ตอนที่ 53
ตอนที่ 53 เจี้ยงจู
เจินเมี่ยวหัวเราะแห้งๆ สองคราจึงอธิบายว่า “เหตุผลที่ลงโทษเสี่ยวฉานสถานเบานั้นมีอยู่หลายสาเหตุ หนึ่งคือหากนางไปมอบสิ่งของให้คุณหนูสามกลับมาก็ถูกโบยจนตาย เรื่องที่เดิมคุณหนูสามอาจคิดไม่ถึงสุดท้ายก็อาจจะคาดเดาไปได้ สอง การที่นางเลือกพูดเรื่องนี้ออกมาเองแสดงว่าอุปนิสัยเดิมนั้นไม่เลวเลย สามในชีวิตคนเราย่อมต้องเคยทำผิด ความผิดบางอย่างนั้นไม่มีโอกาสให้กลับมาแก้ตัว แต่เสี่ยวฉานนั้นโชคค่อนข้างดี ในเมื่อไม่ถูกจับได้ ข้าผู้เป็นนาย เหตุใดถึงจะไม่โอกาสนางสักครั้งเล่า สาวใช้ที่เคยทำผิดและรู้จักแก้ไขเปลี่ยนแปลง ย่อมมีประโยชน์กว่าสาวใช้ที่เปรียบดั่งกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง”
กล่าวถึงตรงนี้ เจินเมี่ยวก็มองจื่อซูด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนว่าเหตุผลเหล่านี้ล้วนมิสำคัญเท่าเหตุผลสุดท้าย”
“เหตุผลใดเจ้าคะ”
“เพราะพี่จื่อซูมีความสามารถมากอย่างไรเล่า หากท่านใส่ใจสักหน่อย ต่อไปข้าก็จะมีสาวใช้เก่งกาจเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนว่าหรือไม่”
“คุณหนู! ” จื่อซูที่นิ่งสุขุมเสมอมาก็ยังอดกระทืบเท้าไม่ได้ นางหมุนกายเดินออกไปจากห้องทันที
ผ่านไปไม่นาน อาหลวนก็เข้ามา ย่อกายทำความเคารพแล้วเอ่ยว่า “คุณหนู ให้บ่าวปรนนิบัติท่านพักผ่อนสักครู่เถิดเจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวพยักหน้า วันนี้มีเรื่องมากมายนัก นางรู้สึกเหนื่อยล้าจริงๆ
อาหลวนปลดเครื่องประดับ คลายมวยผมให้เจินเมี่ยวเงียบๆ แล้วประคองนางให้นอนลง
พระอาทิตย์เคลื่อนคล้อยไปยังประจิมทิศ เมฆาทอแสงสีแดงดุจเปลวเพลิงทอดยาวเป็นผืนดุจไหมงดงามวางทาบประดับท้องนภาสีครามสะอาดใสนั้น
บรรดาสาวใช้น้อยต่างนั่งพูดคุยพลางแกะเม็ดแตงอยู่บนขั้นบันไดหิน
“พวกเจ้าได้ยินหรือไม่ว่าคุณหนูให้พี่ไป่หลิงนำเครื่องเงินไปตีปิ่นบุปผาและแหวน คุณหนูพูดเองว่าถึงตอนนั้นจะแบ่งให้พวกพี่สาวทุกคน” ผู้ที่พูดคือสาวใช้น้อยที่ยังไม่มีขั้นลำดับอันใด
สาวใช้คนอื่นๆ ล้วนมีสีหน้าตื่นเต้นสนใจขึ้นมา
มีเพียงสาวใช้ที่มีไฝตรงระหว่างคิ้วผู้เดียวที่เอ่ยอย่างเกียจคร้านขึ้นว่า “จะตื่นเต้นอันใด ปิ่นบุปผานั้นมอบให้พวกพี่สาวมิใช่พวกเราเสียหน่อย”
เพียงประโยคเดียวก็ทำให้สาวใช้น้อยหลายคนมีสีหน้าสลดลงทันที
ผ่านไปนาน สาวใช้น้อยผู้หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นด้วยความอิจฉาว่า “พี่สาวพวกนั้นช่างโชคดีจริงๆ คุณหนูอุปนิสัยดียิ่ง นอกจากครั้งนั้นที่ทำโทษให้พี่เสี่ยวฉานทบทวนความผิดอยู่ในห้อง ก็น้อยนักจะทำโทษผู้ใด ยามมีของอร่อยล้วนแบ่งให้เหล่าพี่สาวเสมอ บัดนี้คุณหนูกลับยิ่งมีน้ำใจกว้างใหญ่มอบให้กระทั่งเครื่องประดับ”
บรรดาสาวใช้น้อยต่างพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง
ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่น อาหารที่พี่ชิงเกอทำหลายๆ อย่าง แม้แต่พวกนางที่เป็นสาวใช้ไร้ระดับขั้นยังเคยชิมอยู่หลายครา
“พวกเจ้าได้ยินหรือไม่ว่าพี่เสี่ยวฉานถูกทำโทษอีกแล้ว” สาวใช้น้อยผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางลึกลับ
“หา! นางทำผิดอันใดอีกหรือ”
“เรื่องนั้นข้าไม่ทราบ พวกเจ้าว่าพี่เสี่ยวฉานทำผิดครานี้จะถูกไล่ออกไปหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นตำแหน่งสาวใช้ขั้นสามมิใช่จะว่างลงหรอกหรือ...”
สาวใช้ที่มีไฝตรงระหว่างคิ้วจึงแค่นหัวเราะพลางกล่าวว่า “พวกเจ้าช่างใจกล้านัก เรื่องของคุณหนูกับเหล่าพี่สาว มิใช่เรื่องที่เราจะมาถกเถียงกันได้ อีกอย่างหากเราตั้งใจทำงาน ผ่านไปนานเข้าคุณหนูและพี่สาวผู้ดูแลก็ย่อมเห็น จักต้องมีสักวันที่เราจะโดดเด่นขึ้นมา แล้วยามนี้จะคิดเรื่องที่ไร้แก่นสารเหล่านี้ไปไยกัน”
มีสาวใช้น้อยบางคนเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วยว่า “ข้ามิได้ใจกว้างเช่นเจ้า ข้าอิจฉาบรรดาพี่สาวที่โชคดีเช่นนั้นแล้วอย่างไร! ”
“สาวใช้เด็กๆ เช่นพวกเจ้ามิรู้จักทำงาน มาหยอกล้อพูดคุยอันใดกันอยู่! ” จื่อซูยืนเอ่ยตำหนิอยู่บนบันไดหิน
“สุขสวัสดิ์พี่จื่อซู” จื่อซูนั้นเข้มงวดมากขึ้นทุกวัน เหล่าสาวใช้น้อยล้วนหยุดการสนทนาดั่งจักจั่นในเหมันต์ฤดูลงทันที
จื่อซูมองสาวใช้ที่มีไฝอยู่ระหว่างคิ้วคราหนึ่ง เอ่ยเสียงราบเรียบว่า “แยกย้ายไปทำเรื่องที่ตนสมควรกระทำได้แล้ว ส่วนเจ้าอยู่ก่อน”
บรรดาสาวใช้น้อยต่างแยกย้ายกันไปทันที
สาวใช้ที่มีไฝอยู่ระหว่างคิ้วนั้นย่อกายทำความเคารพคราหนึ่ง “พี่จื่อซูมีอันใดกำชับข้าหรือ”
“เจ้าชื่ออันใด”
“เจี้ยงจูเจ้าค่ะ”
จื่อซูครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ข้าคิดออกแล้ว เจ้าเป็นผู้ที่มาแทนชิงเฉ่าเมื่อไม่นานมานี้ใช่หรือไม่”
ชิงเฉ่าเป็นหลานสาวของหญิงรับใช้สกุลหลี่ที่ทำงานในโรงซักผ้า ก่อนหน้านี้เกิดเป็นโรคหัด สาวใช้น้อยที่ยังมิได้มีระดับขั้นใดนั้นย่อมต้องถูกส่งกลับคืน และให้รับผิดชอบด้วยการส่งคนมาแทน
จื่อซูมองเจี้ยงจูอย่างละเอียดคราหนึ่ง เห็นว่านางหน้าตาหมดจด ตรงระหว่างคิ้วยังมีไฝอยู่เม็ดหนึ่งยิ่งเพิ่มความสดใสมากขึ้นอีกหลายส่วน จึงลอบพยักหน้าเงียบๆ
สาวใช้ผู้นี้นั้นมีศักยภาพที่ดีอยู่หลายส่วน เก็บไว้ข้างกายสักสองปีก็สามารถรับผิดชอบงานด้วยตัวคนเดียวได้แล้ว คุณหนูก็จะมีคนเก่งไว้ใช้งานเพิ่มอีกหนึ่งคน
นางเฝ้ามองมานาน อุปนิสัยของเสี่ยวฉานแม้มิเลวร้ายแต่นางชอบสืบเสาะข่าวสาร การให้รับหน้าที่สำคัญนั้นมิใคร่เหมาะสมนัก
“หญิงรับใช้สกุลหลี่เป็นอันใดกับเจ้า”
“เป็นน้องสาวของท่านยายข้าเจ้าค่ะ” เจี้ยงจูกล่าว
“น้องสาวของยายแล้วบิดามารดาเจ้าเล่า”
เจี้ยงจูก้มหน้าคอตก เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “บ้านข้าไม่เหลือใครแล้ว ท่านยายมีใจเมตตาจึงรับข้ามาเลี้ยงดูเจ้าค่ะ”
ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง จื่อซูพึมพำ มิน่าเล่าถึงได้อายุสิบเอ็ดสิบสองแล้ว เพราะเด็กสาวที่เกิดในตระกูลเช่นนี้อายุเพียงเจ็ดแปดปีก็ให้เข้ามาทำงานที่จวนแล้ว
“ต่อไปให้เจ้าติดตามข้า เป็นผู้ช่วยข้าแล้วกัน”
“ขอบพระคุณพี่จื่อซู” ใบหน้าเจี้ยงจูเผยความยินดีที่พอเหมาะยิ่ง
จื่อซูพยักหน้าเงียบๆ อายุมากกว่าสาวใช้น้อยทั่วไปเล็กน้อยแต่กลับสุขุมยิ่ง
“พี่จื่อซู ฮูหยินรองมาเจ้าค่ะ คุณหนูตื่นแล้วหรือไม่” เชวี่ยเอ๋อร์เดินเข้ามาถาม
“ฮูหยินรอง” จื่อซูเลิกคิ้วขึ้น ไม่มีอันใดแท้ๆ ฮูหยินรองมาด้วยเหตุใด?
“ฮูหยินรองเล่า”
เชวี่ยเอ๋อร์ชี้ไปที่ด้านนอก “อยู่ด้านนอกเจ้าค่ะ”
จื่อซูตีเชวี่ยเอ๋อร์ทีหนึ่ง “เหลวไหล รองฮูหยินมา มีเหตุผลอันสมควรใดให้นางไปรอด้านนอก รีบเชิญมานั่งที่ห้องโถงเร็วเข้า ข้าจะไปปลุกคุณหนู”
เชวี่ยเอ๋อร์เอ่ยตะกุกตะกักว่า “ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวยังคงงัวเงียอยู่บ้าง เพราะนางปล่อยผมจึงต้องใช้เวลาพอสมควรในการแต่งตัวและทำผม หลังจากนั้นจื่อซูก็ประคองนางไปที่ห้องโถง
ฮูหยินรองสกุลหลี่กำลังนั่งรออยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เมื่อเห็นเจินเมี่ยวเดินมา เดิมคิดจะเผยสีหน้ายิ้มแย้มแต่เพราะถูกลากไปรอด้านนอกและถูกปล่อยให้รอในห้องโถงเสียนาน จึงเกิดโทสะขึ้นในใจ สุดท้ายทำเพียงเอ่ยด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “เจ้าสี่ กลางวันฟ้ายังสว่างอยู่แท้ๆ เหตุใดจึงได้นอนหลับนานเพียงนี้”
เจินเมี่ยวกะพริบตาปริบๆ “วันนี้ที่เข้าวังไปนั้น ข้ามิกล้าแม้แต่จะหายใจแรงจึงรู้สึกเหนื่อยมากจริงๆ ท่านป้ารองหาข้ามีธุระอันใดหรือ”
เมื่อได้ยินคำว่าเข้าวัง นางหลี่ก็แย้มยิ้มเต็มหน้า “เจ้าสี่ วันนี้ที่เจ้าบอกว่าองค์หญิงกำลังจะเลือกสหายเล่าเรียนนั้นเป็นเรื่องจริงหรือ”
“ฝ่าบาททรงตรัสเช่นนั้น คงมิใช่เรื่องเท็จกระมัง”
“ใช่ๆๆ ปากข้านี้เหลือเกินจริง อืม น้องสาวทั้งสองของเจ้าก็อายุสิบสองแล้ว ช่วงอายุตรงกับเกณฑ์ที่กำหนดไว้พอดี”
เจินเมี่ยวออกจะตกใจอยู่บ้าง “ท่านป้ารองคิดจะให้น้องห้าน้องหกเป็นสหายเล่าเรียนขององค์หญิงหรือ”
องค์หญิงแสนป่าเถื่อนเช่นนั้น ป้ารองคิดจะผลักบุตรสาวตนเข้าสู่กองไฟหรือไรกัน
เห็นน้ำเสียงเจินเมี่ยวไม่ค่อยดี นางหลี่จึงจับลูบมวยผมตน “เจ้าสี่ เจ้าก็อายุเกินเกณฑ์แล้ว มิสู้ช่วยเหลือน้องสาวสักหน่อย ดีกว่าปล่อยให้ผู้อื่นคว้าไป”
“จะช่วยอย่างไรหรือ” เจินเมี่ยวคิดว่าวาจานี้ของนางหลี่ช่างแปลกประหลาดนัก
“เจ้ามิใช่ต้องเข้าวังทุกสิบวันหรอกหรือ เข้าวังครั้งหน้าก็พูดเรื่องดีๆ ของน้องสาวทั้งสองของเจ้าให้องค์หญิงฟังสักหน่อย ได้ยินว่าองค์หญิงฟางโหรวเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทยิ่ง หากองค์หญิงบอกต้องการผู้ใด ฝ่าบาทก็คงจะทรงเห็นด้วยเป็นแน่”
เจินเมี่ยวส่ายหน้าไปมา “ท่านป้ารอง ข้ามิอาจพูดอันใดต่อหน้าองค์หญิงได้”