ตอนที่ 42
ตอนที่ 42 เข้าวัง
เมื่อวาจานี้เอ่ยออกไป สาวใช้ทั่วห้องต่างพากันตกตะลึง รวมถึงจื่อซูที่นิ่งสุขุมมาตลอดด้วย
ควรต้องทราบว่านี่คือการรับราชโองการ!
เจินเมี่ยวรู้สึกมึนงงอยู่บ้าง
ราชโองการเป็นสิ่งสูงส่งปานนั้น เหตุใดจึงมาเกี่ยวข้องกับนางได้?
คนผู้นี้ความคิดออกจะช้าไปอยู่บ้าง ในหัวของนางยังมึนงงแต่มือกลับคล่องแคล่วยิ่ง นางรีบเอาตั๋วเงินใส่ไว้ในกล่องเก็บใบเล็กนั้นอย่างว่องไว ทั้งยังลูบไปมาตามสัญชาตญาณอยู่หลายครา
เหล่าสาวใช้แทบล้มคว่ำกันหมด
คุณหนู...เวลานี้แล้ว ท่านยังมีท่าทีอาลัยอาวรณ์ตั๋วเงินถึงเพียงนี้ มันเหมาะสมแล้วจริงๆ หรือ
เจินเมี่ยวผู้มีสีหน้าสงบนิ่งแต่กลับเดินออกไปหน้าเรือนด้วยฝีเท้าซวนเซ
มีคนกลุ่มหนึ่งคุกเข่าเป็นระนาบอยู่หน้าเรือน รวมถึงนายท่านผู้เฒ่าที่แต่ไหนแต่ไรมักเห็นเพียงหัวมิเห็นหางผู้นั้นด้วย
สายตานับไม่ถ้วนหันมองมาที่นาง
เจินเมี่ยวชำเลืองมองครู่หนึ่งก็ยกกระโปรงขึ้นแล้วคุกเข่าลงอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวอยู่ในมุมหนึ่ง
หลังจากนั้นเสียงอันแหลมสูงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ภายในจวนที่เงียบเสียจนแม้แต่เข็มร่วงยังได้ยินยิ่งขับเน้นให้เสียงนั้นบาดหูมากขึ้นไปอีก “คุณหนูสี่สกุลเจินแห่งจวนเจี้ยนอานปั๋วรับราชโองการ”
ผู้คนทั้งจวนเจี้ยนอานปั๋วต่างกำลังคุกเข่าอยู่ แม้มิกล้าเงยหน้า แต่ศีรษะกลับหันไปทางเจินเมี่ยว
ฮูหยินผู้เฒ่าอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมา ต่อให้เจ้าสี่จะฉลาดเพียงใดก็อายุแค่สิบสี่ หากเกิดเสียมารยาทในตอนรับราชโองการ...
รายนามของผู้มีความสามารถในเทศกาลชีซีคงทราบกันไปทั่วสารทิศแล้ว
ความตกใจถึงขีดสุดของเจินเมี่ยวก็ได้ผ่านไปแล้วเช่นกัน สำหรับความหวาดกลัวที่มีต่อพระบรมวงศานุวงศ์นั้น คงมิลึกซึ้งเท่าผู้กำเนิดและเติบโตในที่แห่งนี้แน่
สองมือนางวางทาบลงกับพื้น ถวายบังคมอย่างถูกต้องโดยไม่มีผู้ใดสามารถหาข้อจับผิดได้ เสียงหวานละมุนนั้นเอ่ย “หม่อมฉันน้อมรับราชโองการ”
ฮูหยินผู้เฒ่าผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่
เจินเมี่ยวก้มหน้าลง ชำเลืองมองชายชุดคลุมสีน้ำเงินปักลายงูใหญ่อันน่าเกรงขามที่ขยับพลิ้วเมื่อถูกลมพัดปลิว วาจาสละสลวยน้ำเสียงสูงต่ำแสนไพเราะดังขึ้น ยังดีที่นางล้วนเข้าใจเนื้อหาสำคัญทั้งหมด เป็นเพราะขนมเฉียวกั่วและแตงสลักของนางได้รับคำตัดสินว่าเป็นสุดยอดผลงานในเทศกาลชีซี ทำให้องค์จักรพรรดิทรงแปลกพระทัยจึงอยากพบนางสักครา
อยากพบนางเพราะสาเหตุนี้ ใจของเจินเมี่ยวก็ยิ่งรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น
ดั่งคำกล่าวที่ว่าทองแท้ไม่กลัวไฟลน ในด้านอาหารนั้น นางไม่กลัวอันใดเลยจริงๆ
“ขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณ” เจินเมี่ยวรับเอาราชโองการสีเหลืองทองนั้นไว้ด้วยสีหน้าสงบราบเรียบยิ่ง
ขันทีสกุลเว่ยผู้มาประกาศราชโองการอายุเพียงยี่สิบเท่านั้น จึงนับมีความสามารถไม่น้อยเลย ครั้นเขาเห็นเจินเมี่ยวรับราชโองการด้วยความสุขุมปานนั้น แววประหลาดใจจึงพาดผ่านใบหน้าไปครู่หนึ่ง
เขาได้รับคำสั่งให้ไปประกาศราชโองการหลายคราแล้ว ขุนนางเก่าแก่ที่ขาสั่นเทา สองมือรับราชโองการสั่นระริกนั้นไม่ทราบมีมากมายเท่าใด อายุยังน้อยเช่นคุณหนูสี่สกุลเจินกลับทำได้ถึงเพียงนี้ ยากนักที่จะพบเห็นได้
“คุณหนูสี่สกุลเจิน โปรดตามข้ามา”
ฮูหยินใหญ่สกุลเจี่ยงสั่งให้คนนำเงินที่เตรียมไว้ไปส่งให้ถึงมือเว่ยกงกง “คุณหนูสี่ตระกูลเรานั้น รบกวนกงกงช่วยดูแลด้วยเถิด”
เว่ยกงกงมิได้ปฏิเสธ เพียงเอ่ยเสียงเรียบว่า “ฮูหยินซื่อจื่อเกรงใจเกินไปแล้ว”
กล่าวจบก็พาเจินเมี่ยวจากไป
นางเวินยากที่จะปิดบังความกังวลของตนได้ นางกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า เมี่ยวเอ๋อร์อายุยังน้อย ยังมิทันได้กำชับสักประโยคก็ถูกนำตัวเข้าวังไปแล้ว หาก...”
นางหลี่ร้องเสียงหลงขึ้นว่า “น้องสะใภ้พูดถูก หากเจ้าสี่ก่อเรื่องขึ้น มิใช่ต้องเดือดร้อนกันไปทั้งจวน...”
ฮูหยินเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “พวกเจ้าทั้งสองหุบปากเดี๋ยวนี้! ”
พูดพลางจ้องไปที่นางหลี่ “นางหลี่ เจ้ารังเกียจชีวิตที่สุขสบายในจวนมากใช่หรือไม่ ยังไม่มีอันใดก็พูดแต่คำอัปมงคล”
วาจานี้ทำให้นางเวินหน้าแดงหูแดง
ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “ระยะนี้ซานหลัง1 เหลวไหลขึ้นทุกที ข้าได้ยินว่าเขาไม่กลับจวนมาครึ่งเดือนแล้ว เที่ยวเล่นอยู่ที่หอฉู่เซียวตลอด ใช่หรือไม่”
เมื่อเอ่ยถึงนายท่านสาม นางเวินก็พยักหน้าด้วยสีหน้าเย็นชา กับบุรุษผู้นั้น นางตัดใจแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่ามองแล้วส่ายหน้า “เช่นนี้เถิด นางเวิน ข้าจะเป็นคนจัดการแต่งอนุภรรยาให้เขาสักคน จะได้สงบเสงี่ยมลงบ้าง หากยอมให้เขาออกไปก่อเรื่องข้างนอกต่อไป ไม่ช้าไม่เร็วคงได้เกิดเหตุร้ายขึ้นแน่”
ใบหน้านางเวินไร้อารมณ์ใดๆ “ตามแต่ฮูหยินผู้เฒ่าจะจัดการเถิด”
ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจยาวออกมา แล้วให้ไป๋จื่อประคองมือเดินจากไป
แต่งอนุให้บุตรชายตามแต่ใจ...นางมิเคยคิดกระทำเช่นนั้นเลย ทว่านางเวินกลับตอบออกมาเช่นนี้ ทำให้นางรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก
กล่าวไปแล้วสะใภ้ทั้งสามนั้น คนที่นางพอใจที่สุดคือนางเจี่ยง ที่นางสงสารที่สุดกลับเป็นนางเวิน
มิใช่เพราะนางเวินชมชอบเอาใจนาง แต่เป็นเพราะนางเวินมีความใสซื่ออย่างที่สตรีมากมายบนโลกนี้ไม่มี
นางถึงกับคิดจะอยู่ครองคู่เคียงข้างสองคนไปชั่วชีวิต ช่างเป็นเด็กโง่งมเสียจริง
นางเป็นแม่สามีและเป็นสตรี จึงอยากลองดูสักคราว่าจะสามารถทำลายสถานการณ์อันตึงเครียดนี้ได้หรือไม่
นางเวินอาจจะเรียนรู้และฉลาดขึ้นมาบ้างว่าอย่างไรสามีภรรยาคืนดีกันย่อมดีกว่ากระด้างกระเดื่องดั่งท่อนไม้ต่อกันเช่นนี้
เจินเมี่ยวลงจากเกี้ยวก็ถูกเว่ยกงกงนำตัวเข้าไปในวัง
กระเบื้องแดงกำแพงเขียว เชิงชายหลังคาล้วนมีการแกะสลัก กระเบื้องแก้วนั้นส่องสว่างเรืองรองเป็นแสงสีทองภายใต้อาทิตย์อันเจิดจ้า
เจินเมี่ยวก้มศีรษะเดินไปข้างหน้าอย่างว่าง่าย
พื้นที่ปูด้วยอิฐสีทองเป็นมันขลับดุจคันฉ่อง นางไม่กล้าแม้แต่จะเดินเร็วเกินไป ด้วยกลัวว่าจะล้มคะมำจนเสียหน้า
เส้นทางนี้ช่างดูยาวไกลเหลือเกิน
“เว่ยกงกง จะพาสาวใช้ผู้นี้ไปที่ใดหรือ” พูดด้วยทีท่ามิได้จริงจังนัก แต่น้ำเสียงนั้นกลับไพเราะไม่เหมือนผู้ใด
เจินเมี่ยวเข้าวังมาในวันนี้นั้นกะทันหันจนนางยังมิทันได้แต่งตัวใหม่ เพียงเกล้าผมขึ้นเป็นช่ออย่างเช่นทุกวัน นอกจากปิ่นทองที่ปักแน่นแล้ว ก็เหน็บเพียงดอกมะลิหนึ่งช่อเท่านั้น
แม้ชุดกระโปรงที่สวมใส่เนื้อผ้ามิเลว แต่เมื่อเข้ามาในวังหลวงอันโอ่อ่ารโหฐานเช่นนี้ การถูกคนเข้าใจว่าเป็นสาวใช้ก็ไม่แปลกอันใด
เพียงแต่นางออกจะแปลกใจอยู่บ้างว่าผู้ใดกันที่เอ่ยวาจาเสิบสานตามแต่อารมณ์ได้ถึงเพียงนี้
“ทูลองค์ชายหก ฝ่าบาททรงมีราชโองการให้คุณหนูสี่แห่งจวนเจี้ยนอานปั๋วเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
ผู้ที่มาพลันหยุดฝีเท้าลงอย่างเห็นได้ชัด น้ำเสียงนั้นฟังดูแปลกใจเล็กน้อย “จวนเจี้ยนอานปั๋ว? ”
“พ่ะย่ะค่ะ ในงานเทศกาลชีซีนั้นขนมเฉียวกั่วและแตงสลักของคุณหนูสี่ถูกตัดสินให้เป็นสุดยอดผลงานพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยกงกงคิดว่ามิใช่ความลับอันใด องค์ชายหกก็เป็นองค์ชายที่ค่อนข้างได้รับความโปรดปรานจากองค์จักรพรรดิพระองค์หนึ่ง จึงเอ่ยอธิบายไป
“เทศกาลชีซีงั้นหรือ...” น้ำเสียงขององค์ชายหกยิ่งเพิ่มความแปลกใจมากขึ้น เขาเดินเข้าไปใกล้อีกหนึ่งก้าว “เงยหน้าให้ข้าดูสักหน่อย”
เจินเมี่ยวยังคงก้มมองที่พื้น
นี่มันเรื่องอันใดกัน เรื่องพบเติงถูจื่อในงานเทศกาลชีซีนั้นก็แล้วไปเถิด แต่เหตุใดผู้เป็นถึงองค์ชายหกจึงเอ่ยวาจาดุจเดียวกันไม่มีผิด
กับองค์ชายหกนั้น นางคงไม่มีความกล้าเตะเท้าออกไป จึงทำได้เพียงถวายพระพร “ถวายพระพรองค์ชายหกเพคะ”
“เงยหน้าขึ้นให้ข้าดูสักหน่อย” น้ำเสียงขององค์ชายหกบ่งบอกถึงความรำคาญขึ้นมาแล้ว
เจินเมี่ยวค่อยๆ กำหมัดแน่น
ช่างเป็นความรู้สึกอัปยศที่มิอาจขัดขืนได้จริงๆ !
กำลังจะเงยหน้าทว่าเสียงอันคุ้นเคยเสียงหนึ่งกลับดังขึ้น “องค์ชายหก กองพลมังกรที่อยู่ด้านนั้นได้ตระเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว พระองค์จะเสด็จไปทอดพระเนตรตอนนี้เลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“เตรียมพร้อมรวดเร็วปานนี้เชียวหรือ” องค์ชายหกก้าวเท้าห่างจากข้างกายเจินเมี่ยวออกมา
สายตาของหลัวเทียนเฉิงชำเลืองที่เจินเมี่ยวคราหนึ่ง แล้วกวาดมองเว่ยกงกงคราหนึ่ง
เว่ยกงกงพลันนึกถึงความสัมพันธ์ของคุณหนูสี่กับหลัวซื่อจื่อขึ้นมาได้ ก็เข้าใจบางอย่างทันที เขาเกรงจะมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นอีกจึงรีบกล่าวว่า “องค์ชายหก หลัวซื่อจื่อ บ่าวคงต้องรีบไปกราบทูลฝ่าบาทแล้ว”
องค์ชายหกหันกลับไปมองเงาร่างของเจินเมี่ยวที่เดินไกลออกไปแล้วคราหนึ่ง เอ่ยกลั้วหัวเราะกับหลัวเทียนเฉิงว่า “เทียนเฉิง ข้าเพิ่งนึกได้ว่า คุณหนูสี่สกุลเจินเป็นคู่หมั้นของเจ้าใช่หรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ
“หึๆ คุณหนูแห่งจวนเจี้ยนอานปั๋วแต่ละคนล้วนเก่งกาจ” องค์ชายหกตบบ่าหลัวเทียนเฉิง เอ่ยวาจาไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยประโยคหนึ่งแล้วก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าทันที
[1] ซานหลาง (三郎) เป็นคำเรียกบุตรชายคนที่สาม