ตอนที่ 45
ตอนที่ 45 คำขอร้องขององค์หญิง
จ้าวหวงโฮ่วกวาดตามองเจี่ยงกุ้ยเฟยคราหนึ่งแล้วลอบกัดฟันกรอด
นางจิ้งจอกตัวนี้อาศัยความงามและอำนาจของตระกูลตน ทำให้มิเห็นหวงโฮ่วเช่นนางอยู่ในสายตา ช่างน่ารังเกียจนัก!
นางฝืนกล้ำกลืนโทสะไว้ แล้วเอ่ยถามเจินเมี่ยวที่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยความสำรวมว่า “คุณหนูสี่สกุลเจิน ไม่ทราบว่าเจ้ายินยอมหรือไม่”
เจี่ยงกุ้ยเฟยหัวเราะพลางกล่าวว่า “พี่สาว ท่านเอ่ยถึงเพียงนี้แล้ว นางเป็นแค่เด็กน้อยจะมีอันใดไม่ยินยอมได้ ว่าหรือไม่เพคะฝ่าบาท”
นางแค่นยิ้มในใจ แค่สตรีที่ชอบใช้อำนาจผู้หนึ่ง เพราะความบังเอิญจึงได้เป็นหวงโฮ่ว คิดหรือว่าจะสามารถดำรงตำแหน่งนี้ได้ตลอดไป?
นอกจากวันที่ถูกกำหนดไว้ตามพระราชประเพณีแล้ว ฝ่าบาทก็ไม่เคยย่างกรายไปที่วังหนิงคุนเลยแม้เพียงก้าวมิใช่หรือ?
แม้นางจะมิชมชอบคุณหนูสี่สกุลเจินแต่ก็ลอบใช้กลวิธีเล็กๆ น้อยๆ แล้วปล่อยให้เป็นไปตามสถานการณ์ที่เอื้ออำนวยเท่านั้น ไหนเลยจะกลั่นแกล้งให้คนต้องลำบากใจซึ่งหน้าเช่นนี้
ให้สตรีในตระกูลสูงศักดิ์มาสอนห้องเครื่องหลวงทำอาหาร ฝ่าบาททรงเห็นด้วยก็แปลกพิกลยิ่งแล้ว
เมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นพายุระหว่างจ้าวหวงโฮ่วและเจี่ยงกุ้ยเฟย เจินเมี่ยวก็ต้องลอบถอนหายใจ นางถวายพระพรอย่างสง่างามแล้วเงยหน้าขึ้นเผยรอยยิ้มอันเฉิดฉาย “เป็นเช่นที่กุ้ยเฟยกล่าวไม่มีผิดเพคะ หากหม่อมฉันสามารถกระทำการใดเพื่อฝ่าบาทและหวงโฮ่วได้ก็นับเป็นเกียรติของหม่อมฉันยิ่ง ขอเพียงฝ่าบาททรงรับสั่งเท่านั้นเพคะ”
จ้าวหวงโฮ่วอึ้งงันไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเด็กสาวผู้นี้จะนิ่งสุขุมยิ่ง ไม่มีท่าทางอับอายกระทั่งกลายเป็นโกรธเลยสักนิด ครั้นกำลังจะเอ่ยปาก เจาเฟิงตี้กลับพูดขึ้นว่า “คุณหนูสี่สกุลเจิน หวงโฮ่วเย้าเจ้าเล่นเท่านั้น อย่าได้ถือเป็นจริงจัง ลุกขึ้นเถิด”
จ้าวหวงโฮ่วลอบขยำผ้าเช็ดหน้าตน ผู้ใดเย้าเล่นกัน!
