ตอนที่ 54
ตอนที่ 54 ณ ป่าไผ่ลึก
“เอ๊ะ เจ้าสี่ กล่าวเช่นนี้เจ้ามิละอายใจหรือ หากองค์หญิงมิชอบเจ้าจะทรงให้เข้าเฝ้าทุกๆ สิบวันด้วยเหตุใด” นางหลี่เอ่ยอย่างไม่พอใจ
เมื่อได้ยินเสียงอันแหลมสูงของนางหลี่ เจินเมี่ยวก็รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมา
“ท่านป้ารอง ข้าพูดอันใดมิได้จริงๆ ”
ไม่มีแท่งเหล็กแหลมก็อย่าคิดซ่อมเครื่องกระเบื้องเคลือบ1 เสียดีกว่า มิต้องพูดถึงว่านางช่วยได้หรือไม่ เพราะอย่างไรหากนางหลี่คิดจะให้น้องสาวทั้งสองเป็นสหายเล่าเรียนขององค์หญิงจริงนางก็รู้สึกว่าตนมิควรไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
อยู่ใกล้กษัตริย์ประดุจอยู่กับพยัคฆ์ หากภายหน้ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้น นางหลี่อาจตำหนิว่านางเป็นคนจัดการให้น้องสาวทั้งสองไปเป็นสหายเล่าเรียนขององค์หญิงก็ได้
นางหลี่ยังมิตัดใจ “เจ้าเด็กคนนี้ ลองก็ยังมิได้ลอง เหตุใดจึงเอ่ยวาจาเช่นนี้เล่า หรือเพราะความปากไวของอวี้เอ๋อร์ นางพูดอันใดให้เจ้ามิพอใจหรือไม่เจ้าอย่าได้ใส่ใจเลย นางยังเป็นเพียงเด็กน้อยเท่านั้น”
“ข้าพูดอันใดมิได้จริงๆ ” เจินเมี่ยวยังคงส่ายศีรษะ
นางหลี่ร้อนใจยิ่ง “เจ้าสี่ เจ้าทำเช่นนี้มิใช่ใจดำเกินไปหรือ เจ้าก็ทราบดีว่าจวนปั๋วของเราหากเสื่อมเสียก็เสื่อมเสียไปหมด หากมีเกียรติก็มีเกียรติด้วยกันทั้งสิ้น ถ้าน้องสาวทั้งสองของเจ้ามีอนาคตที่ดี เจ้าย่อมต้องได้รับผลดีไปด้วยมิใช่หรือ”
เจินเมี่ยวยังคงส่ายหน้า
ในที่สุดนางหลี่ก็โมโห “เจ้าสี่ วันนี้ข้าผู้เป็นป้าจะถามเจ้าเพียงคำเดียว เรื่องครั้งนี้เจ้าจะช่วยหรือไม่ช่วย”
“ข้าพูดอันใดไม่ได้” ครั้งนี้เจินเมี่ยวตอบอย่างฉะฉานยิ่ง
นางหลี่สูดลมหายใจเข้าโดยแรง เพื่ออดกลั้นมิให้ตนกระโดดเข้าไปข่วนใบหน้างดงามตรงหน้าตน นางชี้หน้าเจินเมี่ยวแล้วเอ่ยว่า “เอาเถิด เจ้าสี่ เจ้าช่างดีเหลือเกิน! ”
กล่าวจบก็หมุนกายสะบัดแขนเสื้อจากไปทันที
กระทั่งกลับถึงเรือน ฝ่ามือที่สั่นเทาไปด้วยโทสะของนางก็ยังมิสงบลง
นางโกรธแทบตายแล้วรู้หรือไม่ เจ้าเด็กสมควรตายนั่น ช่างมีอุปนิสัยดื้อด้านและแปลกประหลาดยิ่ง!
