ตอนที่ 47
ตอนที่ 47 โลหิตไหลริน
แววตาของหลัวเทียนเฉิงมืดครึ้มขึ้น เขาเม้มริมฝีปากแน่นแล้วก้าวเท้ายาวเข้าไปหาเจินเมี่ยว ท่าทีดุจหุบเขาตั้งเค้าเมฆฝนทำให้เจินเมี่ยวถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว
หลัวเทียนเฉิงหยุดยืนอยู่ตรงหน้านาง คว้าข้อมือนางไว้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงขรึมต่ำอย่างอดกลั้น “บอกมา เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่”
สตรีผู้นั้นไม่มีทาง ทำตัวน่าขบขันทั้งยัง...น่ารักถึงเพียงนี้
หลัวเทียนเฉิงรีบไล่ความรู้สึกอันเหลวไหลที่ปรากฏขึ้นในห้วงลึกของจิตใจออกไป สายตาเย็นชาดุจดาราในเหมันต์ฤดูคู่นั้นจับจ้องเจินเมี่ยวไม่กะพริบ
เจินเมี่ยวใจเต้นตึกตักๆ ขึ้นมาอย่างมิอาจควบคุมได้ แต่กลับใช้สายตาดุจมองตัวโง่งมจ้องหลัวเทียนเฉิง แล้วเอ่ยถามด้วยความตกใจว่า “ท่านไม่รู้ว่าข้าคือใคร”
หลัวเทียนเฉิงเอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม “ข้าย่อมต้องรู้ว่าเจ้าเป็นใคร...”
ครานี้เจินเมี่ยวกลับใช้สายตาดั่งมองคนเสียสติจ้องเขา
หลัวเทียนเฉิงรู้สึกกลัดกลุ้มในใจยิ่ง
เกรงว่าบนโลกนี้คงมีเพียงเขาเท่านั้นที่เข้าใจความหมายของคำถามนี้ ซึ่งเขาก็มิอาจอธิบายอันใดให้ชัดเจนไปกว่านี้ได้
หากเป็นผู้อื่นก็ช่างเถิด แต่เมื่อเป็นสตรีผู้นี้ การควบคุมตนที่เขาฝึกมาตั้งแต่ชาติก่อนจึงไม่มีประโยชน์อันใดเลย เพราะแค่พวกเขาอยู่ด้วยกัน อารมณ์ขุ่นมัวหลากหลายชนิดที่บีบคั้นให้เขาตกสู่สถานการณ์อันยากลำบากก็จะผุดพ่นขึ้นมาทันที
มันคือความแค้นและความไม่ยินยอมที่ปะทุขึ้นมาจากห้วงลึกแห่งวิญญาณ
“เหตุใดเจ้าต้องเป็นกังวล” เมื่อได้ยินเสียงหัวใจที่ยิ่งมายิ่งเต้นแรงของเจินเมี่ยวแล้ว หลัวเทียนเฉิงก็คล้ายจับจุดอันใดได้กระนั้น
นางดูเป็นกังวล เขาคาดเดาไม่ผิดใช่หรือไม่ คุณหนูสี่สกุลเจินที่อยู่ตรงหน้านี้มิใช่คนเดียวกันกับชาติก่อนนั้น
ข้อมือของเจินเมี่ยวถูกบีบจนเจ็บไปหมด จึงดิ้นรนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “ท่านอยากรู้จริงๆ หรือ”
หลัวเทียนเฉิงปล่อยข้อมือเจินเมี่ยว เขามิตอบคำแต่กลับแสดงท่าทีดั่งต้องทราบให้ได้ต่อนาง
เจินเมี่ยวลูบข้อมือตนป้อยๆ แล้วเบนสายตาไปยังที่แสนไกลเพราะไม่อยากมองใบหน้าที่แผ่กลิ่นอายสังหารนั้น “ยามเยาว์วัยข้าชอบเที่ยวเล่น ชอบออกไปเตร็ดเตร่ข้างนอก ท่านปู่ชมชอบเลี้ยงสัตว์ทุกชนิดที่นำไปชนได้ มีครั้งหนึ่งข้าเดินผ่านทางเข้าสวนดอกไม้ พลันมีสุนัขตัวหนึ่งกระโดดออกมา สุนัขตัวนั้นอ้าปากกว้างเผยให้เห็นเขี้ยวอันแหลมคมแล้วพุ่งเข้ามา ข้าถูกไล่กวดไปสุดทาง แม้สุดท้ายจะไม่ถูกมันกัด แต่หลังจากนั้นทุกคราที่ข้าต้องผ่านทางสายนั้น ใจก็จะเต้นอย่างบ้าคลั่งโดยมิอาจควบคุมได้”
เมื่อเล่าถึงตรงนี้จึงหันมองหลัวเทียนเฉิงคราหนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงราบเรียบว่า “ยามนี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน”
หลัวเทียนเฉิงที่กำลังฟังอย่างตั้งใจกลับเพิ่งเข้าใจความหมายนั้นหลังจากผ่านไปครู่หนึ่งแล้ว เขาจึงเอ่ยด้วยสีหน้าเขียวคล้ำว่า “เจ้ากำลังชี้ต้นหม่อนด่าต้นไหว1?”
เจินเมี่ยวเอามือทาบหน้าผากตนคราหนึ่ง เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ข้าพูดความจริง หากหลัวซื่อจื่อจำต้องเอาตนเองไปเกี่ยวข้องให้ได้ ข้าก็ไม่รู้จะทำเช่นไรแล้ว เพียงแต่ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าหลัวซื่อจื่อต้องการอันใดกันแน่”
เจินเมี่ยวพูดพลางเก็บปอยผมที่หลุดลุ่ยไปด้านหลัง ในน้ำเสียงนั้นมิอาจปิดบังแววยั่วเย้าเอาไว้ได้ “เรื่องที่หลัวซื่อจื่อทำในวันที่ตกน้ำนั้น ข้าคุณหนูสี่สกุลเจินมิกล้าลืมเด็ดขาด และเข้าใจดีว่าสิ่งใดที่มิใช่ของตนฝืนบังคับไปก็ไร้ประโยชน์ ก่ออันใดไว้ก็ย่อมต้องรับกรรมนั้น ข้าหาเรื่องใส่ตนเอง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเหตุใดหลัวซื่อจื่อต้องรับปากเรื่องหมั้นด้วยเล่า”
เรื่องที่ร่างเดิมเคยกระทำนั้นนางมิอาจลบเลือนมันไปได้ แต่นางก็มิอาจแสร้งดำรงชีวิตอยู่ต่อไปด้วยอุปนิสัยของร่างเดิม ความพรั่นพรึงที่ต้องตกอยู่ระหว่างความเป็นความตายมักทำให้อุปนิสัยคนเราเปลี่ยนไป สาเหตุนี้คงพออธิบายเรื่องทั้งหมดได้หรือไม่
เจินเมี่ยวเองก็แปลกใจยิ่ง เหตุใดคนในจวนเจี้ยนอานปั๋วถึงหาเหตุผลให้การเปลี่ยนแปลงของนางในระยะหลังมานี้แทนนางเสียเสร็จสรรพ
ทว่าทุกคราที่พบหน้ากันคุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกง เขากลับจับนางแน่นไม่ยอมปล่อย และคนผู้นี้ยังมีจิตใจบิดเบี้ยวอย่างที่สุดอีกด้วย ต่อให้ร่างเดิมจะวางแผนผูกมัดเขา แต่คงไม่ถึงกับต้องตบตีฆ่าฟันทุกครั้งที่พบเจอกระมัง?
ความทรงจำที่เจินเมี่ยวมีต่อหลัวเทียนเฉิงนั้นช่างเลวร้ายนัก
หลัวเทียนเฉิงอึ้งงันไปชั่วครู่ ครุ่นคิดถึงวาจาของเจินเมี่ยว
หรือเพราะครั้งนั้นที่เขาบีบคอนางอย่างมิอาจอดใจได้ ในห้วงเวลาแห่งความตายจึงเกิดคิดได้ขึ้นมา ดังนั้นท่าทีจึงเปลี่ยนไป?
วันเวลาที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้นของพวกเขาในชาติก่อนนั้น เขาจำได้ดีว่าคุณหนูสี่สกุลเจินกอดกกความรักที่มีต่อตนไว้เต็มอกมากเพียงใด
เป็นเพราะไม่มีความรู้สึกเช่นนั้นแล้วและไม่มีเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในภายหลัง ทำให้นางยังมิได้เปลี่ยนเป็นคนที่นับวันยิ่งน่ารังเกียจงั้นหรือ
แท้จริงแล้วเขามีความรู้สึกเช่นใดกับคุณหนูสี่สกุลเจินกันแน่ เกรงว่าแม้แต่ในชาติก่อนนั้นก็มิเคยใส่ใจด้วยซ้ำกระมัง
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา หลัวเทียนเฉิงก็รีบกดข่มความสงสัยเอาไว้ เขามองดูใบหน้าอันคุ้นเคยที่แฝงด้วยอาการยั่วเย้านั้นอย่างไม่ชอบใจ พลันเผยความสามารถในการประชดประชันของตนออกมา “ก็มิใช่เพราะจวนเจี้ยนอานปั๋วบังคับให้ทำการค้าขายหรอกหรือ”
เจินเมี่ยวชำเลืองมองหลัวเทียนเฉิงด้วยสายตาเย็นชา ก่อนทิ้งวาจาประโยคหนึ่งไว้แล้วหมุนกายจากไป
“โคไม่ดื่มน้ำ ผู้ใดข่มเขาโคขื่นได้เล่า”
เมื่อเข้าไปนั่งในเกี้ยว เจินเมี่ยวก็กดท้องตนเอาไว้...หิวแล้ว
หลัวเทียนเฉิงควบม้าอยู่ข้างเกี้ยว บนถนนมีผู้คนเดินผ่านไปมา บางคราก็มีสายตาแปลกใจมองมาที่เขา
เขามิได้ใส่ใจสิ่งรอบข้างแม้แต่น้อย เอาแต่จ้องไปที่ผ้าม่านหน้าต่างข้างเกี้ยว เขามีความรู้สึกว่าเจินเมี่ยวจะต้องแหวกม่านออกมาทะเลาะกับเขาต่อเป็นแน่
เหตุใดนางยังไม่แหวกม่านออกมาอีกเล่า?
หลัวเทียนเฉิงลูบคางที่เริ่มมีสีเขียวครึ้มขึ้นเล็กน้อยนั้นแล้วครุ่นคิดอยู่เงียบๆ
ผ้าม่านสีม่วงอ่อนค่อยๆ ขยับเคลื่อนอยู่ภายใต้สายตาที่คอยจับสังเกตของเขา นิ้วมือขาวผ่องสองนิ้ววางอยู่บนนั้น แล้วแหวกเปิดออกเป็นช่องอย่างเชื่องช้า เผยให้เห็นใบหน้าด้านข้างอันงดงามราวดอกท้อ
ชั่วขณะนั้น หลัวเทียนเฉิงพลันอยากจะหักไม้หักมือตนเองขึ้นมาอย่างประหลาด
ฝ่ามือขาวอีกข้างยื่นออกมา บนมือมีเงินเบี้ยอยู่หลายก้อน “รบกวนท่าน ซื้อซาลาเปาไส้เนื้อให้ข้าสักสองลูกได้หรือไม่”
หลัวเทียนเฉิงผู้เตรียมพร้อมออกรบอย่างเต็มกำลังนั้นแทบร่วงตกจากหลังม้าดั่งลูกหนังที่ถูกเข็มทิ่มจนแตกกะทันหันก็มิปาน
อาชานิลร้องคำรามก้อง หลัวเทียนเฉิงดึงเชือกไว้แน่น เพราะความอับอายจึงเอ่ยถามออกไปด้วยโทสะ “อันใดกัน”
“ช่วยซื้อซาลาเปาไส้เนื้อสองลูกให้ข้าที! ” เจินเมี่ยวกัดฟันเอ่ยออกไปด้วยเสียงอันดัง
บุรุษหนุ่มหลายคนที่เป็นลูกศิษย์ในสำนักศึกษาหลวงกั๋วจื่อเจี้ยนเดินผ่านมาเห็นม่านเกี้ยวถูกแหวกออกครึ่งหนึ่งพอดี ครั้นมีสาวงามผู้หนึ่งปรากฏต่อสายตาจึงอดผ่อนฝีเท้าให้ช้าลงสักหน่อยมิได้
เมื่อได้ยินวาจานี้ลอยมาแต่ละคนล้วนมองหน้ากันเลิกลักด้วยความตกใจ คนผู้หนึ่งในกลุ่มนั้นระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ตบบ่าบุรุษที่สวมชุดคลุมยาวเข้ารูปสีเขียวอ่อนผู้หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “น่าขันเหลือเกิน พี่ชายสกุลเจิน ไม่รู้เป็นคุณหนูตระกูลใดกันแน่”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘พี่ชายสกุลเจิน’ เจินเมี่ยวก็รีบปล่อยมือจากผ้าม่านทันที นางได้แต่ลอบแค้นเคืองอยู่ในใจ
นางเพียงแค่หิวเท่านั้น คิดไม่ถึงกลับต้องมาพบเข้ากับสหายร่วมเรียนของพี่ชาย ทั้งยังถูกหัวเราะเยาะอีก...พบพี่ใหญ่กับหลัวเทียนเฉิงคราใดล้วนไม่มีเรื่องดี!
เจินฮ่วนที่ยืนอยู่บนถนนนั้นมีสีหน้าดำคล้ำดุจก้นหม้อก็มิปาน โกธรเสียจนพูดไม่ออกอยู่ครึ่งวัน
จวนปั๋วมิให้นางได้กินอิ่มหรือเอาเปรียบอันใดนางกันแน่ นางถึงกับให้คู่หมั้นของตนซื้อซาลาเปาไส้เนื้อให้นางต่อหน้าเขา
เจี่ยงเฉินที่ยืนอยู่ข้างเจินฮ่วนจ้องมองผ้าม่านเกี้ยวที่พลิ้วไหวนั้นด้วยความเหม่อลอย
หลัวเทียนเฉิงก็หน้าดำคล้ำไม่ต่างกัน เขาฝืนยกมือขึ้นประกบกันพร้อมก้มศีรษะให้เจินฮ่วนแล้วเอ่ยเร่งคนหามเกี้ยวว่า “รีบเดินเร็วเข้า”
เขากระตุกเชือกที่ท้องอาชาแล้วพุ่งทะยานนำหน้าไป เมื่อผ่านร้านซาลาเปาอันร้อนกรุ่นที่กำลังป่าวร้องเรียกขาย ก็หยุดซื้อซาลาเปาไส้เนื้อมาสองลูกดั่งถูกผีสางสั่งให้ทำกระนั้น เขาควบม้ากลับมาที่ข้างเกี้ยวแล้วโยนเข้าไปในม่านเกี้ยวโดยไม่พูดอันใดสักคำ
เจินเมี่ยวกำลังลูบท้องด้วยทรมานเพราะความหิว
เพราะนางเคยผ่านการทนหิวมาหลายวัน ความหิวโหยนั้นจึงฝังแน่นอยู่ในจิตใต้สำนึกอย่างล้ำลึกยิ่ง นางรู้สึกปวดกระเพาะขึ้นมาตงิดๆ แล้ว เหงื่อก็ไหลซึมออกมามากกว่าปกติ พลันซาลาเปาร้อนๆ กลับร่วงหล่นเข้ามาในอ้อมอก เจินเมี่ยวตกใจไม่น้อย ถลึงตาจ้องม่านที่พลิ้วไหวไม่หยุดนั้นเขม็ง แล้วกินซาลาเปาทันทีอย่างมิอาจทนรอได้
เมื่อมิได้ยินเสียงกรีดร้องดังออกมา หลัวเทียนเฉิงก็รู้สึกผิดหวังอย่างประหลาด เสียงอาชากุบกับทะยานไปข้างหน้า ความคิดก็ลอยไปยังที่แสนไกลเช่นกัน
พลันมีสิ่งของบางอย่างพุ่งเข้ามาทางด้านหน้า หลัวเทียนเฉิงจึงมีสติคืนมา เขายื่นมือออกไปรับไว้รวดเร็วดุจฟ้าแลบ
คิดไม่ถึงว่ายังมีของอีกสิ่งหนึ่งพุ่งตามมาติดๆ เพราะสติเพิ่งฟื้นคืน หลัวเทียนเฉิงจึงเคลื่อนไหวไม่คล่องแคล่วนัก ของสิ่งนั้นพลันกระแทกเข้ากับสันจมูกของเขา
ความเจ็บปวดวิ่งแล่นขึ้นมา โลหิตสองสายค่อยๆ ไหลรินหยดลงบนก้อนเงินที่ในมือเขา เงินอีกก้อนกลับร่วงหล่นลงพื้น กลิ้งหลุนๆ ไปไกล
[1] ชี้ต้นหม่อนด่าต้นไหว เป็นสำนวนเปรียบเปรยว่าทำเป็นด่าคนหนึ่งแต่แท้จริงคือด่าอีกคนหนึ่ง เทียบกับสำนวนไทยคือ ตีวัวกระทบคราด