icon member

วาสนาบันดาลรัก

ตอนที่ 56

ตอนที่ 56 ลืม

“พี่เจี่ยง...” เจินเมี่ยวเรียกเขาเสียงหนึ่ง เมื่อเห็นหน้าตาอันบวมเป่งดูไม่ได้ของเจี่ยงเฉิน ในใจก็ร้องว่าแย่แล้ว พิษของงูชนิดนี้ร้ายแรงไม่เบา

เมื่อมองหน้าที่ไม่ต่างอันใดกับหัวสุกร เจินเมี่ยวก็เม้มปาก รู้สึกดูดพิษให้ไม่ลงจริงๆ!

นางรู้สึกกลัดกลุ้มใจยิ่งแต่ก็ยังก้มหน้าลง กลีบปากนางแนบชิดกับรูเล็กๆ นั้น แล้วค่อยๆ ดูดของเหลวออกมาทีละนิดๆ 

ในอดีตนางเคยแบกเป้ท่องเที่ยวไปรอบโลก สถานการณ์เช่นนี้นางมิใช่ไม่เคยพบเจอ เมื่อไม่มียารักษาอาการ วิธีที่เร็วที่สุดคือการใช้ปากดูดพิษออกมาแทน

ดูดคราหนึ่งก็พ่นพิษออกมาคราหนึ่ง พลันสบเข้ากับแววตากระจ่างใสที่เต็มไปด้วยความตกใจ

“พี่เจี่ยง ท่านฟื้นแล้ว” เจินเมี่ยวเช็ดปากตนคราหนึ่ง

“น้องสี่ เจ้า...เจ้า...” แก้มของหนุ่มน้อยแดงเรื่อ ไม่ทราบว่าเขินอายหรือเป็นเพราะพิษงู เขาเบี่ยงหน้าหลบอย่างลนลาน

เจินเมี่ยวเช็ดมุมปากตน เอ่ยอย่างแช่มช้าว่า “พี่เจี่ยง หากไม่ดูดพิษออก ท่านจะต้องหมดสติไปอีกแน่”

ครั้นเอ่ยถึงตรงนี้ก็เงียบไปครู่หนึ่งแล้วหันไปมองรอบทิศ “ข้าอุ้มท่านไปไม่ไหว แต่ที่นี่มีงูเยอะเหลือเกิน ถึงยามนั้นไม่ทราบต้องทำเช่นไรดี”

ร่างเจี่ยงเฉินพลันแข็งทื่อไปทันที เขาหันหน้าอันแข็งค้างนั้นกลับมา เอ่ยด้วยปากอันบวมเป่งว่า “เช่นนั้นก็...ล่วงเกินญาติผู้น้องแล้ว”

เจินเมี่ยวยังคงมุ่งมั่นดูดพิษงูต่อไป

เจี่ยงเฉินมองดูการกระทำของนางอย่างตกตะลึง ใบหน้านั้นไม่มีความรู้สึกใดๆ และไม่ทราบว่านางกำลังคิดอันใดอยู่กันแน่

เมื่อถ่มพิษออกมาครั้งสุดท้าย ริมฝีปากเจินเมี่ยวก็ค่อยๆ บวมขึ้น นางเช็ดริมฝีปากตนแล้วเอ่ยว่า “เสร็จแล้ว”

เจี่ยงเฉินนิ่งเงียบตลอดเวลาดุจตัวโง่งม

เจินเมี่ยวขมวดคิ้วเล็กน้อย แย่แล้ว นางรีบร้อนเกินไปจนลืมบอกให้ชิงเกอมารับนางด้วย

สาวใช้ผู้นั้นซื่ออย่างที่สุด  นางมิได้กำชับ ก็คงคิดไม่ถึงว่าต้องกลับมารับตน

เจินเมี่ยวรู้สึกอยากร้องไห้แต่กลับไร้น้ำตา

นางนำชิงเกอมาด้วยเพราะคิดจะอาศัยกำลังที่ห่างไกลจากสาวใช้ทั่วไปของนางสู้รบกับห่านดุร้ายตัวนั้น คิดไม่ถึงว่าจะพบเรื่องเช่นนี้เข้า