“ท่านแม่ ท่านเป็นอันใดหรือ” เจินปิง เจินอวี้เดินเข้ามาเห็นนางหลี่หน้าเขียวคล้ำดุจเหล็กจึงเอ่ยถาม
นางหลี่พลันพบทางระบายจึงเอ่ยออกมารวดเดียวดุจประทัดที่ถูกจุด “ก็เจินเมี่ยวเด็กสมควรตายนั่นปะไร วันนี้ข้าไปขอร้องให้นางช่วย นางกลับไม่เห็นแก่หน้าข้าสักนิด! ทำให้ข้าโมโหแทบตายแล้ว”
เจินอวี้ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ “ท่านแม่ มีเรื่องอันใดที่พี่สี่ช่วยท่านได้กัน”
นางหลี่กลอกตาให้เจินอวี้คราหนึ่ง เอ่ยด้วยโทสะว่า “เจ้าเด็กโง่ มิได้ยินหรือว่าองค์หญิงกำลังจะเลือกสหายเล่าเรียนแล้ว ต่อไปเจินเมี่ยวต้องได้เข้าวังบ่อยๆ หากสามารถพูดจาแทนพวกเจ้าได้ ย่อมได้เปรียบกว่าผู้ใด! ”
เจินอวี้หัวเราะ “ท่านแม่ พี่สี่จะพูดอันใดได้ อีกอย่าง ข้าก็มิได้อยากเข้าวังไปเป็นสหายเล่าเรียนเสียหน่อย”
วันนั้นนางได้พบกับองค์หญิงฟางโหรวแล้ว เห็นชัดว่ามิใช่ผู้ที่จะพูดคุยอันใดด้วยโดยง่าย
นางหลี่ยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก “เจ้ามันเป็นเด็กโง่งม เจ้ามิรู้หรือไรว่าการเป็นพระสหายเล่าเรียนนั้นมีข้อดีมากเพียงใด จวนเจี้ยนอานปั๋วของเรานั้นมิสูงศักดิ์มิต่ำต้อย การแต่งงานในอนาคตของพวกเจ้าจะเป็นเช่นไรยังไม่รู้แน่แต่หากเป็นพระสหายเล่าเรียนขององค์หญิง ย่อมต่างไป ยังมิต้องกล่าวถึงโอกาสที่จะได้แต่งงานกับตระกูลสูงศักดิ์ แต่ภายหน้าตระกูลสามีเจ้าก็จะให้เกียรติเจ้าไม่น้อยเลย”
เจินอวี้หันหน้าหนีแล้วบ่นพึมพำว่า “อย่างไรก็มิใช่เรื่องที่พี่สี่จะช่วยได้ นางไหนเลยจะมีความสามารถเช่นนั้น”
ที่สำคัญนางก็มิคิดจะเป็นพระสหายเล่าเรียนอันใดนั้นแม้แต่น้อย
แต่งเข้าตระกูลสูงศักดิ์อันใดกัน หากตระกูลตนมิได้แข็งแกร่ง แต่งเข้าตระกูลสูงศักดิ์แล้วอย่างไร?
องค์หญิงที่อภิเษกสมรสออกไปก็ใช่จะดีไปเสียทุกพระองค์ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงพระสหายเล่าเรียนเจินปิงกลับหวั่นไหวขึ้นมา หากนางได้เป็นพระสหายเล่าเรียนขององค์หญิง ท่านป้าใหญ่อาจจะมองนางดีขึ้นมาบ้าง
ไม่แน่...
