ตอนที่ 41
ตอนที่ 41 มะเขือยาวดอง
เจินเหยียนสุขุมมากกว่าที่เจินเมี่ยวคิด นางฟังแล้วเพียงตกใจคราหนึ่ง หลังจากนั้นก็เอ่ยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ฝนจะตก หญิงสาวจะแต่งงาน เรื่องใดจะเกิด ขวางก็ขวางมิได้”
ในอดีตนางยังพอมีความรู้สึกรักใคร่เจินจิ้งฉันพี่น้องอยู่บ้าง แต่เพราะเรื่องบุปผาแดงโลหิตสดทำให้ความรู้สึกนั้นค่อยๆ สลายไป
“น้องสี่ ต่อไปหากทราบเรื่องอันใดของน้องสามเข้า เจ้าก็อย่าได้ตำหนิตนเองจนเกินไป คนเราเมื่ออุปนิสัยเสียแล้ว ผู้อื่นดีอย่างไรก็สามารถยกมาเป็นข้ออ้างในการก่อเรื่องของตนได้ทั้งสิ้น”
เจินเหยียนดูออกนานแล้วว่าเจินเมี่ยวรู้สึกผิดต่อเจินจิ้งเพราะเรื่องที่นางถูกถอนหมั้น
หากเป็นในอดีตนางคงมิคิดจะพูดอันใดให้มากความ ทว่าเมื่อเห็นเจินจิ้งทำเรื่องเหลวไหลมากขึ้นทุกวัน นางจึงมิอาจปล่อยเจินเมี่ยวไว้เช่นนี้ได้
หากคนผู้หนึ่งมีความรู้สึกผิดต่อคนอีกผู้หนึ่ง อีกฝ่ายคิดจะใช้ประโยชน์จากนางก็เป็นเรื่องง่ายอย่างยิ่ง
นางมิอาจจิตนาการได้เลยว่าเจินจิ้งที่หลงผิดไปแล้วนั้นจะกระทำอันใดอีก...เรื่องเช่นใดจะเกิดขึ้นบ้าง
“อืม ข้าเข้าใจแล้ว” เจินเมี่ยวพยักหน้ารับ
สองพี่น้องเดินเข้าไปในเรือนหนิงโซ่ว ฮูหยินผู้เฒ่าดูสีหน้ามิใคร่ดีนักดังคาด
บางทีอาจเพราะต้องการปิดบังไว้ ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเอ่ยทักทายอย่างเบิกบาน “เจ้ารอง เจ้าสี่มาแล้ว รีบมานั่งเถิด”
สองพี่น้องแสร้งทำเป็นไม่ทราบเรื่อง แล้วนั่งล้อมฮูหยินผู้เฒ่าไว้ เอ่ยหยอกล้อพูดคุยอย่างออกรส
ผู้คนแต่ละเรือนต่างทยอยกันมาน้อมทักทาย
นางเจี่ยงมีสีหน้าเรียบเฉย ดูไม่ออกว่ามีเรื่องราวใด
นางหลี่กลับนิ่งขรึมดั่งมีใครติดหนี้นางสักแปดร้อยตำลึงกระนั้น
จะมิให้นางกลัดกลุ้มได้อย่างไร เรื่องของเจินเมี่ยวเมื่อคราวก่อนนั้นกว่าจะสงบลงได้มิง่ายเลย แต่เจินจิ้งกลับก่อเรื่องขึ้นมาอีก
คิดจะกลั่นแกล้งบุตรสาวทั้งคู่ของนางให้ตายเลยหรือไร!