แต่เมื่อคิดกลับกัน หากเปลี่ยนเป็นสาวใช้อื่น แค่เห็นงูเขียวก็คงขาอ่อนเหมือนเจินปิงไปแล้วเป็นแน่ เช่นนั้นยิ่งย่ำแย่เข้าไปใหญ่

เจินเมี่ยวคิดว่าต่อไปหากออกจากเรือนต้องนำสาวใช้มาด้วยสักสองคน

นางยื่นมือเข้าไปประคองแขนเจี่ยงเฉิน “พี่เจี่ยง ข้าประคองท่านกลับไปพักก่อนเถิด แล้วค่อยเรียกหมอมาดูอาการ”

“ขอบใจน้องสี่มาก” เจี่ยงเฉินออกแรงตาม คิดจะยืนขึ้นแต่กลับล้มลงทันที

เขามองเจินเมี่ยวแล้วยิ้มขื่น “ญาติผู้น้อง ข้าตัวชาไปหมด ขยับมิได้เลย”

เมื่อเห็นท้องฟ้าใกล้มืดลง เจินเมี่ยวก็เกิดความลังเลขึ้น “พี่เจี่ยง หรือ...ให้ข้ากลับไปเรียกคนมาที่นี่”

แม้จะทุลักทุเลอยู่บ้าง แต่บุรุษและสตรีจะอยู่ด้วยกันที่นี้เพียงลำพังก็มิใช่เรื่องเหมาะสมนัก อีกอย่าง เจี่ยงเฉินถูกพิษงู แค่ดูดพิษออกนั้นมิอาจรับรองความปลอดภัยได้ อย่างไรก็ต้องเชิญหมอมารักษาสักหน่อย

“ที่นี่ยังมีงูอีกหรือไม่” ได้ยินเจินเมี่ยวพูดว่าจะไป เจี่ยงเฉินก็ถามออกมาด้วยความหวาดหวั่น

เจินเมี่ยวกวาดตามองพุ่มหญ้าป่าไผ่ที่รกชัฏแล้วเอ่ยตามความเป็นจริงว่า “คงจะมีไม่น้อยเลยทีเดียว”

เจี่ยงเฉินใบหน้าขาวซีดไปโดยพลัน แต่เพราะมีศักดิ์ศรีของบุรุษอยู่จึงมิอาจพูดฉุดรั้งนางไว้ ทว่าแววตากลับเผยความหมายนั้นออกมาอย่างชัดเจนรุนแรง

ญาติผู้น้อง เจ้าจะทิ้งข้าให้อยู่ที่นี่คนเดียว คิดจะให้ข้าตายหรือไร?

เจินเมี่ยวก้มหน้าต่ำอยู่เงียบๆ นางเข้าใจความหมายในแววตาคู่นั้น ทั้งเงยหน้าขึ้นมองขอบฟ้าอย่างมิอาจอดกลั้น นางลอบภาวนาอยู่เงียบๆ ได้แต่หวังว่าเจินปิงจะจำได้แล้วส่งใครสักคนมารับพวกเขา

คำอธิษฐานของเจินเมี่ยวคงสูญเปล่าเสียแล้ว เพราะเมื่อชิงเกออุ้มเจินปิงกลับไปที่เรือน นางก็เอาแต่นอนอ่อนปวกเปียกอยู่บนเตียง

ชิงเกอที่ถือคำสั่งของเจินเมี่ยวดั่งราชโองการก็วิ่งไปที่ห้องครัวใหญ่ และปฏิบัติตามความต้องการของเจินเมี่ยวทุกประการ ชิงเกอใช้เวลาทำน้ำแกงสงบใจไปมากกว่าครึ่งชั่วยามแล้วยกไปให้เจินปิง เมื่อเห็นนางดื่มจนหมดไม่เหลือสักหยด จึงเก็บถ้วยชามจากไปอย่างพึงพอใจ