เจี่ยงกุ้ยเฟยล้วนเห็นทุกอย่างอยู่ในสายตา อารมณ์จึงเบิกบานยิ่ง ดูจากท่าทางของนางแล้วไม่มีกิริยาใดเหมาะสมกับตำแหน่งหวงโฮ่วสักนิด
เจี่ยงกุ้ยเฟยคลี่ยิ้มงดงาม สายตาเหม่อมองไปด้านนอกคราหนึ่ง พลันรอยยิ้มที่มุมปากกลับแข็งค้างขึ้นทันที
จ้าวหวงโฮ่วที่คอยจับจ้องเจี่ยงกุ้ยเฟยอยู่ตลอดเห็นความผิดปกตินี้ นางจึงมองตามสายตาของเจี่ยงกุ้ยเฟยไป ก็เห็นเพียงขันทีน้อยผู้หนึ่งที่เดิมคิดจะมุ่งตรงมาที่นี้ แต่คล้ายพบอันใดบางอย่างจึงหมุนกายจากไปทันที
จ้าวหวงโฮ่วมองเห็นใบหน้าอันงดงามของขันทีน้อยอย่างชัดเจน ขณะนั้นยังคงสับสนแต่ก็นึกขึ้นได้ในทันควันว่าคือผู้ใด จึงตะโกนออกไปทันทีว่า “หยุดเดี๋ยวนี้! ”
ขันทีน้อยได้ยินก็วิ่งหนีทันที
“จับขันทีน้อยที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ นั้นไว้! ” จ้าวหวงโฮ่วเอ่ยเสียงเย็นเยียบ
แม้เจี่ยงกุ้ยเฟยจะมีความรักความโปรดปรานขององค์จักรพรรดิและอำนาจบารมีของตระกูลจนทำให้มิเห็นจ้าวหวงโฮ่วอยู่ในสายตา ทว่าองครักษ์เหล่านั้นย่อมมิกล้า ยิ่งยามนี้มีองค์จักรพรรดิประทับอยู่ด้วย หากผู้ที่ปล่อยให้หนีไปนั้นเป็นมือสังหารเล่าจะทำอย่างไร
องครักษ์กลุ่มใหญ่รีบพุ่งเข้าไปจับตัวขันทีน้อยนั้นไว้แน่น
“บังอาจนัก รีบปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!” ขันทีน้อยดิ้นรนสุดแรง
เสียงอันคุ้นหูนี้ทำให้เจาเฟิงตี้ผุดลุกขึ้นแล้วก้าวเท้ายาวเข้าไปทันใด เขาเอ่ยเสียงขรึมว่า “เกิดเรื่องราวใดกัน”
ขันทีน้อยดิ้นจนหมวกหลุดร่วง เผยให้เห็นเส้นผมดำขลับ เมื่อได้ยินเสียงนั้นก็ก้มหน้างุดดุจคนตาย
เจาเฟิงตี้โบกสะบัดมือ “พวกเจ้าออกไปให้หมด”
เสียงพรึบพรับดังขึ้น องครักษ์กลุ่มหนึ่งต่างก็สลายตัวไปคนละทิศละทาง เหลือขันทีน้อยยืนโดดเดี่ยวอยู่เพียงผู้เดียว
ขันทีน้อยเงยหน้าขึ้น เผยรอยยิ้มประจบ “พระบิดา...”
คิดไม่ถึงว่าจะเป็นองค์หญิงฟางโหรว
จ้าวหวงโฮ่วมีสีหน้าตื่นตกใจ “เหตุใดจึงเป็นฟางโหรว เจ้าแต่งตัวเช่นนี้จะไปที่ใด”
เจี่ยงกุ้ยเฟยรีบเดินตามมา นางถลึงตาใส่องค์หญิงฟางโหรวคราหนึ่ง แล้วหันหน้าไปพูดกับเจาเฟิงตี้ “ฝ่าบาท...”