นางเวินกลับมิทราบเรื่องราวใดทั้งสิ้น
ในใจของฮูหยินผู้เฒ่านั้นคิดว่านางเวินเป็นคนปากไวใจซื่อ ทราบแล้วก็ช่วยอันใดมิได้ ทั้งยังอาจก่อเรื่องขึ้นมาอีกด้วยซ้ำ
หากมิใช่เพราะเจินปิงและเจินอวี้ต่างทราบเรื่อง นางก็มิคิดจะบอกแม้แต่นางหลี่
เรื่องเช่นนี้ คนรู้น้อยเท่าใดก็ยิ่งดีมากเท่านั้น
ฮูหยินผู้เฒ่ากลัดกลุ้มอย่างยิ่ง มองไปที่นางเจี่ยงคราหนึ่งแล้วลอบพยักหน้าให้
กล่าวไปแล้วก็มีเพียงสะใภ้ใหญ่เท่านั้นที่สุขุมที่สุด ไม่เสียทีที่ปีนั้นนางสู้อุตส่าห์ไปสู่ขอให้แต่งกับบุตรชายคนโต
“เจ้ารอง พาน้องๆ ของเจ้าไปเล่นที่ห้องด้านข้างเถิด ประเดี๋ยวค่อยมากินข้าวด้วยกัน” ฮูหยินผู้เฒ่าบอกกล่าวให้เจินเหยียนและหลานๆ ออกไป
เหล่าคุณหนูจึงเข้าไปในห้องด้านข้าง ชั่วขณะนั้นบรรยากาศดูจะอึมครึมอยู่เล็กน้อย เป็นเจินเหยียนที่เอ่ยปากพูดขึ้นก่อนว่า “น้องห้า น้องหกเมื่อวานกลับมายามใดหรือ”
เพียงเอ่ยคำนี้ เจินปิงและเจินอวี้ก็มีท่าทีแปลกๆ ขึ้นมาทันที
ผ่านไปครู่หนึ่งเจินปิงจึงเอ่ยว่า “เมื่อวานกลับมาดึกเล็กน้อย หลังจากเสร็จการแข่งขันเราไปที่สวนองุ่นด้วย”
เจินปิงเจินอวี้ส่งสายตาให้แก่กันอย่างไร้สุ้มเสียง ด้วยกลัวว่าเจินเหยียนจะถามถึงเจินจิ้ง
ทว่าวันนี้เจินจิ้งไม่อยู่ หากเจินเหยียนมิถามไถ่นั้นจึงจะเป็นเรื่องแปลก
เจินเหยียนยื่นมือไปหยิบเมล็ดซิ่ง1 ในจานขึ้นมากิน พลางถามว่า “เหตุใดวันนี้น้องสามถึงไม่มาเล่า หรือเมื่อวานกลับดึก ตากลมมากเกินไปจึงอาการทรุดขึ้นมาอีก”
เจินปิงเจินเมี่ยวลอบผ่อนลมหายใจ พยักหน้าพร้อมกัน
เจินเหยียนยิ้มราบเรียบ
น้องห้า น้องหกยังเด็กอยู่จริงๆ
“น้องห้า น้องหก เครื่องประดับของพวกเจ้าเมื่อวานยังอยู่ที่ข้า รอสักประเดี๋ยวค่อยไปเอาที่สวนเฉินเซียงด้วยกัน แล้วพวกเจ้าก็เลือกเครื่องประดับเพิ่มไปอีกคนละชิ้นเถิด” เจินเมี่ยวเอ่ยปาก
อาจเพราะเรื่องเจินจิ้งทำให้สาวน้อยสองคนที่อายุเพิ่งสิบสองสะเทือนใจ ครานี้เจินอวี้จึงมิได้โต้แย้งเจินเมี่ยวอย่างยากจะพบเห็น ทั้งสองต่างรับคำพร้อมกัน
สี่พี่น้องพูดคุยกันอยู่ในห้องด้านข้างนั้น ทั้งที่ทราบดีว่าผู้ใหญ่กำลังปรึกษาอันใดกัน แต่ทุกคนกลับแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องราวใด
เวลาผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป สาวใช้ชื่ออาโฉวก็แหวกม่านเดินเข้ามาเรียกให้คุณหนูทั้งสี่ไปกินข้าว
ตอนที่เจินเมี่ยวออกมาก็พบว่านางเวินและคนอื่นๆ ต่างไปกันหมดแล้ว
อาหารมากมายถูกจัดวางไว้บนโต๊ะ มีซาลาเปา หมั่นโถวดอกไม้ม้วน2 เกี๊ยว บะหมี่ โจ๊ก และอาหารเลิศรสชนิดอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีของหวานเป็นโจ๊กรังนกด้วย