เมื่อคิดถึงบุรุษหนุ่มผู้สง่างามนั้น เจินเมี่ยวก็หน้าแดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย
นางหลี่ถอนหายใจ “ยังดีที่ปิงเอ๋อร์เข้าใจความลำบากของแม่ ชีวิตของสตรีนั้นนอกจากชาติกำเนิดแล้ว ก็มิใช่ต้องการแต่งเข้าตระกูลดีๆ หรอกหรืออวี้เอ๋อร์ เจ้ามิใช่เด็กแล้ว ต้องคิดให้ได้เสียที แม่มีพวกเจ้าเพียงสองคน วันข้างหน้าไม่ทราบจะเป็นเช่นไร หากมิหวังให้พวกเจ้าได้แต่งกับตระกูลดีๆ แล้วจะให้หวังอันใดเล่า”
นางหลี่ยิ่งพูดอารมณ์ก็หดหู่มากยิ่งขึ้น
ทุกวันนางมักขบขันที่นางเจี่ยงนั้นมิได้รับความรักเท่ากับอนุภรรยาและยังถูกนายท่านผู้สืบทอดหลอกให้เลอะเลือนอีก ทั้งดูแคลนนางเวินที่ตระกูลนางนั้นตกต่ำล่มสลาย สามีทำตนเหลวไหล ความจริงตัวนางเองก็มิได้ดีไปกว่าผู้ใด เพียงแค่ฝืนทำตนเข้มแข็งเท่านั้น
ดังนั้นเรื่องการเข้าไปเป็นพระสหายเล่าเรียนขององค์หญิงในครั้งนี้ นางจะต้องวางแผนเพื่อบุตรสาวให้จงได้!
เจินอวี้เดินออกจากเรือนด้วยความโกรธกรุ่น เจินปิงรั้งมือนางแล้วเอ่ยเตือนว่า “น้องหก เจ้าอย่าได้โกรธเคืองท่านแม่เลย ท่านก็แค่หวังดีต่อพวกเรา...”
“อันใดที่เรียกหวังดีต่อพวกเรา ท่านแม่ทราบหรือไม่ว่าอันใดที่เรียกว่าดี”
เจินปิงขยำอาภรณ์ตนอยู่เงียบๆ “การได้เป็นพระสหายเล่าเรียนขององค์หญิง ย่อมเป็นเรื่องที่ดีมีเกียรติเรื่องหนึ่ง”
เจินอวี้จ้องใบหน้าแดงระเรื่อน้อยๆ นั้นของเจินปิง แล้วแค่นเสียงเย็นเอ่ยว่า “เป็นเกียรติเช่นนั้นหรือเกียรติยศนั้นให้เหล่าบุรุษมีก็พอแล้ว! มันกลายมาเป็นหน้าที่เราตั้งแต่เมื่อใดกันพี่ห้า ท่านแม่บอกว่าข้าไม่เข้าใจเรื่องราว ข้าว่าผู้ใดกันแน่ที่ไม่เข้าใจ”
“น้องหก เจ้ากล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
เจินอวี้ผลักนางคราหนึ่ง “พี่ห้า ความคิดของท่านอย่าคิดว่าข้าไม่รู้ เราเป็นฝาแฝดกันนะ เขามีอันใดดีหนักหนา สายตาเอาแต่มองพี่สี่ พี่ไม่เห็นหรือไร เราก็เกิดในตระกูลสูงศักดิ์เช่นกัน เหตุใดต้องรอให้ผู้อื่นมาเลือกสรรหากท่านป้าใหญ่เห็นว่าพวกเราดี ย่อมต้องพูดแทนพี่แน่ ถ้าดูแคลนเราแล้วเหตุใดเราต้องยื่นหน้าเข้าไปให้ผู้อื่นตบด้วยเล่า”
วาจานี้ทำให้เจินปิงอับอายจนไร้ที่ซ่อนจึงหันหน้าหนีไปไม่สนใจเจินอวี้
“โกรธข้างั้นหรือ” เจินอวี้เม้มปากด้วยความน้อยใจ
เจินปิงยังคงไม่พูดอันใด
เจินอวี้กระทืบเท้าเร่าๆ “เอาล่ะๆ ข้าจะไม่สนใจอีกแล้ว อยากกระทำเช่นไรก็กระทำเถิด”
กล่าวจบก็วิ่งออกไปดุจหมอกควัน ทิ้งให้เจินปิงยืนเช็ดน้ำตาที่ซึมไหลอยู่ตรงทางเดินเพียงคนเดียว
นางแค่เห็นเขาแล้วเกิดรักใคร่ อยากอยู่ด้วยกันกับเขาเท่านั้น
เพียงเท่านี้ก็เป็นคนไร้ยางอายแล้วเช่นนั้นหรือ?
เจินปิงเงยหน้าขึ้นมองแสงทองบนนภาแล้วครุ่นคิดอย่างเหม่อลอย
ครั้นนึกถึงการตกน้ำของเจินเมี่ยวแล้วพลันตื่นเต้นขึ้นมา อยากจะถามเหลือเกินว่านางคิดเช่นใดในยามนั้น
เมื่อเจินเมี่ยวถูกนางหลี่ก่อกวนทำให้ไม่มีอารมณ์รอจนถึงเวลากินข้าวเย็น จึงกำชับให้ชิงเกอนำถั่วหมักซี่โครงที่นึ่งจนเปื่อยแล้วไปให้นายท่านผู้เฒ่า
ระหว่างทางจึงพบเข้ากับเจินปิง
“พี่สี่ ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่านสักหน่อย”
“น้องห้า ข้ากำลังจะไปหาท่านปู่ เจ้าไปรอที่สวนเฉินเซียงก่อนดีหรือไม่”
เจินปิงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น “พี่สี่ ข้าอยากจะพูดกับท่านตอนนี้ เพียงครู่เดียวเท่านั้น ได้หรือไม่”
มองเด็กสาวที่ขอบตาแดงเรื่อนั้นแล้ว เจินเมี่ยวก็พยักหน้า เอ่ยกำชับกับชิงเกอว่า “ชิงเกอ เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะเดินไปทางนั้นกับคุณหนูห้าสักหน่อย”
สองพี่น้องจูงมือกันเดินลึกเข้าไปในป่าไผ่ เจินเมี่ยวมองเจินปิงแล้วยิ้ม “น้องห้าเจ้าอยากจะพูดอันใดหรือ”
ลมพัดโชยมา ต้นไผ่ในป่าไหวเอน เสียงใบไผ่เสียดสีกันดังซ่าๆ แสงสีทองของเส้นขอบฟ้าสาดส่องมายังเจินเมี่ยวที่สวมชุดกระโปรงสีเขียวทำให้เกิดเป็นแสงสีชมพูอ่อน ขับเน้นให้รอยยิ้มของนางดูอ่อนโยนอย่างยิ่ง
เจินปิงเอ่ยปากถามคำถามที่อยู่ในหัวของนางมาเนิ่นนาน “พี่สี่ วันนั้นที่ท่านตกน้ำลงไปพร้อมกับคุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงนั้นเป็นเจตนาของท่านอย่างที่ข้างนอกลือกันหรือไม่” เสียงอันสดใสกังวานของเด็กสาวถูกลมหอบพัดเข้าไปในป่าไผ่ลึก
หนุ่มน้อยผู้สวมอาภรณ์ขาวนวลทั้งร่างกำลังนั่งขัดสมาธิ ตรงหน้ามีโต๊ะหินเตี้ยตั้งอยู่ บนนั้นมีกระดาษปูลาดไว้
ข้อมือที่ยกค้างไว้นั้นมีพลังยิ่ง เพียงสะบัดวาดลงไปก็กลายเป็นปล้องไม้ไผ่สดลำหนึ่ง เมื่อได้ยินเสียงกังวานใสนั้น ข้อมือที่วาดอยู่พลันชะงักค้าง หมึกดำหยดร่วงจากปลายพู่กันทันที
[1] ไม่มีแท่งเหล็กแหลมก็อย่าคิดซ่อมเครื่องกระเบื้องเคลือบ เป็นการเปรียบเปรยว่าหากไม่มีความสามารถก็อย่าได้ไปทำเรื่องที่ตนไม่มีทางทำสำเร็จได้นั้นจะดีกว่า