เจาเฟิงตี้ยกมือขึ้น “หวงโฮ่ว กุ้ยเฟย พวกเจ้ามิต้องพูด ให้ฟางโหรวพูด”
องค์หญิงฟางโหรวได้รับความรักความโปรดจากเจาเฟิงตี้มาตั้งแต่เยาว์วัย เมื่อต้องเผชิญกับใบหน้าโกรธกริ้วของเจาเฟิงตี้จึงมิได้หวาดกลัวสักเท่าใด ทั้งทราบดีว่าพระบิดามิชอบคนพูดปด จึงบอกออกไปด้วยความสัตย์ซื่อ “ลูก...ลูกผู้เป็นขุนนางอยากไปเที่ยวเล่นนอกวัง”
เจาเฟิงตี้สีหน้าเคร่งขรึม “เหลวไหล เจ้ามีฐานะเป็นถึงองค์หญิง กลับแต่งกายเป็นขันทีออกไปเที่ยวเล่น มิถูกทำนองคลองธรรมยังพอว่า หากพบเจออันตรายเข้าจะทำเช่นใด”
องค์หญิงฟางโหรวเขยิบเข้ามาดึงฉลองพระองค์ของเจาเหอตี้ “พระบิดา อย่าได้ทรงกริ้วเลย ลูกผู้เป็นขุนนางมิได้ออกไปเพียงลำพังเสียหน่อย”
“หืม ยังมีผู้ใดอีก” เจาเฟิงตี้กวาดสายตาไปรอบทิศ
นัยน์ตาผลซิ่งขององค์หญิงฟางโหรวกลอกกลิ้งไปมา เอ่ยน้ำเสียงแง่งอนว่า “ลูกผู้เป็นขุนนางก็จะไปหาพี่เทียนเฉิงอย่างไรเล่า วันนี้เขาผลัดเวรแล้ว เป็นเวลาพักผ่อน เช่นนั้นก็เรียกเขาให้ไปกับลูกเถิด พระบิดามิใช่ตรัสว่าฝีมือของพี่เทียนเฉิงเยี่ยมมากหรอกหรือ มีเขาคอยปกป้อง ท่านยังจะไม่วางใจอีกหรือ”
เจาเฟิงตี้ตีหน้าขรึม “เหลวไหล ปัญหามิใช่เรื่องวางใจหรือไม่วางใจรู้หรือไม่ เจ้าเป็นถึงองค์หญิง เอาแต่ไปหาองครักษ์เพื่อแอบหนีเที่ยว ใช้ได้ที่ไหนกัน! ”
องค์หญิงฟางโหรวกะพริบตาปริบๆ หยาดน้ำตาพลันไหลออกมา เอ่ยสะอึกสะอื้นว่า “พระบิดา ลูกผู้เป็นขุนนาง... พี่สาวทั้งหลายของลูกต่างออกเรือนไปหมดแล้ว แม้แต่เพื่อนเล่นก็ไม่มี ลูกแค่ออกไปเที่ยวเป็นบางคราเท่านั้น ท่านไม่ทราบหรอกว่าลูกผู้เป็นขุนนางอยู่ตัวคนเดียวน่าเบื่อเพียงใด”
องค์หญิงฟางโหรวพระชนมายุเพียงสิบพรรษาเท่านั้น เจาเฟิงตี้นั้นรักใคร่ทะนุถนอมมาตลอด นางร่ำไห้อ้อนวอนเช่นนี้ เจาเฟิงตี้จึงใจอ่อนทันที
“ฝ่าบาท หม่อมฉันขอพระราชทานอนุญาตพูดวาจาที่ไม่น่าฟังนัก ฟางโหรวยังเยาว์วัย ทว่าอีกสักปีสองปีก็ต้องมองหาราชบุตรเขยแล้ว พระองค์มิอาจกระทำตามใจนางไปเสียทุกอย่าง” จ้าวหวงโฮ่วเอ่ยขึ้น
เดิมทีเจาเฟิงตี้คิดจะว่ากล่าวองค์หญิงฟางโหรวอีกสักหลายประโยค ครั้นจ้าวหวงโฮ่วเอ่ยปากขึ้นกลับไม่พอใจยิ่ง จึงเอ่ยเสียงราบเรียบว่า “หวงโฮ่ว เรื่องของฟางโหรวนั้นเรารู้ดีว่าต้องทำเช่นไร”
จ้าวหวงโฮ่วถูกเจาเหอตี้กล่าวตัดบทต่อหน้าเจี่ยงกุ้ยเฟยและบุตรสาวของเขา นางจึงรู้สึกอับอายยิ่ง “ฝ่าบาท ในเมื่อฟางโหรวก็เรียกหม่อมฉันว่าพระมารดา เมื่อกระทำเรื่องอันไม่สมควร หม่อมฉันก็ควรอบรมนาง เรื่องอื่นยังมิต้องกล่าวถึง แต่การที่ฟางโหรวคอยเรียกหาคุณชายผู้สืบทอดแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงนั้นดูไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง! ”
องค์หญิงฟางโหรวได้ยินวาจานี้ของจ้าวหวงโฮ่วก็ร้องไห้โฮออกมา แล้วกระโจนเข้าสู่อ้อมอกของเจาเฟิงตี้ “ลูกผู้เป็นขุนนางไปเที่ยวเล่นกับพี่เทียนเฉิง เหตุใดจึงไม่เหมาะสม ลูกผู้เป็นขุนนางกระทำผิดที่ใดหรือ”
เจาเฟิงตี้ตบหลังองค์หญิงฟางโหรว สีหน้ากลับเคร่งขรึมขึ้นไปอีก “หวงโฮ่ว ฟางโหรวเพิ่งจะสิบปี เจ้าต้องระวังคำพูดบ้าง! ”
จ้าวหวงโฮ่วเห็นเจาเฟิงตี้ปกป้องมารดาและบุตรคู่นี้อย่างไม่แบ่งแยกถูกผิดก็โกรธจนหน้าซีด สายตากวาดมองไปที่เจินเมี่ยวคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันได้ยินมาว่าคุณหนูสี่สกุลเจินเป็นคู่หมั้นของคุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกง ท่านลองถามดูสักหน่อยเถิดว่านางได้ไปมาหาสู่กับคุณชายผู้สืบทอดบ่อยเพียงใด? ”
ราชวงศ์ต้าโจว ประชาชนล้วนเปิดกว้าง หลังจากบุรุษสตรีหมั้นหมายกันแล้ว การออกไปเที่ยวเล่นด้วยกันนั้นไม่นับเป็นเรื่องผิดแปลกอันใด
เจินเมี่ยวเกือบจะกลอกตามองขึ้นบน นางเป็นเพียงผู้ชมละคร เหตุใดไฟลูกนี้จึงลุกไหม้มาถึงนางได้เล่า
องค์หญิงฟางโหรวจึงสังเกตเห็นเจินเมี่ยว พลันเอ่ยถามออกมาอย่างอดไม่ได้ว่า “เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี้? ” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นมีความชิงชังอันบอกไม่ถูกแฝงอยู่
เจี่ยงกุ้ยเฟยที่เงียบมาตลอดพลันอึ้งงันไป
ท่าทางนี้ของฟางโหรว...เหตุใดถึงได้เสียกิริยาปานนั้นเล่า?
เมื่อมองใบหน้าที่ยังคงเป็นเด็กน้อยของบุตรสาวแล้ว เจี่ยงกุ้ยเฟยก็คิดไม่ออกว่ามีความผิดปรกติที่ตรงใด
“หวงโฮ่ว เรื่องของฟางโหรว เราจะให้กุ้ยเฟยอบรมอย่างเข้มงวด เจ้ากลับไปเถิด” เจาเฟิงตี้เอ่ยด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
จ้าวหวงโฮ่วแม้มิใช่ผู้มีอุปนิสัยดีอันใด ทว่าทุกคราที่เจาเฟิงตี้แสดงท่าทางเช่นนี้ ก็ทราบทันทีว่ามิอาจดึงดันอันใดได้อีก จึงค่อยๆ ย่อกายถวายพระพร “หม่อมฉันทูลลาเพคะ”
ครั้นจ้าวหวงโฮ่วจากไป เจาเฟิงตี้กลับมีสีหน้าเคร่งขรึมยิ่งขึ้นไปอีก “กุ้ยเฟย ฟางโหรวนับวันยิ่งเอาแต่ใจ วันหน้าเจ้าต้องเข้มงวดกวดขันให้มาก”
“เพคะ หม่อมฉันทราบแล้ว”
“เพคะ ลูกผู้เป็นขุนนางทราบแล้ว ”
“พระบิดา ท่านทรงกริ้วลูกผู้เป็นขุนนางหรือ”
เจาเฟิงตี้มององค์หญิงฟางโหรว สีหน้ากลับอ่อนโยนขึ้นมา “ขอเพียงต่อไปเจ้าเป็นเด็กดี บิดาก็จะไม่ โกรธเคืองเจ้าแล้ว”
องค์หญิงฟางโหรวพยักหน้าโดยแรง “พระบิดาวางใจเถิด ต่อไปลูกผู้เป็นขุนนางจะเชื่อฟังท่าน”
เมื่อเห็นสีหน้าของเจาเฟิงตี้เริ่มดีขึ้น นางจึงกะพริบตาปริบๆ เอ่ยว่า “พระบิดา ลูกผู้เป็นขุนนางมีเรื่องจะขอร้องอย่างหนึ่ง เห็นแก่การกระทำตัวเป็นเด็กดีในภายหน้าของลูกผู้เป็นขุนนาง พระบิดาจะต้องรับปากลูกนะเพค”
“คำขออันใด”
“ลูกผู้เป็นขุนนางอยากให้พี่เทียนเฉิงมาเป็นองครักษ์ติดตามลูกเพคะ”