“กินเถิด พวกเจ้ากำลังเจริญวัย มิอาจปล่อยให้ร่างกายหิว” ฮูหยินผู้เฒ่าเริ่มหยิบตะเกียบ
คนอายุมากเดิมก็มิใคร่มีความอยากอาหาร ยามนี้อากาศก็ร้อน ยิ่งมีเรื่องของเจินจิ้งให้กลัดกลุ้ม ฮูหยินผู้เฒ่าไหนเลยจะกินลง
ฮูหยินผู้เฒ่ากินโจ๊กรังนกไปเพียงครึ่งก็มิคิดแตะต้องอีก
เจินเมี่ยวรีบยกตะกร้าอาหารที่ถือมาเปิดออก “ท่านย่า หลานนำผักดองมาด้วย ท่านกับพี่ๆ น้องๆ ลองชิมดูสักหน่อยเถิด” พูดพลางยกมะเขือยาวดองออกมาจากตะกร้าสีดำ
กลิ่นหอมระคนเปรี้ยวที่แปลกพิเศษชนิดหนึ่งโชยมา
ฮูหยินผู้เฒ่าตกใจอยู่บ้าง “มะเขือยาวนำมาทำผักดองได้งั้นหรือ ที่โรยอยู่ด้านบนนี้คือพริก? ”
จื่อซูแบ่งมะเขือยาวดองที่นึ่งจนเปื่อยเป็นห้าส่วนไว้เรียบร้อยแล้ว ไป๋จื่อที่อยู่ด้านข้างจึงนำอาหารที่แบ่งไว้แล้วนั้นยกไปวางตรงหน้าของแต่ละคน
เจินเมี่ยวอธิบายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “ท่านย่าไม่ทราบใช่หรือไม่เจ้าคะ มีผักหลายชนิดที่สามารถนำมาดองได้ มะเขือยาวดองนี้กินคู่กับหมั่นโถวดอกไม้ม้วนและโจ๊กนั้นอร่อยอย่างยิ่ง ท่านย่าลองดูเจ้าค่ะ”
เพราะระยะหลังมานี้เจินเมี่ยวมักทำอาหารเลิศรสแปลกพิเศษหลายอย่าง ฮูหยินผู้เฒ่าจึงมีความสนใจอย่างมาก แม้ว่าจะมิใคร่อยากอาหารนัก แต่ก็มิอาจหักหาญน้ำใจของหลานสาวได้จึงคีบมะเขือยาวดองใส่ปากตน
มะเขือยาวดองเปื่อยยุ่ยเหมาะกับคนชรายิ่ง พริกดองที่มีรสอมเปรี้ยวลดความเผ็ดร้อนลงไปมาก รสเปรี้ยวสองชนิดที่มารวมอยู่ด้วยกันผสานกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำมันงานี้สามารถเรียกความอยากอาหารของคนขึ้นมาได้ภายในพริบตา
ฮูหยินผู้เฒ่ารีบคีบหมั่นโถวดอกไม้ม้วนขึ้นมากัดคำหนึ่ง และกินโจ๊กไปอีกคำ พลันรู้สึกว่าลมที่จุกในอกได้ถูกปลดปล่อยออกมาแล้ว
“เจ้าสี่ เรื่องยากเพียงนี้เจ้าคิดได้อย่างไรกัน” ฮูหยินผู้เฒ่ากินมะเขือยาวดองและหมั่นโถวดอกไม้ม้วนจนหมด แล้วเอ่ยชมไม่ขาดปาก
เจินเหยียนและน้องๆ ต่างก็อดใจไว้ไม่ได้จึงเริ่มกินบ้าง
อากาศร้อน ความอยากอาหารย่อมลดลง แต่มะเขือยาวดองนี้กลับถูกปากยิ่ง แต่ละคนล้วนกินอย่างเอร็ดอร่อย
เจินเมี่ยวยิ้มแย้มอย่างพอใจ นางเองก็มิยอมให้ปากตนต้องทนรับความอยุติธรรมเช่นกัน
การได้กินอาหารเลิศรสที่ตนชอบและสามารถแบ่งปันให้ผู้อื่นนั้นเป็นเรื่องที่มีความสุขอย่างยิ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่ากินด้วยความเอร็ดอร่อย พลางมองหลานสาวทั้งสี่ที่คล้ายบุปผาแรกแย้มแล้วก็ทำให้นางอารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย กินยังมิทันหมดก็กำชับให้สาวใช้ไปยกน้ำชาเข้ามาแล้วสั่งให้ทุกคนออกไป ย่าหลานต่างนั่งพูดคุยสนทนากันเป็นการย่อยอาหาร
ผ่านไปไม่นานอวี้เชี่ยสาวใช้ของนางเจี่ยงก็มาขอพบ
ฮูหยินผู้เฒ่ามีสีหน้าเรียบเฉยแต่ในใจกลับหวาดหวั่นยิ่ง “มีเรื่องอันใดหรือ เจ้ารอง พาน้องๆ ออกไปก่อน”
เมื่อเห็นเจินเหยียนและคุณหนูคนอื่นๆ ทยอยออกไป อวี้เชี่ยจึงรีบเอ่ยว่า “เรียนฮูหยินผู้เฒ่า จวนมู่เอินโหวส่งสารมีที่จวน ฮูหยินใหญ่คิดว่าเรื่องนี้คงต้องให้คุณหนูสี่ตัดสินใจด้วยตนเอง จึงสั่งให้บ่าวมาเรียนถามเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าออกจะตกใจอยู่บ้าง “หืม จวนมู่เอินโหวมีเรื่องใดที่เกี่ยวข้องกับเจ้าสี่หรือ”
เมื่อวานลั่วฮูหยินภรรยาของผู้ดูแลสำนักศึกษาหลวงกั๋วจื่อเจี้ยนเป็นผู้ตัดสินด้วยตนเองว่าแตงสลักและขนมเฉียวกั่วของเจ้าสี่นั้นคือสุดยอดผลงาน วันนี้ข่าวคราวคงลือไปทั่วเมืองหลวงแล้ว แต่ก็มิได้เกี่ยวข้องอันใดกับจวนมู่เอินโหวสักหน่อย
อวี้เชี่ยอดมองไปที่เจินเมี่ยวคราหนึ่งมิได้ นางเอ่ยว่า “เรียนฮูหยินผู้เฒ่า จวนมู่เอินโหวบอกว่าอยากจะซื้อหยกเนื้องามสลักรูปกระต่ายหยกตำยาคืนเจ้าค่ะ เพราะเป็นของที่หวงโฮ่วทรงพระราชทาน มิอาจให้ตกไปอยู่กับผู้อื่นได้”
ซื้อคืน? หวงโฮ่วทรงพระราชทานให้?
“เจ้าสี่ เรื่องราวเป็นเช่นใดกันแน่”
เจินเมี่ยวจึงเล่าเหตุการณ์เมื่อวานให้ฮูหยินผู้เฒ่าฟังอีกครา
ฮูหยินผู้เฒ่าฟังแล้วจึงกล่าวเตือนว่า “เจ้าสี่ ในเมื่อจวนมู่เอินโหวอยากได้หยกคืน เจ้าก็ให้เขาไปเถิด อย่างไรก็เป็นของที่หวงโฮ่วทรงพระราชทาน เก็บไว้กับเจ้าคงมิเหมาะนัก”
เจ้าสี่ต้องได้รับความไม่เป็นธรรมอีกแล้ว ประเดี๋ยวคงต้องมอบสิ่งปลอบใจให้นางสักหน่อยแล้ว
เจินเมี่ยวกลับมิได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอันใด ตอบรับออกไปด้วยความเบิกบาน
นางลาจากฮูหยินผู้เฒ่ากลับสวนเฉินเซียงไม่ทันถึงครึ่งชั่วยามก็ได้รับตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึงตั้งหกใบและต่างหูกระต่ายหยกอีกคู่จากฮูหยินผู้เฒ่า
เจินเมี่ยวนับตั๋วเงินแล้วหัวเราะจนแทบจะเป็นลม เชี่ยเอ๋อร์พลันเดินเข้ามา “คุณหนู เร็วเข้า เร็วเข้าเจ้าค่ะ มีคนมาประกาศราชโองการที่หน้าเรือนเรา ทั้งกล่าวว่าให้ท่านไปรับราชโองการด้วยเจ้าค่ะ”
[1] เมล็ดซิ่ง คือเมล็ดของผลแอปริคอต ซึ่งเป็นผลไม้สีเหลืองอมส้ม มีรสหวานอมเปรี้ยว กลิ่นหอมมาก
[2] หมั่นโถวดอกไม้ม้วน เป็นหมานโถวประเภทหนึ่ง แตกต่างจากหมานโถวทั่วไปที่เป็นก้อนเรียบๆ ตรงที่จะปั้นแป้งเป็นเส้นแล้วนำมาม้วนเป็นก้อน ดูแล้วคล้ายรูปทรงของดอกไม้