ตอนที่ 50
ตอนที่ 50 คาดเดา
เจินเมี่ยวเลือกเอาเครื่องประดับจากชั้นสามและชั้นสี่ออกมา ของภายในนั้นจึงลดลงไปมาก
ส่วนชั้นหนึ่งและชั้นสองล้วนเป็นสิ่งของที่เคยใช้ในวัยเยาว์ จะมากจะน้อยก็มีความทรงจำซ่อนอยู่ในนั้น นางจึงมิได้แตะต้อง
“อาหลวน ประเดี๋ยวเจ้าช่วยจดบันทึกรายชื่อสิ่งของที่อยู่ในตู้เครื่องประดับนี้ใหม่หน่อยเถิด อืม ใช่แล้ว เอาเครื่องประดับผมชุดทองฝังหยกที่ฮูหยินผู้เฒ่ามอบให้เมื่อวานมาเก็บที่ชั้นห้าด้วย ของล้ำค่าที่สร้างความกดดันให้คนเช่นนั้น ข้าคงมิเหมาะที่จะใส่ในตอนนี้”
“แล้วเครื่องประดับที่คุณหนูนำกลับมาเมื่อวันก่อนเล่าเจ้าคะ” อาหลวนถาม
“นำกำไลหยกเนื้อใสน้ำงามนั้นใส่ไว้ในนี้ ของอย่างอื่นเอาไปเก็บใส่กล่องเครื่องประดับไว้ก่อนข้าจะจัดการเอง”
ต่อไปนางต้องเข้าวังทุกๆ สิบวัน สักวันอาจได้พบกับชูสยาจวิ้นจู่ หากนางเห็นว่าตนใส่กำไลของนาง นั้นมิใช่เป็นการปลุกความแค้นขึ้นมาอีกหรอกหรือ
เครื่องประดับที่เหลือนั้นอันใดเป็นของพี่สาวน้องสาวย่อมต้องคืนให้พวกนาง ส่วนเครื่องประดับที่ได้มาจากการชนะ แม้นมิเลวเลยแต่ก็ไม่มีอันใดพิเศษ ประเดี๋ยวจะให้พี่สาวน้องสาวมาเลือกเอาคนละชิ้น ที่เหลือก็เก็บไว้ใส่บ้างบางโอกาส
“เอาล่ะ พวกเจ้าไปทำงานเถิด ให้เชวี่ยเอ๋อร์กับเสี่ยวฉานไปเชิญคุณหนูรอง คุณหนูห้า คุณหนูหกมาที่นี้ด้วย” กล่าวจบเจินเมี่ยวก็ก้าวเท้าออกจากห้องตะวันตกไป
เจินเมี่ยวกลับถึงห้อง นั่งพักอยู่ครู่หนึ่ง เจินเหยียนก็มาถึง
“พี่รอง นั่งก่อนเถิด” เจินเมี่ยวดึงเจินเหยียนให้นั่งลง แล้วนำเครื่องประดับเหล่านั้นมาให้นางดู
เจินเหยียนยื่นมือมาดีดที่หน้าผากเจินเมี่ยวคราหนึ่ง กล่าวอย่างขบขันว่า “น้องสาวแสนดีของข้า รีบเก็บอาการป่าเถื่อนนั้นของเจ้าเสีย”
เจินเมี่ยวมิได้เอ่ยตอบเพียงยิ้มตาหยีให้นางแล้วยัดกำไลริ้วทองคู่นั้นใส่มือเจินเหยียน
เจินเหยียนยิ้มแล้วกล่าวว่า “น้องสี่ โชคดีที่เจ้าชนะ ข้ายังคิดไปว่ากำไลคู่นี้คงไม่ต่างกับการโยนซาลาเปาไส้เนื้อตีสุนัขเสียแล้ว”
“ที่ตีคือสุนัขแน่ เพียงแต่กำไลนี้นั้นมิใช่ซาลาเปาไส้เนื้อ” เจินเมี่ยวกะพริบตาปริบๆ
เจินเหยียนปิดปากหัวเราะร่า
ครั้นเห็นเจินเหยียนหัวเราะสดใสดุจบุปผางามเช่นนั้นแล้ว เจินเมี่ยวก็เกิดความรู้สึกเศร้าใจขึ้นมาเล็กน้อย
อีกไม่นานพี่รองที่แสนงดงามผู้นี้ก็ต้องกลายเป็นเจ้าสาวของผู้อื่นแล้ว
“พี่รอง เครื่องประดับพวกนี้ท่านชอบชิ้นใด เลือกเอาไปได้เลย” เจินเมี่ยวเก็บซ่อนอารมณ์ตนไว้ เอ่ยออกไปอย่างยิ้มแย้ม
เจินเหยียนมองดูเครื่องประดับเหล่านั้นด้วยสายตาราบเรียบมิได้มีความตื่นเต้นสนใจอย่างสตรีทั่วไปให้เห็นแม้เพียงน้อยนิด นางขยับเข้าไปนั่งข้างเจินเมี่ยวแล้วเอ่ยว่า “น้องสี่ เจ้าเล่าให้ข้าฟังทีว่าเข้าวังไปครั้งนี้มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นบ้าง แล้วการเข้าวังทุกๆ สิบวันนี้มีที่มาเช่นไร”
เจินเมี่ยวมิได้คิดจะปิดบังเจินเหยียนแม้แต่น้อย นางเล่าเรื่องการเข้าวังครั้งนี้ให้เจินเหยียนฟังทั้งหมด
เจินเหยียนฟังแล้วหน้าขรึมลงไปเล็กน้อย “กล่าวเช่นนี้ หวงโฮ่ว เจี่ยงกุ้ยเฟย องค์หญิงฟางโหรวล้วนมีอคติต่อเจ้าทั้งสิ้น ส่วนองค์ชายหกก็มีความประพฤติแทะโลมอยู่บ้างเช่นกัน”
“คงเป็นเช่นนั้นกระมัง” เจินเมี่ยวเอ่ยด้วยท่าทางคอตกหูลู่
เข้าวังครานี้ได้พบผู้สูงศักดิ์เทียมฟ้าถึงห้าพระองค์ คิดไม่ถึงว่าจะมีถึงสี่พระองค์ที่มิชมชอบนาง หรือตอนเข้าวังนางลืมพกกิริยาผู้ดีเข้าไปด้วยงั้นหรือ?
เจินเหยียนลูบศีรษะเจินเมี่ยวอย่างอดไม่ได้ แล้วกล่าววิเคราะห์ให้นางฟังว่า “หวงโฮ่วมีอคติต่อเจ้านั้นสามารถเข้าใจได้ จ้าวหวงโฮ่วเลื่องชื่อในเรื่องรักใคร่หลานสาวอย่างยิ่ง สิ่งที่เจ้าทำในเทศกาลชีซีนั้นเท่ากับเหยียบย่ำชื่อเสียงของจ้าวเฟยชุ่ย พระองค์มิแค้นเคืองก็นับว่าแปลกยิ่งแล้ว”
จ้าวหวงโฮ่วไร้พระโอรส เดิมมีพระธิดาที่ประสูติในวันเดียวกันกับจ้าวเฟยชุ่ย ทว่าเมื่อมีพระชนมายุครบสามพรรษายังมิทันได้แต่งตั้งบรรดาศักดิ์ก็สิ้นพระชนม์ไป นับแต่นั้นก็ทรงถ่ายโอนความรักมาที่จ้าวเฟยชุ่ยทั้งหมด จ้าวเฟยชุ่ยนับว่าเติบโตมาจากในวังก็ว่าได้
“ทว่าการที่เจี่ยงกุ้ยเฟยกลั่นแกล้งเจ้า อาจจะมีสาเหตุมาจากองค์หญิงฟางโหรว วันนั้นข้าก็ดูออกแล้วว่า องค์หญิงฟางโหรวมีอคติต่อเจ้า แต่พวกเจ้ามิเคยพบหน้ากันมาก่อน เรื่องนี้ดูไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย”
เจินเหยียนพูดไปแล้ว พลันเสียงนั้นองค์หญิงฟางโหรวก็ดังขึ้นข้างหู ‘พี่เทียนเฉิง’ ดั่งเสียงฟ้าผ่าลงมากลางใจ นางเอ่ยด้วยใบหน้าอย่างยากที่จะเชื่อ “หรือ...”
ครั้นเห็นใบหน้าที่มักสงบนิ่งอยู่เสมอของเจินเหยียนพลันเปลี่ยนไปในพริบตา เจินเมี่ยวจึงตกใจเสียยิ่ง “พี่รอง เป็นอันใดไปหรือ”
เจินเหยียนมิได้สนใจเจินเมี่ยว นางก้มหน้าครุ่นคิดเรื่องนี้ ความคิดนั้นยิ่งมายิ่งชัดเจน
อาจเพราะอายุขององค์หญิงฟางโหรวทำให้ไม่มีผู้อาวุโสใดฉุกคิดถึงความเป็นไปได้ของเรื่องนี้ แต่นางมิคิดเช่นนั้น อายุสิบปี ไม่นานก็สามารถพูดคุยเรื่องออกเรือนได้แล้ว
“พี่รอง ท่านเป็นอันใดกันแน่”
เจินเหยียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
ไม่ได้ นางมิอาจพูดออกมา
หากน้องสี่ทราบถึงความคิดขององค์หญิงฟางโหรว แล้วเกิดเผยพิรุธเมื่อยามอยู่ในวังก็อาจก่อให้เกิดภัยร้ายแก่ตนเองได้
องค์หญิงฟางโหรวยังทรงเยาว์วัยนัก จึงดื้อดึงเอาแต่พระทัย ได้แต่หวังว่าผ่านไปอีกสักสามสักห้าปีจะทรงลืมมันไปเอง
“ข้าได้ยินมาว่า เจี่ยงกุ้ยเฟยเป็นสตรีที่งามเลิศเพริศแพร้วยิ่ง แม้นองค์หญิงฟางโหรวจะยังมิทันเติบใหญ่ แต่วันหน้าคงงดงามไม่ต่างกัน ข้าเดาว่าเป็นเพราะเห็นเจ้ามีรูปโฉมเฉิดฉันจึงรู้สึกไม่พอพระทัยกระมัง”
“เพราะเหตุผลนี้กระนั้นหรือ” เจินเมี่ยวอ้าปากตาค้าง
เจินเหยียนกระแอมไอคราหนึ่ง “แค็กๆ สตรีก็เป็นเช่นนี้ การเกลียดคนผู้หนึ่ง บางคราก็ไม่มีเหตุผลอันใด”
เจินเมี่ยวปิดหน้าตนไว้
พี่สาว ผู้ที่ถูกเกลียดนั้นคือน้องสาวแท้ๆ ของท่านนะ ท่านกลับบอกว่านางถูกเกลียดด้วยเหตุผลเช่นนี้ ไม่คิดว่ามันจะทำลายศักดิ์ศรีที่เหลืออยู่ของนางเลยหรือไร?
เจินเหยียนรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “น้องสี่ ตอนนั้นองค์ชายหกยังพูดด้วยว่า คุณหนูจวนเจี้ยนอานปั๋วแต่ละคนล้วนเก่งกาจกระนั้นหรือ”
“ใช่ วาจานี้ช่างฟังดูแปลกแปร่งอย่างยิ่ง คล้ายกับว่ารู้จักพี่สาวน้องสาวคนใดในจวนเรากระนั้น” เจินเมี่ยวกล่าวไปแล้วร่างกลับแข็งค้างขึ้นโดยพลัน นางค่อยๆ หันไปสบตากับเจินเหยียน
สองพี่น้องใจเต้นรัวเร็วขึ้นพร้อมกัน ผู้ใดล้วนมิกล้าเอ่ยปากพูดออกมา
“พี่รอง พี่สี่ พวกท่านจ้องตากันไปมาด้วยเหตุใดหรือ” เจินปิงและเจินอวี้จูงมือกันเดินเข้ามา ทำลายความเงียบภายในห้องนี้ไปทันใด
เจินเหยียนปรับสีหน้าตนอย่างรวดเร็ว ยิ้มพลางเอ่ยว่า “เพราะตกตะลึงกับเครื่องประดับอันมากหลายนี้อย่างไรเล่า พวกเจ้ารีบมาเลือกเข้าเถิด ยากนักที่น้องสี่จะใจกว้างอย่างวันนี้”
เจินอวี้เดินเข้าไปอย่างไม่เกรงใจ นางหยิบสร้อยทองแปดทรัพย์ทรงกลมขึ้นมาสองอัน ยื่นให้เจินปิงหนึ่งอัน แล้วกวาดตามมองอีกคราหนึ่งจึงหยิบปิ่นทองขึ้นมา
เจินอวี้เห็นเช่นนั้นก็หยิบปิ่นทองขึ้นมาอันหนึ่งเช่นกัน
“น้องห้า น้องหก ช่างรู้จักห่วงใยน้องสี่นัก” เจินเหยียนพูดพลางหยิบปิ่นทองแบบเดียวกันขึ้นมาหนึ่งอัน
ปิ่นทองเป็นของจ้าวเฟยชุ่ย ทั้งหมดมีหกอัน บัดนี้คนทั้งสามก็เลือกไปแล้วจึงเหลืออีกสามอัน
“ผู้ใดห่วงใยนางกัน ตอนนั้นพวกเราทำเพื่อจวนปั๋วมิใช่เพื่อนางคนเดียวเสียหน่อย เดิมก็มิได้ทำเพื่อของสิ่งใด ปิ่นทองอันเดียวก็พอแล้ว ใช่ว่าพวกเราจะมิเคยพบเห็นของเหล่านี้เสียหน่อย” เจินอวี้กล่าว อย่างมิใคร่สบอารมณ์นัก
เจินเมี่ยวพลันรู้สึกว่าอุปนิสัยของเจินอวี้มิได้น่ารังเกียจปานนั้นแล้ว นางหยิบต่างหูห้อยยาวรูปพระจันทร์เสี้ยวและกระพรวนเครื่องหอมสลักลายยัดใส่ในมือพวกนางคนละชิ้น เอ่ยด้วยรอยยิ้มเต็มหน้าว่า “ในเมื่อมิได้ห่วงข้า เช่นนั้นก็เก็บเอาไว้เถิด”
ครั้นเห็นรอยยิ้มแสนหวานของเจินเมี่ยว เจินอวี้ถึงกับลืมตอบโต้อย่างที่น้อยนักจะพบเห็น
อย่างไรก็ยังคงมีช่องว่างระหว่างกัน เจินปิง เจินอวี้จึงนั่งอยู่เพียงครู่ก็เอ่ยปากขอตัวกลับ
เหลือเพียงเจินเหยียน เจินเมี่ยวที่ยังนั่งอยู่ ผ่านไปครู่ใหญ่ เจินเหยียนจึงเอ่ยปากขึ้นอย่างยากลำบาก “น้องสี่ หาก...หากน้องสามมีความเกี่ยวข้องกับ...คนผู้นั้นจริง งานมงคลของนางเกรงว่าคงต้องถูกยกเลิกอีกแน่”
“เช่นนั้น...เช่นนั้นพี่สามจะเป็นเช่นไรเล่า”
เจินเหยียนแค่นหัวเราะเสียงหนึ่ง “รอดูไปก่อนเถิด บัดนี้นางล้มป่วยอยู่ งานมงคลคงต้องเลื่อนไปอย่างแน่นอน หากคนผู้นั้นไร้เยื่อใย เกรงว่านางอาจป่วยตายหรือไม่ก็ไปใช้ชีวิตอย่างสงบที่หมู่บ้านห่างไกล แต่หากคนผู้นั้นมีใจรัก เกรงว่าพวกเราคงต้องมีพี่น้องเป็นอนุภรรยาแล้ว”
เป็นอนุภรรยาหรือ สมแล้วที่นางปีนป่ายออกมาจากครรภ์ของมารดาที่เป็นอนุภรรยา!