หลังจากที่เจินปิงหายตกใจแล้ว ร่างกายก็ไร้เรี่ยวแรงไปหมด เมื่อเห็นชิงเกอยังมีท่าทีนิ่งสุขุมจึงเข้าใจว่าได้บอกให้คนไปรับพวกเขาแล้ว แม้จะเป็นห่วงอาการของเจี่ยงเฉิน แต่เพราะตนมีใจเช่นเด็กสาวผู้หนึ่งซ่อนอยู่จึงมิกล้าถามมากความ ได้แต่นอนหลับไปด้วยใจอันหมดห่วง

รอกระทั่งชิงเกอนำตะกร้าใส่อาหารไปคืนห้องครัวใหญ่และกลับไปถึงสวนเฉินเซียง 

สาวใช้ที่นำอาหารเย็นออกมาอุ่นแล้วอุ่นอีกต่างก็เข้าไปล้อมวงถามหาเจินเมี่ยว

จื่อซูพลันรู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างขึ้นในจิตใจ นางเอ่ยถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ชิงเกอ เหตุใดเจ้าจึงกลับมาเพียงคนเดียว หรือนายท่านผู้เฒ่าให้คุณหนูอยู่กินข้าวเย็นเป็นเพื่อน แต่แม้เป็นเช่นนั้น ก็ไม่มีเหตุผลใดที่เจ้าต้องกลับมาก่อน ตอนคุณหนูเดินกลับเรือนจะทำอย่างไรเล่า จะให้บ่าวซึ่งเป็นบุรุษมาส่งเช่นนั้นหรือ”

คุณหนูคงมิได้ล่วงเกินนายท่านผู้เฒ่าจนถูกท่านลงโทษกระมัง?

ในหัวของจื่อซูผู้เข้มงวดนั้นคิดเรื่องที่เหนือความคาดหมายไปกว่านี้ไม่ออกเลยจริงๆ

ชิงเกอยังมิทันนึกอันใดได้จึงตอบไปว่า “ข้าทำตามคำสั่งของคุณหนู พาคุณหนูห้าไปส่งที่เรือนเรียบร้อยแล้ว”

“เรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับคุณหนูห้า” จื่อซูรู้สึกยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจ

ไป่หลิงคือผู้ที่ดูแลชิงเกอโดยตรง นางจึงเอ่ยด่าทออย่างตรงไปตรงมากว่าจื่อซูยิ่งนัก “เจ้าคนโง่งมพูดจาไร้สาระอันใดกัน คุณหนูของพวกเราเล่าเหตุใดจึงไปเกี่ยวพันกับคุณหนูห้าได้”

“คุณหนูพบกับคุณหนูห้าระหว่างทาง แล้วเดินเข้าไปสนทนากันในป่าไผ่ ข้าได้ยินเสียงร้องตกใจจึงวิ่งเข้าไปดู พบว่าคุณชายเจี่ยงถูกงูกัด คุณหนูห้าตกใจอย่างยิ่ง คุณหนูจึงกำชับให้ข้าไปส่งคุณหนูห้ากลับเรือน”

จื่อซูและไป่หลิงสบตากัน คนทั้งสองเริ่มรู้สึกถึงลางร้าย จึงเอ่ยขึ้นพร้อมกันว่า “เช่นนั้นคุณหนูเล่า! ”

“คุณหนู คุณหนูก็ยังอยู่ในป่าไผ่มิใช่หรือ” ชิงเกอเอ่ยออกมาตามเหตุผลที่ควรเป็น

“อันใดนะ! ” บรรดาสาวใช้ต่างหน้าเปลี่ยนสี โดยเฉพาะสาวใช้ที่มีอายุมากหน่อยนั้นสีหน้าย่ำแย่อย่างยิ่ง

เวลานี้แล้วคุณหนูยังอยู่ในป่าไผ่ ทั้งอยู่กับบุรุษด้วย แม้จะเป็นคุณชายเจี่ยงก็ตาม แต่หากถูกคนพบเข้าจะต้องแย่แน่!

