ตอนที่ 49
ตอนที่ 49 ตรวจสอบทรัพย์สิน
ครั้นเจินเมี่ยวก้าวเข้าสู่บริเวณเรือน เหล่าสาวใช้ก็กรูกันเข้ามารุมล้อม
พวกนางทั้งหลายล้วนอาศัยบารมีเจ้านายตน หากเจินเมี่ยวเกิดเรื่องขึ้นก็ไม่มีผู้ใดได้รับผลดีสักคน
ไป่หลิงเดิมเป็นคนฉลาด แม้เห็นสีหน้าท่าทางของเจินเมี่ยวออกจะย่ำแย่อยู่บ้างแต่กิริยายังคงสงบนิ่ง จึงกดคำถามที่คิดจะถามเอาไว้แล้วเอ่ยอย่างยิ้มแย้มว่า “คุณหนูกลับมาแล้ว รีบเข้าเรือนเถิด เรากำลังเคี่ยววุ้นเห็ดหูหนูขาวต้มน้ำตาลบนเตาเล็กอยู่พอดีเลยเจ้าค่ะ”
เมื่อเจินเมี่ยวเข้าไปในเรือน บรรดาสาวใช้ต่างก็คอยมาล้อมหน้าล้อมหลัง บ้างยกน้ำ ส่งผ้าเช็ดหน้าให้ ยื่นต่างหูและปิ่นปักผม ทุกคนต่างวุ่นวายกันอยู่ครู่หนึ่งก็สามารถจัดการให้เจินเมี่ยวกลายเป็นคนใหม่ได้ในพริบตา
อาหลวนเดินอ้อมมาด้านหลังเจินเมี่ยว คอยนวดไหล่ให้นางอยู่เงียบๆ
ชิงเกอสาวใช้ร่างท้วมนั้นถือถ้วยแก้วเบญจรงค์เข้ามายกขึ้นวางต่อหน้าเจินเมี่ยว “คุณหนู เชิญท่านลิ้มชิมวุ้นเห็ดหูหนูขาวต้มน้ำตาลเจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวรับมาแล้วกินไปทีละคำๆ จึงค่อยผ่อนคลายลง
ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมานี้นางใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเหลือเกินแล้ว ต้องยกความดีให้กับเหล่าสาวใช้แสนล้ำค่าของนาง ไม่ต้องกล่าวถึงความนิ่งสุขุมของจื่อซู ความเอาใจใส่ของอาหลวน ความฉลาดหลักแหลมของไป่หลิง แม้แต่ชิงเกอที่นางเลือกมาเพราะเห็นว่ามีพละกำลังมากจะมีพรสวรรค์ด้านการทำอาหารอย่ายิ่ง ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีที่เหนือความคาดหมายเหลือเกิน
“เอาล่ะ พวกเจ้าออกไปเถิด จื่อซูอยู่ก่อน”
บรรดาสาวใช้ต่างทยอยออกไปเป็นแถว จื่อซูหยิบหวีไม้จันทน์สีเขียวสลักลายปีกวิหคจากโต๊ะเครื่องแป้งมาหวีผมให้เจินเมี่ยว
เส้นผมของคุณหนูช่างงามนัก ดกดำเป็นเงาประหนึ่งผ้าต่วนสีดำก็มิปาน ทั้งที่มิชอบทาน้ำมันบำรุงแต่นุ่มลื่นอย่างยิ่ง จื่อซูคิดอยู่ในใจ ทว่าใบหน้ากลับไม่มีอารมณ์ใดๆ ปรากฏทั้งสิ้น
“จื่อซู มีข่าวอันใดของคุณหนูสามบ้างหรือไม่” ผ่านไปนาน เจินเมี่ยวจึงเอ่ยปากถามขึ้น
จื่อซูลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงโน้มตัวลงแล้วกระซิบแผ่วเบาว่า “คุณหนูสามกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวพลันหันหลังไปมองจื่อซู “เช่นนั้น...”
จื่อซูส่ายศีรษะไปมา “รายละเอียด บ่าวมิอาจสืบถามได้จริงๆ ยามนี้บริวารทั้งหลายในจวนต่างไม่มีผู้ใดทราบเรื่องที่คุณหนูสามหายตัวไปหนึ่งคืนแม้เพียงสักคน นายท่านทั้งหลายล้วนบอกว่าคุณหนูสามถูกลมเย็นโกรกตอนที่ไปเที่ยวงานเทศกาลชีซีจนอาการไข้ทรุดหนักขึ้นอีก จำต้องพักฟื้น ฮูหยินผู้สืบทอดกำชับลงมาว่ามิให้คุณหนูทุกท่านไปรบกวนการพักฟื้นของคุณหนูสามโดยเด็ดขาด อืม ดูเหมือนว่าหลานอี๋เหนียงก็ล้มป่วยด้วยเช่นกันเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นหรือ” เจินเมี่ยวถอนหายใจ ปล่อยให้จื่อซูหวีผมให้นางไป
เจินจิ้งเป็นเช่นนี้แล้ว การแต่งงานมิใช่ต้องมีอุปสรรคอีกหรือ?
ผู้อาวุโสทั้งหลายคงมิให้นางป่วยไปตลอดกระทั่ง...ป่วยตายกระมัง...
เจินเมี่ยวปิดเปลือกตาลง รู้สึกหนักอึ้งในอารมณ์เล็กน้อย
จื่อซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยเตือนออกไป “คุณหนู ท่านคิดว่า...จะไปรับจิ่นเหยียนเมื่อใดเจ้าคะ”
เจินเมี่ยวจึงมีสติคืนมา นางเอื้อมมือไปหยิบพัดทรงกลมขึ้นมาปิดบังใบหน้าตนทันที
คำถามนี้ช่างโหดร้ายเหลือเกิน รู้หรือไม่!
ผ่านไปนานจึงมีแรงฟื้นคืนมาเอ่ยตอบคำถามว่า “รอกินข้าวเย็นเสร็จก่อนเถิด”
นางหวังว่าหากฟ้ามืดแล้วเจ้าหงส์แสนดุร้ายนั้นก็จะเข้าสุ่มนอนหลับพักผ่อนพอดี
เรื่องที่ทำให้จิตใจวุ่นวายเกิดขึ้นติดๆ กันทำให้เจินเมี่ยวอารมณ์มิใคร่ดีนัก นางจึงตัดสินใจทำเรื่องที่เบิกบานสักหน่อย
“จื่อซู ไปเรียกอาหลวน ไป่หลิงมาทีเถิด”
จื่อซูหมุนกายเดินออกไปเรียกคนทั้งสองเข้ามา
“คุณหนูมีอันใดกำชับหรือเจ้าคะ”
เจินเมี่ยวกวาดตามองคนทั้งสองคราหนึ่ง
อาหลวนเป็นคนนิ่งเงียบ ละเอียดรอบคอบ ดูแลจัดการเรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์และเครื่องประดับของนาง ไป่หลิงกลับฉลาดคล่องแคล่วดูแลเรื่องติดต่อกับผู้คนและซื้อสิ่งของต่างๆ พวกนางแต่ละคนมีสาวใช้ขั้นสามที่อยู่ใต้บังคับบัญชาอีกสองคน
จื่อซูเป็นผู้ดูแลเรือนและจัดการทรัพย์สินเงินทองรวมทั้งสาวใช้ในเรือนด้วย
ยามนี้สวนเฉินเซียงมีแบบมีแผนมิได้วุ่นวายเละเทะดั่งเมื่อแรกเริ่มแล้ว
“อาหลวน ไปเปิดตู้เครื่องประดับข้าหน่อย ข้าจะดูว่ามีสิ่งใดบ้าง”
ตู้เครื่องประดับที่เจินเมี่ยวกล่าวถึงนั้นมิใช่เครื่องประดับที่ใช้สวมใส่อยู่ทุกวัน แต่เป็นตู้หลังเตี้ยห้าชั้นที่คุณหนูในจวนทุกคนจักต้องมีไว้ตั้งแต่แรกเกิด
ภายในจะมีเครื่องประดับหรือสิ่งที่เคยใช้มาตั้งแต่เยาว์วัย รวมทั้งสิ่งที่สวมใส่ไม่ได้แล้วในยามนี้ ไปจนถึงสิ่งที่ล้ำค่าอย่างยิ่งจนกลัวว่าจะทำหล่นหาย ทุกอย่างที่กล่าวมาล้วนเก็บไว้ในนั้น
คนทั้งสามจึงไปที่ห้องตะวันตก อาหลวนปลดเชือกแดงที่แขวนบนคอตนออก หยิบกุญแจทองแดงดอกเล็กขึ้นเปิดตู้หลังเตี้ยที่ตั้งอยู่ตรงมุมผนัง แล้วเปิดลิ้นชักออกมาทีละชั้นๆ
แสงวิบวับของอัญมณีพลันทอประกายสะกดทุกสายตาไว้
กล่าวไปแล้ว นี่นับเป็นครั้งแรกที่เจินเมี่ยวได้เห็นตู้เครื่องประดับของตนเอง
ในความทรงจำของร่างเดิมนั้น ในตู้นี้ไม่มีอันใดน่าสนใจเลย มิควรค่าแก่การชื่นชม ตั้งแต่เจินเมี่ยวมาที่นี่ก็มีเรื่องราวเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน จึงมิทันได้ใส่ใจ
ทว่าเมื่อเปิดตู้ออกมา แสงทองกลับทอประกายขึ้น ทั่วทั้งห้องสว่างเรืองรอง ใจของเจินเมี่ยวพลันเต้นตึกตักขึ้นมา เท้าก้าวเดินเข้าไปพิจารณาดูทันที
ชั้นที่ต่ำที่สุดนั้นใส่จี้อายุวัฒนะ กำไลหยกเล็กๆ และหยกชิ้นเล็ก สิ่งของเล็กๆ น้อยๆ นั้นกลับไม่น้อยเลย แต่ล้วนเป็นสิ่งที่เจินเมี่ยวใช้เมื่อยังแบเบาะ
ชั้นที่สองนับจากด้านล่างยังคงเป็นเครื่องประดับชิ้นเล็กแต่ประณีตงดงาม มีบางส่วนที่แตกหักเสียหายจึงปล่อยทิ้งไว้เช่นนั้น
ชั้นที่สามและสี่นั้นเป็นพวกต่างหู กำไลของดรุณีน้อย เห็นชัดว่าหลายชิ้นในนั้นเป็นสิ่งของที่ผู้อาวุโสมอบให้เป็นรางวัลซึ่งมีมากมายจนแทบล้นออกมา
ชั้นที่ห้านั้นยังว่างอยู่
เจินเมี่ยวพบว่าของล้ำค่ามีราคานั้นอยู่ในชั้นที่หนึ่งและสอง ทำให้ทราบว่าต้นตระกูลมั่งคั่งเพียงใดเมื่อช่วงที่นางยังเยาว์วัย คงเพราะตระกูลท่านยายยังมิได้ตกต่ำลงนั้นเอง
เจินเมี่ยวรู้สึกสนใจสิ่งของในชั้นหนึ่งและชั้นสองมากเป็นพิเศษ ในบรรดาของที่ซ้อนทับกันอยู่นั้นนางได้พบเข้ากับของสิ่งหนึ่งซึ่งถูกสร้อยไข่มุกพันรัดไว้ มันมีขนาดเท่าฝ่ามือ เจินเมี่ยวหยิบของชิ้นนั้นขึ้นมาดูด้วยความสนใจ นางค่อยๆ แกะสร้อยไข่มุกที่พันระเกะระกะออกอย่างระมัดระวังกระทั่งเผยให้เห็นรูปทรงที่แท้จริง
เจินเมี่ยวมองดูรูปทรงที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกตาในเวลาเดียวกัน พลันเจินเมี่ยวก็ต้องอึ้งงันแล้วหยิบมันขึ้นวางทาบตรงดวงตาอย่างไม่รู้ตัว นางถึงกับมองเห็นเส้นขนขนาดเล็กบนใบหน้าขาวนวลของอาหลวน
ชั่วขณะนั้นเจินเมี่ยวรู้สึกสับสนไปหมด คิดไม่ถึงว่านี้จะเป็นกล้องส่องทางไกล!
นางเก็บสมบัติล้ำค่าได้แท้ๆ จึงเก็บกล้องส่องทางไกลไว้ในแขนเสื้อโดยมิเอ่ยอันใด
เจินเมี่ยวยังคงตรวจดูทรัพย์สินของตนในตู้เครื่องประดับต่อไป
“ว้าย คุณหนูดูนี่เร็วเข้าเจ้าค่ะ นี่เป็นกำไลทองของร้านเป่าหวาเจ้าค่ะ! ” ไป่หลิงเอ่ยด้วยความยินดี
เจินเมี่ยวชำเลืองมองครู่หนึ่ง เอ่ยอย่างจนใจว่า “แม้เป็นของร้านเป่าหวาก็ใช้มิได้แล้ว นั่นเป็นของที่ข้าใส่ตอนห้าขวบ”
“นี่เป็นของที่ข้าใส่ตอนสามสี่ขวบ” เจินเมี่ยวบิดเบ้มุมปากคราหนึ่ง
“คุณหนูท่านดู ปิ่นผีเสื้อนี้เป็นของจากในวังเจ้าค่ะ” จื่อซูยกปิ่นผีเสื้ออันวิจิตรนั้นขึ้นมาตรงหน้าเจินเมี่ยว ใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกนั้นแฝงไว้ด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย
อาหลวนนำปิ่นทองเก่าๆ หลายชิ้นมารวมไว้ด้วยกันแล้วถอนหายใจออกมา “น่าเสียดายยิ่ง”
เมื่อเห็นเหล่าสาวใช้ที่มีอุปนิสัยแตกต่างกันกลับกระตือรือร้นดุจไก่ชนเมื่อได้เห็นเครื่องประดับล้ำค่าเหล่านี้ เจินเมี่ยวจึงจำใจรับปิ่นผีเสื้อมาพลางเอ่ยว่า “ปิ่นนี้เป็นท่านย่าผู้เป็นน้องท่านปู่มอบให้ตอนที่ข้าเข้าวังเมื่อคราอายุสิบปีโน้น”
ในความทรงจำของนาง การเข้าวังครั้งนั้นมิได้มีความสุขสักเท่าใดนัก
ท่านย่าคล้ายมิค่อยชอบเจินเมี่ยว เครื่องประดับที่มอบให้แก่หลานๆ นั้นของนางแย่ที่สุด
แม้ปิ่นผีเสื้อที่อยู่ในตู้เครื่องประดับของเจินเมี่ยวจะนับว่าเป็นของชั้นดี แต่ผู้มีอุปนิสัยเย่อหยิ่งเช่นนางนั้นกลับโยนมันเข้าไว้ในตู้เครื่องประดับทันทีที่ถึงเรือน และไม่เคยนำออกมาใส่แม้เพียงครั้ง
“อาหลวน เอาปิ่นผีเสื้อนี้ไปใส่ไว้ในกล่องเครื่องประดับเล็กเถิด” เจินเมี่ยวเลือกเครื่องประดับเงินและทองที่เก่าแล้วออกมาพลางเอ่ยกับไป่หลิงว่า “พวกนี้ส่งไปหลอมเสีย ทองตีเป็นทองแท่งมอบไว้ให้จื่อซูเก็บรักษา เงินนั้นตีเป็นปิ่นบุปผาและแหวน ถึงตอนนั้นก็เอามาแบ่งให้พวกเจ้า”
“ขอบคุณคุณหนูเจ้าค่ะ” สาวใช้สามคนเอ่ยออกมาด้วยความดีใจอย่างคาดไม่ถึง