผู้เฒ่าบอกว่าอยากกินโจ๊กน้ำแกงไก่ที่คุณหนูทำเจ้าค่ะ ขอให้ท่านโปรดตามบ่าวกลับไปด้วยเถิด”