“เจ้ามันโง่งม! ” ไป่หลิงโกรธจนตีชิงเกอไปหนึ่งฝ่ามือ แล้วยกเท้าเตรียมวิ่งออกไปข้างนอก

“หยุด! ” จื่อซูเอ่ยขึ้น

“พี่จื่อซู”

“ชิงเกอ ตอนที่เจ้าไปส่งคุณหนูห้ากลับเรือน คุณหนูห้าพูดอันใดบ้างหรือไม่”

ชิงเกอส่ายศีรษะ “คุณหนูห้าตกใจมาก ไม่พูดสิ่งใดแม้เพียงคำ ดื่มน้ำแกงสงบใจหมดแล้วก็นอนเจ้าค่ะ”

จื่อซูผ่อนลมหายใจโล่งอกลงเล็กน้อย กวาดตามองสาวใช้ในเรือนแล้วเอ่ยว่า “ไป่หลิง พรุ่งนี้เจ้ารีบไปเฝ้าที่เรือนคุณหนูห้าแต่เช้าตรู่ ครั้นคุณหนูห้าตื่นก็รีบไปขอพบทันที จำต้องเตือนให้นางรู้ว่ามิอาจเปิดเผยเรื่องในวันนี้ออกไปเด็ดขาด นางอยู่ในเหตุการณ์ด้วย คิดว่าคงเข้าใจความหมายดี”

“เจ้าค่ะ”

“อาหลวน เจ้าจับตาดูคนในเรือนเราไว้ให้ดี หากมีผู้ใดปากมากให้รีบขายออกไปเสีย”

“เจ้าค่ะ”

“ชิงเกอ เจ้าพาข้าไปหาคุณหนู เชวี่ยเอ๋อร์ หลังจากพวกเราไปแล้วประมาณหนึ่งเค่อ เจ้าค่อยบอกคนที่เรือนด้านหน้าให้ออกไปตามหาคุณชายเจี่ยงที่ป่าไผ่ เข้าใจหรือไม่”

“เจ้าค่ะ” สาวใช้ในเรือนต่างเอ่ยรับคำด้วยอารมณ์อันหนักอึ้ง

คุณหนูของนางดูเหมือนจะก่อเรื่องขึ้นมาอีกแล้ว!

ภายในป่าไผ่ ลมพัดพลิ้วไหว เจินเมี่ยวรู้สึกว่าใบหน้าอันบวมเป่งของเจี่ยงเฉินยุบลงไปเล็กน้อยแล้ว จึงเอ่ยด้วยความหวังที่มีเต็มอกว่า “พี่เจี่ยง ท่านเคลื่อนไหวได้แล้วหรือไม่”

เฮ้อ เขาใช้สายตาชนิดนั้นมองนางอีกแล้ว!

เจินเมี่ยวเบี่ยงหน้าไปอีกทางโดยแรง ท้องพลันร้องขึ้นมาทันใด

เจินเมี่ยวมิอาจอดกลั้นต่อความหิวได้ นางสอดสายตาไปรอบทิศ จึงพบเข้ากับปิ่นโตใส่ถั่วหมักซี่โครงนึ่งที่วางอยู่ข้างหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง

“พี่เจี่ยง กินอะไรสักเล็กน้อยหรือไม่”

ริมฝีปากเจี่ยงเฉินสั่นระริกคราหนึ่ง ครั้นมองเห็นเนื้ออันแหลกเละของงูเขียวที่อยู่ข้างๆ ตะกร้าใส่อาหาร เขาก็อ้าปากอาเจียนออกมาทันที

วาสนาบันดาลรัก

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด