icon member

วาสนาบันดาลรัก

ตอนที่ 55

ตอนที่ 55 งู

“วันนั้นหรือ...”

เสียงของดรุณีน้อยนั้นแผ่วเบาดุจเสียงลมที่พัดผ่าน หนุ่มน้อยอดลุกขึ้นเดินเข้าไปใกล้อีกหน่อยเพื่อฟังมิได้

“น้องห้าเหตุใดถามเรื่องนี้เล่า”

“ข้า...ข้าเพียงสงสัย...”

เจินปิงพลันหน้าแดงระเรื่อขึ้นมา เพราะการจ้องมองตาไม่กะพริบของเจินเมี่ยว

เด็กสาวผู้นี้มิใช่กำลังตกอยู่ในห้วงรักกระมัง?

ความคิดนี้ผ่านวูบเข้ามาในหัวของเจินเมี่ยว พลันรู้สึกถึงหายนะบางอย่าง

นางเข้าใจสภาพการณ์ของที่แห่งนี้ดี หากมีเด็กสาวสักคนหวั่นไหวขึ้นมาก่อน จะมีสักกี่คนที่พบจุดจบที่ดี ร่างเดิมก็มิใช่เป็นตัวอย่างที่ยังมีชีวิตอยู่หรอกหรือ?

เจินเมี่ยวนิ่งเงียบไม่พูดเสียที หนุ่มน้อยจึงอดที่จะก้าวเข้าไปใกล้ขึ้นอีกนิดมิได้

หลังต้นไผ่เขียวชอุ่มสามารถมองเห็นรองเท้าสีชมพูเข้มปักลายสาลิกาเคียงเหมยซึ่งโผล่พ้นออกมาจากมุมหนึ่งของกระโปรงสีเขียวอยู่รางๆ

ใบหน้าแดงระเรื่อของเจินปิงเปลี่ยนเป็นขาวซีด ในเวลาที่นางคิดจะล้มเลิกหลีกหนี เจินเมี่ยวก็เอ่ยปากขึ้นว่า “เป็นเจตนาของข้าเอง”

ฝ่าเท้าของเจินปิงดั่งถูกตรึงอยู่กับพื้นดิน

หนุ่มน้อยกลั้นหายใจไว้โดยไม่รู้ตัว

“พี่...พี่สี่ ท่านเจตนา เป็นเพราะ เป็นเพราะ...” เจินปิงมิอาจพูดต่อไปได้

นางไม่ทราบว่าควรถามเจินเมี่ยวว่านางคิดจะปีนป่ายขึ้นที่สูงอย่างที่คนข้างนอกลือกัน หรือเพราะมีความปรารถนาที่ซ่อนอยู่เช่นเดียวกับนาง เป็นความรู้สึกแบบเดียวกัน

ไม่ว่าจะเป็นคำตอบใด พี่สี่ล้วนมิยอมรับกระมัง

เจินปิงพลันรู้สึกเสียใจที่ตนวู่วามเช่นนี้

นางเป็นเพียงดรุณีน้อยอายุสิบสองเท่านั้น ความร้อนรนและเสียใจที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ทำให้ขอบตาของนางแดงก่ำขึ้นมา

เจินเมี่ยวเม้มริมฝีปากผลิยิ้ม ข้างแก้มปรากฏลักยิ้มคู่หนึ่งขึ้น “เป็นเพราะ ข้าอยากจะอยู่กับเขาไปชั่วนิรันดร์”

เสียงของสาวน้อยนั้นเป็นเสียงที่อ่อนโยนอย่างที่มิเคยได้ยินจากสตรีใดมาก่อน แต่ภายในเบื้องลึกแห่งหัวใจของเขากลับรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาหลายส่วน เพราะความอ่อนโยนนั้นมิได้มีไว้เพื่อเขา

ดวงตาเจินปิงพลันสว่างวาบขึ้นทันใด นางจ้องมองเจินเมี่ยวด้วยแววตาเป็นประกาย ใจเต้นตึกตักอย่างมิอาจห้ามได้ เป็นอย่างที่นางคาดเดาไว้ไม่มีผิด พี่สี่นั้นเป็นเช่นเดียวกับนาง

พี่สี่มีความกล้าที่จะทำเรื่องเช่นนั้นจึงสมหวังกับวาสนาที่นางต้องการ เช่นนั้น...นางก็มิใช่สามารถทำได้เช่นกันหรือ?

ความรู้สึกของเจินปิงกำลังพุ่งทะยานขึ้นสูงกลับได้ยินเจินเมี่ยวเอ่ยต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าเสียใจที่ทำเช่นนั้น”

“พี่สี่”

“หากข้ารู้ว่าหลังจากทำเช่นนั้นแล้ว เขาจะรังเกียจข้าถึงเพียงนี้ ข้าจะไม่ทำเด็ดขาด ในสายตาเขา ข้าไม่มีอันใดดีสักนิด เขาไม่มีความสุข เช่นนั้นการอยู่ร่วมกันไปนานแสนนานจะมีอันใดน่าเบิกบานเล่า” เจินเมี่ยวรู้สึกสลดใจยิ่ง นางเอ่ยในใจว่า ‘น้องสาว เจ้ารีบตื่นเสียเถิด’

เมื่อเห็นเจินปิงตกตะลึงเช่นนั้นจึงรีบเอ่ยตอกย้ำไปว่า “น้องห้าข้าจะบอกเจ้าไว้ บุรุษเป็นสิ่งที่แปลกพิสดารที่สุด เขาไม่ชอบเจ้า ไม่ว่าเจ้าทำสิ่งใดก็ผิดทั้งสิ้น โดยเฉพาะการที่เจ้าเผลอใจไปชอบเขา นั่นยิ่งเป็นการทำผิดหนักขึ้นไปอีก”

เจินปิงจ้องมองเจินเมี่ยวเขม็ง ร่างกายสั่นเทิ้มไปหมด

เจินเมี่ยวกะพริบตาอย่างเข้าใจ น้องสาวผู้นี้ช่างมีจิตใจที่เปราะบางเหลือเกิน ทั้งที่นางพูดจาอ้อมค้อมอย่างที่สุดแล้วรู้หรือไม่

“พี่...พี่...พี่สี่...มี...มี...” เจินปิงยกมือชี้ไปที่เจินเมี่ยว น้ำเสียงนั้นสั่นเครืออย่างที่สุด

เจินเมี่ยวเห็นเจินปิงเป็นเช่นนั้นก็ร้อนใจขึ้นมา อยากจะถามออกไปเหลือเกินว่า ที่นางพูดไปนั้นมีเหตุผลใช่หรือไม่

ทว่าหนุ่มน้อยที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นกลับตาถลนออกมาแล้ว

ป่าไผ่เขียวชอุ่ม กิ่งก้านใบทับสลับกันไปมา งูเขียวลายตัวหนึ่งใช้หางของมันเกี่ยวอยู่บนกิ่งไผ่ ส่วนลำตัวนั้นห้อยลงมาด้านล่าง กำลังแลบลิ้นอยู่เหนือไหล่ของเจินเมี่ยว

หนุ่มน้อยรู้สึกว่ามือเท้าเย็นไปหมดจนมิอาจขยับได้ เขากลัวงูเป็นที่สุด!

งูเขียวลายยกตัวอยู่กลางอากาศ มันส่ายตัวไปมากำลังจะเลื้อยลงบนไหล่เจินเมี่ยว

“งู! ” เจินปิงตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่าง ร้องเสียงแหลมออกมาด้วยความตกใจอย่างที่สุด

เวลานี้เองหนุ่มน้อยที่เห็นการเคลื่อนไหวของงูตัวนั้นจึงมีสติคืนมาโดยพลัน เขาร้องขึ้นว่า “ญาติผู้น้อง ระวัง!” แล้วกระโจนเข้าไปดุจบินได้

เพราะเจินปิงร้องเตือนขึ้นก่อน เจินเมี่ยวผู้มีปฏิกิริยาว่องไวจึงหันไปเห็นงูเขียวลายตัวหนึ่งที่มีขนาดเท่าหัวแม่มือกำลังจะเลื้อยมาที่ไหล่ตน ในเวลาไม่เร็วไม่ช้านั้นนางก็ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางบีบหัวงูไว้แล้วขว้างออกไป

หลังจากนั้น...งูก็ถูกโยนไปตรงหน้าเจี่ยงเฉินอย่างพอดิบพอดี

เสียงหนึ่งที่ซึ่งรุนแรงกว่าเรียกกรีดร้องของเฉินปิงดังขึ้น เจี่ยงเฉินที่ยืนอยู่นั้นถึงกับล้มลงบนพื้น

“พี่เจี่ยง! ” เจินเมี่ยวและเจินปิงร้องออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจ

เมื่อเห็นงูเขียวที่กำลังแนบชิดอยู่กับใบหน้าของเจี่ยงเฉิน เจินปิงก็พลันขาอ่อนนั่งลงกองกับพื้นเสียงดังพลั่ก

เจินเมี่ยวพุ่งเข้าไปหาดุจลูกธนู นางจับหางของงูขึ้นแล้วเหยียบเข้าที่หัวของมันโดยแรง

นางรู้สึกถึงความนุ่มนิ่มใต้ฝ่าเท้าและสัมผัสได้ชัดถึงการเคลื่อนไหวอันไหลลื่นของสัตว์เลือดเย็น

รองเท้าปักบ้านี่! เจินเมี่ยวลอบด่าอยู่ในใจ ปลายเท้าจิกหัวงูไว้ สายตากวาดมองรอบทิศ แล้วชี้ไปที่ใต้พุ่มไผ่เขียวพลางเอ่ยว่า “น้องห้า รีบเอาก้อนหินก้อนนั้นมาให้ข้าเร็ว! ”

เจินปิงขาอ่อนไปหมด แม้พยายามลุกขึ้นสักกี่คราก็ทำมิได้ จึงเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือว่า “พี่ พี่สี่ ข้าไม่ไหว...”

“คุณหนู เกิดอันใดขึ้นเจ้าคะ! ” กิ่งไผ่ถูกแหวกออก ชิงเกอพุ่งเข้ามาด้วยความร้อนรน

“ชิงเกอ เจ้ารีบไปเก็บก้อนหินมาให้ข้าเร็ว” เจินเมี่ยวเอ่ยเร่งเร้า

ชิงเกอสาวใช้ร่างท้วมกวาดตามองคราหนึ่ง แล้วตรงไปอุ้มหินก้อนใหญ่ที่มีน้ำหนักประมาณห้าสิบจิน1 เดินมาหา

เจินเมี่ยวยกมุมปากตนขึ้น

“ข้ายกเท้าขึ้น เจ้าก็ทุ่มลงไปเลยนะ อย่าให้ทับเท้าตนเชียวล่ะ”

รองเท้าปักอันนุ่มนิ่มของเจินเมี่ยวแทบจะกดงูเขียวลายที่กำลังดิ้นพล่านอยู่นั้นไม่ได้อีกต่อไปแล้ว นางยกกระโปรงแล้วถอนฝ่าเท้าขึ้นวิ่งไปทางเจี่ยงเฉินอย่างรวดเร็ว

ได้ยินเพียงเสียงตึงเสียงหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลัง เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นเจ้างูตัวนั้นถูกก้อนหินทับร่างไว้พอดี มีแค่บริเวณหัวและหางที่โผล่ออกมาจากก้อนหินเพียงเล็กน้อย

ชิงเกอปรบมือด้วยความพอใจยิ่ง หัวเราะพลางหันไปเอ่ยกับเจินเมี่ยวว่า “คุณหนู งูนี่ตายอย่างไม่รู้จะตายอีกได้อย่างไรแล้วเจ้าค่ะ ” พูดพลางถูมือไปมาด้วยความเสียดาย “น่าเสียดาย ถูกทับถึงเพียงนี้คงทำน้ำแกงงูมิได้แล้ว”

เสียงโอ้กอ้ากดังขึ้น เจินปิงกำลังใช้สองมือยันพื้นแล้วอาเจียนออกมาอย่างบ้าคลั่ง

“ชิงเกอ เจ้าส่งคุณหนูห้ากลับไปก่อน”

หากเป็นสาวใช้อื่นได้ยินเจินเมี่ยวเอ่ยเช่นนี้คงถามออกไปเป็นแน่ว่า “คุณหนู แล้วท่านล่ะ”

แต่เพราะเป็นชิงเกอสาวใช้ผู้ซื่อบื้อ เมื่อได้ยินเจินเมี่ยวกล่าวเช่นนั้นก็พยักหน้ารับคำทันทีโดยไม่ถามสักนิด นางอุ้มเจินปิงวิ่งไปราวพายุหมุน รวดเร็วเสียจนเจินเมี่ยวยังรู้สึกไม่อยากจะยอมรับ

ไม่นานชิงเกอก็หวนกลับมาอีก “คุณหนู ต้องไปส่งคุณหนูห้าที่ใดเจ้าคะ”

เจินเมี่ยวแทบจะพ่นโลหิตออกมา นางเอ่ยอย่างหมดแรงว่า “ส่งที่เรือนคุณหนูห้า แล้วเอาเงินไปซื้อของที่ห้องครัวใหญ่ ทำน้ำแกงสงบใจให้คุณหนูห้าด้วย”

“เจ้าค่ะ” ครั้งนี้ชิงเกออุ้มเจินปิงไปจริงๆ แล้ว เหลือเพียงกิ่งไผ่สีเขียวซึ่งซ้อนทับสลับกันอยู่พัดโอนเอนไปมาไม่หยุด

“พี่เจี่ยง ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”

สองข้างแก้มของเจี่ยงเฉินบวมเป่งดุจหัวสุกร รอยเขี้ยวคู่หนึ่งที่ประทับลงใบบนหน้านั้นถูกเนื้อเบียดจนแทบจะมองไม่เห็นแล้ว ริมฝีปากหนาเอ่ยอย่างไร้เรี่ยวแรงเป็นที่สุด “เจ้าว่าอย่างไรเล่า”

หากรู้ว่าญาติผู้น้องกล้าหาญเพียงนี้ เขาจะกระโจนเข้ามาด้วยเหตุใดกัน ทั้งทำให้นางต้องมาเห็นเขาในสภาพเช่นนี้อีก!

หนุ่มน้อยเสียใจอย่างที่สุดพร้อมกับหน้ามืดหมดสติไป 

[1] จิน เป็นหน่วยวัดของจีน หนึ่งจินประมาณห้าร้อยกรัม หรือครึ่งกิโลกรัม

วาสนาบันดาลรัก

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด