ตอนที่ 46
บทที่ 46 ขุมไฟนรก
เจาเฟิงตี้ขมวดคิ้วคราหนึ่ง พินิจดูองค์หญิงฟางโหรว
องค์หญิงฟางโหรวถูกเจาเฟิงตี้มองจนอึดอัด จึงกระตุกมือเขาแล้วกล่าวอย่างแง่งอนว่า “พระบิดา ท่านรับปากลูกผู้เป็นขุนนางมิได้หรือ”
“ฟางโหรว เหตุใดเจ้าจึงมีความคิดเช่นนี้”
“ลูกผู้เป็นขุนนางรู้สึกเบื่อหน่าย พี่เทียนเฉิงนั้นมีวรยุทธ์สูงส่ง สามารถคุ้มครองลูก ทั้งยังเล่นกับลูกได้...”
“เขาเป็นบุรุษ จะเล่นอันใดกับเจ้าได้” เจาเฟิงตี้เอ่ยตัดบทวาจาขององค์หญิงฟางโหรว แล้วมองไปที่เจี่ยงกุ้ยเฟย “อาอวิ๋น ฟางโหรวอายุสิบปีแล้ว เจ้าก็ควรหาสหายเล่าเรียนให้นาง จะได้สำรวมกิริยามากกว่านี้”
เจาเฟิงตี้ได้ผลักไสคำขอขององค์หญิงฟางโหรวออกไปอย่างไร้ร่องรอย
แม้หลัวเทียนเฉิงจะอายุไม่มาก แต่เป็นบุคคลที่มีความสามารถ เขาเก็บไว้ใช้ย่อมมีประโยชน์กว่า จะยกให้เป็นองครักษ์ประจำตัวบุตรสาวได้อย่างไร
“เพคะ ลูกผู้เป็นขุนนางทราบแล้ว”
“สหายเล่าเรียน” องค์หญิงฟางโหรวรู้สึกเหนือความคาดหมายอย่างยิ่ง
พี่สาวหลายคนก่อนหน้านางล้วนมีสหายเล่าเรียนตั้งแต่อายุแปดปี ตอนที่นางอายุแปดปีได้ล้มป่วยกะทันหัน เรื่องสหายเล่าเรียนจึงถูกยืดเวลาออกไป คิดไม่ถึงว่าพระบิดาจะเอ่ยขึ้นมาในวันนี้
เมื่อมีสหายเล่าเรียนแล้วก็มิอาจออกไปเที่ยวเล่นนอกวังได้ตามใจ และมิอาจไปหาพี่เทียนเฉิงบ่อยๆ ได้ใช่หรือไม่?
องค์หญิงฟางโหรวคิดถึงตรงนี้ โทสะก็พวยพุ่งเต็มท้อง จึงพาลพาโลถลึงตาใส่เจินเมี่ยวคราหนึ่ง
เจินเมี่ยวหลุบตาลงต่ำ หลบเลี่ยงสายตาอันโกรธกริ้วขององค์หญิง
องค์หญิงอันใดกัน แค่เด็กน้อยที่เอาแต่ใจอย่างเหลือร้ายเท่านั้น!
เจินเมี่ยวตำหนิอยู่ในใจ พลันได้ยินองค์หญิงฟางโหรวเอ่ยว่า “พระบิดา ลูกผู้เป็นขุนนางอยากให้นางมาเป็นสหายเล่าเรียนของลูก”
เจาเฟิงตี้และเจี่ยงกุ้ยเฟยมองตามทิศทางมือที่ชี้ไปขององค์หญิงฟางโหรวก็เห็นเจินเมี่ยวที่ตามองจมูกจมูกมองใจ1 อยู่
ครั้นสัมผัสได้ถึงสายตาอันร้อนแรงดุจเปลวไฟของคนทั้งหลาย เจินเมี่ยวจึงเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ ผู้ที่องค์หญิงฟางโหรวกำลังชี้อยู่นั้นก็คือนาง
เจินเมี่ยวแทบจะหมดสติไปในทันที
นี่มันเรื่องราวใดกันแน่ นางยืนอยู่ดีๆ ภัยพิบัติก็ร่วงลงมาจากฟ้างั้นหรือ?
“พระบิดา ท่านดู นาง นางแสดงท่าทีไม่เต็มใจเสียด้วย! ”
ความจริงเจินเมี่ยวเพียงแสดงอาการตกใจเท่านั้น ยังมิทันได้แสดงท่าทีรังเกียจอันใดด้วยซ้ำ แต่มิอาจหยุดองค์หญิงฟางโหรวที่มีเจตนาจะหาเรื่องได้
“คุณหนูสี่สกุลเจิน เจ้ามิยินยอมหรือ” น้ำเสียงของเจาเฟิงตี้นั้นฟังดูแล้วราบเรียบไร้คลื่นลม แต่กลับมีความบีบคั้นผู้คนชนิดหนึ่งแฝงอยู่
เขาย่อมทราบดีว่าอายุของคุณหนูสี่สกุลเจินนั้นมิเหมาะจะเป็นสหายเล่าเรียนของฟางโหรว แต่นางถึงกลับรู้สึกไม่ยินยอมเป็นสหายเล่าเรียนขององค์หญิงอันเป็นที่รักของเขามากที่สุด เขาจึงไม่เบิกบานใจนัก
“หม่อมฉัน ปีหน้าหม่อมฉันก็จะออกเรือนแล้ว” เจินเมี่ยวเอ่ยวาจาโง่งมออกมา
เจาเฟิงตี้เกือบจะหลุดหัวเราะออกมา หมอกควันอันมิเบิกบานนั้นสลายไปทันใด แต่ยังคงทุ่มเทแสดงสีหน้าเคร่งขรึมอย่างที่สุดไว้ เอ่ยแฝงความหมายล้ำลึกว่า “ดูท่าคุณหนูสี่สกุลเจินคงรีบร้อนจะออกเรือนไม่น้อยเลย”
“กำหนดการแต่งงานเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่กำหนดเพคะ” เจินเมี่ยวมิได้คาดเดาถึงความหมายล้ำลึกที่แฝงอยู่ในวาจาของเจาเฟิงตี้ จึงเอ่ยตอบด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม
หากเจาเฟิงตี้เอ่ยปากยกเลิกงานแต่งครานี้ คงดีไม่น้อย
บัดนี้นางมีเงินถึงหกร้อยตำลึงทั้งเครื่องประดับล้ำค่าไม่น้อย รวมทั้งเงินที่องค์หญิงฟางโหรวซื้อขนมเฉียวกั่วและแตงสลักอีก การอาศัยอยู่ในจวนเจี้ยนอานปั๋วไปชั่วชีวิตก็ไม่น่ามีปัญหาใด
แม้การมีชีวิตเช่นนั้นจะลำบากอยู่บ้างก็ตาม ที่ลำบากที่สุดคงเป็นสายตาของคนในสังคมที่มิอาจห้ามได้ แต่อย่างไรคงดีกว่าแต่งออกไปกับบุรุษบ้าคลั่งที่พร้อมจะเอาชีวิตน้อยๆ ของนางตลอดเวลาผู้นั้นแน่
เมื่อเห็นสีหน้าระทมทุกข์ของเจินเมี่ยว ทั้งหลัวเทียนเฉิงก็เป็นบุคคลที่เจาเฟิงตี้ให้ความสำคัญ เจาเฟิงตี้จึงเกิดความคิดกลั่นแกล้งผู้คนขึ้น เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มเต็มหน้าว่า “หึๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็มิอาจบังคับให้คนรู้สึกลำบากใจ อืม วันนี้หลัวเทียนเฉิงเข้าเวร และถึงเวลาผลัดเปลี่ยนเวรแล้วใช่หรือไม่”
“ทูลฝ่าบาท ใช่พ่ะย่ะค่ะ” เว่ยกงกงที่ยืนอยู่ด้านข้างเอ่ยตอบ
“บอกให้เขามาที่นี่ จะได้ไปส่งคุณหนูสี่สกุลเจินกลับจวนเสียด้วยเลย” เจาเฟิงตี้เอ่ยพลางหัวเราะหึๆ
ใบหน้าเจินเมี่ยวพลันแข็งค้างไป ในใจกล่าวว่า ทรงต้องการให้ดาวพิฆาตนั้นไปส่งนางกลับงั้นหรือ
ฉับพลันก็ได้ยินเสียง “อันใดกัน! ”
เจินเมี่ยวตกใจเสียขวัญยิ่ง คิดว่าเป็นเสียงตัดพ้อของตนเสียอีก
เสียงขององค์หญิงฟางโหรวดังขึ้นมาอีกครั้ง “พระบิดา ท่านมิใช่บอกว่าจะเลือกสหายเล่าเรียนให้ลูกผู้เป็นขุนนางหรอกหรือ ลูกอยากให้คุณหนูสี่สกุลเจินมาเป็นสหายเล่าเรียน แล้วเหตุใดท่านถึงให้พี่เทียนเฉิงไปส่งนางกลับเล่า”
เจาเฟิงตี้เคร่งขรึมขึ้นมาทันที “ฟางโหรว เจ้าอย่าได้ก่อกวนอีกเลย”
“พระบิดา...”
“เจ้ามิได้ยินหรือ คุณหนูสี่สกุลเจินอายุสิบสี่แล้ว ปีหน้าก็ต้องออกเรือน เป็นข้อกำหนดของตระกูล สหายเล่าเรียนขององค์หญิงต้องมีอายุระหว่างแปดถึงสิบสองปี”
“พระบิดา ลูกผู้เป็นขุนนาง ลูกอยากให้คุณหนูสี่สกุลเจินมาเป็นสหายเล่าเรียนจริงๆ เพคะ...” องค์หญิงฟางโหรวไม่ยินยอม ยังคงดื้อดึงเป็นครั้งสุดท้าย
นางเบิกนัยน์ตาผลซิ่งฉ่ำน้ำของตนขึ้นเล็กน้อย น้ำในตาคลอเอ่อออกมา สีหน้าดูเว้าวอนยิ่ง
เจาเฟิงตี้ใจอ่อนขึ้นมาเล็กน้อย จึงเอ่ยเสียงขรึมว่า “เช่นนี้เถิด สหายเล่าเรียนนั้นยังคงต้องคัดเลือก แต่หากเจ้าอยากให้คุณหนูสี่สกุลเจินมาเป็นสหายก็ให้นางเข้าวังมาทุกๆ สิบวันจนกว่านางจะออกเรือนแล้วกัน”
เจาเฟิงตี้เอ่ยอย่างตัดสินใจแล้ว องค์หญิงฟางโหรวกวาดตามองเจินเมี่ยวคราหนึ่งด้วยความภาคภูมิใจ
เป็นสหายเล่าเรียนหรือไม่นั้นช่างมันเถิด ขอเพียงเจ้าสามารถเข้าวังมาบ่อยๆ ให้ข้าผู้เป็นองค์หญิงได้บันดาลโทสะเท่านั้นก็พอแล้ว
เจินเมี่ยวนิ่งอึ้งอยู่นานสติก็ยังมิคืนมา
หากมิใช่อยู่ในพระราชวังนางคงกรีดร้องออกมาแล้ว เดิมนางคิดว่าแค่เข้ามาซื้อน้ำปรุงรสในวังสักคราเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าต่อไปตนต้องมาตั้งร้านขายน้ำปรุงรสเสียเองแล้ว
คิดดูแล้วเจตนาร้ายที่องค์หญิงฟางโหรวมีต่อนางล้วนมีสาเหตุมาจากคนผู้หนึ่งทั้งสิ้น เจินเมี่ยวตัดสินใจว่าหากกลับถึงจวนจักต้องใช้เข็มทิ่มตุ๊กตาคนจิ๋วระบายโทสะสักหน่อย
“หม่อมฉันถวายพระพรฝ่าบาท กุ้ยเฟย พ่ะย่ะค่ะ” เสียงทุ้มต่ำกังวานเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ลุกขึ้นเถิด”
หลัวเทียนเฉิงลุกขึ้นยืนหลังตรงดุจพู่กัน สายตาหลุบต่ำ ด้วยท่าทีสำรวมทั้งสุขุม
เจาเฟิงตี้ลอบพยักหน้า แล้วชี้ไปที่เจินเมี่ยวด้วยใบหน้าซ่อนยิ้ม “หัวหน้าองครักษ์หลัว เราถามคุณหนูสี่สกุลเจินจึงทราบว่านางเป็นคู่หมั้นของเจ้า เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะพอดี ให้เจ้าไปส่งนางกลับจวนแล้วกัน”
หลัวเทียนเฉิงมองเจินเมี่ยวคราหนึ่ง ย่อกายเอ่ยน้อมรับพระบัญชาคำหนึ่ง
คนทั้งสองทูลลาเจาเฟิงตี้ เจี่ยงกุ้ยเฟยแล้วโค้งกายถอยหลังออกไป
องค์หญิงฟางโหรวมองเบื้องหลังของคนทั้งสองที่เดินเคียงคู่จากไป พลันเกิดความเจ็บปวดอันมิอาจบรรยายได้ขึ้นในใจ แต่ก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด จึงแค่นเสียงเย็นหนักๆ คราหนึ่ง
ได้แต่รอให้เจินเมี่ยวเข้าวังมาคราหน้า ค่อยคิดบัญชีเอากับนางแล้วกัน!
เจินเมี่ยวก้าวเท้าสั้นๆ ไปบนพื้นกระเบื้องสีทองที่เงาวาวดุจคันฉ่อง นางรู้สึกคัดยุบยิบที่จมูก จึงจามออกมาโดยแรงคราหนึ่ง
หลัวเทียนเฉิงที่เดินอยู่ข้างหน้าพลันหมุนกายกลับมา ใช้สายตาเย็นชาดุจน้ำแข็งจ้องหน้า เจินเมี่ยว มิรอให้นางแสดงสีหน้าใดก็หมุนกายกลับไปทั้งก้าวเท้าให้เร็วยิ่งขึ้น
เจินเมี่ยวกลอกตาไปมาและมิได้ไยดีเขา เพียงเดินอย่างเชื่องช้ามุ่งหน้าไปข้างนอก
หลัวเทียนเฉิงหูไวตาว่อง เมื่อมิได้ยินเสียงฝีเท้าก็หันกลับไปมองอีกครา มุมปากบิดเบ้ขึ้นมาโดยแรงอย่างยากจะควบคุม
สตรีผู้นั้นได้ถูกทิ้งห่างไปจากเขาถึงสิบจั้งแล้ว
ครั้นหลัวเทียนเฉิงเหลียวมองเจินเมี่ยวที่เดินนวยนาดท่าทางดุจกิ่งหลิวลู่ลม ความรังเกียจสายหนึ่งก็กระพือขึ้นในส่วนลึกของจิตใจ
แสร้งทำเป็นอ้อนแอ้นอรชรเสียสมจริง!
“คุณหนูสี่สกุลเจิน เดินเร็วกว่านี้ได้หรือไม่”
อาจเพราะความกังวลและหวาดกลัวที่ซ่อนอยู่ในใจทำให้เจินเมี่ยวสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่แปรปรวนไปอย่างรวดเร็วของหลัวเทียนเฉิงโดยทันที เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่แฝงด้วยความหงุดหงิดนั้น เจินเมี่ยวก็โกรธขึ้นมา
โอ้ท่านย่า! คิดว่าข้าเบิกบานใจจริงๆ หรือที่ได้อยู่กับเจ้า รีบเดินก็รีบเดินสิ ขึ้นเกี้ยวได้ไว ตาไม่เห็นใจก็ไม่รำคาญ
เวลานั้นเจินเมี่ยวกลับลืมว่าเส้นทางอันลื่นมันวาวนี้มิใช่ถนนที่นางเดินจนคุ้นชิน จึงก้าวเท้ายาวเดินตามไปยังทิศทางเดียวกับหลัวเทียนเฉิง
เดินไปจนทิ้งห่างกันอยู่เพียงระยะหนึ่ง เท้ากลับลื่นไถลประหนึ่งเล่นไถลน้ำแข็งก็มิปาน ร่างนางพุ่งทะยานรวดเดียวไปถึงด้านหน้าของหลัวเทียนเฉิง
ผู้ไร้จริยธรรมใดที่เทน้ำลงไปบนอิฐทองกัน!
เจินเมี่ยวลอบด่าทออยู่ในใจ
หลัวเทียนเฉิงเห็นแล้วได้แต่เบิกตาอ้าปากค้าง พลันมุมปากก็ขยับยก ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจ
ช่างน่าอับอายนัก แม้แต่เขายังมิอาจทนดูได้
ผู้ใดจะคาดคิดว่าเจินเมี่ยวกลับสามารถยืดตัวขึ้นตรงได้ นางจัดผมที่ยุ่งและเสื้อผ้ายับของตนครู่หนึ่ง แล้วหันกลับมาพูดด้วยสีหน้ารังเกียจว่า “หลัวซื่อจื่อ เดินเร็วกว่านี้สักหน่อยได้หรือไม่”
[1] ตามองจมูกจมูกมองใจ เป็นสำนวนบ่งบอกถึงท่าทางที่กำลังก้มหน้าก้มตาหรือก้มหน้างุด